Friday, October 24, 2025
Home Blog Page 16

แนะนำ Linux 5 เวอร์ชั่นที่คล้าย MacOS

0
ลินุกซ์ที่เหมือน Mac

Linux เป็น OS ที่มีความสเถียรค่อนข้างสูงมาก ถึงแม้จะมีกลุ่มผู้ใช้งานบางกลุ่ม แต่ว่าก็มีการเติบโตเรื่อย ๆ ในกลุ่มผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไป สาเหตุหลัก ๆ เลยก็เพราะว่าฟรี มีให้เลือกใช้งานหลายเวอร์ชั่นมาก และหลัง ๆ มานี้เองก็มีหลายองค์กรที่พัฒนา Desktop ของ Linux ให้ใช้งานได้ง่าย บางเวอร์ชั่นก็ทำออกมาซะเหมือน Windows หรือ MacOS แบบพี่น้องคนละฝากันเลยทีเดียว จะว่าไปแล้ว  MacOS นั้นโครงสร้างหลักข้างในก็เป็น  Unix ตัวนึงเหมือนกัน แต่วันนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นกัน เราจะไปดู Linux ที่หน้าตาเหมือน MacOS กันครับ ว่ามีอะไรบ้าง

1. Elementary OS

ลินุกซ์ที่หน้าตาคล้าย MacOS

ตัวแรกเลยก็คือ Elementary OS เพราะมีความเหมือนมากที่สุด พัฒนาต่อมาจาก Ubuntu Linux โดยได้ปรับแต่ง Desktop GUI ให้ดูดีคล้ายกับ MacOS ตัวนี้ก็ไม่ถึงกับโหลดใช้ฟรีซะทีเดียว เวลาจะโหลดก็ต้องเลือกว่าจะ Support เงินเท่าไหร่ให้กับทีมพัฒนา ก็มีตั้งแต่ 10 USD ขึ้นไป หรือจะ Custom ใส่จำนวนเองก็ได้

ความต้องการขั้นต่ำของระบบ

  • CPU AMD, Intel Multi core
  • RAM 4 GB
  • HDD 15 G

2. Deepin Linux

Linux ที่คล้าย MacOS

Linux ตัวถัดมาที่ออกแบบมาใกล้เคียงกับ MacOS ที่อยากแนะนำ คือ Deepin Linux เป็นหนึ่งในลินุกซ์ ที่ปรับแต่งได้ค่อนข้างมาก มีแถบไอคอนด้านล่างที่มองเผิน ๆ ก็นึกว่าเป็น MacOS

ความต้องการขั้นต่ำของระบบ

  • CPU: Intel Pentium IV 2 GHz ขึ้นไป
  • RAM : แนะนำให้ใช้ 4GB ขึ้นไป
  • HDD : มีเนื้อที่ว่างอย่างน้อย 25 GB

3. Zorin OS

ลินุกซ์ที่เหมือน Mac

Zorin OS เป็นการผสมผสานระหว่าง Mac และ Windows ใครต้องการใช้งาน OS ที่ให้ความรู้สึกประมาณว่าเอา Windows และ MacOS มาผสมกัน ต้องตัวนี้เลย มาด้วยกันสองเวอร์ชัน คือ แบบใช้งานฟรีและแบบเสียตังค์ ถ้าเป็นแบบใช้ฟรีก็จะปรับแต่งได้แบบจำกัด แต่ถ้าอยากได้หน้าตาแบบพรีเมี่ยมและปรับแต่งได้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องเสียเงินเพิ่มเล็กน้อย

เป้าหมายหลักของ Zorin OS คือ ผู้ที่เคยใช้งาน MacOS มาก่อน

ความต้องการขั้นต่ำของระบบ

  • CPU : 1 GHz Dual Core – Intel/AMD 64-bit processor
  • RAM: 2GB or more
  • Disk: 10 GB (Core & Education) or 20 GB (Ultimate)
  • Display: 800 × 600 resolution minimum

4. Ubuntu Budgie

ลินุกซ์ที่เหมือน Mac

เคยได้ยินบางคนที่ใช้ Mac บอกว่า ถ้ารัก Mac แต่อยากลอง Linux ให้ลองใช้งาน Ubuntu เพราะเป็น Linux ที่ใกล้เคียงกับ Mac มากที่สุด ขาดเพียงไม่กี่อย่างก็จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของ MacOS ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมี Ubuntu Budgie ขึ้นมา เพื่อไปอุดตรงช่องว่างที่ Ubuntu ยังขาดอยู่ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นแฝดคนละฝาของ Mac นั่นเอง

ความต้องการขั้นต่ำของระบบ

  • CPU : 64 Bits ใช้ได้ทั้ง Intel และ AMD
  • RAM: 4 GB ขึ้นไป

5. Solus

ลินุกซ์ที่เหมือน Mac

สุดท้ายกับ Solus OS เปิดมาดูเรียบ ๆ สวยงามน่าใช้งานมากอีกตัว

ความต้องการขั้นต่ำของระบบ

  • CPU : 64 Bits ใช้ได้ทั้ง Intel และ AMD
  • RAM : 4 GB ขึ้นไป
  • HDD : ขั้นต่ำ 10 GB

สรุป

การจะเปลี่ยนมาใช้ Linux นั้น ถ้าดูที่ผู้ใช้งานคนไทยเลยแทบจะไม่เห็น ยกเว้นบรรดา Geek จริง ๆ เพราะเราอาจจะเจอข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะความเข้ากันได้กับ OS อื่น ๆ ซึ่งไม่มีตัวไหนที่รองรับ   100% ข้อดีของลินุกซ์ก็คือส่วนมากมีให้ใช้งานฟรี ไวรัสแทบจะไม่เคยมีให้เห็น แต่ข้อเสียเองก็มีเหมือนกัน ด้วยความที่เป็น Open Source มีคนพัฒนาหลายองค์กรมาก ทำให้สับสนว่าแต่ละอันต่างกันอย่างไร และบางองค์กรก็ไม่ได้อยู่นาน มาพัฒนาผิวเผินพอไม่มีเงินพัฒนาต่อก็ล้มหายตายจากไป ของไทยเองก็มีเป็นกระแสอยู่ช่วงนึงเมื่อมีการพัฒนาลินุกซ์ทะล แต่ก็มีมาให้เห็นไม่กี่ปี สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา


อ้างอิง

5 Best Linux Distributions that Looks Like MacOS

เลขเบอร์มงคล นักเสี่ยงโชค เล่นหวย หุ้น ที่ต้องมี

0
เบอร์มงคล

หากคุณคือนักเสี่ยง เล่นหวย เล่นหุ้นเป็นอาชีพ ชอบเสี่ยง ชอบวัดดวง ชอบเดิมพัน บาคาร่าออนไลน์ เป็นชีวิตจิตใจ ควรหาเลขมงคลเหล่านี้ไว้ในเบอร์ของนักเสี่ยงโชคเอง

เลข 15 ,51

เลขมงคลคู่นี้เหมาะสำหรับเสี่ยงโชค เลขนี้จะเสริมด้านการงาน การเงิน มักได้โชคลาภแบบไม่คาดคิดบ่อยครั้ง เช่น ซื้อหวยแบบไม่คิดอะไรแต่ถูกรางวัลซะงั้น และจุดเด่นอีกอย่างของเลขนี้คือ มีสติ ไม่วู่วามในการลงทุน เสี่ยงโชค แม้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่หวังก็ไม่เข้าเนื้อมาก นอกเหนือจากนี้ยังจัดว่าโชคดีอยู่เสมอไม่ว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ การจับสลากปีใหม่ในที่ทำงาน การชิงโชค ชิงรางวัล และอื่น ๆ

เลข 28 ,82

เป็นเลขถนัดหมุนเงินก้อนใหญ่ หาเงินเก่งมาก แต่ก็ใช้เงินเก่งมากเช่นกัน มั่นใจในตัวเอง มีวิสัยทัศน์ ใจกล้าบ้าบิ่น ชอบลุย ถึงไหนถึงกัน มีมาดนักเลง อิทธิพล ชอบเสี่ยงโชค สามารถทำงานที่ท้าทาย เหมาะกับงานที่ลุย ๆ เช่น งานเทคโนโลยี งานก่อสร้าง อสังหาฯ หรือแม้กระทั้งงานสีเทา ต่างๆ

เลข 39 ,93

เลขนี้แข่งอะไรก็มักชนะอยู่ตลอด มีโชคทางด้านการแข่งขัน สนใจในเทคโนโลยี นวัตกรรม หรือไม่ก็ศาสตร์เร้นลับไปเลย มีสัมผัสที่หก มักใกล้ชิดวัตถุโบราณ มีโชคลาภแบบไม่คาดฝัน เหมาะมากกับงานที่ท้าทาย ไม่หยุดนิ่ง เช่น นักกีฬา โบรกเกอร์ นักเสี่ยงโชค ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก งานที่ต้องเดินทาง ตำรวจ ทหาร วิศวะ เป็นต้น ชอบเอาชนะ ชอบอะไรที่เร็ว ๆ ชอบความเร็ว ชอบความเสี่ยง ควรหาเลขสติมาอยู่คู่กับเลขคู่นี้ ชีวิตจะได้เกิดความสมดุลและสงบสุขมากขึ้น

เลข 78 ,87

เลขคู่นี้จะทำให้ไปเป็นคนมีนิสัยนักเลง ใจถึง ใจคอกว้างขวาง รักเพื่อนฝูง มีบริวารมาก มีอิทธิพล มีคนช่วยเหลืออยู่เสมอ เข้ากับคนง่าย ชอบเข้าสังคม นอกจากนี้แล้วยังมีโชคลาภอยู่บ่อยครั้ง ได้อะไรมาแบบฟลุ๊ค ๆอยู่เสมอ มีดวงในการเสี่ยงโชค เหมาะกับ นักเสี่ยงโชค เล่นหุ้น เจ้ามือหวย งานสีเทา

และเลขคู่มงคลอื่น ๆ ที่ควรมีติดไว้ในเบอร์ อยู่ในตำแหน่งข้างหน้า-กลาง จะดีที่สุด

639 , 936 , 239 , 932 , 289 , 982 , 298 , 829 , 892 , 928 , 888 , 887 , 889 , 789 , 987

 

การแก้ไขปัญหา WordPress : Briefly unavailable for scheduled maintenance. Check back in a minute.

0
Wordpress

เวลาที่ทำการอัพเดตปลั๊กอิน, ธีม หรือ เวอร์ชั่นของเวิร์ดเพรส ระบบจะมีการสร้างไฟล์ขึ้นมาเพื่อเป็นการ Maintenance ไม่ให้ผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ชั่วคราว .. อย่างไรก็แล้วแต่เราจะเจอปัญหาหลายครั้งที่หลังจากทำงานเสร็จแล้วเวิร์ดเพรสไม่ยอมลบไฟล์เหล่านั้นทิ้งไป เมื่อเราเข้าเว็บจะเห็น Error ดังรูปข้างล่างนี้

การแก้ไขปัญหา WordPress : Briefly unavailable for scheduled maintenance. Check back in a minute.
การแก้ไขปัญหา WordPress : Briefly unavailable for scheduled maintenance. Check back in a minute.

การแก้ไขปัญหา

1. Login FTP หรือพวก File Manager เข้าไปยังที่เก็บไฟล์

2. ลบไฟล์ชื่อ .maintenance ทิ้งไป

การแก้ไขปัญหา WordPress : Briefly unavailable for scheduled maintenance. Check back in a minute.
การแก้ไขปัญหา WordPress : Briefly unavailable for scheduled maintenance. Check back in a minute.

3. ทดสอบเข้าใช้งานอีกครั้ง

เพียงเท่านี้ก็แก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว

ผลักความน่าเบื่อออกไปให้ไกล มาเพิ่มสีสันให้กับชีวิตทุกวันด้วยวิธีง่าย ๆ

0
ผลักความน่าเบื่อออกไปให้ไกล มาเพิ่มสีสันให้กับชีวิตทุกวันด้วยวิธีง่าย ๆ

ความสุข เป็นความรู้สึกที่ไม่ว่าใครก็ปรารถนาที่จะครอบครองมันไปตลอด หลายคนจึงมองหานิยามการสร้างความสุขอยู่ตลอดเวลา แต่แม้หลายคนจะมีความสุขอยู่แล้ว บางครั้งก็รู้สึกเบื่อตัวเองหรือสิ่งรอบข้างขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ ขอบอกว่ามันไม่ผิดปกติหรอกหากจะเกิดอาการแบบนี้ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คงไม่ดีแน่ เพราะมีหลายคนที่ปล่อยให้ตัวเองจมกับความเศร้า ความน่าเบื่อในชีวิต จนนานวันเข้าก็ได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่อีกคน บางคนกลายเป็นโรคซึมเศร้า บางคนคิดมาก ยิ้มน้อย และมองโลกในแง่ร้ายไปเลย

ผลักความน่าเบื่อออกไปให้ไกล มาเพิ่มสีสันให้กับชีวิตทุกวันด้วยวิธีง่าย ๆ

คุณคงไม่อยากเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนแบบนี้ใช่มั้ย อย่างน้อย หากวันหนึ่งเราเปลี่ยนแปลงตัวเองไป เราก็อยากจะเป็นคนใหม่ที่มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นมากกว่า เรามาดูวิธีที่จะผลักความน่าเบื่อออกไปให้ห่าง และใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกวันกันจะดีกว่า ส่วนเคล็ดลับของความสุขนั้น เรามาดูพร้อมกันเลย

1. ใจเย็นและให้อภัยให้เป็น

การรู้จักให้อภัย ไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อผู้อื่น ทำให้เราหลีกเลี่ยงอารมณ์เสียหรือความคิดลบไปโดยปริยาย มันก็ต้องมีบ้างที่คุณอาจจะไม่พอใจกับอะไรสักอย่าง เชื่อว่าทุกคนก็ต้องเคยเจอสิ่งที่ไม่พึงประสงค์จากคนรอบข้าง แล้วพาลทำให้เราคิดไปว่าพวกเขาดูงี่เง่า และตั้งใจที่จะร้ายกับเราก่อน แต่บางทีอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เรื่องบางเรื่องก็ซับซ้อนเกินกว่าเราจะเข้าใจ ดังนั้น การใจเย็น มีสติ ให้อภัย และรู้จักจำลองเหตุการณ์ต่างมุมในแบบที่เราลองเป็นฝ่ายตรงข้ามในสถานการณ์เดียวกัน จะทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างนี้ผ่านไปได้ง่าย แถมคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาที่จะหงุดหงิดอีกด้วย

2. ตัดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกจากชีวิต

ลองสำรวจตัวเองดูว่าในแต่ละวันนั้น เราได้ทำอะไรลงไปบ้าง อย่างเช่น หลายคนสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือมีปาร์ตี้สังสรรค์กับเพื่อนแทบจะทุกวัน สิ่งเหล่านี้ถ้าอยากลองย้อนมองกลับไปดี ๆ แล้วแทบจะไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับชีวิตเลย บางอย่างถ้ามันตัดออกได้ก็จะทำให้คุณมีเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นเพิ่มมากขึ้น หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าเดิม หลายคนอาจจะต้องมีการเข้าสังคม แต่ก็ขอให้มันเป็นเฉพาะงานที่จำเป็นหรือนาน ๆ ครั้งจะดีกว่า การที่คุณจะต้องพาตัวเองให้ไปขลุกอยู่กับผู้คนที่ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกเห็นคุณค่าของตัวเอง และเสียเวลาส่วนตัวไป

3. ลองทำอะไรใหม่ ๆ

ผลักความน่าเบื่อออกไปให้ไกล มาเพิ่มสีสันให้กับชีวิตทุกวันด้วยวิธีง่าย ๆ

ส่วนหนึ่งของความสุขก็คือ การที่ได้รู้สึกตื่นเต้น อย่างเช่น คุณอาจจะไม่เคยทำอาหารและวาดรูปมาก่อน หรือดูหนังในแนวที่แตกต่างกันออกไปมาก่อน อยากให้คุณลองเปลี่ยนมุมมองอีกมุมหนึ่ง เพื่อที่จะให้ตัวเองได้ลองค้นพบอะไรใหม่ ๆ ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง บางทีการเข้าครัวก็ถือเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คุณเริ่มใส่ใจกับการทานอาหารมากขึ้น การดูหนังในแนวที่แตกต่างกันออกไปทำให้คุณได้มีแนวคิดที่กว้างขึ้นกว่าเดิม และได้ลองทำงานอดิเรกใหม่ เช่น การเรียนดนตรี เรียนวาดรูป ทำให้คุณได้ท้าทายตัวเอง ได้รู้จักตัวเองเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่คุณเคยคิดว่าคุณไม่มีพรสวรรค์ในการทำอะไรเลย แต่ผิดคาดคุณอาจจะทำมันได้ดีกว่าที่คิด

4. ออกไปเที่ยว

นี่คือวิธีที่ทำให้ชีวิตไม่น่าเบื่ออีกวิธีหนึ่ง เป็นวิธีที่จะทำให้ชีวิตของคุณใน 1 วัน นั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ใหม่ ได้พบเจออะไรใหม่  ได้เจอผู้คน ได้เห็นสถานที่แปลกใหม่ จริงอยู่ว่าสถานที่ปลอดภัยที่สุดมักจะเป็นสถานที่ที่เราไว้ใจที่สุดนั่นก็คือบ้าน แต่การอยู่บ้านโดยที่ไม่ออกไปเที่ยว หรือไปทำอะไรเลยนอกเหนือจากไปทำงาน มันทำให้มีความเบื่อเกิดขึ้น หากคุณจะต้องเห็นห้องสี่เหลี่ยมซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่เป็นเวลานาน แต่การที่ได้ออกไปเที่ยวบ้าง แม้จะเป็นคาเฟ่ใกล้บ้านก็ตาม มันก็เติมเต็มความสุข ทำให้คุณหายเหงาและอาจจะได้เพื่อนใหม่ที่แสนดีเพิ่มมาอีกคนก็ได้

5. อยู่ใกล้คนที่มีความสุข

นี่คือวิธีที่ทำให้ชีวิตคุณไม่น่าเบื่อ และเป็นวิธีสร้างความสุขที่ทำให้คุณสามารถมีความสุขได้ตลอดไป เพราะคนที่มีความสุขมักจะแสดงออกกับคนรอบข้าง ด้วยความจริงใจ ตรงไปตรงมา มีน้ำใจ ใครที่ได้สัมผัสกับคนที่มีความสุขจะรู้เลยว่ามันมีพลังงานบางอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ ๆ  และการที่เราอยู่ในแวดวงบรรดาคนที่มีความสุข จะทำให้เราซึมซับนิสัยดี ๆ จากเขามาโดยไม่รู้ตัว และทำให้เรานั้นสามารถที่จะสร้างความสุขให้ตัวเองได้ตลอดเวลา ถึงแม้วันหนึ่งเราอาจจะเจอปัญหาเดิมหรืออุปสรรค รู้สึกเบื่อ หมดไฟ แต่เราก็จะมีวิธีพลิกแพลงและหาความสุขให้กับตัวเองได้ ชนิดที่ว่าต่อให้ปัญหาทุกอย่างถาโถมเข้ามา คุณก็จะมีเกราะป้องกันสิ่งรอบนั้นไปโดยอัตโนมัติ


และนี้ก็คือ 5 ข้อ ที่จะทำให้วันที่หมด passion ของใครหลายคนนั้น กลับมามีไฟและมีความสุขแบบง่าย ๆ หากคุณนำ 5 ข้อนี้ไปปรับใช้กับตัวเอง รับรองเลยว่าความสุขที่หลายคนตามหานั้นอยู่รอบตัวนี้เอง สำหรับยุคโควิด-19 นี้ จะออกไปไหนแต่ละทีคงลำบากแย่ แถมยังดูเสี่ยงไปทุกตารางเมตร วิธีใช้ชีวิตแบบไม่น่าเบื่อและต้องอยู่บ้านแบบนี้ ลองมาเล่นเกมสนุกอย่างสล็อต ยืนยัน otp รับเครดิตฟรี ดูดีกว่า นอกจากจะทึ่งกับภาพกราฟิกสวยงามแล้ว ภายในเกมยังมีฟีเจอร์แจกโบนัสมากมาย เรียกว่าครบทุกอรรถรสจริง ๆ


เครดิตภาพ : pixabay.com

 

แก้ไขปัญหา NTP Action ไม่ทำงานใน ESXi 7

0
การแก้ไข NTP Action บน vSphere 7.x ไม่ทำงาน

ได้ลองอัพเกรดและใช้งาน vSphere ESXi 7 ดูว่ามีอะไรดีขึ้นจากเวอร์ชั่น 6 บ้าง ได้ทดสอบฟังก์ชั่น NTP พบว่าปุ่ม Action ที่อยู่ในหัวข้อ System > Time & date ไม่ทำงาน ตอนแรกก็นึกว่าเป็นบั๊กหรือว่าเพราะใช้เวอร์ชั่นที่ไม่ได้ activate แต่ปรากฎว่าไม่ใช่ เรามาดูวิธีแก้ไขปัญหานี้กัน

ขั้นตอนการแก้ไขคร่าว ๆ ตามนี้

  1. ตั้งค่า NTP startup policy and NTP server(s)
  2. เปิดให้ NTP ใช้งานได้ใน Firewall
  3. Start NTP Service
  4. ทดสอบการใช้งาน

1. ตั้งค่า NTP startup policy and NTP server(s)

ก่อนเริ่มให้ตั้งค่าให้ NTP Client ทำงานก่อน โดยไปที่หัวข้อ System > Time & date ให้เลือก NTP Service startup policy เป็น Start and stop with host แล้วให้ใส่ NTP Servers เอาไว้ด้วยครับ เสร็จทั้งหมดแล้วก็กด Save

การแก้ไข NTP Action บน vSphere 7.x ไม่ทำงาน

2. เปิดให้ NTP ใช้งานได้ใน Firewall

ต่อไปเป็นการ Enable Firewall Rule ให้ NTP ใช้งานได้ ปกติแล้วจะไปที่ Host > Manage > Services แล้วก็หา NTP Service (ตามในภาพ) ตรงคอลัมน์สุดท้ายของบรรทัดนี้ จะมีคำว่า ntpClient ให้คลิกที่ตรงนี้เพื่อเข้าไปหน้า Firewall

การแก้ไข NTP Action บน vSphere 7.x ไม่ทำงาน

เมื่อเข้ามาที่หน้า Firwall จะแสดงเพียงแค่ NTP Service ให้คลิกที่ปุ่ม Actions

การแก้ไข NTP Action บน vSphere 7.x ไม่ทำงาน

เลือกที่ Enable

การแก้ไข NTP Action บน vSphere 7.x ไม่ทำงาน

เมื่อ Enable ให้ NTP Service ใช้งานได้แล้ว เมื่อกลับไปตั้งค่า NTP Service ทุกอย่างควรจะปกติแล้ว

3. Start NTP Service

กลับมาที่หน้า Services ให้เลือกไปที่ ntpd แล้วคลิกขวา เลือก Start เพื่อให้ NTP Service ทำงาน

การแก้ไข NTP Action บน vSphere 7.x ไม่ทำงาน

กลับมาตรวจสอบที่หน้า Time & Date อีกครั้ง จะเห็นสถานะของ NTP Service เป็น Running แล้ว, ลองคลิกที่หัวข้อ Actions ดูอีกครั้งก็จะเห็นว่ามี เมนูให้เลือกแล้วครับ

การแก้ไข NTP Action บน vSphere 7.x ไม่ทำงาน

4. ทดสอบการใช้งาน

เมื่อเสร็จขั้นตอนทั้งหมดแล้วลองกลับไปที่เมนู Action อีกครั้ง คราวนี้ควรจะใช้มีให้เลือกแล้ว


อ้างอิง

ESXi host Time & date actions menu not working in 7.0 host client – Workaround

5 ข้อคิดก่อนเลือกใช้บริการเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์

0
5 ข้อคิดก่อนเลือกใช้บริการเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังมองหาบริษัทเอเจนซี่โฆษณามาช่วยในการโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณผ่านช่องทางออนไลน์ ปัจจัย 5  ข้ออะไรบ้างที่คุณควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกเอเจนซี่มาร่วมงาน

5 ข้อคิดก่อนเลือกใช้บริการเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์

1. ความโปร่งใส

หลาย ๆ ครั้งที่คนเรามักตัดสินใจซื้อของโดยเลือกสินค้าที่มีราคาถูกกว่า แต่แคมเปญโฆษณาอาจไม่สามารถติดสินใจได้ด้วยราคาที่เห็นว่าถูกกว่าเพียงอย่างเดียว บริษัทบางแห่งอาจเสนอราคาโดยรวมค่าโฆษณาและค่าบริการไว้ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนคุณได้จ่ายในราคาที่ถูกกว่า แต่นั่นคือหลุมพลางที่คุณควรหลีกเลี่ยง การเสนอราคาที่ดีของเอเจนซี่ คือ การแยกราคาให้ชัดเจนว่าบัดเจทส่วนนี้สำหรับการจ่ายค่าโฆษณาให้ Google หรือ Facebook โดยตรง และค่าดูแลบริหารจัดการแคมเปญควรเป็นบัดเจทต่างหาก หากไม่ได้ระบุชัดเจนว่าแคมเปญโฆษณาของคุณจริง ๆ แล้วใช้บัดเจทเท่าไหร่ คุณควรสอบถามให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจ

2. ความเชี่ยวชาญ

เอเจนซี่หลาย ๆ ที่อาจเรียกตัวเองว่าเป็น Partner ของ Platform การโฆษณานั้น ๆ เช่น Google หรือ Facebook เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญด้านการโฆษณาใน Platform นั้น ๆ โดยตรง แต่สิ่งนี้ไม่ได้การันตีว่าแคมเปญโฆษณาของคุณจะประสบความสำเร็จเสมอไป สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญมากกว่าใบปริญญา คือ การใช้เวลาพูดคุยกับเอเจนซี่ ถามคำถามให้มากและพิจารณาจากคำตอบของพวกเขา

3. ผลงานที่ผ่านมา

แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่าแคมเปญโฆษณานั้นจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน แคมเปญโฆษณาที่ใช้วิธีการเดียวกัน อาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในการเสนอขายสินค้าและบริการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ทั้งนั้น การพิจารณาโดยดูจากผลงานที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ก็ไม่ควรด่วนตัดสินใจเพียงเพราะพวกเขาไม่มีผลงานที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของคุณ เอเจนซี่ที่สามารถรับมือกับการโฆษณาในหลากหลายอุตสาหกรรม แสดงให้เห็นถึงมุมมองที่กว้างกว่า

4. ทีมงาน

จำนวนพนักงานในบริษัทที่มากกว่า ไม่ได้การันตีว่าแคมเปญโฆษณาของคุณจะได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่าเสมอไป เอเจนซี่ทำงานตามราคาค่าจ้าง และบริษัทขนาดใหญ่มักจะมีขั้นตอนการทำงานและข้อกำหนดที่ชัดเจน จนไม่เหลือที่ให้ต่อรอง เพราะฉะนั้น แทนที่จะติดสินใจเลือกจากขนาดของบริษัท ให้ลองพิจารณาว่าพวกเขามีทีมงานดูแลการทำงานในส่วนไหนบ้าง ครอบคลุมต่อความจำเป็นในการทำแคมเปญโฆษณาของคุณหรือไม่ และสามารถซับพอร์ตคุณหลังการขายได้หรือไม่

5. ไม่สร้างความคาดหวังที่เกินจริง

เมื่อคุณลงทุนกับอะไร คุณก็ย่อมคาดหวังผลตอบแทนจากเงินทุนที่คุณลงไป อาจจะมาในรูปแบบของจำนวนยอดขาย หรือการรับรู้ของแบรนด์ที่เพิ่มมากขึ้น สิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยงคือเอเจนซี่ที่ขายฝัน แคมเปญโฆษณาออนไลน์นั้น สามารถคาดการณ์ตัวเลขของผลลัพธ์ได้ แต่ไม่สามารถการันตีตัวเลขได้ คุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าตัวเลขที่มีการคาดการณ์นั้น สมเหตุสมผลหรือไม่ มีที่มาที่ไปและมีข้อมูลอ้างอิงตัวเลขนั้น ๆ

 

5 ประโยชน์ที่น่าทึ่งในยุคสมาร์ทโฟนเฟื่องฟู ที่หลายคนไม่เคยรู้

0
เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมชีวิตทุกด้าน

เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็มีสมาร์ทโฟนด้วยกันทั้งนั้น เหมือนกับว่าสมาร์ทโฟนได้กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ซึ่งตีคู่มากับปัจจัยที่ 6 อย่างอินเทอร์เน็ต ที่ไม่มีให้ใช้เมื่อไหร่ เหมือนจะต้องขาดใจตายไปเลยตอนนั้น) แน่นอนว่าสมาร์ทโฟนถือเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากมายมหาศาล ทั้งในเรื่องของการใช้ในการติดต่อสื่อสาร การสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ที่สามารถทำงานได้ไม่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การนำมาใช้เพื่อความบันเทิงเองก็ตาม

เมื่อสมาร์ทโฟนกลายเป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมชีวิตทุกด้าน

แต่สำหรับหลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้ สมาร์ทโฟนของเรายังมีอีกหลายประโยชน์ที่น่าทึ่ง เรามาดูกันดีกว่า ว่าประโยชน์เหล่านั้นมีอะไรบ้าง

1. เดี๋ยวนี้ เล่นคาสิโนออนไลน์ผ่านสมาร์ทโฟนได้แล้วนะ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ไปไกลมาก ใครที่ยังคิดว่าจะเล่นคาสิโนออนไลน์แต่ละที ต้องเดินทางไปเล่นในบ่อนหรือเล่นผานคอมพิวเตอร์เท่านั้น คงต้องคิดกันใหม่แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็เล่นผ่านสมาร์ทโฟนกัน เพราะสะดวก ง่ายดาย แถมเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นเว็บคาสิโนออนไลน์ เว็บบาคาร่าที่ดีที่สุด หรือการเดิมพันในเกมไหน ๆ คุณก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

2. อ่าน QR Code ได้ โดยไม่ต้องโหลดแอปเพิ่ม

สารภาพมาหน่อย ว่าใครยังโหลดแอปพลิเคชันสแกน QR Code จาก App Store หรือ Play Store มาใช้กันอยู่ อยากกระซิบบอกว่า… ไม่ต้องแล้วนะ! เพราะเดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนสามารถอ่าน QR Code ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยแอปพลิเคชันอื่น ๆ แล้ว สำหรับผู้ใช้ iOS เพียงแค่เล็งกล้อง iPhone ของคุณไปที่โค้ด QR แล้วปล่อยให้มันสแกนโดยอัตโนมัติ จากนั้นเพียงแค่แตะการแจ้งเตือนที่จะนำคุณไปยังหน้าผลิตภัณฑ์หรือเว็บไซต์ และแน่นอนว่าผู้ใช้ Android ห็สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกัน โดยเปิด Google App เปิดใช้งานการค้นหาหน้าจอและทำตามขั้นตอนเดียวกัน ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ

3. เช็คถ่านรีโมทว่าหมดหรือยัง

อะไรนะ! สมาร์ทโฟนเราทำได้ขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย วิธีง่าย ๆ ในการเช็คถ่านรีโมทด้วยสมาร์ทโฟน คือ ให้เล็งรีโมทไปที่กล้องหน้าของสมาร์ทโฟน แล้วกดปุ่มใดก็ได้ หากคุณเห็นแสงอินฟราเรดจากรีโมทกะพริบบนหน้าจอสมาร์ทโฟน แสดงว่ารีโมทของคุณยังทำงานใช้ได้อยู่ แต่ถ้าไม่เห็นแสงกะพริบ ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนถ่านให้รีโมทเสียหน่อย

4. ชาร์จแบตให้ไวกว่าเดิม

ใครเป็นวัยรุ่นใจร้อนต้องชอบทริคนี้ เพียงแค่เปิดใช้งานโหมดเครื่องบินขณะชาร์จแบตบน iPhone หรือ Android คุณจะต้องร้องว้าวเมื่อเห็นว่าแบตของคุณเต็มไวกว่าเดิม แต่วิธีนี้คงไม่เหมาะกับคนที่ขาดสมาร์ทโฟนไม่ได้ หรือคนที่ชอบเล่นไปด้วยชาร์จไปด้วย

5. ค้นหารูปภาพจากหมวดหมู่ของรูป

หากคุณเป็นมือเซลฟี่ที่ชอบถ่ายรูปเยอะแยะ บนบางทีจะหารูปแต่ละทีก็หาได้ลำบากยากเย็น เรามีวิธีช่วย เพียงแค่ค้นหารูปจากหมวดหมู่ของรูป จะช่วยให้คุณหารูปที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น พิมพ์คำว่า “แมว” จากนั้นรูปถ่ายของคุณและแมวจะปรากฏขึ้นมา เก๋ใช่ไหมล่ะป็นอย่างไรกันบ้างกับประโยชน์ดี ๆ จากสมาร์ทโฟนที่คุณอาจไม่เคยรู้ มีข้อไหนบ้างที่คุณยังไม่เคยลอง เราแนะนำให้คุณไปลอง แล้วคุณจะค้นพบว่าสมาร์ทโฟนของเรายังทำอะไรได้อีกเยอะ

4 กลยุทธ์การตลาด ที่ทำให้เว็บไซต์คาสิโนออนไลน์กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก

0
golden ace of spades made with particles background

คุณเคยสงสัยไหม? ว่าทำไมอุตสาหกรรมคาสิโนถึงได้กลายมาเป็นที่น่าจับตามองไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ระบบเศรษฐกิจถดถอยไปทั่วโลก อะไรที่ทำให้อุตสาหกรรมและธุรกิจคาสิโนยังคงดำรงอยู่ได้ในยุคข้าวยากหมากแพง การตลาดในรูปแบบไหนที่ทำให้ธุรกิจคาสิโนออนไลน์ยังสามารถตรึงฐานลูกค้า และหาลูกค้าหน้าใหม่ ๆ ให้เข้าไปใช้บริการคาสิโนออนไลน์ได้ วันนี้เรามีคำตอบ

Where Curiosity Meets Creativity

มีเกมให้เลือกเล่นหลากหลายเกม

เกม เป็นจุดดึงดูดที่เหล่าเว็บไซต์คาสิโนออนไลน์นำเสนอให้แก่เหล่าผู้เล่นและนักวางเดิมพัน ยิ่งมีตัวเลือกเกมให้เลือกเล่นหลากหลายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นจุดขาย เป็นจุดดึงดูดของคาสิโนออนไลน์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น เหมือนกับที่ Betway88 เว็บไซต์คาสิโนออนไลน์ยอดนิยม ที่มีตัวเลือกเกมให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ ทั้งเกมคาสิโน พนันกีฬา และกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจมากมายคงไม่แตกต่างอะไรจากการประกอบธุรกิจทั่ว ๆ ไป หากแบรนด์ไหนมีตัวเลือกสินค้าให้เลือกเยอะและหลากหลายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่ลูกค้าจะสนใจในตัวแบรนด์มากขึ้นเท่านั้น

สามารถเล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา

คุณสมบัติในการเข้าถึงเว็บไซต์คาสิโนออนไลน์ผ่านอุปกรณ์พกพา ทำให้เหล่าผู้เล่นและนักวางเดิมพันออนไลน์สามารถเล่นและสนุกไปกับการวางเดิมพันบนคาสิโนออนไลน์ได้อย่างไร้ข้อจำกัดเรื่องของสถานที่และเวลา จุดเด่นข้อนี้ถือเป็นการทำการตลาดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และถือเป็นปัจจัยที่ช่วยดึงดูดผู้เล่นและนักวางเดิมพันได้เป็นอย่างดี เพราะหลาย ๆ คน จำเป็นต้องทำงานกะดึก บางคนนอนดึก การเข้าถึงเกมสนุก ๆ ได้ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่น่าสนใจมาก ๆ เช่นเดียวกันกับการทำการตลาดให้กับสินค้าและธุรกิจทั่ว ๆ ไป ความสามารถในการเข้าถึงสินค้าและบริการอย่างไร้ข้อจำกัดทางด้านเวลาและสถานที่ จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ หรือสั่งซื้อสินค้ากันได้มากขึ้น

มีโปรโมชั่นมอบโบนัสและเงินฟรี

ใครบ้างล่ะที่จะไม่ชอบของฟรี ธุรกิจคาสิโนออนไลน์ส่วนใหญ่มักจะมีการแจกโปรโมชั่น โบนัส เงินฟรี และสปินฟรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เล่นหน้าใหม่ การมอบโบนัสนี้จะช่วยให้เหล่าผู้เล่นและนักวางเดิมพันมีโอกาสได้เข้าไปทดลองเล่นเกมที่ไม่เคยได้เล่นมาก่อน ถือเป็นการมอบโอกาสให้เหล่าผู้เล่นและนักวางเดิมพันได้สำรวจเกมใหม่ ๆ และถือเป็นการทดลองเล่นไปด้วยในตัว ซึ่งแน่นอนว่าเว็บไซต์คาสิโนออนไลน์ Betway88 ก็มีโปรโมชั่นและโบนัสแจกให้อย่างไม่อั้นโปรโมชั่นการลด แลก แจก แถม ของการประกอบธุรกิจทั่ว ๆ ไป ก็ใช้กลยุทธ์การตลาดในแบบเดียวกัน การแจกหรือแถมสินค้าให้ลูกค้า จะช่วยเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองสินค้าใหม่ ๆ หรือสินค้าที่ไม่คยใช้มาก่อน หากลูกค้าชอบในตัวสินค้า ก็แน่นอนว่าทางแบรนด์อาจจะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วยนั่นเอง

มีฝ่ายบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

เว็บไซต์คาสิโนออนไลน์ส่วนใหญ่ มักจะมีฝ่ายบริการลูกค้าที่เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง ในทุก ๆ วัน ไม่มีวันหยุด เพราะการบริการที่ดี คือการสแตนด์บายและพร้อมที่จะช่วยแก้ไขปัญหา เมื่อยามที่เหล่าผู้เล่นหรือนักวางเดิมพันต้องการความช่วยเหลือ

หลาย ๆ ครั้ง เราอาจจะหงุดหงิดเวลาเราต้องติดต่อแบรนด์ แต่ไม่ได้รับการติดต่อกลับในทันที หรือในเวลาที่เหมาะสม หากแบรนด์ไม่ใส่ใจในเรื่องของฝ่ายบริการลูกค้า นั่นอาจทำให้ลูกค้าหาย กำไรหดได้


ไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบใด การตลาดถือเป็นส่วนสำคัญที่เป็นแรงขับเคลื่อนในทุก ๆ ธุรกิจ หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังเริ่มประกอบธุรกิจ แนะนำว่าไม่ควรมองข้ามกลยุทธ์การตลาด ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้ปัง และสร้างรายได้ให้มากขึ้นกว่าเดิม

ข้อมูลสำหรับคนที่อยากส่งลูกเรียนแคนาดา

0
ประเทศแคนาดา
ประเทศแคนาดา

สำหรับคนอยากส่งลูกเรียนที่แคนาดา (ส่วนของรีวิว #ทีมแคนาดา เอาไว้ค่อยมาเขียนใหม่)

ผมเห็นคนถามเรื่องส่งลูกมาเรียนเยอะ เลยขอแบ่งปันข้อมูลเท่าที่ทราบและจากการวิเคราะห์ของผมเองนะครับ เพื่อช่วยคนที่ไม่รู้จะเริ่มยังไง คือคิดเอาว่าถ้าพ่อแม่ผมรู้ข้อมูลแบบนี้ คงได้มานี่นานแล้ว (ข้อมูลสรุปมาจากที่เคยคุยกับเพื่อนๆ น้องๆ สิ่งที่เคยอ่านมาแล้ววางแผนวิเคราะห์ไว้ ใครอยากเพิ่มเติม แก้ไข ทักมาได้ครับ)

ถ้ามีงบ (ประมาณว่าบ้านรวย หรือพ่อแม่มีอาชีพการงานที่ดีที่ไทย มีธุรกิจ มีหลายๆ อย่างที่ทำให้ทิ้งมาไม่ได้ แต่มีกำลังส่งลูกได้แล้วตัวเองมีเงินเหลือเก็บยามเกษียณ) ผมคิดว่าส่งมาตอน เกรด 9 หรือ ม.3 น่าจะดีครับ เด็กจะได้มีเวลาปรับตัว 1 ปี พอเกรด 10-12 จะมีโอกาสได้เกรดดีเพราะปรับตัวได้แล้ว ซึ่งระบบที่นี่จะใช้เกรดช่วงนี้เข้ามหาวิทยาลัย ส่วนค่าเรียนกินอยู่ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 8 แสนถึง 1 ล้านต่อปี ตีไป 3.5-4 ล้าน พอเข้าป.ตรี ขึ้นกับสาขาที่เรียน ราคาไม่เท่ากันครับ แต่ตีกลมๆไว้ 4-5 ล้านขึ้นไป (อาจมีคลาดเคลื่อนบ้างครับ แต่ขอคิดกลมๆ ยังไม่รวมกินอยู่)

ซึ่งทั้งหมดนี้ เด็กสามารถทำงานพิเศษแบ่งเบาพ่อแม่ได้บ้างครับ แนะนำด้วย ไม่ต้องปกป้องมาก เพราะมันเป็นประสบการณ์เค้าไปในตัว ดังนั้น ค่าใช้จ่ายรวมๆ อาจมีเกือบ 10 ล้าน (มีความเป็นไปได้ว่าถูกกว่านี้หลายล้าน แต่ขอตีกลมๆให้คนมีกำลังทรัพย์ไปเลย) แต่สำหรับคนที่พร้อมกว่านั้น พ่อแม่รวยแบบมากๆๆ อยู่เฉยๆ มีเงินเข้าบัญชี บินมาอยู่ด้วยได้ เอามาเรียนแต่เด็กไปเลยครับ ฝึกให้เด็กมีทักษะในการคิดวิเคราะห์แต่เด็ก ซึ่งที่ไทยปลูกฝังตรงนี้น้อยเท่าที่ผ่านมา แต่ถ้าเด็กไปแล้วต้องมาคนเดียวไม่ใครเลย อันนี้ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่

ประเทศแคนาดา

ถ้ากำลังทรัพย์ไม่มาก (ประมาณพนักงานระดับกลางทั่วไป มีรายได้ระดับหนึ่ง แบ่งเก็บได้ ไม่พร้อมจะเสี่ยงหรือมาเริ่มต้นใหม่ที่ต่างประเทศ แถมอยู่ไทยก็ต้องส่งลูกเรียน มีค่าใช้จ่าย ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ) ผมแบ่งไว้ 2 แนวทางครับ

1. เก็บเงินเผื่อไว้ก้อนหนึ่งส่งลูกมาเรียนป.โท (แต่ไม่ต้องบอกเด็กนะครับ เพราะต้องให้เค้าขวนขวายด้วย พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวย ต้องปรับการเลี้ยงลูก ไหนๆ จะส่งมาต่างประเทศ ควรเลี้ยงดูเค้าแบบให้พึ่งพาตัวเองด้วย) หลังเค้าจบตรีที่ไทย ส่งไปเรียนโทครับ เตรียมแค่ค่าเทอม กินอยู่ให้ไปหาเอง ถ้าพ่อแม่เก็บได้เพิ่มก็ช่วยค่ากินอยู่ แต่ก็ให้เด็กไปหาเพิ่มด้วย (พ่อแม่ต้องเหลือเงินไว้ใช้ยามแก่) ถ้าเอามหาวิทยาลัยทั่วไป อัตรานักศึกษาต่างชาติ ตอนนี้ตีกลมๆ ไว้ 1 ล้าน (คูณอัตราเงินเฟ้อสักปีละ 3% ไปด้วยนะครับ ไม่ใช่เก็บได้ 1 ล้านแล้วพอ อีก 20 ปีมันไม่ใช่ราคานี้แล้ว) ที่ระดับโทไม่แพงมาก เพราะเค้าสนับสนุนให้เรียนครับ คนในประเทศเองเรียนน้อย เคยไปสอนในคลาส 25 คนมีแคนาเดี้ยนผิวขาวแค่ 2 พอเค้าจบ ทำงาน ก็รอขอ PR เป็นแผนระยะยาวที่พ่อแม่อยากทำแต่อาจติดขัด ทำไม่ได้

2. เตรียมความพร้อมลูกรอ สอบภาษารอ แล้วจบม.6 ส่งมาเรียนระดับ Diploma เลย (แอบเชียร์ Polytechnic) ค่าเรียนตีไว้ 1 ล้าน (ที่ไม่ต่างจากโทมากเพราะเป็นระดับที่คนแย่งกันเรียนเยอะ แล้วเค้าคิดเรทต่างชาติซึ่งแพงกว่าปกติ 3 เท่า) ตรงนี้ให้พ่อแม่ลบความคิดที่ว่าการที่ลูกเรียนจบตรีแล้วคือความสำเร็จในชีวิตออกก่อนนะครับ คือจบสูงได้ก็ดีอยู่แล้ว แต่อันนี้เราตั้งเป้าในการส่งลูกเรียนต่อ ใช้ชีวิตในต่างประเทศ ทีนี้พอเค้าจบ ก็ทำงานได้ หลังจากนั้นพอลูกทำงานสักพัก แล้วขอ PR ได้ ถ้าเค้าอยากต่อปริญญาตรี ก็เทียบเกรดเรียนต่อสายเดิม ใช้เวลาอีก 2 ปี เค้ามีเงินพอแน่นอนเพราะค่าเรียนระดับปริญญาตรีจะลดไป 70-80% หรือไม่เรียนต่อ ก็มีการงานหาเลี้ยงชีพได้แล้ว สำหรับ PR ขอสปอนเซอร์ให้พ่อแม่มาอยู่ได้ด้วย (แต่ไม่อยากให้คิดว่าลูกต้องทำนะครับ เราส่งเค้าเพื่อชีวิตที่ดีของเค้า ส่วนใหญ่ที่เห็นคือลูกอยากทำแหละ มีแต่พ่อแม่จะไม่ค่อยมาแล้ว) ตรงนี้เห็นมั้ยครับ ค่าใช้จ่ายมันลดไปเยอะ ที่สำคัญเลยคือเริ่มต้นเร็ว และเด็กมีเวลาลองผิดลองถูกได้ ทำๆ ไปไม่ชอบ อยากเปลี่ยนสายงานตัวเด็กก็มีเวลา มีกำลัง

สำหรับคนที่ไม่มีงบเลยแต่อยากให้ลูกเรียนต่างประเทศ ช่วยเค้าเท่าที่ไหว หาทุน ฝึกภาษาอังกฤษให้ลูก (แต่อย่ากดดันให้เค้าทำ แต่สร้างความฝันให้เค้าและสนับสนุนเต็มที่ มันต่างกันอยู่นะครับ) หาทุนทุกอย่างที่เป็นไปได้จากต่างประเทศ ข้ามทุนในไทยประเภทที่ต้องชดใช้ไปให้หมดครับ (ขอโทษจริงๆ แต่เอาแบบไม่โลกสวย) และแคนาดาไม่ใช่ทางเลือกเดียวในชีวิต มีหลายๆ ประเทศที่เรียนฟรีในระดับมหาวิทยาลัยครับ เช่นทางยุโรป ซึ่งตรงนี้พ่อแม่ควรให้ข้อมูลน้องๆ ไว้แต่เด็ก และสุดท้ายถึงลูกจะจบไทย เค้าก็อาจมีกำลังที่พาตัวเค้าไปในที่ต่างๆ ในโลก แต่คนเป็นพ่อแม่อาจต้องสนับสนุน ไม่ใช่ในทางการเงิน แต่เป็นความคิด ความฝัน ความมุ่งมั่น (ผมเห็นหลายคนทำได้ ลองถามในกลุ่มดูครับ น่าจะมีเยอะด้วย)

ทุกวิธี ควรเตรียมความพร้อมให้ลูกเรื่องภาษามาก่อนแต่เด็กนะครับ เดี๋ยวนี้สื่อเยอะ หาช่องทางเรียนฟรีไม่ยาก จะได้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนการมาเรียนภาษาและไม่เสียเวลา ลดค่าใช้จ่ายไปอีกเป็นแสน
ทั้งหมดนี้ผมเขียนจากสิ่งที่รับรู้มา อาจผิดพลาด สามารถทักมาให้แก้ไขได้ครับ

ผมเองโชคดีมีคนช่วยเหลือมากมาย เลยอย่างส่งต่อความช่วยเหลือแบบที่เคยได้รับมาครับ อันไหนตอบได้ก็จะตอบให้ อันไหนไม่ได้หรือผิดก็ฝากเพื่อนๆ ในกลุ่มด้วยแล้วกันครับ

ชีวิตนักศึกษาปริญญาเอกที่เยอรมัน

0
เรียนต่อเยอรมัน
เรียนต่อเยอรมัน

#ทีมเยอรมัน #ทีมเยอรมนี #เรียนปริญญาเอกในเยอรมนี

สวัสดีค่ะ ชื่อนุช นะคะ … ปัจจุบัน เป็นแม่ลูกสาม อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของเยอรมนี อยากจะมาเล่าประสบการณ์ การเรียนปริญญาเอก ในเยอรมนี ให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน เผื่อว่า จะเป็นประโยชน์ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากจะศึกษาต่อ ในประเทศเยอรมนี ต่อไป ค่ะ

บทความจะประกอบด้วย 2 ตอน คือ …

  1. ประสบการณ์โดยทั่วไป กับการอาศัยอยู่ในเยอรมนี และ การได้รับสัญชาติ
  2. ประสบการณ์ การเตรียมตัวสมัครเรียนปริญญาเอก ในประเทศเยอรมนี

* อาจจะยาวหน่อย ถ้าสนใจ ก็ค่อย ๆ อ่านนะคะ
——————-

I. ประสบการณ์โดยทั่วไป กับการอาศัยอยู่ในเยอรมนี และ การได้รับสัญชาติ

ปีนี้ ย่างเข้าสู่ปีที่ 12 แล้ว ที่นุชได้มาเรียนปริญญาเอก / มีครอบครัว + ลูกๆ 3 คน (เลี้ยงลูกไปด้วย พร้อมๆ กับเรียนปริญญาเอก) / และในที่สุดก็จบปริญญาเอก ด้วยความทรหดจนถึงที่สุด 55 / หลังจากนั้น ก็อาสาตัวเป็น แม่บ้านเต็มเวลา เพื่อเลี้ยงลูกๆ ได้อย่างใกล้ชิด จนถึงปัจจุบัน ค่า

โดยจุดเริ่มต้นอยู่ที่ ปลายปี 2008 จากการที่นุชมีเป้าหมาย อยากจะเรียนต่อในระดับปริญญาเอก ก็ทำให้ได้เหินฟ้า มายังเมือง Stuttgart ประเทศเยอรมนี หลังจากที่ ก่อนหน้านี้ ได้มาเยือนแล้วถึง 2 ครั้ง ผ่านการมาสัมมนานานาชาติของโบสถ์ ในปี 2007 และ การได้รับทุนสัมมนา จากองค์กรทางการเมือง ของเยอรมนี ให้มาร่วมสัมมนากับหัวข้อ Strategic planning ในช่วงกลางปี 2008
ซึ่งแน่นอนว่า วีซ่าที่มีในช่วงแรก ของการอาศัยอยู่ ในเยอรมนีนั้น คือ วีซ่านักเรียน และเมื่ออาศัยอยู่ในเยอรมนี ในฐานะนักศึกษาปริญญาเอกได้ 1 ปี นุชก็ตัดสินใจแต่งงานกับสามีชาวเยอรมัน ที่ก่อนหน้านั้นได้รู้จักกัน ตั้งแต่ปี 2006 จากการพบกัน ที่โบสถ์ในเมืองไทย

——————-

ก็เป็นอะไรที่เบื้องบนกำหนด และอนุญาตให้เราทั้งสองคนได้รู้จักกันมากขึ้น เมื่อนุชได้มาเรียนปริญญาเอก ที่เมือง Stuttgart ซึ่งในเวลานั้น สามีก็ทำงานเป็นนักวิชาการ และเรียนเพิ่มเติม อยู่ที่มหาวิทยาลัย Stuttgart เช่นเดียวกัน ค่ะ

เมื่อความรักบ่มตัวได้สุกงอม พวกเราก็พร้อมใจกันสร้างครอบครัวขึ้น โดยเบื้องบนก็อวยพร ให้พวกเรามีลูกๆ ถึงสามคนด้วยกัน

——————-

โดยระหว่างทาง ที่นุชทำวิทยานิพนธ์ ในระดับปริญญาเอกไปด้วย และเลี้ยงลูกๆ ทั้งสามคนไปด้วยนั้น นุชก็ต้องเรียนภาษาเยอรมันไปด้วย ทั้งนี้เพราะระดับของภาษา โดยเฉพาะ B1 (จากระดับ A1, A2, B1, B2, C1, C2) เป็นระดับที่ทางการเยอรมัน จะใช้พิจารณาเรื่องสัญชาติ & วีซ่าถาวร ค่ะ /ดูยุ่งเหยิง งานเยอะ และกดดัน นะคะ / แต่ก็ผ่านมันมาได้ ด้วยแรงใจ จากครอบครัว & ความถึก ค่ะ 555

——————-

ก็เป็นอันว่า นุชก็ได้รับวีซ่าถาวร จากการยื่นความสามารถด้านภาษาในระดับ B1, การสอบความรู้ด้านการเมืองพื้นฐานของเยอรมนี และเอกสารหลักฐานว่า นุชได้มาเรียนต่อในระดับปริญญาเอก ในเยอรมนี
(ซึ่งเพื่อนๆ บางคน ก็อาจจะยื่นเรื่อง การแต่งงานกับคนเยอรมัน เพื่อขอสัญชาติ หรือ วีซ่าถาวรได้ เพียงแต่ต้องมี เอกสารรายได้ ของสามี แนบมาเพื่อรับรอง ด้วยเท่านั้นค่ะ)
ซึ่งนุชได้รับวีซ่าถาวร ในประเทศเยอรมนี ก่อนที่นุชจะเรียนจบปริญญาเอก อย่างเป็นทางการเสียอีก รวมถึง ลูกๆ ในเวลานั้น ก็มีอายุประมาณ 5, 3 & 1 ขวบ

——————-

* หลังจากนั้นไม่นาน นุชก็สามารถเรียนจบปริญญาเอก ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ แล้วตัดสินใจ ร่วมกันกับสามี ที่จะเป็น แม่บ้านเต็มเวลา มาได้กว่า 5 ปีแล้วค่ะ
โดยมีเป้าหมายที่จะ ดูแลลูกๆ อย่างเต็มที่ ให้มีความสุข และถูกพัฒนาศักยภาพ ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

พร้อมทั้งเชื่อว่า เมื่อลูกๆ โตขึ้น จะมีอะไรที่น่าสนใจ และท้าทาย ในสังคมเยอรมัน ให้นุชได้ตื่นเต้นอีก อย่างแน่นอน

——————-

ตั้งแต่ที่นุช ได้อยู่ในประเทศเยอรมนีมา ก็มีประสบการณ์หลากหลายนะคะ แต่ส่วนใหญ่ นุชมีประสบการณ์ที่ดี กับทั้งชีวิตการเรียน ในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ แห่งหนึ่งของเยอรมนี, ประทับใจ ความมีน้ำใจ และความเป็นคนช่างคิด วิเคราะห์ การมีใจสาธารณะ มีระบบระเบียบ ประหยัดมัธยัสถ์ ของคนเยอรมัน รวมถึง รู้สึกทึ่ง กับระบบการเมือง การปกครอง และการจัดสรรสวัสดิการ & บริการที่ดี ให้กับประชาชน ของรัฐในเยอรมนี มาก ๆ ค่ะ

——————-

อย่างไรก็ดี นุชก็คิดว่า ในทุกๆ ที่ ก็มีทั้ง ข้อดี และข้อที่อาจจะท้าทาย กับชีวิตของเรา ทั้งนีั อยู่ที่ ทัศนคติ & การพร้อมปรับตัว ในการดำรงชีวิตอยู่ ของเราแต่ละคน ซึ่งสำหรับบางคน การอยู่ในต่างแดน ต่างชาติ ต่างภาษา อาจจะดูเป็นเรื่องไม่ยากมาก ที่จะปรับตัว แต่สำหรับบางคน อาจจะดูท้าทายมากๆ

ดังนั้น ก็อยากให้คิด วิเคราะห์ กับชีวิตของเราให้ดี ว่าอะไรคือ สิ่งที่เหมาะสมกับชีวิตของเรา และที่สำคัญ นุชคิดว่า ไม่มีอะไรหรอก ที่ดีที่สำเร็จ ที่เราจะได้มันมาอย่างง่ายๆ คือ มันต้องจ่ายราคา ทั้ง เวลา แรงกาย แรงใจ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีเงื่อนไข ของ ความแตกต่างด้านภาษา วัฒนธรรม ค่านิยม ความคิด ในสังคม ค่ะ

ก็ขอเป็นกำลังใจ ให้เพื่อนๆ ทุกคน สามารถที่จะเผชิญกับ ทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ และทุกคน ที่เพื่อนๆ ได้พบเจอ ด้วยหัวใจ แห่งการเรียนรู้ เพราะว่า ชีวิต คือ การเรียนรู้ จริงๆ และ หัวใจแห่งการเรียนรู้ รวมถึง ทัศนคติที่ดี ในการมองโลก มองสถานการณ์นี่แหละ จะช่วยให้ชีวิตของเรา ก้าวไปข้างหน้า ได้อย่างไม่หยุดยั้ง ค่า

——————-

II. ประสบการณ์ การเตรียมตัวสมัครเรียนปริญญาเอก ในประเทศเยอรมนี

[ ] “การเรียนปริญญาเอก” ในประเทศเยอรมนีนั้น มีพื้นฐานความคิดว่า ไม่ใช่เป็นการเรียน …

แต่เป็น “การทำงาน” ค้นคว้า เพื่อหาความเป็น สุดยอดทางวิชาการ และนำเสนอ ออกมาเป็น ผลงานของตัวเอง

——————

[ ] ดังนั้น การเรียนปริญญาเอก ในเยอรมนี

จึงไม่ใช่ที่ ทุกๆ มหาวิทยาลัย จะจัดให้มี การเรียนการสอน หรือ coursework เพื่อปูพื้นฐาน ความรู้ความเข้าใจ ก่อนที่จะเริ่มต้นทำโครงงานวิจัย

——————

[ ] ซึ่งในกรณีของนุชนั้น

ก็คือ ทางคณะ & ภาควิชาของนุช ไม่มีชั้นเรียนใดๆ ให้เข้าร่วม หรือเก็บหน่วยกิตอะไร อย่างไรก่อน … กล่าวคือ นุชบินมาจากเมืองไทย หลังจากคุยกับศาสตราจารย์ ที่สนใจในโครงร่างวิจัยของนุช ผ่านทางอีเมลล์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว > เพื่อจัดการสอบเข้า (ประกอบด้วย ข้อสอบปากเปล่า 2 วิชา วิชาละ 30 นาที และการเขียนงานระดับ Diplom จำนวน 60 หน้า)

หลังจากที่ผ่านขั้นตอนดังกล่าวทั้งหมดแล้ว ซึ่งนุชใช้เวลาเกือบครึ่งปี ก็ได้สถานะการเป็นนักเรียนด๊อกเตอร์ อย่างเป็นทางการ แล้วก็สามารถเริ่มนำเสนอโครงร่างงานวิจัยจริงๆ ที่ต้องการเขียนได้ โดยที่ไม่ต้องมีชั้นเรียน Course work ใดๆ

——————

[ ] อย่างไรก็ดี ทางภาควิชา ของนุชนั้น

ก็ยังมี การจัดสัมมนาวิชาการ ของนักเรียนปริญญาเอกด้วยกันเอง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อจุดประกาย ความตื่นตัวทางวิชาการ ให้แก่กันและกัน โดยมีศาสตราจารย์ที่ปรึกษา หรือ Doktorvater เข้าม นั่งฟัง ดีเบต และให้คำแนะนำ ค่ะ

——————

[ ] ดังนั้น ชีวิตของนักศึกษา ในระดับปริญญาเอก

ในประเทศเยอรมนีนี้ … จึงถือว่า เป็นการเรียนที่ลุยเดี่ยวจริงๆ ซึ่งกุญแจสำคัญ ที่จะทำให้พวกเรานักศึกษาปริญญาเอก ไปถึงฝั่งฝันได้นั้น ก็คือ ระเบียบวินัย ความมุ่งมั่นและ การควบคุมตัวเอง ไม่ให้หลงลืมว่า ฉันจะต้องเขียนงานวิจัยให้จบ ตามเวลา หรือ ตามจำนวนเทอมการศึกษาที่มีนะ!!!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่จะต้องจัดสรรเวลา ที่ดูเหมือนมีอยู่มาก หรือ ดูว่าง เพราะไม่มีชั้นเรียนใดๆ เลย (แต่จริงๆ ไม่ว่าง 55) ให้ดี เพื่อที่จะอ่าน ค้นคว้า และเขียนงาน ด้วยตัวเอง ภายใต้การดูแลแบบห่างๆ ของศาสตราจารย์ที่ปรึกษา แบบที่ต้องขอนัดหมายกับท่านเท่านั้น จึงจะได้พูดคุยงานกัน ซึ่งปกติ นุชจะได้พบท่านเทอมละ 1 – 2 ครั้ง

——————

[ ] แนวทางดังกล่าว ถือว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เพราะว่า เป็นแนวทางแบบ อิสระ & ตัวคนเดียว จริงๆ

——————

เมื่อระบบการเรียนปริญญาเอก ในเยอรมนี ออกแบบมาให้มีลักษณะของ การทำงานเดี่ยว แบบผู้ใหญ่จริงๆ > มากกว่า การจัดให้นักศึกษา มานั่งเรียน ตาม coursework ก่อน แบบที่เล่าให้เพื่อนๆ ได้อ่าน ในข้างต้น …

[ ] “ระบบการสอบเข้า”

เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ในเยอรมนี จึงไม่ใช่ลักษณะ ของการสอบแข่งขัน กับคนจำนวนมากก่อนจะถูกคัดเลือก ให้เข้าเรียน อย่างที่คุ้นเคยกัน … แต่เป็นลักษณะของ ‘การค้นหา” ศาสตราจารย์ ที่ปรึกษา ด้วยตัวเอง และ “การเขียนนำเสนอ” โครงร่างงานวิจัยอย่างไร ให้ได้รับความสนใจ และรับการยอมรับ จากศาสตราจารย์ท่านนั้นๆ ที่เราค้นพบ และอยากจะทำงานร่วมด้วย

——————

[ ] ซึ่ง “การค้นหา” ศาสตราจารย์ จากทั่วโลก

ตามสาขางานวิจัย ที่เราสนใจ และอยากจะทำงาน ร่วมด้วยนั้น ก็ว่ายากแล้วนะ

[ ] เพราะว่า เราจะต้องค้นหาศาสตราจารย์ ที่คิดว่า ท่านน่าจะสนใจในหัวข้อ ไอเดียของ งานวิจัย ที่เราเขียนจริงๆ

แต่ที่ยากกว่า ก็คือ ศาสตราจารย์ท่านนั้นๆ จะยอมรับ และอยากทำงานกับเราไหม? คือใช่ว่า เมื่อนำเสนอตัวเอง และโครงงานของเรา ไปแล้ว เราจะได้รับการยอมรับ และอนุญาตให้มาสอบ และมาเรียนต่อ ได้เลย  มันมีเรื่องของ ความสนใจในงานวิชาการ ความสามารถในงานวิชาการ ความสามารถด้านภาษา

คุณสมบัติอื่นๆ เอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึง อายุ ของศาสตราจารย์ท่านนั้นๆ ด้วย

——————

ขั้นตอนต่างๆ ที่สำคัญ ของการสอบเข้าเรียนต่อ

ระดับปริญญาเอก ในเเยอรมนี จึงมีดังต่อไปนี้ –

ขั้นตอนที่1 :

“ค้นหาศาสตราจารย์” ที่น่าจะมี ความสนใจ ในงานวิชาการ และร่างวิทยานิพนธ์ของเรา

— จากประสบการณ์ส่วนตัว นุชก็ได้แนะนำตัวเอง และส่งโครงร่างงานวิจัย สมัครไว้ ในหลายมหาวิทยาลัย ในยุโรป
— ศาสตราจารย์บางท่าน จากบางมหาวิทยาลัย
สนใจโครงร่างงานวิจัยของนุช ที่ส่งไป แต่เนื่องจาก ศาสตราจารย์ท่านั้น มีอายุใกล้เกษียณแล้ว จึงปฏิเสธที่จะให้นุชไปเรียนปริญญาเอก กับท่าน
— ซึ่งกว่าจะได้คำตอบ Yes ก็ถูกปฏิเสธไปหลายครั้งเลยทีเดียว …

——————

ขั้นตอนที่2 :

การยื่นตรวจสอบเอกสาร เกี่ยวกับการเรียน และสถาบันการศึกษา ทั้งปริญญาตรี และโทของเรา กับมหาวิทยาลัยคณะ และภาควิชา ที่เรายื่นเสนอโครงร่างวิจัยไป

— ทางมหาวิทยาลัยของเยอรมนี จะมีลิสต์วัดระดับว่า ในระดับมหาวิทยาลัยของไทย มีมหาวิทยาลัยใดบ้าง ที่มีระดับมาตรฐานเทียบเท่ากับ มหาวิทยาลัยในเยอรมนี หรือในยุโรป และกำหนดเกรดเฉลี่ยเอาไว้ ซึ่งก็พิจารณาตามเกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัย
— หากใครไม่ได้จบ ในมหาวิทยาลัยที่เทียบเท่า
กับมหาวิทยาลัย ในเยอรมนี ก็อาจจะไม่ผ่านเกณฑ์ หรือ อาจจะต้องทำเงื่อนไขบางอย่าง เพิ่มขึ้น เพื่อจะได้รับการคัดเลือก ให้ไปสู่ ขั้นตอนการสอบเข้าต่อไป …

โดยเอกสารทั้งหมดนี้ ค้องทำการแปลเป็นภาษาอังกฤษ อย่างเป็นทางการให้เรียบร้อย ก่อนยื่นกับทางภาควิชานะคะ

——————

ขั้นตอนที่3 :

การเรียก “สัมภาษณ์” โดยทั่วไป

— ในขั้นนี้ หลังจากติดต่อ พูดคุยกับศาสตราจารย์ท่านนั้นๆ ที่เราอยากให้ท่าน มาเป็น ศาสตราจารย์ที่ปรึกษา และได้รับการตอบรับจากท่านแล้ว
— เราก็จะได้รับจดหมายเชิญ จากศาสตราจารย์ที่ปรึกษาท่านนั้น ให้ไปสอบสัมภาษณ์ทางวิชาการ หรือ เรียกให้ไป สอบปากเปล่า ตามวิชาที่ต้องการค่ะ

——————

ขั้นตอนที่4 :

การสอบปากปล่าว 2 วิชาหลัก กับ 2 ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญ วิชาละ 30 นาที เป็นภาษาอังกฤษ หรือเยอรมัน

มาถึงขั้นตอนนี้ หากสอบไม่ผ่าน ก็อาจจะต้องกลับประเทศไทยสถานเดียว เนื่องจากวีซ่าที่ได้ ในช่วงแรกนั้นเป็นวีซ่าชั่วคราว ที่มีอายุเพียงสามเดือน เท่านั้น

——————

— อย่างไรก็ดี ขั้นตอนทั้งหมดยังไม่เสร็จสิ้นนะคะ

ทั้งนี้เพราะ นุชต้องผ่านขั้นตอนสุดท้าย เสียก่อน

นั่นคือ

——————

ขั้นตอนที่5 :

การเขียนวิทยานิพนธ์ ฉบับ Diplom จำนวน 60 หน้า ในภาษาอังกฤษ หรือ เยอรมัน

— ขั้นตอนนี้ บางคนใช้เวลานานกว่าจะผ่าน ก็อาจจะเป็นปีเลย

——————-

*** ซึ่งหากเพื่อนๆ สามารถผ่านขั้นตอนทั้งหมด ที่กล่าวมาในข้างต้นได้ เพื่อนๆ ก็จะได้สถานะเป็น “นักเรียนด๊อกเตอร์” อย่างเป็นทางการ และเริ่มต้นทำงานโครงร่างวิจัย จนถึง การขอสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ได้ โดยมีเวลาให้จำนวน 12 เทอมการศึกษา + 2 เทอมการศึกษา แบบ extra ในกรณีที่ต้องขยายเวลา ค่ะ

——————

หวังว่า การแบ่งปันประสบการณ์เรื่อง การเรียนปริญญาเอก และการขอสัญชาติ ในประเทศเยอรมนีนี้ จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะคะ เพื่อนๆ สามารถติดตามบทความดีๆ มีประโยชน์ และสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับชีวิต ความเป็นอยู่ ในประเทศเยอรมนี จากเพจ ของนุช ที่มีชื่อว่า ความสุขแบบแม่ๆ กับ สามใบเถารักดนตรี ได้ที่ : https://www.facebook.com/ADrMomof3Girls/ ขอให้เพื่อนๆ ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายที่ตั้งใจ ค่ะ

รีวิวเรียนนิติศาสตร์ที่ฝรั่งเศส

0
เรียนต่อฝรั่งเศส
เรียนต่อฝรั่งเศส

เรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ที่ฝรั่งเศสยากมั้ย? ที่เค้าว่าเรียนไปร้องไห้ไปเนี่ย จริงรึเปล่า??

ตอบว่าจริงจ้าา ยากกกกก โดยเฉพาะด้านนิติศาสตร์ เรียนที่ไหนมันก็ยาก เรียนเป็นภาษาไทยก็ไม่ง่าย เรียนเป็นภาษาอังกฤษก็ยาก แต่คุณมึงจะมากระแดะเรียนเป็นภาษาที่สามทำไมก๊อนนนนนน (นี่คือคำถามที่อิชั้นเฝ้าถามตัวเองทุกวัน ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนวันแรกจนจบการศึกษาค่ะ!!!) ฉะนั้นคำว่า เรียนไปร้องไห้ไป ไมเรื่องเกินจริง กว่าจะจบประมวลก็เปียกยุ่ยไปด้วยน้ำตาเด็กไทยตาดำๆคนนึงที่ไม่ได้นอนเรยโว้ยตลอดสามปีที่ผ่านมานี้555555555555555555

แล้วมาหาทำมาเรียนทำไม ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าไม่ได้ตั้งใจมาเรียนนิติโดยเฉพาะ ตั้งใจมาเรียนรัฐศาสตร์มากกว่า แต่ดันติดคณะที่มี dual discipline คืออารมณ์เรียนสองสายคู่กันไปเรย ตีกันเน้นๆนะคะพี่สาว เป็นสองสายที่เหมือนจะต้องเรียนคู่กันอยู่แล้ว แต่พอมาเรียนจริงๆ ตีกันในหัวยุ่งไปหมดค่ะ อิชั้นก็คิดแบบนี้แหละทีแรกว่าเออๆ เรียนๆไปนะ ยังไงถ้าอยากจะเรียนรัฐศาสตร์ก็ต้องเรียนกฏหมายนิดนึงบ้างอยู่แล้ว แต่พอมาเรียนจริงมันไม่นิดจ้าาาาา หน่วยกิต 50-50 เลย ปรกติถ้าเรียนรัฐศาสตร์ก็จะมีเรียนกฏหมายอยู่แล้ว

แต่จะเป็นกฏหมายการปกครองมากกว่า แต่โปรแกรมที่อิชั้นมาเรียน ป่าวจ่ะ เจาะลึกเลยไปถึงกฏหมายครอบครัว กฏหมายทรัพย์สิน กฏหมายภาษีตั่งต่างๆ ตอนแรกๆก็คิดว่าจริงๆไม่ได้ใช้นะอะไรพวกนี้ แต่พอจบมาก็คิดว่าโชคดีที่ได้เรียน ทำให้เราได้รู้กลไก รู้กระบวนกฏหมายของฝรั่งเศสซึ่งก็เป็นผลดีกับตัวเราถ้าคิดจะปักหลักอยู่ที่นี่ยาวๆ อีกทั้งยังได้รู้หัวใจสำคัญของ mindset คนฝรั่งเศสว่าทำไมเค้าเป็นคนแบบนี้กันนะ หลักๆเลยมันก็มาจากกฏหมาย จารีต ที่เค้าคิดกันขึ้นมานั่นแหละ รุ้ไว้ยังไงก็ดี

อ่ากลับมาที่การเรียนการสอน คือเนื้อหาจริงๆมันก็ยากในตัวของมันอยู่ เพราะกฏหมายมันก็เหมือนภาษาอีกภาษานึงอ่ะ ต้องมีสกิลภาษาที่เริศพอตัว และก็ศัพท์เฉพาะทางก็เยอะ การใช้ภาษาการเขียนอะไรก็ต้องรัดกุม ส่วนรัฐศาสตร์ก็เนื้อหาไม่ได้เหนือ ล้ำลึกกว่าที่ไหนหรอก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่อิชั้นคิดว่าการเรียนที่นี่มันยาก ที่มันยากคือระบบการสอนจ้า

บรรยากาศการเรียนที่มหาลัยแปมคือห้องเรียนใหญ่มากกก เทอมนึงเรียน 7-8วิชา โดยจะมีแค่ 3-4 วิชาต่อเทอมเท่านั้นที่จะมีคลาสเรียนเสริมแยกๆไปเรียนในห้องที่เล็กลง เพื่อที่จะได้discuss เนื้อหาที่เรียนและนำไปใช้จริงได้มากขึ้น คลาสแบบนี้ก็จะมีการเชคชื่อขาดได้แค่ครั้งเดียวต่อเทอมต่อวิชา แต่ที่เหลือคือเป็นการสอนบรรยายรวม ไม่มีการเชคชื่อ จะมาก็มา ไม่มาก็ไม่เป็นไรไม่มีใครแคร์ สอบให้ผ่านก็ได้แล้วกัน อาจารย์ไม่มีมานั่งน้อยใจด้วยว่านักศึกษาทำไมไม่เข้าเรียน บางคลาสมหาลัยจัดตารางให้เรียนเย็นวันศุกร์ตอนห้าโมงเยนถึงสองทุ่ม เฉลี่ยรวมทั้งเทอมมีคนโผล่หน้ามาให้อาจารย์เห็นก็ประมาน 10-15คน จากทั้งโปรแกรม 200-300กว่าคน นางก็สอนตามปกติ ไม่เคยได้ยินบ่นซักคำว่าให้ไปตามเพื่อนๆมาเรียนด้วย อารมณ์มาสอนแล้ว ไม่มาเรียนก็เรื่องของเอ็ง มันยากสำหรับอิชั้นเพราะอิชั้นชินกับการมีคนจี้จุดมาตลอด ชินกับการมีข้อบังคับ พอฟรีสไตล์แบบนี้ก็ปรับตัวไม่ค่อยถูก แฮ่ๆ

การสอบก็โหดแบบโหดจังวะ ถ้าเป้นวิชาที่มีเรียนคลาสแยก ก็จะให้เวลาทำข้อสอบ3ชั่วโมง เป็นข้อเขียนปลายเปิดหมด ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่อารมณ์และความร้ายของอาจารย์เลย บางวิชาเป็นข้อเขียนแต่ให้คำมา1คำ ที่ไม่ใช่คำถามซะด้วย แล้วมึงจะให้กูตอบอะไร๊ บางวิชาอาจารย์เหี้ยมกว่า เรียนทั้งเทอม 30-35 ชั่วโมง ออกสอบข้อกากบาท 20 ข้อ ภายในเวลา20 นาที ไม่มีคะแนนเก็บ วัดดวง วัดใจกันไปเลยค่ะพี่สาว ดูเหมือนจะง่าย แต่ยากกกกกกมากกกก เพราะจะลังเลไม่ได้เลย แถมอาจารย์บางคนก็ออกกฏการนับคะแนนประสาทแดกที่ทำให้เวลาตอบคำถามก็ลังเลไปอีก เรียนคณะนี้ นอกจากจะขยันอ่านหนังสือแล้ว ต้องขยันสวดมนต์ด้วยค่ะ

การสอบวิชานึงที่ทำให้อิชั้นฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ คือวิชา crisis management ที่สอบสามชั่วโมง แต่ให้เอกสารมาอ่านและวิเคราะห์ประมาน30หน้า แค่อ่านและทำความเข้าใจก็หมดแล้วมึ้งงงงงง ยิ่งเป้นนักศึกษาต่างชาติแบบอิชั้น กว่าสมองจะแปลและเข้าใจก็ใช้เวลามากกว่าชาวบ้าน2เท่า สอบเสร็จไปถามอาจารย์ ทำไมยูใจร้ายขนาดนี้ ใครจะไปอ่านและวิเคราะห์และเขียนทำบทสรุปเอกสาร 30 หน้าภายใน3ชั่วโมงว่ะ? อาจารย์ยิ้มแบบสะใจและตอบมาสั้นๆว่า ก็ให้พวกยูซ้อมรับมือกับวิกฤตยังไงล่ะ ผ่ามมมม !!!!!

คือที่นี่อาจารย์ให้อิสระทางความคิดกับนักศึกษามาก ๆ คือสั่งงานมา เอาได้เต็มที่เลยจ้า แต่ อาจารย์ลืมถามนักศึกษาหัวไทยที่นั่งตรงนี้ว่า เห้ย แล้วพวกเอ็งทำเป็นกันรึเปล่าขว้าาาาา อันนี้ไม่ได้โทษว่าอาจารย์ไม่ใส่ใจ แต่คือเด็กฝรั่งเศสเค้ารู้จักการ critical thinking กันมาอยู่แล้ว สั่งสอนกันมาตั้งแต่วัยอนุบาล ส่วนดิชั้น นักเรียนระบบไทย สกิลพิเศษคือการจำแล้วท่องอย่างเดียว ไม่รอดเด้อค่า แต่ไม่ใช่ว่าอาจารย์ปล่อนยตามมีตามเกิดเลยนะ สงสัยอะไรเราสามารถเข้าไปถามได้เลย หรือเมลล์ไปก็ได้ ถ้าคุณขี้เกียจต่อคิว นักศึกษาที่นี่ต่อคิวตั้งคำถามกับอาจารย์อ่ะ คิดดู 555555 อาจารย์ที่นี่ต่อให้คำถามคุณโง่แค่ไหน เค้าก็จะตอบคุณดีๆ ไม่มีการ เอ๊ะชั้นสอนไปแล้ว เธอไม่ได้ฟังรึยังไง

อิชั้นก็เรยหัดนั่งคิด วิเคราะห์ แยกแยะอยู่พักใหญ่ ปรับตัวตรงนี้เยอะมาก ใช้ความพยายามกว่าปรับหูฟังอาจารย์ให้รู้เรื่องซะอีก เห็นใจอิชั้นด้วยค่ะ อิชั้นนั่งท่องจำมาทั้งชีวิตอ่ะ ตั้งคำถาม สงสัยอะไรไม่เป็น คุณครูที่โรงเรียนว่ายังไง อิชั้นก็ว่างั้นอะค่ะ อิชั้นไม่มานั่งถกเถียงกับคุณหรอก อิชั้นเชื่อคุณทุกอย่าง แง้ ผิดจ้า ยิ่งสงสัย ยิ่งถาม ยิ่งได้เรียนรู้ เป็นหัวใจการเรียนที่นี่เลย เพราะเนื้อหาทุกอย่างที่อาจารย์สอน สามารถหาอ่านเองได้ในหนังสืออยู่แล้ว อย่างที่เค้าบอกแหละ ไม่ว่างก็ไม่ต้องมาก็ได้ แต่ถ้าคุณอยากเรียนรู้ คุณค่อยมานั่งเรียนในคลาส จะได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอาจารย์

การเรียนจบจากที่นี่ก็ต้องใช้ความมานะประมานนึงนะคะ ด้วยระบบที่ไม่ได้เอื้อให้คนขยัน แต่เอื้อให้คนเก่ง เพราะแทบจะไม่มีการเก็บคะแนนระหว่างภาค ส่วนที่มีก็เก็บน้อยยยยยยมากๆ แทบจะไม่ได้มีผลต่อเกรดปลายเทอมเลย เข้าทางคนขี้เกียจอย่างอิชั้น ไม่ต้องทำงานส่งเยอะ ไปอดหลับอดนอนอ่านหนังสือสอบปลายภาคอย่างเดียวก็ผ่านได้ การสอบผ่านที่นี่ก็เป็นเรื่องยากอีก แปมจำได้ว่าปีหนึ่งต้นเทอมนั่งกันเบียดเสียดเต็มห้องประชุมมาก พอเดือนสองก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ จนมันนั่งกันได้สบายๆ มีคนถอดใจไปประมาน30 เปอร์เซนตั้งแต่ยังไม่ครบเทอม พอขึ้นปีสองปุ๊ป จะมีแค่ประมาน1ใน3ของนักเรียนปีหนึ่งเท่านั้นที่สอบผ่านขึ้นชั้นปีสองได้ จากปีหนึ่งที่รับนักศึกษาประมาน600กว่าคน จะมีแค่ 120-150กว่าคนเท่านั้นที่เรียนจบภายในสามปี โหดสัด ฝรั่งเศส ก่อนมาเรียนแนะนำทำบุญเก็บแต้มไว้เยอะๆค่ะ ได้ใช้แน่ สามปีนี้

ถึงแม้มันจะยากกกกขนาดไหน อิชั้นก็ชอบการเรียนที่นี่มากๆ ที่ชอบที่สุดคืออาจาย์และทางมหาลัยที่นี่ทรีทเราเหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะเพิ่งเลยวัยรุ่นมามาดๆ ไม่มีการมากำหนดว่ายูต้องมาเข้าเรียนนะ เข้าเรียนแล้วก็ต้องแต่งตัวดีๆ ที่นี่เค้าเข้าใจว่าทุกคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง บางคนก็ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย มาเรียนทุกคาบไม่ได้ ไรเงี้ย ไม่ได้มาต้องมีกฏระเบียบบ้าบอเหมือนที่ไทย อาจารย์ที่นี่ไม่ได้คิดว่าเพราะว่าตัวเองแก่กว่า มีความรู้มากกว่าแล้วมาเบ่งใส่นักศึกษา เหมือนเราเป็นคนตัวเล็กตัวน้อย ที่นี่มหาลัยคือมาเรียนจริงๆ และ การเรียนการสอน สำคัญที่สุด แค่นั้น ทุกคนโตๆกันแล้ว รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ ไอเลิฟ ฟรีด้อม

การเป็นนักศึกษาไทยในลียงก็ถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับอิชั้นพอตัว อิชั้นเห้นเพื่อนๆที่ไปเรียนเมืองนอก แบบอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเรีย ก็มีคนไทยไปเรียนเยอะถึงกับตั้ง Thai Student Association ในมหาลัยได้เลยก็ยังมี แต่ที่ฝรั่งเศส ไม่มีคนไทยซักหัวววววววเลย โชคดีที่อิชั้นเจอพี่คนไทยที่เรียนกันมาก่อน เค้าก็บอกเหมือนกันว่าไม่คิดว่าจะมีคนหาทำมาเรียนนิติรัฐศาสตร์แบบเค้าอีกแล้ว 55555555555555 การที่มีคนไทยน้อยๆ เปิดโอกาสให้อิชั้นหาเพื่อนฝรั่งเศส และเพื่อนต่างชาติได้เยอะขึ้น แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้เปิดโลก เห็นมุมมองที่หลากหลาย โลกมันกว้างขึ้นมากๆๆ ใครที่คิดอยากมาเรียนต่อที่ฝรั่งเศสแต่กลัวไม่มีเพื่อนคนไทยก็ขอให้สลัดความกลัวนั้นทิ้งไป เราไม่ได้จำเป้นต้องมีแต่เพื่อนคนไทยรึเปล่าแกร๊ คนชาติไหนๆก็เป็นเพื่อนได้ อย่างที่พี่โทนี่บอกอ่ะค่ะ ถ้าคิดว่าโลกคือบ้าน เราจะไปอยุ่ที่ไหนก้ได้ คอนเท้นอวยพี่โทนี่1แมท อยากให้อวยเยอะกว่านี้ dm มานะคะ จัดให้หนักๆ ราคาแฟนคลับ โพสล้ะ 300

จบการรีวิวปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ในฝรั่งเศสเพียงเท่านี้ค่า สาระไม่มี เหมือนมานั่งบ่นให้ฟังเฉยๆโว้ย 555555555 เจอกันโพสหน้า จะมารีวิวบรรยากาศมหาลัยที่นี่ให้ฟังแบบเจาะลึก มีรับน้องมั้ย มีพี่รหัส น้องรหัสรึเปล่า ที่นี่เค้ามีดาวมหาลัยกันมั้ย อยากเป็นเด็กป๊อบในมหาลัยที่นี่ต้องทำยังไง กดไลค์ กดแชร์ไว้เลยค่าาาา

รีวิวเรียนต่อที่ประเทศฮังการี

0
เรียนต่อฮังการี
เรียนต่อฮังการี

#ทีมฮังการี #สายการศึกษา

Sziasztok สวัสดีค่ะทุกท่าน โพสท์ของทีมฮังการียังไม่ค่อยมี วันนี้เราก็จะมา รีวิวการเรียนที่ฮังการีในฉบับของเราค่ะ เผื่อใครสนมาส่ายสะโพกโยกย้ายแถวนี้ด้วย เคยเขียนกระทู้เด็กดีเมื่อนานมาแล้วเกี่ยวกับการเรียนและรายละเอียดทุนนิดหน่อย ถ้าสนใจลองไปส่องได้ค่ะ อิอิ: https://www.dek-d.com/board/view/3956526/


เรียนต่อฮังการี เรียนต่อฮังการี

เรามาเรียน ป.ตรี ที่นี่ด้วยทุน Stipendium Hungaricum ค่ะ ซึ่งก็เป็นทุนที่ไม่ใช่ทุนเต็มแต่ก็ให้เยอะเหมือนกัน โดยคร่าว ๆ ก็จะมี

  • เงินเดือน 43700 โฟรินท์ (ประมาณ 4370 บาท)
  • ค่าที่พักในกรณีที่ไม่ได้อยู่หอฟรีของมหาวิทยาลัย เดือนละ 40000 โฟรินท์ (4000 บาท)
  • เรียนฟรี
  • มีประกันสุขภาพ

ถ้าพอจะให้ไอเดียคร่าวๆในส่วนของการใช้จ่ายต่ออาทิตย์ก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ ขออนุญาตตีเงินเป็นสกุลบาทนะคะ

ค่ากิน เนื่องจากว่าเรากินเยอะ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็จะประมาณ 1000 บาท

แต่บางอาทิตย์ก็เหลือประมาณ 600-700 บาทนะคะ น่าจะเป็นอาทิตย์ที่อดใจไม่เข้าร้านเอเชียได้ (มีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลยค่ะ ทาโร่รสลาบ ขนมตูมตาม ใครเล่าจะอดใจไหว!) โดยทั่ว ๆ ไปถ้าทำอาหารเองก็จะประหยัดมากค่ะ ราคาเท่า ๆ ไทย เช่น

  • ไข่ไก่ ฟองละ 5-7 บาท
  • น้ำ 1.5 ลิตร 10-14 บาท
  • ต้นหอมใหญ่ๆ 1 มัด 20 บาท
  • แต่อกไก่แอบแพงนะ 1 กิโล 170 บาท รึเปล่าจำไม่ได้

สามารถไปส่องราคาอาหารในเว็บของซุปเปอร์มาร์เก็ทข้างล่างนี้ได้นะคะ เหมือนยังเป็นภาษาฮังการีอยู่ แต่มันก็พอเข้าใจได้จากภาพค่ะ หรือให้เฮีย Google Translate ช่วยได้ค่ะ https://www.spar.hu/onlineshop/

ค่าอินเตอร์เน็ตอันลิมิเต็ด 1700 บาท

ตรงส่วนนี้อาจจะมีค่ายที่ถูกกว่านะคะ แต่เราใช้ของ Vodafone เราประทับใจในความที่ใช้ ๆ อินเตอร์เน็ตไปแล้วมันไม่ลดสปีดอ่ะทุกคน

  • ค่ารถ (metro/รถราง/รถบัส) สำหรับนักเรียน รายเดือน 345 บาท
  • ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เราว่าถูกใช้ได้เลยนะ เพราะเราจะขึ้นกี่รอบก็ได้ต่อเดือน อย่างตอนหน้าร้อนถ้ามีใครชอบไปตากแอร์ในรสบัสเล่นก็ไม่หนักใจค่าตั๋วเลยค่ะ
  • ค่าหอ อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากได้แบบไหนจริงๆนะ ถ้าอยู่คนเดียวแต่แชร์แฟลตกับคนอื่น เราก็ได้ยินว่าราคาประมาณ 6000-8000 บ ต่อเดือน รวมค่าน้ำค่าไฟก็มี

ถ้าใครสนใจลองไปดูที่เว็บเด็กดีเขารวมข้อมูลมาไว้ได้เน้อ https://www.dek-d.com/studyabroad/47928/

*คำเตือน: กระทู้นี้เก่าแล้ว เงื่อนไขทุนต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย แนะนำให้ไปอ่านในเว็บ Official นะคะ https://stipendiumhungaricum.hu/

การเรียนระดับ ป.ตรี ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง

เนื้อหาแน่นค่ะ ใครที่ชอบความสะใจในเนื้อหามาท้ากับมหาวิทยาลัยที่ฮังการีได้ การบ้าน การสอบเก็บคะแนนมีแทบทุกอาทิตย์ค่ะ นอกจากปิดเทอมหน้าร้อน ที่นี่มีพักให้ตอนช่วงคริสต์มาสและช่วงอีสเตอร์ แต่อย่าหลงดีใจไปค่ะ นั่นคือช่วงปั่นงานและอ่านหนังสือสอบ เพราะพักเสร็จปุ๊บสอบปั๊บค่ะ

อาจารย์ส่วนใหญ่มีความเป็นครูสูงมากค่ะ เราเคยเรียนแล้วมีช่วงเวลาที่ท้อนะ อาจารย์ตอบกลับมาและเล่าประสบการณ์ตัวเองให้ฟังเพื่อให้กำลังใจนักเรียน 3-4 หน้ากระดาษอ่ะทุกคน เราซึ้งและรู้สึกขอบคุณอาจารย์จนถึงทุกวันนี้

แล้วก็มีครั้งนึงที่เราลงไปเรียนกับเพื่อนเป็นภาษาฮังการีดูทั้ง ๆ ที่เราก็พูดไม่ได้ (แต่เราพอเข้าใจคณิตเป็นภาษาฮังการี นอกจากคณิตคือไม่รู้ 555555) สรุปว่า เราได้เห็นห้องเรียนอีกมุมหนึ่ง อาจารย์ก็พยามช่วยเรามาก และพยามให้ทุกคนในห้องมีสิทธิตอบคำถามที่เท่าเทียมกัน รวมถึงตัวเราที่ตอนช่วงแรกๆก็ฟังไม่ค่อยทันด้วย คือจริงอยู่ที่มันมีข้อจำกัดทางด้านภาษา แต่อาจารย์เขาก็พยามดันเรา นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราได้เรียนที่นี่ เราว่าถ้าตัวเราไม่มั่นใจทางด้านภาษาที่ใช้เรียน ก็ยังมีอาจารย์ที่มีหัวใจความเป็นครูที่อยากผลักให้ลูกศิษย์ได้เรียนรู้อย่างเท่าเทียม

อันนี้ไม่ค่อยเกี่ยวแต่ถ้ามีเวลาเราอาจจะมาแชร์ว่าพัฒนาการทางภาษาเราเปลี่ยนแปลงยังไงบ้างเมื่อโยนตัวเองไปในที่ที่เราไม่เข้าใจภาษาเขา

การสอบที่นี่มีสอบแบบปากเปล่าด้วยนะ อาจารย์ก็จะเลือกหัวข้อมาให้เราพูดและถามคำถามเช็คความเข้าใจ อาจมีเรื่องดวงมาเกี่ยวข้องด้วยเพราะบางทีอาจารย์ก็สุ่มหัวข้อ การสอบแบบนี้คือถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆก็สามารถจับได้ง่ายมาก แต่ถ้าเราติดตรงไหนอาจารย์ก็พยามช่วยเรานะ เช่น ถามคำถามให้เราคิดต่อ บางทีการสอบปากเปล่าไม่รู้สึกว่าเราเป็นคนสอบด้วยซ้ำเพราะอาจารย์ตื่นเต้นและเล่าเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจให้ฟังตอนสอบด้วย เพลิน 55555

เดี๋ยวยังไงถ้าพอมีเวลาก็จะมาอัพอีกนะคะ เรามีประสบการณ์เกี่ยวผู้คนที่เจอ แต่ตอนนี้ใกล้จะช่วงสอบแล้วคงจะหายไปอีกสักพักค่ะ ยังไงก็ฝากฮังการีไว้ในใจของทุกคนด้วยนะคะ

ชีวิตคนไทยที่อังกฤษ

0
ย้ายประเทศไปอังกฤษ ทีมอังกฤษ
ย้ายประเทศไปอังกฤษ ทีมอังกฤษ

#ทีมอังกฤษ “เมื่อฉันโดนกดดันจากทางครอบครัว เเละสังคมที่ล้าหลังมาตั้งเเต่เด็ก พอโตขึ้นมา มันจึงเกิดการ Rebel มันทำให้ฉันมีความคิดที่จะต้องหนีไปให้ไกล เพื่อปลดแอกตัวเอง Freedom คือสิ่งที่ฉันโหยหามาตั้งเเต่เกิด”

โรส (Rose London )เห็นห้องโยกย้ายฯเปิดมาได้สักพักใหญ่ ๆ จนเป็นกระเเสดังในสื่อ Social เป็นอย่างมาก เเละมีสมาชิกเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะเกือบล้านในเร็ว ๆ นี้เเล้ว ตอนเเรกโรสจะเข้ามาเขียนเรื่องราว+ ประวัติ+ ประสบการณ์ ในเกาะ The UK ให้ทุก ๆ คนอ่านตั้งเเต่อาทิตย์เเรกที่ห้องนี้เปิดมาใหม่ ๆ

เเต่ Unfortunately FB โรสเจอ Block ไป 7 days เนื่องจากเราไป Fight กับพวกสลิ่ม & มิจฉาชีพ 18 มงกุฎ ภัยสังคมในโลก Online จนโรสโดนคนกลุ่มนี้ Report FB เป็นประจำ เเต่โรสก็ยังทำคลิปพูดถึงเรื่องการเมือง+ การปกครอง+ สังคม+ วัฒนธรรม อยู่ในช่อง YouTube ของโรส ที่ชื่อช่อง Lovely Seal Rose London

เอาล่ะร่ายยาวมาเยอะไม่อยากเสียเวลามาก มาช้ายังดีกว่าไม่มาเขียนเลยนะคะ… ขอเริ่มเรื่องเลยละกันว่าโรสคิดจะหนีออกนอกประเทศ ตอนอายุ 15 ตั้งเเต่ตรียมตัวจะขึ้นมัธยมปลายเเล้ว… สาเหตุที่คิดอยากจะหนีออกจากประเทศ… คือเราอยากจะหนีพ่อเเม่+ สังคมในกะลา ที่บังคับกดขี่ทางเพศหญิงของเรามาตั้งเเต่เกิด

โรสเเละครอบครัวเป็นชาวกรุงเทพฯโดยกำเนิด คนในครอบครัวส่วนใหญ่รับราชการกันเยอะ เเละหลาย Generation เติบโตมากจากวิธีการเลี้ยงลูกเเบบโบราณคือ ลูกชายจะได้อภิสิทธิ์ในครอบครัวมากกว่าลูกสาว ถึงครอบครัวของโรสในเมืองไทยค่อนข้างจะมีฐานะ เพราะเเม่เคยเป็นอดีตข้าราชการระดับสูงในกรม +พ่อมีบริษัทเป็นของตัวเอง ชีวิตของโรสไม่เคยต้องปากกัดตีนถีบเหมือนเด็ก ๆ หลาย ๆ คน เพราะเรามีหน้าที่เรียนอย่างเดียว ไม่เคยต้องออกไปทำงานช่วยพ่อแม่หาเงิน… ฟังดูเเล้วชีวิตE โรสสวยหรูดูดีเชียวเนาะ… มาอ่านต่อค่ะ…

ทุก ๆ ครั้งพ่อเเละเเม่กลับมาจากทำงาน ด้วยปัญหาเเละความเหน็ดเหนื่อย ในฐานะโรสเป็นลูกสาวคนเล็กในบ้าน เราจะเป็นที่ระบายอารมณ์ของพ่อเเม่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอ+ การทำโทษต่าง ๆ นานาด้วย (Physical abuse & Verbal abuse) ตาม Asian style ที่พ่อแม่เป็นใหญ่ในบ้าน เเละไม่เคยรับฟังเหตุผลต่าง ๆ ของเราเลย

ส่วนพี่ชายของโรสน่ะหรอ… He can do whatever he wants. He can go wherever he wants. เเต่ชีวิตของโรสในวัยเด็ก คือ โรงเรียน+ มหาวิทยาลัย เเละบ้าน ไม่เคยได้ไปไหนเลย เนื่องจากพ่อเคยบอกเราว่า… ลูกชายท้องไม่ได้ เเต่ลูกสาวท้องได้ ฉะนั้นเวลาโรสจะไปไหน…ไปกับใคร…จะกลับกี่โมง…เราจะต้องรายงานพ่อแม่ เหมือนเด็ก 10 ขวบ

โรสรู้ปัญหาในชีวิตของโรสตั้งเเต่วัยเด็ก การที่จะปลดเเอกจากครอบครัวที่หัวโบราณ คือ การเลือกเรียนในสายศิลป์ภาษา อังกฤษ-ฝรั่งเศส เพราะภาษาคือ Key ในการเปิดโลกกว้าง ซึ่งการเตรียมตัวหนีออกจากครอบครัว และประเทศที่เป็นเผด็จการ เราใช้ระยะเวลาในการเตรียมตัวตั้งเเต่เป็นวัยรุ่น จนกระทั่งได้เรียนมหาวิทยาลัยรามคำเเหง โรสก็ได้เจอกับชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นสามีเก่า เเละเป็น Daddy ของลูก ๆ ของโรส

ช่วงที่โรสเรียนอยู่ม.รามฯ ปี 3 อดีตสามีได้มาเป็นอ. สอนภาษาอังกฤษ ในไทย ตั้งเเต่เรียนจบป.ตรี โรสก็ได้เเต่งงาน + ย้ายมาลงหลักปักฐานเป็นพลเมืองอังกฤษตั้งเเต่โรสอายุเเค่ 23 ปี ในปี2003 เเละโรสก็ได้มาเรียนเอา Qualifications ในสาขา Hairdressing + Barber in NVQ level2 ตามความฝัน ที่เราอยากจะทำงานทางด้าน Fashion เเละ เส้นผมใน London

ปัจจุบันโรสกับสามีเก่า เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยกันดูเเลลูก ๆ เเละโรสก็มีเเฟนที่น่ารัก เขาเข้ากับพ่อของลูก ๆ เเละลูกสาวของโรสทั้ง 2 คนได้เป็นอย่างดี ชีวิตรัก+ การงานในอังกฤษ ของโรสลงตัวดี

เอาเป็นว่าขอเราเรื่องคราว ๆ เเค่นี้เป็นน้ำจิ้มก่อนนะคะ ใครสนใจจะติดตามเรื่องการย้ายประเทศ + ประสบการณ์ในการทำงานเป็น Hairstylist & Barberette ก็ไปติดตามโรสได้ใน Youtube โรสขอฝากให้รุ่นน้องที่คิดจะโยกย้ายฯ ออกมาอยู่ในตปท. จงเตรียมตัวไว้ตั้งเเต่เด็ก  ๆเลยนะคะ จำคำสุภาษิตของฝรั่งให้ขึ้นใจ….

“Rome wasn’t built in a day, but they worked on it every single day.”

“ฝันให้ไกล เเล้วไปให้ถึง จงเก็บคำดูถูกมาเป็นพลัง จงตั้งความหวังเพื่อที่จะทำให้มันประสบความสำเร็จ”

With love from London ” Rose London

1 ปีที่ญี่ปุ่น

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น มาแชร์ประสบการณ์อยู่ที่ญี่ปุ่นมา 1 ปีกว่า ๆ ให้ฟังค่า ทำงานตำแหน่ง design engineer ค่า

มาทำงานที่นี่ได้แบบดวงล้วน ๆ พอดีทำงานบริษัทญี่ปุ่นที่ไทยอยู่ก่อนแล้ว เป็นบริษัทเล็กๆ ที่บริษัทหลักอยู่ที่จังหวัดฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น วันนึงอยู่ๆ เขาก็ถามว่า “จะมาทำงานที่นี่มั้ย แต่ว่าสัญญา 5 ปีนะ” เราก็คิดแปบนึง “เอาว่ะ มาก็ได้” แม่ก็เชียร์มากมาย สรุปเลยได้มาอยู่ญี่ปุ่นยาว ๆ ไปเลยยย (หรือว่าแม่จะเป็นผู้รู้อนาคต )

เมย์มาได้ช่วงจังหวะก่อนโควิดจะเริ่มระบาดหนัก พอญี่ปุ่นเริ่มประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการปิดร้านค้า ที่ทำงานมีการลดพนักงาน เนื่องจากคนในประเทศส่วนใหญ่ขาดรายได้ รัฐก็ได้ช่วยประชาชน โดยให้เงิน 100,000 เยน (ประมาณ 30,000บาท) กับทุกคนเลย เมย์มาได้แค่ 3 เดือน แต่ว่าเราเสียภาษีให้กับประเทศ ก็ถือว่าเป็นพลเมือง ต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกันทุกคน เงินก็โอนเข้าบัญชีเอาไปใช้จ่ายสบายย เอาเป็นว่าสวัสดิการรัฐนั่นดีค่ะ ภาษีที่จ่ายไป (ก็มากอยู่ตาม % รายได้) ก็ถือว่าคุ้มค่า และได้อะไรกลับมา

หลาย ๆ คนก็น่าจะเคยได้มาเที่ยวที่ญี่ปุ่นกันบ้าง แต่ว่าการมาเที่ยวกับการมาทำงานก็จะค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควรนะคะ คิดว่า พอได้มาทำงานจริง ๆ แล้ว วัฒนธรรมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นจะแตกต่างกันนิดหน่อย อย่างเช่น

-การที่เรามาทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่นเยอะ ๆ อย่างน้อยเมย์คิดว่า ต้องได้ภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานหน่อยค่ะ เขาไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกัน ก็อาจจะลำบากในการทำงานเล็กน้อย

-แล้วก็เวลาเลิกงานนี่ จะไม่ได้เลิกตรงเวลาหรอกเอาจริง ๆ ส่วนใหญ่จะบังคับให้อยู่ทำโอทีเลิกช้ากว่า เหนื่อยยย แต่ก็นี่ก็คิดว่าโอเค เอาค่าโอทีที่ได้ไปจ่ายภาษี จะได้มีเงินเหลือเยอะ ๆ

-นอกจากภาษีที่จ่ายค่อนข้างแพงแล้ว ก็มีค่าที่พักนี่แหละค่าที่แพง ราคาห้องเช่ารายเดือนจะอยู่ประมาณ 39,000-50,000 เยน (จะมาอยู่ต้องลองหาดูค่ะเผื่อมีถูกกว่านี้) แล้วยังมีค่าแรกเข้า ค่าขอบคุณนู้นนี่อีก ประมาณ 200,000 เยนได้ คิดว่าถ้าใครมาอยู่ตอนแรกควรมีเงินมาสักประมาณ 1-200,000 บาท นอกจากว่าที่บริษัทมีบ้านพักให้ หรือ ให้เช่าแบบกลุ่ม ก็จะถูกกว่านี้เยอะมาก ๆ ค่ะ

-ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส นี่เมย์ว่าไม่แพงนะ เดือนนึง รวมกันเมย์ใช้ตกเดือนละ 10,000 เยน ยกเว้นช่วงหน้าหนาวต้องฮีทเตอร์ก็จะประมาณ 12,000-13,000 เยนค่ะ

-ส่วนค่ากิน นี่ว่าถูกมากกกก จริง ๆ ถ้าแบบไปซุปเปอร์เอง ทำอาหารเองนะ อาทิตย์นึงเมย์ว่า 5000 เยน (1,500บาท) สำหรับเมย์คือเหลือ ซื้อหนมกินจนกลมเลยค่ะ

-ส่วนขนส่งสาธารณะก็เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า ค่อนข้างตรงต่อเวลา แม้ว่าอยู่ตจว. ก็ตรงเวลาและมีแอพมีเว็บเช็คเวลารถบัสและรถไฟได้ค่ะ

รวม ๆ เมย์ว่าก็อยู่สบาย มีความสุขแฮปปี้กิน เที่ยว สบายค่ะ 

ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น มาแชร์เรื่องทุนรัฐบาลญี่ปุ่นค่ะ มันคือทุน Monbukagakusho(MEXT) เป็นทุนให้เปล่าที่คนส่วนใหญ่รู้จัก เรามาจากทุนนี้มาเรียนป.โทแล้วขยายต่อเอก ตอนนี้อยู่มาได้ 6 ปี แล้วแพลนจะอยู่ต่อ postdoc ยังไม่กลับง่าย ๆ ค่ะ เพราะกว่าจะมามันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกิน อาศัยความพยายาม+ดวง ผสม ๆ ไปค่ะ

ทุนนี้มีซัพพอร์ตตามรายการข้างล่าง

  • ฟรีค่าเทอม
  • เงินทุนรายเดือน เดือนละ 143,000เยนสำหรับป.โท 145,000เยน สำหรับป.เอก อาจจะมีเพิ่มอีก 2,000เยน สำหรับบางมหาลัยต่างจังหวัด
  • ฟรีค่าตั๋วไป-กลับ
  • ฟรีค่าสอบเข้าโท/เอก

คร่าว ๆ คือประมาณนี้ เพื่อความชัวร์ แนะนำให้เช็คตามทุนที่เราสนใจจากเว็บสถานทูตญี่ปุ่น (https://www.th.emb-japan.go.jp/itpr_th/jis_study.html)

คราวนี้ส่วนที่บางคนอาจไม่ทราบคือ ทุนนี้มีวิธีสมัคร 2 แบบ

  1. ผ่านสถานทูต คือรายละเอียดตามลิ้งก่อนหน้าเลยค่ะ เป็นการสอบข้อเขียนคล้ายเอนทรานซ์ (รู้รุ่นเลยนะคะ) หรือแอดมิชชั่นสมัยนี้
  2. ผ่านมหาวิทยาลัย

เราเคยสอบข้อเขียนของแบบที่ 1 แล้วระหว่างรอผล เลยสมัครแบบที่ 2 เผื่อสอบข้อเขียนไม่ผ่าน และใช่ค่ะเราได้มาเพราะแบบที่ 2 เดี๋ยวจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง เตือนก่อนว่ายาวนะคะ แต่คิดว่าเป็นประโยชน์ อยากให้คนสนใจได้ลอง เพราะลองยังมีโอกาสได้ แต่ไม่ลองโอกาสคือศูนย์ ลุยค่ะ

เกริ่นก่อนว่า เราจบตรีกายภาพบำบัด แล้วทำงานในรพ.ประมาณ 6 ปี มาต่อโท Biomedical Engineering และเอกสาขาเดียวกัน ความรู้ภาษาญี่ปุ่นก่อนมาเป็น 0 ค่ะ ไม่ได้เทคคอร์สเรียน เพราะไม่มีเวลา ได้แต่อ่านหนังสือเพื่อจำ hiragana katakana เอง

ทุกคนอาจสงสัยว่า จบสายสุขภาพ ย้ายสายไปวิศวะ แถมอายุก็เยอะ (ตอนมาเหยียบญี่ปุ่นเราอายุ28….) มันทำได้ค่ะ ที่ไทยอาจไม่ได้ แต่ที่ญี่ปุ่นได้ค่ะ มีเพื่อนต่างชาติหลายคนก็ย้ายสาย แต่เค้าอาจจะย้ายแต่สาขาจากเครื่องกลเป็นbiomed แค่เราย้ายจริงจังกว่า

ขั้นตอนสำหรับวิธีที่ 2 คือ

1. เสิร์ชหา อาจารย์/แลปที่เราอยากไปเรียน ถ้าไม่รู้จะเริ่มยังไง ตามเราเลยค่ะ กูเกิ้ล ใส่คีย์เวิร์ดไป เช่น biomedical engineering + assistive device + arm movement ถ้า scope เราชัดก็อาจจะหาเจอไว ถ้าเจอแลปก็เข้าไปดูresearch fieldของแลปนั้น ดูเมมเบอร์แลป ว่าทำวิจัยกันเรื่องอะไร ถ้าเจอแค่ชื่ออ. ก็คล้ายกันค่ะ เข้าgoogle scholar ดูpublicationsของอ. อ่านงานวิจัยเค้าค่ะว่าตรงกับที่เราสนใจมั๊ย ถ้าตรงไปขั้นต่อไปค่ะ

ปล. แนะนำให้หาเผื่อหลายๆที่ลิสต์ไว้ค่ะ เพราะวิธีนี้บอกแล้วว่าอาศัยดวงด้วย

2. เขียนcover letter, research planที่เราจะทำกับเค้า, cv, Cover letter อาจจะเตรียมไว้สำหรับใส่เป็นเนื้อหาในเมลแทนก็ได้ค่ะ หรือจะแยกเป็น attached fileก็ได้ แต่เราใส่ไปในเนื้อหาเมลค่ะ เป็นการบอกอ.ว่า เราคือใคร สนใจในงานเค้า เราไม่มีทุนแต่สนใจที่จะjoinแลปเค้า พอจะมีทุนprovideให้เรามั๊ย (คือบอกชัด ๆ ไปเลยค่ะว่าเราอยากได้ทุน)

ปล. จากประสบการณ์นะคะ คนญี่ปุ่นบางคนไม่แข็งภาษาอังกฤษ แม้จะเป็นอ.ก็ตาม แต่พอดีของเราอ.เป็นคนจีนที่ทำงานที่ญี่ปุ่น อ.เลยสปีค 3 ภาษาค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาเขียน แนะนำให้เอาคำง่ายๆ ชัดเจน แต่สุภาพค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม ถ้าอ้อมมากเค้าจะไม่เข้าใจเรา

Research plan เราเขียนโดยใช้งานอ.เป็น reference ค่ะ ก็เริ่มจาก background ก็คือ problem ว่าทำไมเราถึงมาสนใจที่จะวิจัยเรื่องนี้ ตามด้วย objective&goal ของงาน แล้วก็ methods ว่าเรามีแพลนคร่าว ๆ จะทำยังไง เช่นจะใช้วัสดุนี้มาประกอบโมเดล แล้วใช้ analysis technique นี้วัดค่า แล้วสุดท้ายคือผลที่เราคาดว่าจะได้ (expected results) ประมาณว่าโมเดลเรานี้น่าจะมีค่าที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับอีกเปเปอร์ เนื้อหาที่จะเขียนก็คือจากการอ่านงานวิจัยอ.+ไอเดียเรา+เปเปอร์อื่นที่เกี่ยวข้อง มายำ ๆ กันค่ะ เขียนไงก็ได้ให้งานเราเกี่ยวกับแลปเค้าและมันทำได้จริง ดูมีประโยชน์

3. ปฏิบัติการณ์ส่งอีเมลค่ะ จากลิสต์อ./แลปที่เราหามาจากข้อ1 ส่งหว่านเลยค่ะ เพราะอ.มหาลัยญี่ปุ่นยุ่งมากค่ะ อินบ๊อกซ์เค้าหนาแน่น เพราะงั้นเราต้องจ่าหัวเมลให้เด่น ให้สะดุด ไม่งั้นเค้าจะคิดว่าเป็นสแปมค่ะ อันนี้เราแนะนำให้ไม่ได้ เพราะสื่อสารผิดค่ะ อ.ไม่เข้าใจ แต่อ.ก็กดมาดู ดวงจริง ๆ ค่ะ

อ.บางคนตอบเร็ว ตอบช้า หรือไม่ตอบ มีหมดค่ะ ของเรา เราลองส่ง4ที่พร้อมกันก่อน เพราะกะจะไปแก้research planให้ดีขึ้น ที่แรกตอบปฏิเสธภายใน5วัน ที่สองตอบภายใน3วัน และที่สามปฏิเสธ2บรรทัดน่าจะมากกว่าหนึ่งอาทิตย์ และที่สี่ส่งแล้วคงหายเข้าหลุมดำไปเลยไม่ตอบมา และที่สองคือ advisor ของเราจนวันนี้ค่ะ ขั้นตอนนี้จะท้อนิดนึง เพราะการรอคอยมันกดดันค่ะ มีหลายคนที่ต้องส่งเมล>20 ที่กว่าจะได้ ซึ่งตอนเราสมัครpostdocก็เป็นค่ะ คนเราไม่ได้โชคดีตลอด เริ่มส่งตั้งแต่ปีใหม่ เพิ่งได้เมื่อเดือนที่แล้ว

พอเค้าตอบโอเค ยินดีที่จะช่วยหาทุน ก็คือคุยเมลกับอ.เป็นประจำค่ะ โต้ตอบไปมา อ.จะเป็นคนขอเอกสารเราต่างๆเพื่อยื่นให้มหาลัยเอาเราเป็นcandidateในการขอMEXT เกณฑ์ในการคัดเลือกก็คือ

1. เกรดดี แบบว่าถ้ามีหลักฐานบ่งบอกว่าเราเป็นท๊อป20% เราจะได้เปรียบ คิดว่าน่าจะหมายถึง เกียรตินิยม ประมาณนี้

2. มีpublished paper

3. Professional career คือทำงาน>3หรือ5ปี อันนี้เราจำที่อ.บอกไม่ได้ ต้องขอโทษด้วย

ประสบการณ์ทำงานนางแบบที่ญี่ปุ่น

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น รีวิวการทำงานโมเดลในโตเกียว ถึงจะอยู่ญี่ปุ่นไม่ถึงปี แต่อยากจะแชร์ประสบการณ์ค่ะ

เราไม่ได้จบอะไรเกี่ยวกับญี่ปุ่นเลยค่ะ ภาษาญี่ปุ่นก็รู้แค่เบสิค จบป.ตรีวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ฝันอยากเป็นแอร์ อยากจะออกไปแตะขอบฟ้า5555 สมัครมา30ครั้งไม่ได้ซักที ท้อแท้ตัดสินใจไปเรียนต่อออสเตรเลีย ตอนแรกไม่ได้คิดจะมาเป็นโมเดลในญี่ปุ่นเลย มีเพื่อนญี่ปุ่นที่เรียนด้วยกันที่นั่นแนะนำ เลยลองส่งไปดู

พอเรียนจบที่ออสเตรเลีย ทางโมเดลเอเจนซี่ที่ญี่ปุ่นส่งเมลมานัดออดิชั่น อ่ะนี่ก็บินไปกะไปเที่ยวด้วย สรุปไปแคสผ่านเฉย เอเจนซี่ขอเซ็นสัญญา บินกลับไทย รอประมาณ 5-6 เดือน จนได้วีซ่า ล่ะก็บินไปญี่ปุ่น ค่าตั๋ว ค่าทำวีซ่า ค่าเดินทางออกเองหมด

มาอยู่ญี่ปุ่นคนเดียวครั้งแรกการทำงานก็ลำบากนิดนึงเพราะเราไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นเลย ใช้ภาษาอังกฤษล้วน ๆ แต่ก็สนุกดี ได้เรียนรู้การทำงานของคนญี่ปุ่น เบื้องหลังแฟชั่นเค้าทำงานกันยังไง บางงานก็ได้เจอดาราญี่ปุ่น ไอดอล นางแบบ นายแบบดัง ๆ อันนี้ก็ถือซะว่ามันคือแต้มบุญ 55555 ออฟฟิศเอเจนซี่อยู่ Omotesando แต่จริง ๆ เวลาทำงานคือเดินทางแทบจะทั่วโตเกียวเลย ไม่มีรถไปรับส่งนะ รับตารางงานจากเมเนเจอร์ ไปแคสงานไปถ่ายงาน คือเดินทางเองจ้า รถไฟ รถบัส แท็กซี่ เดินบ้าง หลงบ้าง ค่าเดินทางเราต้องออกเองนะ ไม่มีสปอนเซอร์จ้า

วีซ่าEntertainer จะไม่สามารถทำงาน part time หรืองานอื่น ๆ ได้เลย หลัก ๆ คือทำได้แต่งานโมเดลเท่านั้น รายได้ดีมั้ย ก็ขึ้นอยู่กับงานอีก แต่ขั้นต่ำคือ 2 หมื่นเยนต่องานนึง กรีดร้องงงงง จะมีกินหรือไม่มีกิน ขึ้นอยู่กับตัวเราล้วน ๆ ได้งานเยอะก็ดีไป แข่งกับโมเดลอื่นอีกเป็นร้อย ฉะนั้นข้อดีก็คือ เราได้พัฒนาตัวเอง วันนี้ไปแคสไม่ได้งานก็กลับบ้านไปคิดว่าเราทำอะไรพลาด แล้วก็ฝึกกันไป ฟีลคล้าย ๆ การสมัครแอร์ 5555

เราจะมีเมเนเจอร์ 4 คนคอยดูแลจัดตารางงานให้ ดูแลยันอพาร์ตเมนต์ อพาร์ตเมนต์คือเราต้องจ่ายค่าเช่าด้วยนะ กฎของเอเจนซี่จะเข้มงวดมาก แต่บริษัทดูแลดีมากกกเช่นกัน แต่งานโมเดลมันไม่ค่อยแน่นอน เงินเดือนที่ได้จะขึ้นอยู่กับงาน ลูกค้าด้วย

ค่าตัว 60% คือของเรา 40% ของเอเจนซี่ บางเดือนก็ไม่มีงานเลย ไม่พอกินจาาาา เงินจะจ่ายทุก 2 เดือนไม่ได้จ่ายรายเดือน วีซ่าจะต้องต่อทุก 3 เดือนคือทุก 3 เดือนเราต้องไปรายงานตัวกับต.มญี่ปุ่น เต็มที่ 6 เดือนหลังจากนั้นจะดูผลงานว่าเราจะไปต่อได้อีกมั้ย ถ้าเราไม่ค่อยมีผลงานไม่เป๊ะไม่ปังเอเจนซี่มีสิทธิ์ที่จะไม่ต่อสัญญา ง่าย ๆ ก็คือ เทจ้าาาา เก็บกระเป๋ากลับบ้านได้เลย

อีกอย่างคือตม.ญี่ปุ่นจะเคร่งมากกกก ด้วยความที่เป็นผู้หญิงไทยมาทำงานโมเดล ก็รู้อ่ะเนอะผู้หญิงไทย 5555 เวลาไปต่อวีซ่าคือโดนสอบสัมภาษณ์ในห้องเดี่ยวเลยจ่ะ ต้องเอาเมเนเจอร์มายืนยันเอกสาร ยุ่งยากมาก รอนาน ต้องมาต่อแบบนี้ทุก 3 เดือนนะ ย้ำเลย มาไม่ทันรายงานตัวคือจะถือว่าหนีวีซ่าเลย

การแข่งขันในวงการโมเดลจะสูงมากเพราะเราจะต้องทำผลงานให้ได้ อย่างน้อยเดือนนึงต้องมีงานอย่างน้อย 2 งาน วงการนี้จะมี New face มาทุกอาทิตย์ อ่ะไหนจะต้องแข่งกับโมเดลต่างสังกัดยังต้องมาแข่งกันในวงในกันอีก วงการโมเดลญี่ปุ่นจะไม่ค่อยชอบศัลยกรรม จะถามเลยว่าเราทำอะไรกับหน้ามาบ้าง ดูเอกลักษณ์ของเรา เพราะเค้าชอบความ Real เวลาไปแคสงานทีต้องไหว้สวดมนต์ พกเครื่องรางชั้นต้องได้ต้องโดน 5555

คือเราอยากอยู่ญี่ปุ่น อยากทำงานที่มันมั่นคงกว่านี้ ภาษาญี่ปุ่นเราต้องได้อ่ะ เลยตัดสินใจจะเรียนต่อ จะเปลี่ยนวีซ่านักเรียน เรากลับไทยมาจะมาต่อวีซ่าล่ะจะกลับญี่ปุ่นเดือนเมษา เพราะมีคิวถ่ายงาน จะกลับไปเคลียร์ทุกอย่าง ช่วงนั้นโควิดระบาดหนักทั่วโลก ญี่ปุ่นปิดประเทศ ติดอยู่ไทยยาวเลยจาาา วงวาร ร้องไห้ งานโดนเลื่อน ยกเลิกหมด เมเนเจอร์ก็เข้าใจสถานการณ์ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตอนนี้ญี่ปุ่นก็แย่เหมือนกัน ตอนนี้ก็กำลังทำเรื่องสมัครเรียน เปลี่ยนวีซ่า เรียนภาษาญี่ปุ่นระหว่างรอไปเรียนช่วงตุลาคม

ส่วนงานโมเดลเรากะจะทำเป็นงานรองลงมา ใครอยากแนะนำเราเกี่ยวกับญี่ปุ่น เรียนต่อ อื่น ๆ ก็ได้นะคะ ขอบคุณค่าาา

IG: 93_pm ฝากติดตาม ทักมาคุยได้นะค้า