Saturday, October 25, 2025
Home Blog Page 18

4 ปีที่นิวซีแลนด์

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ ค่ะ ตอนนี้อยู่มาจะสี่ปีแล้ว

เราเริ่มจากมาเรียนภาษาที่ Auckland ค่ะ เริ่มจาก begin เลย (ถ้าใครไม่เก่งภาษาก็อย่าไปท้อค่ะ เพราะเราก็เริ่มจากโง่ภาษามากๆ) เราเรียนไปด้วยทำงานpart time ไปด้วย จนตอนหลังสอบเข้ามหาลัยละเรียน graduate diploma ที่ Christchurch พอเรียนจบตอนนี้ก็ได้วีซ่าทำงานอีก2 ปี. พอได้มาอยู่ประเทศที่พัฒนาแล้วทำให้รู้เลยว่ามีดีขนาดไหน

ข้อดี

  • มีแต่ธรรมชาติสวย ๆ สวยมาก อากาศดี
  • ผู้คนเป็นระเบียบ กฏหมายเคร่งมาก บ้านเมืองสงบ ปลอดภัย
  • ทำงานวันนึง 5-6 ชม ได้ตกเดือนละ 6-7 หมื่น ทำให้มีเวลาในแต่ละวันเหลือเยอะ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ
  • ระบบทุกอย่างในประเทศดีหมด สะดวกสบาย
  • ผู้นำเก่ง และ ฉลาดมาก
  • ใช้ชีวิตที่นี่ทำให้รู้ว่าสึกว่าไม่ได้อยากรวยอะไรมากมายเหมือนอยู่ไทย ไม่ต้องลุ้นหวยทุกเดือน เพราะแค่ทำงานปกติก้อมีเงินใช้มีเงินเก็บ มีเงินเที่ยว สบาย ๆ แล้ว
  • รถไม่ติด
  • รู้สึกอิสระมาก ๆ อยากทำไรก็ทำได้ไม่มีใครมาว่าหรือดูถูก นินทาอะไร
  • ทุกอาชีพมีความสำคัญ ไม่ค่อยเหลื่อมล้ำเท่าไหร่นะ

ข้อเสีย

  • คิดถึงครอบครัวที่ไทยแค่นั้นเลย
  • ภาษีถือว่าจ่ายแพงแต่รู้สึกว่าคุ้มค่าที่เสียไปมาก ๆ

ชี้ทางไปนิวซีแลนด์สำหรับคนที่อยากไปทั้งครอบครัว

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์

รอบนี้จะมาชี้ทางไปนิวซีแลนด์สำหรับผู้ที่ต้องการไปทั้งครอบครัวนะคะ ครอบครัวหมายถึงคู่สมรส (จดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้แต่มีหลักฐานว่าอยู่กันฉันสามีภรรยา/เพศเดียวกันได้) และลูกค่ะ (ไม่นับรวมพ่อแม่นะคะ)

1. เรียนปริญญาโท level9 /เรียนปริญญาเอก level 10 สามารถพาคู่สมรสไปด้วยได้ คู่สมรสจะได้วีซ่าทำงาน ส่วนลูกอายุไม่เกิน 18ปี เรียนฟรีเลยค่ะ!!! (เด็ดตรงนี้) หลังเรียนจบได้วีซ่าทำงานอีก 3 ปี คู่สมรสและลูกยังได้สิทธิ์เหมือนเดิมค่ะ

พิเศษเลย ค่าเรียนปริญญาเอก PhD ของนิวซีแลนด์ถูกกว่าเมืองไทยอีกค่ะ ค่าเรียนประมาณ 1.5-2แสนต่อปี ไม่ต้องขอทุนรัฐบาลไทยให้ยุ่งยากแล้วกลับมาใช้ทุน ลูกก็เรียนฟรีจากค่าเรียน 3-4 แสนต่อปี คุ้มสุด มึลูก 3 คนก็เรียนฟรี 3 คนค่ะ คนนึงเรียนราคาเบา ๆ อีกคนทำงาน ลูกก็เรียนฟรีได้ภาษาแบบnative เงินเหลือในคุณภาพชีวิตที่ดีดี

2. เรียน graduate diploma level 7 หรือ postgrad diploma level8 ในสายงานที่อยู่ใน Long term skill shortage List ก็ได้สิทธิ์ข้อ 1 ทุกประการ

3. ได้วีซ่าทำงานในประเภท Long term skill shortage / essentail skills work visa ก็ได้สิทธิ์ในข้อ 1ทุกประการเช่นกัน คู่สมรสได้วีซ่าทำงานแบบเปิด ลูกเรียนฟรีเช่นกัน

4. ผู้ปกครองขอวีซ่าติดตามลูก Guardian Visa เงื่อนไขคือลูกต้องอายุไม่เกิน 16 ปี (เริ่มได้ตั้งแต่5ขวบ) และได้ถึงลูก 18 ปี ต้องจ่ายค่าเรียนลูกแบบนักเรียนต่างชาติและได้เพียงผู้ปกครองท่านเดียวต่อเด็ก 1 คน ผู้ปกครองขอยื่นเรียนและทำงานได้ช่วงที่ลูกไปเรียนเท่านั้น 9.30-2.30 วีซ่าเน้นให้ดูแลลูกค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติมตามลิ้ง https://www.immigration.govt.nz/…/tools…/support-family

ลอง search หาข้อมูลเพิ่มเติมได้นะคะ มั่นใจว่าท่านที่มีแนวคิดแบบนี้อยู่แล้วจะสามารถหาข้อมูลที่เหมาะกับตัวท่านได้แน่นอนค่ะ

ข้อเสียที่นิวซีแลนด์มีอะไรบ้าง

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#รีวิวประเทศ #ทีมนิวซีแลนด์

เห็นหลายคนเชียร์นิวซีแลนด์ ส่วนตัวรักประเทศนี้และชอบอยู่ที่นี่มากๆ แต่มันก็ไม่ได้ perfect นะคะ เลยอยากมาเล่าขhอเสียของประเทศนี้กันบ้างค่ะ

1. เดินทางลำบาก

ถ้าคุณไม่มีรถ แล้วต้องพึ่งรถเมล์ หรือรถไฟ จะปวดหัวมากๆๆๆ กทม ว่าแย่แล้วยังสะดวกกว่า สมมุติจะไปบ้านเพื่อน ขับรถ 10 นาทีถึง ใช้รถเมลหรือรถไฟ จะ 30- 60 นาทีได้ เพราะทุกอย่างมักจะพาเราอ้อมมมมม เสมอ เสาร์อาทิตย ก็ซ่อมๆๆ อยู่นั่น 5555

2. รถติด

เพราะด้วยการคมนาคมที่แย่มาก ๆ ทุกคนเลยต้องมีรถ ทำให้รถติด เกือบจะเท่ากทมได้เหมือนกัน ใน Auckland. บ่าย 3 เป็นต้นไป ข้อดีคือรถราคาถูกมาก 3-4 หมื่นก็ซื้อได้แล้ว

3. รถชนบ่อย

คนที่นี่ nice มาก ๆ แต่ไม่รู้เป็นอะไรกัน ถ้าอยู่หลังพวงมลัยจะเปลี่ยนเป็นคนละคน สามีขับรถไปทำงานทุกวันก็จะเห็น รถชนกันบน motorway ทุกวัน เป็นอีกส่วนที่ทำให้รถติด แต่ยังดีกว่า เวลาใครบาดเจ็บก็จะคลี่คลายค่อนข้างเร็ว helicopter มารับไปเลย ประมาณนั้น

4. มี Gang เยอะ

จะมีพวกเหมือน มาเฟีย แก๊งค์ต่าง ๆ ทั่วเมือง เวลาเดินไปมา บางทีก็ต้องระวังอย่าไปสบตาเขานาน คือไม่ได้พูดให้กลัวนะคะ แต่ คือต้อระวังตัวนิดนึง ที่ Napier จะมีเยอะที่สุดทำให้ crime rate ค่อนข้างสูง

5. ขโมยรถกันบ่อย

ด้วยเพราะ gang ต่าง ๆ และหลาย ๆ สาเหตุ (teen pregnancy, มีพี่น้อง 10+ คน หรือโดน abuse เด็กก็จะไม่อยากอยู่บ้าน) คนจะโดนขโมยรถที่นี่ค่อนข้างบ่อย น้องชายสามีโดนไป 2 ครั้ง น้องสาวโดนไป 1 ครั้ง คือ จอดที่บ้าน หรือจอดไปซื้ออะไรกินข้างทางกลับมารถหาย คนขโมยบางทีก็เป็นเด็กอายุ 9-14 คือเบื่อไม่มีอะไรทำ ก็เลย ขโมยรถคน หรือบางทีก็ขโมยไปชำแหล่ะ

6. การรักษาพยาบาลยุ่งยาก

ฟรีและดีจริง แต่บางทีก็ปวดหัว 5555 ไม่ได้ไป โรงพยาบาลที่เดียวจบ คือสมมุติถ้าท้อง ก็ต้องไปหา GP ซึ่งจะตรวจว่าคุณท้องมั้ย ท้องเสร็จเขาก็จะบอกให้คุณไปหา midwife เอง คือเปิดเว็บหาเอง เสร็จแล้ว midwife ก็อาจจะบอกให้คุณไป ultrasound ซึ่งคุณก็ต้องไปหาที่จองเอง ทั้งหมดทั้งมวล อาจจะเป็นเเดือน กว่าจะนัดครบทั้งหมดนี่ 555 แล้วก็ถ้าเราลงทะเบียน GP ไหน ก็ต้องไปที่นั่นเสมอ จะเดินไปเข้าที่อื่น ต้องเสียตังราคา casual นะคะ

7. ระบบโอนเงินล้าหลัง

โอนฟรี แบ๊งค์เดียวกันได้เลย แต่ต่างแบ๊งค์ ก็ 2-3 ชม เสาร์อาทิตย์วันหยุด ก็รอไปเลยค่ะ 5555 แต่ถ้าโอนพลาด โทรให้แบงค์โอนกลับได้มั้ย ทั้ง ๆ ที่เงินยังไม่เข้าบัญชี ไม่ได้นะคะ

8. น้ำหนาว 

อันนี้ขำ ๆ นะคะ ใครคิดจะลงเล่นน้ำชิว ๆ เหมือนเมืองไทย ไม่มีค่ะ ก่อนลงน้ำต้องทำใจ หายใจลึก ๆ หน้าร้อนน้ำก็ยังเย็นเฉียบบบ 3 องศา หรือน้อยกว่า แต่ข้อดีคือแดดร้อนมากกก ขึ้นมาอุ่นเลย แห้ง
เอามาแค่ให้อ่านสิ่งที่คิดว่าถ้ามาอยู่จะได้สัมผัสนะคะ อีกอย่างก็คือภาษีแพงแต่ถ้าอยู่ยาวก็ยังคุ้มเพราะถือเป็น ค่ารักษาพยาบาล ค่าบำนาน ค่าเรียนลูกเรา

ยังไงรวม ๆ ก็ยังเป็นประเทศที่น่าอยู่ค่ะ ในน้ำมีปลา หอย อูนิ บนดินก็มีผลไม้ 5555 อยู่ที่นี่ ถือ resident visa แค่ 1 ปีก็ส่งจดหมายมาให้ลงทะเบียนเลือกตั้ง !!! อมก! จำไม่ได้ ครั้งสุดท้ายเลือกตั้งมันนานนมาแล้ววว ใครที่อยากมา อย่าลืมว่าตอนนี้ประเทศปิดนะคะ ทางเดียวคือ หาแฟนเป็นคนนิวแล้วพากันมาค่ะ 555 ไม่งั้นก็ต้องเป็น student visa มานะคะ หรือลองไปหางานใน seek.co.nz ถ้าเขาอยากได้คุณจริงๆ ก็อาจจะได้ visa ค่ะ

ใครอยู่นิวมีอะไรจะบ่นบ้างมาแชวร์กันหน่อยเร็ววว 5555 ขอเพิ่มว่ารีวีว Auckland ประชากร 1.6 ล้าน จาก 4 ล้านของทั้งประเทศนะคะ เมืองอื่นอาจจะไม่เป๊ะนะคะ

Skill เฉพาะด้านที่นิวซีแลนด์ต้องการ

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

ใครที่อยากไป ตปท. แต่ไม่มี Skill เฉพาะทางอะไรเลย นอกจากเตรียมเงินทุนเพื่อไป ตปท. แล้ว เราขอแนะนำให้คุณฝึก Skill ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ไว้ก่อนเลยค่ะ

  • ชงกาแฟ กับเครื่องเอสเพรสโซ่นะคะ
  • นวดค่ะ นวดสปาต่าง ๆ ยิ่งถ้ามีใบรับรองนะคะ ได้ค่าแรงสูงกว่าแรงงานขั้นต่ำอีกค่ะ
  • ช่างซ่อมต่างๆ  ค่ะ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ รถยนต์ บลา ๆ ฝึกไปค่ะ
  • เชฟอาหารไทย อาหารฝรั่ง เบเกอรี่ มีโอกาสก็ไปฝึกไปเรียนไว้ค่ะ งานในครัว ในร้านอาหารเป็นงานที่มีตลอด ๆ ล้างจาน งานเสิร์ฟ ปัดกวาดเช็ดถูทำได้ทุกอย่างในร้านอาหารจะดีมากค่ะ ให้เจ้านายรู้สึกว่า แค่มีเรา เขาก็หายห่วง
  • ขับรถค่ะ ยิ่งถ้าขับพวกโฟล์คลิฟท์ รถที่ขับยากต่าง ๆ ได้ (มีใบรับรอง) จะยิ่งช่วยได้มากเลยค่ะ

สกิลพวกนี้มันจะช่วยให้คุณหางานได้ง่ายขึ้นระหว่างที่คุณเรียน แม้กระทั่งเมื่อคุณเรียนจบหางานประจำทำได้แล้ว แต่คุณจะมีเวลาเหลือเยอะ (เพราะไม่ต้องติดอยู่บนถนน) ก็ทำงานพาร์ทไทม์เสริมได้อีกค่ะ ค่าแรงใน ตปท. ค่อนข้างสูง เจ้านายไม่ปล่อยเราทำงานชิว ๆ ค่ะ อยากให้เตรียมความพร้อมทางร่างกายด้วย ถ้าทำงานเหนื่อย ๆ ให้หยิบเอารูปลุงตู่ขึ้นมาดูค่ะ แล้วจะมีแรงฮึบสู้ต่อไป

ลองถามตัวเองดูค่ะว่าอยากเอาดีทางด้านไหน อย่างเราตอนนี้คืออยากเป็นครูอนุบาล แพลนคือไปเรียน Early Childhood Education ที่นิวซีแลนด์ ระหว่างเรียนเราก็ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองด้วยสกิลอื่น ๆ ไปก่อน
ถ้าใครยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเรียนอะไร ให้ลงเรียนคอร์สภาษาถูก ๆ แต่ได้ระยะเวลานานไปก่อนค่ะ

ถ้าได้วีซ่าเรียนภาษา จะ 6 เดือน หรือ 1 ปีก็ตาม คุณต้องรีบหาอาชีพที่ช่วยให้ตัวเองอยู่ต่อในระยะยาวให้เจอ (ควรอยู่ใน shortage skill lists ของประเทศนั้น เมื่อเรียนจบ จะช่วยให้หางานประจำทำได้ง่ายขึ้นค่ะ) เช่น ระหว่างที่เรียนปรับภาษา ถ้าค้นพบว่าอยากเป็นครูอนุบาล ก็ไปดูรายละเอียดการสมัครเรียน เงื่อนไขต่าง ๆ แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อม พอถึงเวลาก็สมัครเรียน แล้วยื่นเอกสารขอวีซ่า นร. ได้เลย

ขอให้พวกเราได้ออกจากประเทศนี้ ปล่อยให้ไดโนเสาร์กินสลิ่มกันต่อไป

ทำงานอะไรดีที่นิวซีแลนด์

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ ฝากไว้เป็นตัวเลือกเล็ก ๆ ให้เผื่อตัดสินใจนะคะ

  • ค่าแรงขั้นต่ำ $20 (ตอนนี้เรท $1 = 22.27฿ ค่ะ) 4 May 2021
  • หลังหักภาษีจะเหลือ $16.6 ค่ะ
  • ค่าที่พัก จ่ายเป็นรายสัปดาห์ค่ะ ตั้งแต่ $150-300 คิดราคาคร่าว ๆ ต่อคนนะคะ
  • รถถูกค่ะ ที่จอดรถแพง (ในเมืองต้องเสียเงินจอดแทบทุกที่เลยค่ะ)
  • ล็อกดาวน์รอบแรก ได้รับเงินเยียวยาเข้าบช. เลยค่ะไม่ต้องลงทะเบียนแย่งสิทธิ์กับใคร
  • วีซ่านักเรียน (เรียนภาษา) ที่จะสามารถขอวีซ่านักเรียนได้ ต้องลงเรียนขั้นต่ำ 14 วีคค่ะ วีคละประมาน $200 แล้วแต่รร.และโปรโมชั่นนะคะ (ตีให้คร่าว ๆ)
  • จขพ.มาเรียน 4 เดือนแล้วสอบไอเอล เพื่อยื่นเรียนต่อ diploma ค่ะ
  • อาชีพที่ขาดแคลนค่ะ : ไอที เชฟ พยาบาล วิศวะ เกษตร หัตถกรรม etc. (จะมา edit เพิ่มเติมให้นะคะ)
  • ขอ permanent resident visa ได้ง่ายค่ะถ้าเรียนที่นี่ (จขพ. เรียนเชฟค่ะ กำลังจะจบเดือนหน้า ได้เวิร์ควีซ่า 1 ปีหลังจากจบค่ะ (2-3 ปีก่อนเค้าให้สามปีค่ะ กม.มันเพิ่งเปลี่ยนค่ะ) แล้วเราจะได้พ้อยท์ค่ะ ครบ 160 พ๊อยท์ยื่นขอ PR visa ได้เลยค่ะ พ๊อยท์จะได้จากการ เช่น เรียนที่นิวซีแลนด์, ทำงานจ่ายภาษีถูกกฏหมาย, อาศัยนอกโอ๊คแลนด์ค่ะ etc.)
  • ไม่มีหมาแมวจรจัดเลยค่ะ สัตว์เลี้ยงฝังชิปหมด ในเมือง Auckland จะมี homeless ตามถนนค่อนข้างมากค่ะ (ช่วงนี้เห็นลดลงแล้วนะคะ)
  • Formal languages ของที่นี่ มี อังกฤษ เมาวรี และภาษามือค่ะ
  • อากาศค่ะ หน้าร้อนประมาณ 25° ค่ะ แต่แดดแรงค่ะ
  • หน้าหนาว และช่วงเปลี่ยนฤดูจะฝนตกบ่อยมากค่ะ ตก ๆ หยุด ๆบางทีก็สาดโครมลงมาเลยค่ะ แล้วก็หยุด ฟ้าฝนค่อนข้างบ้าบอค่ะ
  • ทางเดินเป็นเนินเยอะมากค่ะ ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะภูมิประเทศเป็นภูเขา ทุกที่มีทะเลค่ะเพราะน้องเป็นเกาะ
  • ทุกร้านที่นี่รับบัตรหมดค่ะ มี pay wave ค่ะ เกือบจะเป็นสังคมไร้เงินสดแล้วค่ะ
  • เงินที่เข้าบช.ทุกดอล เค้าตรวจสอบได้หมดค่ะ (จขพ.เคยโดนให้เขียนจดหมายอธิบายทุกยอดเงินที่เกิน $400 หรือประมาณ ฿8000+ ตอนที่ยื่นวีซ่านักเรียนรอบล่าสุดค่ะ)

นิวซีแลนด์มีอะไรบ้าง

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

ข้อมูลสำหรับครับอยากย้ายมา #นิวซีแลนด์

  • ถ้าอยากย้ายสัญชาติมาที่นี่ต้องมาอยู่ประมาณ5ปี
  • ธรรมชาติล้อมประเทศ แกะเยอะกว่าคน
  • เป็นประเทศแห่งความเท่าเทียม
  • เพศเดียวกันแต่งงานกันได้ออกสิทธิการเลือกตั้งได้ด้วย
  • โสเภณีคืออาชีพถูกกฎหมายค่ะไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทำต้องเป็น resident หรือ citizen
  • รถประจำทางมาตรงเวลาอาจมีเรท5-10นาที นักเรียนต่างชาติทำบัตรขึ้นรถจะง่ายมาก
  • ใครที่ไม่ชอบความแออัดมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ได้เพราะคนไม่แออัดเลย เดินทางไปไหนก็สะดวก
  • นิวซีแลนด์ไม่มีงูเพราะงูไม่อยู่ในเมืองหนาวจัด
  • นิวซีแลนด์ขาดแรงงาน

ทางประเทศต้องการคนมีความรู้เฉพาะด้านนั้นๆนะคะ อยากไปสามารถทำเรื่องวีซ่าได้เลยค่ะ

ขาดแรงงาน

  1. เกษตร
  2. แพทย์
  3. วิศวกรรม
  4. สารสนเทศ

*ประเทศนี้ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารนะคะ

* สำหรับเด็กนักเรียนไทยลองหาทุน 100% เรียนฟรีดูนะคะ ทุน 100% คือทุนที่ประเทศนั้น ๆ ออกค่าเครื่องบิน ค่าเทอม ค่ากิน บางที่ให้เงินเดือน 2-4 หมื่น ยิ่งจบมายิ่งหางานทำได้แน่นอน แนะนำ ป.ตรี ป.โท-เอก มีการสอบต่าง ๆ ค่าสอบอาจแพงถึงหลักหมื่นแล้วแต่อันนะคะ สเตทเม้นครอบครัวต้องพร้อม ถ้าไม่พร้อมแต่สอบผ่านก็ไม่ได้ไปค่ะ

ประสบการณ์ 1 ปี ที่เมลเบิร์น

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#แชร์ประสบการณ์ #ทีมออสเตรเลีย #ทีมเมลเบิร์น

ประสบการณ์เรียนภาษาอังกฤษที่เมลเบิร์นเกือบ 1 ปี และการเตรียมตัว

จากประสบการณ์เมื่อตอนได้ไปใช้ชีวิตช่วงเวลาสั้น ๆ ในต่างแดน น่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังอยากย้ายประเทศบ้าง

การเตรียมตัว

  • พื้นฐานภาษาอังกฤษต้องมีบ้าง — เตรียมตัวเรื่องภาษาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การเรียนภาษาจากไทยไปบ้าง เพื่อให้เรามีความคุ้นชินกับสังคมต่างชาติ สำหรับผมเลือกเรียนที่ AUA ประมาณเกือบ ๆ ปี (เรียนจนจบ Level 15) ขนาดเตรียมตัวเป็นปีแต่พอไปถึงเมืองที่ใช้ภาษาอังกฤษจริง ๆ ก็เอ๋อแดกไปเกือบสองเดือนเลย … สื่อสารแทบจะไม่ได้ตลอดเวลาสองเดือนแรก เข้าที่เข้าทางเมื่อเข้าเดือนที่สาม เริ่มสื่อสารได้คล่องตอนเข้าเดือนที่เจ็ด
  • เงินในบัญชี — อันนี้มีผลโดยตรงต่อการขอวีซ่าเลย เท่าที่พอสังเกตุได้คือ ควรมีเงินหมุนประมาณเดือนละแสนบาท ย้อนหลังสัก 6 เดือน … หมายความว่า ไปเรียน 7 เดือน ก็ควรมีเงินในบัญชีสัก 7 แสนบาท แต่ต้องเป็นเงินที่หมุนไปหมุนมานะ ไม่ใช่เป็นเงินก้อนเข้ามารวดเดียว (ยอดเงินประมาณการณ์)
  • การติดต่อสถานที่เรียน — ถ้าพอจะมีความรู้ก็ติดต่อตรงไปที่สถานที่เรียนได้ แต่ถ้าคนที่เริ่มจากศูนย์เลย แนะนำให้ติดต่อผ่านเอเจนท์ … ตอนผมไปผมใช้ IDP (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ) เพราะที่นี่เค้าดูแลเรื่องเอกสารให้ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่คิดค่าบริการเพิ่ม เพราะเค้าได้รับคอมมิชชั่นจากมหาลัยอยู่แล้ว

การใช้ชีวิตและเรื่องอื่น ๆ

ผมอาจจะโชคร้ายนิดหน่อยที่เจอเรื่องไม่ค่อยดีที่เมลเบิร์นพร้อม ๆ กัน แต่ก็เจอแค่ช่วงแรก ๆ มีทั้ง เจอคนเหยียดเอเชีย, เจอวัยรุ่นออสซี่เข้ามาหาเรื่องบนรถไฟ, เจอคนแทงกันบนรถเมล์ .. ดังนั้นจึงอยากแนะนำวิธีการใช้ชีวิตและเอาตัวรอดไว้

  • การใช้บริการรถสาธารณะ — พยายามอยู่ในโซนที่มีผู้โดยสารอยู่บ้าง ไม่เลือกที่จะไปนั่งอยู่ส่วนที่ไม่มีใครเลย อย่าเพิ่งห้าว .. เอาตัวรอดไว้ก่อน รถเมล์ที่นี่ตรงเวลาตลอด
  • คนที่นี่เปิดเลนส์พิเศษไม่เป็น — ปกติรถที่นี่จะไม่ติด เราจึงไม่เห็นตำรวจจราจรเลย (มีมั้ยไม่รู้) แต่ถ้าเกิดอะไรสักอย่างทำให้รถติดขึ้นมา ต่อให้ยาวแค่ไหน ถ้าถนนมี 2 เลนส์ เค้าก็วิ่งแค่สองเลนส์ ไม่มีเปิดเลนส์ 3 เลนส์ 4 เหมือนบ้านเรา
  • มอเตอร์ไซค์มีน้อยมาก — เจอแทบนับคันได้ และการใช้มอไซค์ที่นี่ก็เหมือนรถยนต์หนึ่งคัน ก็คือขับต่อจากรถยนต์ ไม่มีแทรกรูตรงกลาง หรือ ด้านข้างเหมือนบ้านเรา
  • อยู่ไกล ๆ วัยรุ่นออสซี่เอาไว้ — วัยรุ่นออสซี่น่าจะไม่ต่างจากที่เราเห็นในหลังฮอลลีวู้ด คือ แกล้งและหาเรื่องกันต่อหน้าผู้คน … ผมเองโดนดึงกระเป๋าและโยนไปมาบนรถไฟ ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้ เราพูดอะไรไม่เป็น กลัวก็กลัว แต่ก็ยังดีนะสุดท้ายมันก็แค่แกล้งเรา ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ พวกนี้น่าจะแค่คึกคะนองตามวัย
  • ใบขับขี่ของไทยสามารถใช้ขับรถที่นี่ได้เลย — ไม่ต้องทำใบขับขี่นานาชาติมา ที่นี่ขับรถทางซ้ายเหมือนกันปรับตัวไม่ยาก แต่ต้องทำตามกฎระเบียบเคร่งครัด ตรงไหนให้ขับ 60 ก็คือได้ไม่เกินนี้ ผมเคยโดยค่าปรับ ขับเร็ว 62 กม. / ชม. โดนไป 60 AUD ถ้าจำไม่ผิด เวลาขับในเมืองเมลเบิร์นต้องสังเกตุสัญลักษณ์ของ TRAM (รถราง) ให้ดี เพราะรถรางจะวิ่งตรงเลนส์กลาง อย่าเผลอไปติดไฟแดงเลนขวานะ เดี๋ยว TRAM มันเสยตูดเอา
  • สภาพอากาศ — ที่เมลเบิร์นขึ้นชื่อว่าสภาพอากาศโหดร้ายมาก วันนึงมีแม่งเกือบ 3 ฤดู คือหนาวเกือบตลอด สักพักฝนตก ระหว่างฝนตกอาจจะเจอลูกเห็บและแสงแดดไปพร้อม ๆ กัน .. แต่แปลกนะอากาศแปรปรวนขนาดนี้
  • อาหาร — เริ่มต้นถูก ๆ คิดเป็นเงินไทยประมาณ จานละ 350 บาท
  • กาแฟ — ราคาประมาณ 100 บาท
  • น้ำดื่ม — ราคาประมาณขวดละ 100 บาท น้ำเปล่าที่นี่แพงมากนะ เพราะออสเตรเลียเป็นประเทศที่ 90% จะแห้งแล้ง คนจะใช้ชีวิตกันมากแค่รอบ ๆ เกาะออสเตรเลีย ตรงกลางประเทศเป็นทะเลทรายเกือบทั้งหมด
  • การข้ามถนน — ที่นี่ไม่มีสะพานลอย เวลารอข้ามถนนถ้าไฟเขียวให้เดิน ก็เดินได้เลยไม่ต้องสนใจ รถมาเร็วแค่ไหนก็ต้องจอด
  • การทำงาน — เริ่มต้นง่ายที่สุดสำหรับเด็กไทย ก็คือ เดินไปหางานทำที่ร้านอาหารไทย ส่วนมากก็จะเป็นเด็กเสิร์ฟ หรือทำงานหลังร้าน รายรับเริ่มต้นร้านอาหารไทยมักจะให้เป็นรายวัน ตกวันละ 50 AUD แต่หลายที่พอทำได้สักเดือนก็ขึ้นเงินให้ ก่อนกลับผมได้วันละ 100 AUD ไม่รวมทิป .. ผมเลือกทำ 6 วันเลย พักแค่วันเดียวพอ ตกสัปดาห์ละ 600 AUD เดือนละ 2,400 AUD หรือคิดเป็นเงินไทย เรท 30 บาทตอนนั้นก็ราว ๆ 72,000 บาท (ทำงานตั้งแต่ห้าโมง – สี่ทุ่ม)

ที่ออสเตรเลีย จะเจอคนเอเชียเยอะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นชาติตะวันตกที่อยู่ใกล้ที่สุด

** เท่าที่จำได้มีเท่านี้ ถ้ามีอะไรที่นึกออกจะเอามาเพิ่มให้เป็นข้อมูลสำหรับคนที่กำลังจะไป **

** ใครมีโอกาสได้ไป .. ขอให้คว้าเอาไว้ ถ้าอยู่ได้ถาวร ก็อยู่เถอะ **

ส่วนตัวผม ตัดสินใจกลับมาอยู่ไทยได้หลายปีแล้ว บอกตรง ๆ ว่าตัดสินใจผิด … ถ้ากลับไปเลือกใหม่ได้ ก็คงเลือกที่จะอยู่ที่นั่น … (แต่ผมไม่ได้เลือกกลับไทยเพราะลูกบิดนะ)

ใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์ยังงัยให้งบน้อยที่สุด

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ How to ไปลองใช้ชีวิตที่ New Zealand ยังไงให้ใช้งบน้อยที่สุด ทุกโอกาสที่เข้ามาเกิดจากการวางแผนและเตรียมตัว ไม่ใช่โชคช่วย ก้าวแรกสู่โอกาสในการขอ Work Visa และโอกาสอื่น ๆ ในชีวิต

สวัสดีครับ พอดีเห็นหลายโพสบอกว่าปัญหาหลักไม่ใช่เรื่องภาษาอย่างเดียวแต่คือเรื่องเงิน วันนี้ผมขอมาแนะนำโครงการ Working Holiday ครับ เพราะได้ Work Visa 1 ปีเต็ม สามารถไปทำงานหรือเรียนก็ได้ โดยใช้เงิน Statement แสดงประมาณ 150,000 เท่านั้น + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไม่เกิน 50,000 และใช้เกณฑ์ IELTS 4.5 ขึ้นไปเท่านั้น

โดยโครงการนี้จะมี 2 ประเทศด้วยกันคือ Australia มีโควตา 2,000 คน และ New Zealand มีโควตา 100 คนเท่านั้น ก่อนอื่นต้องขอบคุณทางเพจ thaiwahclub.com อย่างเป็นทางการที่คอยอัพเดทข้อมูลโครงการ แนะนำขั้นตอนต่าง ๆ จนผมมีโอกาสได้ไปโครงการนี้ที่ New Zealand รุ่น 2019 ครับ

สำหรับใครที่แพลนจะไปโครงการนี้ไปติดตามเพจได้เลยครับ สำหรับวันนี้จะมารีวิว Part ในส่วนของโครงการเป็นหลัก ค่าใช้จ่ายและการเตรียมตัวเบื้องต้นนะครับ

ผมเริ่มเห็นรายละเอียดโครงการช่วงเดือน Feb 2019 เลยตัดสินใจลงสมัครสอบ IELTS ทันทีครับ ค่าสอบ 6,900 บาท ตัดสินใจลงสอบครั้งเดียวพอเพราะค่าสอบแพงเหลือเกิน! โดยมีระยะเวลาเตรียมตัวประมาณ 2 เดือน เพื่อสอบปลายเดือน Apr 2019 ให้ผลคะแนนออกทันสมัครโครงการในช่วงเดือน May 2019 เทคนิคที่ใช้ตอนนั้นคือ เริ่มจากอ่านหนังสือ Cambridge Guide IELTS ก่อนเลยครับ แล้วหัดทำข้อสอบย้อนหลังวนไป พยายามบังคับตัวเองอ่านให้ได้อย่างน้อยวันละ 1-2 ชม. ครับ และเวลาทดลองทำข้อสอบต้องจับเวลาจริงทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นวันสอบจริงจะบริหารเวลาไม่ทันครับ

เวลาว่างก็ฟัง Podcast เปิดเสียง IELTS Listening Part วนไปครับ เดี๋ยวนี้ใน YouTube มีเยอะมาก พยายามฟังวนไปวนมาสัก 3 รอบ จับใจความ แล้วค่อยเปิด Script ว่าเค้าพูดอะไรบ้าง ตรงตามที่เราเข้าใจไหม พลาดตรงไหน สำหรับคนอ่อน Grammar แบบผมได้แต่ใช้บุญเก่าที่มีครับ เพราะมีเวลาทบทวนน้อย แต่ไปมุ่งเน้น Part Listening + Speaking แทน พราะส่วนตัวคิดว่า 2 Part นี้ทำคะแนนได้ง่ายกว่า

โครงการนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ และไม่มีทุนเช่นกัน ฉะนั้นถ้ากดโควตาได้ ค่าใช้จ่ายเองที่ต้องออกจะเป็นพวกการตรวจสุขภาพ ค่าวีซ่า ค่าประกันสุขภาพ ค่าตั๋วเครื่องบินและ Pocket Money ที่ต้องใช้ตั้งตัวช่วงแรกที่ตปท.ครับ

โดยคนงบน้อยอย่างผม คุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 50,000 บาทครับ ตอนนั้นได้ตั๋ว Low Cost Ais Asia บินไปลง Brisbane, Australia ได้ในราคา 5,000 บาทรวมกระเป๋า 30 กิโล แถมได้แวะเที่ยวไม่เสียค่าวีซ่า เพราะใช้ Transit Visa สามารถแวะเที่ยวได้ 72 ชม. แต่ต้องเก็บข้อมูล Biometrics ที่ VFS ครับประมาณ 800 บาท

– ค่าสอบ IELTS 6,900
– ค่าตั๋วบินไปลง Australia 5,000 + ค่าตั๋วจาก Australia บินไปลง New Zealand 6,000
– ค่าประกันสุขภาพ 10,000 ** ไม่บังคับ แต่แนะนำให้ทำ**
– ค่า Visa 280 NZD ประมาณ 6,000
– ค่าตรวจสุขภาพค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประมาณ 3,000

จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายจริงประมาณ 37,000 บาทครับ + Pocket Money ตอนไปผมกดเงินสดไปแค่ 500 NZD แต่สมัครบัตร SCB Planet แทนครับเพราะได้เรทถูก สามารถซื้อสกุล NZD หรือ AUD แล้วไปรูดใช้จ่ายที่นู้นได้ ไม่ต้องกังวลครับทุกร้านแทบจะรับบัตรหมด

สำหรับ Statement ที่ใช้ยื่นขอ Visa ของ New Zealand จะต้องมีเงินในบัญชี 7,000 NZD ครับ หรือประมาณ 150,000 ครับ (ใช้เพื่อแสดงเฉย ๆ นะครับ ตอนวีซ่าออกแล้ว สามารถโยกเงินออกได้) หรือใครไม่มีเงิน สามารถให้พ่อแม่ ญาติ เป็น Sponsor ได้ครับโดยใช้บัญชีของ Sponsor แทนแต่ต้องเขียนจดหมายอธิบายเพิ่มเติมว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับเรา ทำไมถึง Sponsor เราครับ

สำหรับผมเอง ตอนนั้นเงินสดขนาดนั้นไม่มีแน่ ๆ ครับ เลยใช้วิธีถอนหุ้นที่มีใน Port หาเงินมารวมกันให้ถึงครับ เพื่อเอาเงินสดมาถือในมือ โดยตอนขอ Visa ผมใช้วิธีเขียนจดหมายแนบเพิ่มเติมแสดงความประสงค์และชี้แจงที่มาของรายได้ครับ ว่าเงินเรามาจากไหนเป็นก้อน แนบหลักฐานเพิ่มเติมไปด้วย เคสผม Visa Granted ไม่มีปัญหาใด ๆ ครับ

Part การเตรียมตัวก่อนไป:

ก่อนอื่นอยากจะแนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์แบบผม เพราะทำงานออฟฟิศมาอย่างเดียวในชีวิตนี้ ลองหาอะไรทำที่ไทยก่อนครับ อย่าไปตัวเปล่า อย่าไปตายเอาดาบหน้า เดี๋ยวได้ตายจริง! โดยก่อนไปผมไปฝึกงานทำกาแฟที่ร้านเพื่อนอยู่ 1 เดือนครับ และมาหัดทำ Latte Art ที่บ้านแทบทุกวัน เพราะเชื่อว่าถ้าเรามี Skill ส่วนนี้ไปก่อนแล้ว หางานไม่ยากแน่นอน พอไปถึงจริงเวลาสัมภาษณ์งาน ทางร้านก็ให้เราทดลองทำกาแฟให้เค้าดู Basic Menu อย่างพวก Flat White หรือ Latte และดูเราว่าทำเป็นจริง ๆ ไหม เงอะ ๆ งง ๆ ไหม

ขอตัดมาที่ตอนมาถึง NZ แล้วนะครับ ช่วงแรกผมก็นอน Hostel เพราะต้องการประหยัด อีกวันก็รีบหาบ้านเช่า จัดการย้ายของให้เรียบร้อย และเริ่มหางานทันทีไม่มีเวลาเล่นแล้ว เพราะเงินจะหมด! ใช้เวลาหางาน 1 อาทิตย์ครับ มุ่งเป้าไปที่ Barista เป็นหลักเพราะเรารู้วิธีทำส่วนนี้แล้ว สรุปได้งานเป็น Full Time Barista ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ใกล้บ้านแนว Turkey & Mediterranean แถมโชคดีที่ร้านเป็นร้าน Chain ใหญ่เลยมีงานให้ทำตลอดเวลา สรุปไปอยู่มา 1 ปีทำมาทั้งหมด 3 สาขาทั่ว Auckland ครับ

ทุกโอกาสที่เข้ามาอยู่ที่เราเตรียมตัวให้พร้อมหรือเปล่า ? โดยระหว่างทำงานผมรับอาสาช่วยทุกอย่าง เริ่มจากเรียนรู้งานใน Bar ได้หมดจนได้เป็น Bar Staff เต็มตัว อยู่ใน Bar คนเดียวทำทั้งกาแฟและ Alcohol บางวันคนขาด ไม่พอ ก็กระโดดไปช่วยใน Floor รับออเดอร์ ช่วยเสิร์ฟอาหาร สลับไปทำแคชเชียร์คิดเงินบ้าง ล้างจานบ้าง ในครัวอยากให้ช่วยก็รับหมด สาขาอื่นขาดคนเราก็ไปช่วย จนมีช่วงนึงทำ 2 สาขา ทำงาน 7 วันติด

ทำงานได้ประมาณ 6 เดือน เจ้านายเรียกคุยว่าวางแผนชีวิตไว้อย่างไร ถ้าจะปักหลักที่นี่จะช่วย Sponsor Work Visa ให้ ซึ่งถ้าได้ก็มีโอกาสได้ Work Visa 3 ปี โดยเหตุผลที่นายจ้างบอกเราคือ เพราะเราทำได้ทุกอย่างแล้วในร้าน ถ้าไปสอบ Manager License มาได้ และเรียนรู้ Restaurant Management เพิ่มเติม จะสามารถดูแลร้านได้ทุกอย่างแล้ว

ซึ่งปกติถ้าถือ Work Visa สัก 5-6 ปี ลงเรียนเพิ่มเติม เก็บคะแนนให้ถึงเกณฑ์ก็สามารถเริ่ม Apply PR ได้ครับ (สำหรับส่วนตัวผมเองตอนนั้น ปฏิเสธนายจ้างไป เพราะมีแผนกลับมาทำธุรกิจส่วนตัวที่ไทย)

สำหรับเรื่องรายได้ ค่าแรงขั้นต่ำที่ NZ ตอนนี้จะอยู่ที่ 20 NZD ครับ หรือประมาณ 440 บาท/ชม งาน Full Time เฉลี่ยชั่วโมงทำงานจะอยู่ที่ 30-40 ชม/week ครับ แต่ตอนนั้นผมทำเกือบทุกอย่าง เลยทำอาทิตย์ละ 50-70 ชม./week ครับ ช่วงเดือน Nov-Dec เป็นช่วง Celebration ปลายปี รายได้แตะ 100,000 บาท+ เพราะงานเยอะมาก

ส่วนค่าครองชีพสูงก็จริง แต่ส่วนตัวมองว่ามันสัมพันธ์กับรายได้ครับ ต่อให้คุณทำงานเป็นพนักงานล้างจานหรือทำงานในฟาร์ม ก็ได้ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมาย และส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะคนที่เจริญแล้วให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่มีใครมาดูถูกเราว่าเราเป็นแรงงานต่างชาติ แบบที่คนไทยเองหลายๆคนเผลอใจหรือไม่ตั้งใจดูถูกแรงงานประเทศเพื่อนบ้านเราเอง

สำหรับภาษีดูเหมือนจะสูง แต่เนื่องจากเรามีเกณฑ์รายได้ที่เข้าเกณฑ์ปกติของเค้า ซึ่งมาแลกมากับสวัสดิการต่าง ๆ ครับ โดยตอนนั้นผมเสียภาษีเฉลี่ยประมาณ 12-15% ครับเพราะเป็นเกณฑ์ขั้นบันไดแบบบ้านเรา (ซึ่งไทยเราเองถ้ามีรายได้หลักแสนก็น่าจะเสียในเกณฑ์ใกล้เคียงนี้เหมือนกัน) แต่การเสียภาษีของ NZ แบบนี้แลกมากับสวัสดีการที่ดีมาก

โดยขอเน้นที่เห็นชัด ๆ จากนโยบายเยียวยาจากเหตุการณ์ Covid ครับ โดยช่วงนั้นพอเจอคนติดเชื้อในประเทศรัฐบาลรีบประกาศ Lockdown ทันที ประมาณ 1.5 เดือน ตามมาด้วยประกาศนโยบายช่วยเหลือพนักงานและธุรกิจ โดยรัฐจะช่วยจ่ายให้ 585 NZD/week สำหรับ Full Time หรือประมาณ 12,000 บาท /week แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำงานก็ตาม โดยจ่ายไปที่นายจ้างให้นายจ้างจ่ายเงินให้เราอีกที ซึ่งส่งผลให้ภาระหนักของร้านอาหาร ซึ่งก็คือค่าจ้างพนักงานส่วนนี้หายไป ทำให้ร้านอาหารเองก็สามารถอยู่รอดได้กับวิกฤตนี้ พนักงานก็ไม่ต้องตกงาน สุดท้ายนโยบายนี้ได้ขยายถึง 3 เดือน ครับ เท่ากับร้านค้าเองไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายพนักงานถึง 3 เดือน (ข้อมูลนี้ก่อนที่ผมจะกลับมาไทยครับ ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายขยายไปยาวแค่ไหน)

สิ่งที่อยากจะบอกคือทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราและการเตรียมตัวครับ ถ้าเรางบน้อย ภาษาไม่แข็ง คงไม่สามารถคิดว่าจะไปวันนี้ แล้วจะได้ไปตปท. ภายในพรุ่งนี้ อาจต้องใช้เวลาทบทวนเก็บเงินสัก 1 ปี แล้วหาโอกาสไปที่นั่นให้ได้ก่อน เพื่อหาโอกาสอื่น ๆ ที่จะเข้ามาครับ (ผมใช้เวลาทั้งหมด 8 เดือน จากเห็นโครงการ Feb 2019 ได้บินจริงเดือน Oct 2019) สำหรับคนที่ภาษาแข็งแรงแล้ว NZ มีทุนเต็มของรัฐบาลนะครับ ออกให้ทั้งค่าเรียน ป.ตรี / ป.โท มีค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ด้วย ลองติดตามที่เว็บไซต์ https://www.nzscholarships.govt.nz/

** สำหรับข้อมูลบางส่วนถ้าผิดพลาดไป ยังไงคอมเมนต์แย้งได้เลยนะครับ บางข้อมูลเก่าแล้ว จำไม่ค่อยได้แล้วครับ**

จากผู้จัดการมุ่งสู่เกาะใต้ นิวซีแลนด์

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์

ปี 2016 วีซ่านักเรียน เรียนภาษาอังกฤษ

ปี 2017 – ปัจจุบัน วีซ่าทำงาน Outdoor Sows Farm manager

แชร์ประสบการณ์ กล้าออกจาก Comfort Zone ความคิดผมก่อนที่ผมจะกล้าตัดสินใจ ออกจากสิ่งแวดล้อมตัวเอง เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการไปใช้ชีวิตในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ

สำหรับคนที่กลัวภาษาอังกฤษอย่างผม และสื่อสารภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ เป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็พิสูจน์ตัวเองโดยใช้เวลา 6 เดือนสามารถสื่อสารในระดับที่พอเข้าใจ ใช้เวลา 10 เดือนกล้าสมัครงานกับบริษัทต่างชาติ ใช้เวลา 1 ปี เปลี่ยนจากวีซ่านักเรียน เป็นเวิร์ควีซ่า

ซึ่งความสำเร็จอาจจะไม่มากแต่ก็พอเป็นแนวทางสำหรับคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ พื้นฐานครอบครัวฐานะธรรมดา

ข้อมูลการศึกษา

ผมจบคณะเกษตรศาตร์ สาขาสัตวศาสตร์ มช. ปี 2010 เกรด 2.61 เกรดภาษาอังกฤษ C, D เรียนปี 1 ชีวิตนักศึกษาผมใช้ชีวิตปกติทั่วไปครับ และเข้าสู่วัยทำงานผมเริ่มทำงานกับบริษัท เบทาโกร ปี 2010 ตำแหน่งงาน นักวิชาการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร

ทำได้ 2 ปี ปรับตำแหน่งเป็น นักวิชาการส่งเสริมการเลี้ยงสุกร อาวุโส ทำได้ 4 ปีกว่า ปรับตำแหน่งเป็น ผู้จัดการส่วนผลิตโครงการ อายุงานระดับ ผจก. ปีกว่าอายุงานรวม 6 ปีกว่า แล้วลาออกครับ

ทำไมถึงตัดสินใจลาออก

ความสำเร็จในอาชีพการงานที่ประเทศไทย ในชีวิตผมถือว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อเราตำแหน่งงานที่สูงขึ้นหน้าที่ความรับผิดชอบยิ่งสูงด้วย ภาวะความเครียด การมีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง การจัดการระหว่างเวลางาน กับเวลาส่วนตัวทำได้ไม่สมบูรณ์ คุณภาพชีวิตขาดสมดุล ความคิดผมถ้าเป็นแบบนี้ระยะยาว จะมีปัญหาตามมาหลายๆเรื่องทั้งครอบครัว สุขภาพ การงาน ส่งผมต่อคุณภาพชีวิต จึงได้ตัดสินใจที่จะลาออกช่วงเดือน เมษายน 2016

“ลาออกจาก ผู้จัดการ อายุ 29 มุ่งสู่ การเรียนภาษาอังกฤษ และทำงานในร้านอาหารไทยประเทศนิวซีแลนด์”

ทุกคน มีทางเลือก แต่บางครั้งเราก็สับสน ถ้าเรามีความฝันของตัวเองก็ต้องพยายามทำตามความฝัน ไม่ว่าจะกี่ปีก็ต้องทำ ในมุมของผม ผมอยากใช้ชีวิตในต่างแดนและท่องเที่ยวไปจนตาย สิ่งที่ผมทำไม่ได้ คือไม่มีทุนทรัพย์ จึงต้องทำงานที่ไทยไปถึงจุดหนึ่ง

ทำไมถึงเลือกเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งที่กลัวภาษาอังกฤษ พอเราอายุใกล้ 30 เราก็จะรู้ว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้ ก็สามารถสื่อสารกับคนอื่นรู้เรื่อง คนอื่นอาจจะคิดได้เร็วกว่านี้ครับ

ทำไมถึงเลือกประเทศนิวซีแลนด์ เพราะ วีซ่านักเรียนประเทศนี้ สามารถทำงาน part time ได้ 20 ชม.ต่อสัปดาห์ เราสามารถทำงานเพื่อค่าเรียน $260

ค่าที่พัก $150 ค่ากินอยู่ $50

ทำไมถึงเลือกทำงานในร้านอาหารไทย เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่มีภาษาอังกฤษติดตัวระดับเริ่มต้นหรือ 0 และผมเป็นคนชอบทำอาหารโดยเฉพาะอาหารเหนือ

ตัดสินใจมาต่างประเทศ หลังจากยื่นใบลาออก บริษัทขอให้ทำงานอีก 3 เดือนเพื่อถ่ายงานให้คนอื่นรับช่วงต่อ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่คิดมากหลายๆเรื่องว่า การตัดสินใจเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ที่ดีแล้วหรือไม่ อนาคตจะเป็นยังไง กำหนดแนวทางชีวิตยังไง หรือเราแค่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ แต่ยังไงก็ตัดสินใจไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตก็ต้องเกิด และเวลาว่างก็หาปรึกษาเอเจนซี่ หลากหลายบริษัท หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบ้าง ถามเพื่อน ๆบ้าง ว่าค่าใช้จ่ายการเรียนเท่าไหร่ ทำงานแบบไหนได้บ้าง รายได้เท่าไหร่ จะพอค่าครองชีพ หรือเปล่า ส่งเงินให้ที่บ้านตามปกติได้หรือเปล่า สุดท้ายพอมีข้อมูลครบ ว่าไปแล้วคุ้ม

ตัวผมเองมีวุฒิปริญญาตรี สัตวศาสตร์ และประสบการณ์ 6 ปีกว่าตำแหน่งสุดท้าย ผจก. คิดว่ามีโอกาศได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติ แต่ไม่รู้จะเมื่อไหร่ลองไปดู ค่าเรียนจ่ายไปสัปดาห์ละ $260 นิวซีแลนด์ ค่าที่พักหาเองสัปดาห์ละ $120 ต่อคน ค่ากินตอนนั้นตั้งไว้ $50 แต่พอได้ทำงานร้านอาหารก็ประหยัดได้เยอะ เพราะกินข้าวฟรี ค่าทำวีซ่าของเอเจนซี่ ไม่คิดนะครับ อันนี้ดูดี ๆ

วันที่ 15 กันยายน 2016 เดินทางสู่ประเทศนิวซีแลนด์

วันที่ครอบครัวฝากความหวังกับผมต้องประสบความสำเร็จในต่างประเทศให้ได้ เรียนภาษา และทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ รายได้ขั้นต่ำประเทศนิวซีแลนด์อยู่ที่ $15.75 NZ

การเลือกโรงเรียนมีผลกับวีซ่า ถ้าเราเลือก ระดับมาตรฐาน Cat 1 วีซ่าก็สามารถทำงาน part time ได้ 20 ชม.ต่อสัปดาห์ โรงเรียนที่ระดับมาตรฐานต่ำกว่า Cat 1 ก็จะมีข้อกำหนดเรื่องการทำงาน การเรียนการสอนแต่ละโรงเรียนจะเรียนวันละ 4-5 ชม.เริ่ม 8.30-12.45 หรือเริ่ม 9.00-14.30 หรือเรียนภาคค่ำ

สิ่งที่สำคัญคือการเข้าเรียนอย่างน้อยต้อง 90% ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เข้าเรียน 100% เพราะมีผลต่อวีซ่าปัจจุบัน และการต่อวีซ่าในอนาคต หลังจากเลิกเรียนก็สามารถหางาน part time ทำได้ ก่อนจะสมัครงาน ควรติดต่อโรงเรียนเพื่อขอทำ IRD ระบบเสียภาษีของประเทศนิวซีแลนด์

การสมัครงานก็จะมีในกลุ่ม Facebook คนไทย หรือเดินไปทิ้ง CV ตามร้านต่าง ๆ หรือเว็บไซต์ seek.co.nz หรือ trademe.co.nz ซึ่งถ้าทำงานร้านอาหารไทยเรื่องรายได้ก็ตามที่รู้ๆกันครับ แต่ผมก็สามารถพิสูจน์ตัวเองกับร้านอาหารไทย จนได้ค่าแรงขั้นต่ำ ที่ $15.75 NZ จนได้ เพราะผมเป็นคนชอบเรียนรู้ และได้เรียนรู้การทำอาหารกับเชฟไทยที่นั้น จนสามารถทำอาหารได้เกือบครบทุกเมนู ทอด แกง ผัด ทำซอล ทำอาหารว่าง เตรียมวัตถุดิบก่อนขาย

สำหรับตัวผมเอง ไม่ได้เป็นคนตั้งใจขยันที่จะให้พูดภาษาอังกฤษได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว เวลาผมเรียนก็จะไม่เครียดมาก ผมเริ่มระดับต่ำสุด Beginners และ Elementary เพราะไม่รู้อะไรเลยทั้งคำศัพท์ แกรมม่า ประโยคต่าง ๆ

ข้อดีของการเรียนต่างประเทศคือ คุณจะใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า 80% ในแต่ละวัน ในห้องเรียนถ้ามีคนไทยก็อย่าพูดภาษาไทย ครูคนสอนก็จะพยายามบอกอยู่แล้ว แต่ตัวเราเองก็ต้องบอกเพื่อนว่าพูดอังกฤษมาเลย ในห้องเรียนอย่าแปลคำศัพท์ เป็นความหมายภาษาไทย ให้ใช้วีธีถามเพื่อนหรือครู หรือนอกห้องเรียนก็พยายามแปลอังกฤษเป็นอังกฤษ เพราะเวลาใช้งานจริงเพื่อนต่างชาติไม่รู้ความหมายไทย ฝึกฝนง่าย ๆ

  1. ฝึกฝนด้วยตนเองเช่น ฟังเพลงสากล ดูหนังภาษาอังกฤษ ดูคลิปต่างๆทั้งของคนไทยเองและต่างชาติ ก่อนหน้านี้ผมฟังหรือดูได้ไม่เกิน 5 นาทีครับ แต่หลังจากทำไป 2-3 เดือนเริ่มชิน ดูหนังจบเรื่อง ฟังเพลงได้เป็นชั่วโมง ดูคลิปจนจบถึงจะไม่รู้เรื่องก็ตาม
  2. การทบทวนหลังเลิกเรียนอันนี้ตัวผมเองทำแค่20% เช่น การท่องคำศัพท์ตามบทเรียน ทบทวนแกรมม่า อ่านบนสนทนา เขียนบนความสั้นๆ ถ้าคุณตั้งใจ ผมว่าคุณทำได้ 100%
  3. หาเพื่อนต่างชาติเพื่อฝึกฝนการสื่อสาร ชวนเพื่อนไปท่องเที่ยว กินข้าว หรือทำกับข้าวกินกันเอง ใช้ชีวิตกับชาวต่างชาติมากๆภาษาจะพัฒนาได้เร็ว หรือจะพักกับต่างชาติก็จะดีมาก ๆ
  4. กล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษ การแสดงความเห็นในชั้นเรียน เมื่อเราพูดคำศัพท์ หรือการออกเสียงผิด ครูและเพื่อนจะเป็นคนแก้ไขให้เราก็จะจำได้ดี

สุดท้ายอย่าคาดหวังมากเกินไป เพราะต้นทุนการเรียนภาษาต่างกัน ตย.ผมเรียนภาษาอังกฤษตอน ป.4 ถึงมหาวิทยาลัยยังไม่รู้เรื่องเลย นี้แค่มาเรียน 3 เดือน 6 เดือน คาดหวังที่จะพูดได้เหมือนเจ้าของภาษา
ผมใช้เวลา 4 เดือนสอบเลื่อนระดับได้ Pre-Intermediate ใช้เวลา 6 เดือนได้ Intermediate ลองสอบไอเอล ได้ 4.0 ในความคิดผมถือว่าประสบความสำเร็จเรื่องภาษาแล้วครับ จาก 0 สามารถสื่อสารได้ กับต่างชาติ
ขั้นตอนสมัครงาน เอกสารต่าง ๆ

เมื่อผมมั่นใจเรื่องภาษาอังกฤษเในระดับหนึ่งระดับ Intermediate จากนั้นก็หาสมัครงานใรเว็บไซต์ http://trademe.co.nz หรือhttp://seek.co.nz สิ่งที่ควรเตรียม

  1. ข้อมูลส่วนตัว CV และ cover letter
  2. วุฒิการศึกษา
  3. ใบรับรองการทำงาน ฉบับภาษาอังกฤษ

ศึกษาตำแหน่งงานของประเทศนิวซีแลนด์ ที่สามารถออกวีซ่าทำงานได้ใน https://skillshortages.immigration.govt.nz/ การสมัครงานส่วนใหญ่จะสมัครช่องทาง อีเมล์ หรือกดสมัครผ่านเว็บได้เลย ตัวผมเองก็ส่งใบสมัครวันละ 2-3 ฉบับ เพื่อฝึกฝนการส่งอีเมล์ ตอบอีเมล์

ซึ่งตอนแรงผมก็สมัครงานที่ไม่มีประสบการณ์ และได้อีเมลล์ปฏิเสธตลอด เลยรอเวลาที่มีตำแหน่งงานที่ผมมีประบการณ์ คืองานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร ส่งอีเมล์ภาษาอังกฤษแบบบ้าน ๆ เลยครับ ผมคิดว่าคนอื่นน่าจะทำได้ดีกว่าผมอีกครับ

จบผมได้อีเมลล์ ตอนนั้นดีใจมากสัมภาษณ์งานกับบริษัทต่างชาติ โดยเจ้าของบริษัท โดย Skype คุยกับเห็นหน้า ประมาณ 30 นาที ซึ่งผมก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยทำมา และการวางแผนในอนาคต ผมสอบถามการดำเนินการออกวีซ่า เวิร์ควีซ่า รอบแรกผลคือผ่าน และให้ไปสัมภาษณ์ที่ฟาร์มจริง ๆ ในเวลาต่อมาครับ

บริษัทที่ผมสมัครงานตั้งอยู่เกาะใต้ เมือง christchurch ประเทศนิวซีแลนด์ หลังจากนัดหมายผมก็เตรียมตัว ข้อมูลต่าง ๆ จนถึงวันจริงก็เดินทางไปเที่ยวรอบเกาะใต้ และไปสัมภาษณ์งาน ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2017 ใช้เวลาสัมภาษณ์กับเจ้าของบริษัทและขับรถรอบฟาร์ม ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยอธิบายการทำงาน และประสบการณ์ที่เมืองไทย ซึ่งมีความเหมือนและตากต่างกันอยู่บ้าง ซึ่งเจ้าของบริษัทบอกว่าจะแจ้งผมอีกประมาณ 5 วัน
หลังจากนั้นวันที่ 25 กรกฎาคม 2017 ได้รับอีเมลผมคือได้งาน ตอนนั้นดีใจมากคิดว่าตัวเองทำตามความฝันได้แล้ว

ขั้นตอนยื่นขอเวิร์ควีซ่า

หลังจากผมสัมภาษณ์ บริษัทได้ให้เอกสาร Job offer JD และหนังสือสัญญาการจ้างงาน ปกติประเทศนิวซีแลนด์ นายจ้างเค้าจะจ้างบริษัทจัดทำวีซ่า เรามีหน้าที่เตรียมเอกสารให้ครับเช่น วุฒิการศึกษา ใบรับรองการทำงาน ใบรับรองพฤติกรรม ใบขับขี่สำหรับงานที่ต้องขับรถ เอกสารทุกอย่างแปลเป็นภาษาอังกฤษ และตรวจสุขภาพตามข้อกำหนดประเทศนิวซีแลนด์ ระยะเวลาก่อนรอวีซ่าประมาณ 21-30 วัน

การทำงานบริษัทต่างชาติ แน่นอนว่าภาษาเราจะพัฒนาเร็วมากเพราะเราได้ใช้ทุกวัน ทุกเวลา เรื่องรายได้ก็ถือว่าโอเค คิดเป็นเงินไทยก็เกือบแสน แต่ภาษีค่อยข้างโหด 17.5% นอนจากนี้จะได้เรื่องคุณภาพชีวิต รวมถึงถ้ามีโอกาสทำงานวันหยุด หรือเสาร์ อาทิตย์ ก็ได้ค่าแรง 1.5 เท่า

ตอนนี้ผมทำงานเข้าปี 4 ย้ายมาอยู่อีกฟาร์ม เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

  • นิวซีแลนด์เป็นประเทศแห่งการพักผ่อน ท่องเที่ยว เงียบสงบ มี 4 ฤดูกาล อุณหภูมิ -10 ถึง 35 องศาแบ่งเป็น 2 เกาะ เหนือกับใต้
  • รายได้คิดเป็นชั่วโมง ขั้นต่ำ $20/hr. หรือ $800 ต่อสัปดาห์ รายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ $27/hr.
  • ภาษี 10.5% – 39% ค่อนข้างสูง
  • ทำงานครบ 1 ปี ได้ holidays pay 4 weeks
  • สวัสดิการสำหรับผู้ที่ถือวีซ่าทำงาน 2-3 ปีขึ้นไป
  • Partner ได้วีซ่า open work
  • ลูกเรียนจ่ายเท่าเด็กนิวซีแลนด์ ตั้งแต่อายุ 6-19 ปี
  • รักษาพยาบาลฟรี เสียเฉพาะค่า GP $40-$50
  • ค่าครองชีพ เทียบกับค่าแรง ต้องอยู่แบบประหยัด ทำอาหารกินเอง น้ำก๊อกดื่มได้
  • ราคาวัตถุดิบอาหารเช่นเนื้อ $13-$40/kg หมู $8-$20/kg ไข่แผงละ $5-$10 ปลา $6-$45/kg อาหารตามร้าน $12-$30 ต่อจาน บุฟเฟ่ต์ $40-$50 ต่อคน
  • ร้านอาหารตอนเย็นปิดเร็ว ตอนเช้ามีเปิดเฉพาะ cafe
  • ค่าครองชีพจะแพงเรื่องค่าที่พัก ส่วนใหญ่เค้าจะอยู่แชร์บ้านกันตกสัปดาห์ละ $120-$250 หรือเช่าทั้งหลัง $400-$700 แล้วแต่พื้นที่ บ้านราคาสูง $350k-$1M
  • รถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นมาก ราคามือสองค่อนข้างถูก $2,000-$10,000 รถใหม่ $30k-$100k ภาษี+WOF ปีละ $200 น้ำมันลิตรละ $1.5-$2.5 เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง $100-$150 ใบขับขี่ไทย 5 ปีสามารถมาสอบข้อเขียน และขับจะได้ Full NZ Driver licence
  • การเดินทางส่วนใหญ่จะเป็น 2 เลน กำหนดความเร็วไม่เกิน 100 km./hr ในหมู่บ้าน 50-70 km./hr ทำผิดกฎจารจร ค่าปรับ $80-$150
  • แนวทางการขอ Resident visa ตอนนี้อยู่ในช่วงแก้ไขกฎระเบียบ สำหรับ skilled migrant category

สุดท้าย ฝันให้ไกลไปให้ถึงครับ ผมเป็นแอดมินกลุ่ม คนไทยใน เกาะใต้ (New Zealand)


ข้อมูลจากเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

หมดปัญหาการลำเลียงน้ำ ท่อ PVC อุปกรณ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

0
ท่อพีวีซี

แม้หลายคนจะไม่ได้มีอาชีพในการก่อสร้างหรือทำงานเกี่ยวกับการประปาก็ตาม แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่เคยเห็นท่อ PVC       เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ทุกบ้านจะต้องมีและขาดไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะมีประโยชน์ครอบคลุม ทนทานและมีความปลอดภัยสูง ไม่มีฉนวนนำไฟฟ้า เป็นวัสดุที่ไม่ติดไฟ และมีให้เลือกหลายขนาด ราคาไม่แพงอีกด้วย

ประวัติและที่มาของท่อ PVC

ท่อ PVC นั้นทำมาจากโพลีไวนิลคลอไรด์ ไม่ผสมพลาสติกไซเซอร์ และชื่อที่ระบุไว้ใน มอก. คือท่อ PVC แข็ง แต่ส่วนมากแล้วจะเรียกกันเฉย ๆ ว่าท่อ PVC มากกว่า ปัจจุบันท่อประเภทนี้จะเป็นที่นิยมในหมู่กว้างในงานก่อสร้าง เพราะมีคุณสมบัติที่ดีหลายประการ เช่น มีความเหนียวยืดหยุ่นเป็นอย่างดี ทนต่อแรงดันน้ำ การกัดกร่อน ไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า จึงเป็นอุปกรณ์หลักที่นำมาใช้งานในระบบการประปา งานร้อยสายไฟฟ้า การระบายน้ำทางการเกษตรและอุตสาหกรรม

ท่อพีวีซี
ท่อพีวีซี

สาร P.V.C. ได้ค้นพบครั้งแรกเมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้ว โดยเริ่มต้นจากมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ทำการศึกษาปฏิกิริยาของสารอินทรีย์ชนิดใหม่ แล้วพบว่าเมื่อสารนี้ถูกแสงแดด จะเกิดการรวมตัวเป็นของแข็งที่ก้นหลอดทดลอง จึงทำให้ได้สารพลาสติกชนิดใหม่ และมีคุณสมบัติที่จะไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีทั่วไป อีกหนึ่งข้อพิเศษที่สำคัญคือ มีความแข็งแรง ไม่สามารถถูกทำลายโดยตรงได้ง่าย เพราะสาร P.V.C. มีคุณสมบัติที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ การจะนำมาใช้ประโยชน์นั้นจึงยากเกินไป นักวิทยาศาสตร์กลุ่มดังกล่าวจึงยุติการพัฒนาสาร P.V.C. ลง จนเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1920  ได้มีการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับ   สาร P.V.C. อีกครั้งในโซนยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยได้ศึกษาอย่างจริงจังที่จะนำเอามาใช้ประโยชน์ และในประมาณปี ค.ศ. 1930 ได้มีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชาวเยอรมัน นำสาร P.V.C. นี้มาผลิตเป็นท่อPVC ทดลองนำมาใช้งานก่อน ผลปรากฏว่าการใช้งานมีประสิทธิภาพสูงมาก และได้กลายมาเป็นอุปกรณ์สำคัญมาจนทุกวันนี้

และในปัจจุบันท่อPVC นั้นมีบทบาทสำคัญในการใช้งาน และเป็นสินค้าที่มียอดจำหน่ายในตลาดโลกสูงมาก สถิติการผลิตท่อ PVC ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1976 ผลค่าเฉลี่ยออกมาว่า มีการผลิตท่อ PVCมากถึง 1.5 พันล้านปอนด์ และได้มีการพัฒนาและกำหนดมาตรฐานขึ้นมาเรื่อย ๆ เพื่อให้ดีต่อการใช้งานมากที่สุด แต่สำหรับในประเทศไทยนั้น ท่อ PVC เริ่มเป็นที่รู้จักและมีการนำมาใช้งานมากขึ้น เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย จนสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำหนดสีมาตรฐานท่อ PVCและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องที่เป็นตัวเชื่อมต่อท่อ PVC  โดยแบ่งแยกสีตามการใช้งาน เช่น การใช้งานในอุตสาหกรรมท่อ PVC จะมีลักษณะแข็งแรง ใช้งานสำหรับเป็นท่อร้อยสายไฟฟ้าและโทรศัพท์ กำหนดให้เป็นสีเหลืองอ่อน สำหรับใช้งานเป็นท่อน้ำดื่ม ได้กำหนดให้เป็นสีน้ำเงิน ส่วนในงานอุตสาหกรรมและชลประทานกำหนดให้เป็นสีเทา เป็นต้น

ท่อ PVC และ ท่อ PPR  มีข้อดีแตกต่างกันอย่างไร

ประเทศไทยยังมีอีกท่อประเภทหนึ่งที่ใช้งานได้คล้ายคลึงกับท่อ PVC นั่นก็คือ ท่อ PPR หลายคนคงสงสัย ว่าท่อทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร เรามาดูความเปรียบเทียบกันเลยว่าทั้งสองประเภทนี้ อันไหนดีกว่ากัน

  1. วิธีการติดตั้ง ท่อPVC จะใช้กาวเชื่อมในการประสานท่อและข้อต่อ ซึ่งอาจจะเกิดปัญหารั่วซึมในอนาคตได้ ส่วนท่อ PPR จะใช้เครื่องเชื่อมต่อ เพื่อให้ประสานเป็นเนื้อเดียวกันในเรื่องของการรั่วซึมในอนาคตจึงไม่เกิดขึ้น
  2. คุณภาพของวัสดุ ท่อPVC แม้เราจะได้พูดถึงกันมาแล้วว่าท่อPVCนั้น มีความแข็งแรง เหนียวยืดหยุ่น แต่ ท่อPVCเองก็มีการกร่อนและแตกง่ายอยู่ด้วยเช่นกัน เมื่อโดนวัตถุที่มีความหนักนั้นเหยียบ ท่อประเภทนี้จะไม่สามารถทนแรงกระแทกได้  ในส่วนของท่อ PPR จะมีความยืดหยุ่นสูงกว่ามาก การโดนเหยียบหรือการกระแทกจึงไม่มีผลอะไรกับท่อชนิดนี้
  3. อายุการใช้งาน ท่อ PVC มีอายุการใช้งานสั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของคุณภาพกาวและการติดตั้ง ที่มีการเสื่อมสภาพได้ หากได้รับแสงอัลตร้าไวโอเลตหรือถูกแสงแดดเป็นเวลานาน แต่สำหรับท่อ PPR นั้น มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 50 ปี เพราะถูกเชื่อมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แสงแดดจึงไม่สามารถลอดผ่านไปได้
  4. ระบบน้ำร้อน ท่อ PVC ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิเกิน 50 องศาเซลเซียสได้ แต่ท่อ PPR สามารถทนต่ออุณหภูมิได้สูงสุดถึง 95 องศาเซลเซียส
  5. ความสามารถในการซ่อมแซม เมื่อใช้สว่านหรือตะปูเจาะ ท่อ PVC หากโดนเจาะแล้ว จะต้องรื้อผนังหรือกระเบื้องออก เพื่อซ่อมแซม แต่สำหรับท่อ PPR มีการซ่อมแซมที่ง่ายกว่า เปิดช่องว่างเฉพาะบริเวณที่จะต้องเจาะโดนเท่านั้น ก็สามารถอุดรูรั่วอะไรต่าง ๆ ได้
  6. การทดสอบระบบน้ำหลังจากการติดตั้ง ท่อ PVC จะต้องรอประมาณ 24 ชั่วโมง เพื่อให้กาวที่เชื่อมต่อนั้นแห้งดีแต่สำหรับท่อ PPR นั้น สามารถทดสอบการทำงาน หลังจากที่ท่อเย็นตัวลงแล้วภายในไม่กี่นาที
  7. อุปกรณ์ในการติดตั้ง ท่อ PVC จะใช้กาวในการประสานเท่านั้น ส่วนท่อ PPR จะใช้เครื่องเชื่อมโดยเฉพาะ
  8. ราคาของวัสดุ ท่อ 2 ประเภทนี้ราคาจะไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ยังไงท่อ PVC ก็มีราคาถูกกว่าท่อ PPR

ท่อ PVC และท่อ PPR มีการใช้งานต่างกันอย่างไร

แน่นอนว่าหลายคนรู้จักท่อ PVC เป็นอย่างไร และยังไม่ค่อยคุ้นชื่อท่อ PPR กันสักเท่าไร เพราะว่าเพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จักและใช้งานมาไม่นานนี้เอง สำหรับการใช้งานของท่อทั้งสองประเภทนี้มีความคล้ายคลึงกัน ไม่ได้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ว่าคุณสมบัติของท่อ PPR จะมีความแข็งแรงและทนต่อความร้อนสูงได้ดีกว่าท่อ PVC ฉะนั้น การนำมาใช้งานท่อสีเขียวหรือท่อ PPR จะใช้เพื่อลำเลียงน้ำอุ่นและน้ำร้อนภายในตัวอาคาร และรับความดันน้ำได้มากกว่า จากที่เมื่อสมัยก่อนประเทศไทยและทั่วโลกได้ใช้     ท่อเหล็กเป็นท่อประปา คุณสมบัติของท่อเหล็กนั้นมีความทนทานกว่าท่อพลาสติกอยู่แล้ว แต่ข้อจำกัดก็คือ ท่อเหล็กมีราคาสูงและสามารถขึ้นสนิม มีความอันตรายและน้ำหนักเยอะกว่า การขนส่งและการติดตั้งก็ทำได้ยากกว่าด้วย จึงทำให้ท่อ PPR นั้น เข้ามาทดแทนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เหมาะสมกับการใช้งานให้ประโยชน์ได้มากกว่า แต่ท่อ PVC ก็ไม่เหมาะกับการใช้งานที่มีความร้อนสูงอยู่ดี ในภายหลังทั่วโลกจึงได้มีการพัฒนาท่อพลาสติกชนิดใหม่นั่นก็คือท่อ PPR ขึ้นมาทดแทนท่อเหล็กในการลำเลียงน้ำร้อนหรือน้ำอุ่น


ทีนี้ก็คงพอเข้าใจกันมากขึ้นแล้วว่าท่อ PVC นั้นคืออะไร มีการใช้ประโยชน์อะไรบ้าง  และก็ยังได้เห็นข้อแตกต่างของท่อ PPR อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันท่อทั้งสองประเภทนี้ก็ยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ยังคงใช้งานได้เป็นอย่างดี และมีการผลิต วิจัย พัฒนาให้มีความแข็งแรงขึ้น แม้ว่าท่อ PVC เองจะมีคุณสมบัติด้อยกว่าท่อ PPR เล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการในวงการตลาด เพราะหากไม่ได้รับผลกระทบทางแสงแดดเป็นเวลานาน หรือโดนแรงกระแทกใด ๆ ท่อ PVC ก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยเช่นกัน

4 ปีที่นิวซีแลนด์ มีข้อดี ข้อเสีย อะไรบ้าง

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ เราอยู่มาเข้าปีที่ 4 แล้ว บอกก่อนว่าเราโลกส่วนตัวสูงพอสมควร เป็นพวก introvert เลยชอบที่นี่ อยู่ Taranaki หรือ ภูเขาทารานากิ แฝดภูเขาไฟฟูจิ ขับรถไปทางไหนก็สวย วิวดีมากกก ตึก รามไม่มีมาบดบัง ฟีล the hobbit ในหนัง

ข้อดี / ข้อเสีย

  • อากาศดีมากก อย่างที่บอก ควันฝุ่นไม่มี วันๆเดิน tracking เข้าป่า ไปทะเล ตกปลา สำหรับสายธรรมชาติ outdoor จะเลิฟมาก
  • สัตว์ดุร้ายแบบจระเข้ เสือ สิงห์ไม่มี งูไม่มี เดินป่าปลอดภัยไม่ต้องกลัว แต่ตั้งแคมป์ไปทะเลยุงเยอะอยู่ ระวังแมลง sandflies
  • คนกีวี่เฟรนลี่นะคะ ยังไม่เคยเจอเคสเหยียดเอเชียกับตัว
  • Auckland ตั้งอยู่บนภูเขาไฟ(ที่ตอนนี้หลับอยู่) รวมถึง Taranaki ที่เราอยู่ เพราะฉะนั้นจะเป็นเนินเยอะ เดินก็ต้องเยอะ แผ่นดินไหวบ้าง ซื้อบ้านอะไรก็ต้องดูเมืองดีๆ เช่น taupo เฝ้าระวังความร้อนใต่ดินปะทุ
  • ตอนนี้ราคาบ้านแพงมากก รัฐบาลกำลังแก้ปัญหานี้ คนกีวี่เองยังซื้อไม่ได้ ความต้องการซื้อบ้านมีมาก เขาพยายามให้คนของเขาได้มีบ้านก่อน คนเอเชียหรือต่างถิ่นก็จะยากหน่อย ไม่ก็ต้อง offer สูงเกินเหตุ ถ้าอยากซื้อบ้านตอนนี้ / สำหรับวีซ่านักเรียน หรือวีซ่าอื่น ๆ เรื่องที่พัก ก็มีให้เช่าบ้าน แชร์บ้าน flatmates ราคาแล้วแต่เมืองที่อาศัยอยู่ จะจ่ายเป็นต่ออาทิตย์ week ละ 3- 4 พัน++ บาท ส่วนมากรวมน้ำไฟ เน็ตแล้ว
  • ค่าครองชีพถือว่าสูง เรทภาษี ยิ่งรายได้มากยิ่งจ่ายภาษีมาก ต่ำสุด 10.5% สูงสุดถึง 30-39 % แต่บวกลบกับรายรับ ถือว่าสูงค่ะ ถ้าไม่กินหรูทุกมื้อก็อยู่ได้ ทำอาหารกินเอง ไรงี้ ที่บ้านก็ดื่มน้ำก๊อก แค่ติดเครื่องกรองน้ำ แต่ไวน์ราคาถูกค่ะ
  • งานที่เป็นที่ต้องการ หางานง่ายก็พวกงานนวด / เชฟ , บาริสต้า / ช่าง / วิศวกร / แพทย์ สัตวแพทย์ พยาบาล เสริมสวย อื่นๆ สามารถเข้าเว็บไซต์ https://skillshortages.immigration.govt.nz/ เพื่อดูตลาดอาชีพที่นี่ต้องการ ในเว็บอิมมิเกรชั่นจะอัพเดท ต้องคอยดูนะคะ กำลังจะไปเรียนสกิลเพิ่มอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มีสายอาชีพ ก็ต้องมาเรียนต่อ ด้วยวีซ่านักเรียน หรือ หาวีซ่าแฟนเอา
  • พลเมืองที่นี่ คนว่างงาน on benefits หรือพิการรัฐจ่ายให้รายอาทิตย์ ไม่แน่ใจว่าเท่าไร แต่ไม่ใช่เดือนละ 500-600 เหมือนไทยแน่นอน
  • ราคารถ ถูกกว่ามือถือ ยิ่งมือ 2 ทำงานแปปเดียวก็ออกรถได้แล้ว ปล.คนกีวี่รวย ๆ ส่วนมากนิยมซื้อรถกระบะ พวก ute ที่นี่รถกระบะแพง… ใครสายรถมินิ หรือรถหรู มาซื้อได้ที่นิวเลย ราคาไม่บาดเลือด
  • ใครเบื่อรถติดกรุงเทพ มาอยู่นี่อย่าอยู่ในเมืองใหญ่ๆ รถติดเหมือนกัน
  • เสื้อผ้าเชย ไม่ค่อยสวย แพง คนที่นี่ แต่งตัวง่าย ๆ เราสั่งออนไลน์เอาจาก australia จาก shein

อันล่างเผื่อสาว ๆ ที่ปักทินเดอร์

  • ผู้ชายกีวี่น่ารักก ไม่ค่อยนอกลู่นอกทาง เจอคนขยันจะโชคดีมาก มีความรับผิดชอบ.. แต่ๆ ดื่มหนัก และรอบคอบเรื่องการใช้เงินมาก 555555 แล้วแต่ดวงด้วยเพราะจะชาติไหนก็มีดีมีไม่ดี
    คนขี้เกียจก็มีเยอะ ไม่มาทำงาน กินเงินรัฐฟรี คนเอเชียจะขยันมาก ๆ มาทำงานทุกวัน
  • คนที่นี่ไม่ค่อยเน้นวัตถุนิยม ที่เน้นก็มีแล้วแต่ lifestyle  หมายถึงชาวกีวี่นะคะ) บางส่วนก็ออกไปอยู่ออสเตรเลีย เช่น พวกวัยสร้างตัว เพราะงานหลากหลายกว่า ค่าแรงเยอะกว่า ** แม้จะรวยเป็นเศรษฐีที่นี่แต่เขาก็ใช้ชีวิตธรรมดา
  • แต่คนเป็นเจ้าของฟาร์มวัวฟาร์มแกะ บ้านสวยมากก บ้านหลังใหญ่มาก เราชอบมองเวลาขับผ่าน
  • ข้อมูลไม่ 100% เล่าจากที่ได้อยู่สัมผัสมา ใครมีข้อมูลแน่นกว่านี้มาแชร์ได้นะคะ

#อัพเดทเพิ่มเติม

** เพิ่มเติมเรื่องวีซ่าต่าง ๆ visitor / work / partner หรือ วีท่องเที่ยว ทำงาน คู่ครอง อื่น ๆ ของนิวซีแลนด์ ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่มี license เท่านั้นนะคะ คนที่ไม่ได้ทำงานึด้านนี้ ไม่มี lisense เรื่องวีซ่า ให้คำปรึกษาไม่ได้ (คือผิดกฎของที่นี่) ถ้าอันไหนไม่ได้เจาะลึกมาก ก็ตอบได้ค่ะ
** ตอนนี้นิวซีแลนด์ปิดประเทศ ไม่รับพิจารณาวีซ่าทุกกรณี ยกเว้น วีซ่า partner /คู่ครอง ที่เปิดรับและพิจารณาอยู่
** ระวังพวกต้มตุ๋น หลอกลวงให้โอนเงินค่าสมัคร ค่าเอกสาร ไปทำงาน เก็บผลไม้ งานนวดหรืออื่นๆ ดูให้ดีๆนะคะ ประเทศปิดอยู่กว่าจะเปิดน่าจะปีหน้าเลย ใครมาบอกว่าจะเซ็นใบประกันให้มาทำงานตอนนี้ คือ โดนหลอก 99%


ข้อมูลจากเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ชี้ทางไปนิวซีแลนด์แบบคนงบน้อย

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ แบบคนงบน้อยสุดแต่มีความพยายามมากสุด

มาชี้ทางอีกแล้วค่ะ สำหรับ

  1. ผู้ที่เรียนจบปริญญาตรี
  2. อายุไม่เกิน 30 ปี
  3. มีเงินในบัญชีประมาณ NZ$7000 หรือประมาณ 1.5แสน
  4. มีผลสอบIELTS 4.5

เตรียมเอกสารทุกอย่าง ใบจบ ผลไอเอล ไว้ก่อน 1 มิถุนายนของทุกปี เตรียมกดโควต้าเข้านิวซีแลนด์ด้วยวีซ่า Working Holiday Visa รับ 100 คนต่อปี จะเริ่มกดโควต้าประมาณตี 5 เวลาไทย (ตรงกับ 9 โมงเช้าของนิวซีแลนด์)

ต้องเตรียมไว้ก่อนกดนะคะ เพราะถ้ากดได้แล้วเอกสารไม่พร้อมยื่นจะโดนตัดสิทธิ์ห้ามกดวีซ่าประเภทนี้ตลอดชีวิตค่ะ

ทำงานอะไร : อะไรก็ได้ที่สมัครได้

ระยะเวลาวีซ่า 1 ปี นับเวลา 1 ปีเมื่อเดินทางเข้าประเทศ

ค่าใช้จ่าย

-ค่าวีซ่า

-ค่าตั๋วเครื่องบิน

อย่าไปจ่ายค่าบริการอะไรให้ใครเพราะไม่มี มีแต่ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเรา ปีนี้อาจจะไม่มีวีซ่านี้ ก็ให้น้อง ๆ เรียนภาษาสอบภาษาเตรียมตัวไว้ค่ะ ข้อมูลมีมากมายในเวบ ลอง search หากันนะคะ

ข้อเสีย คือ รับแค่ 100 คนต่อปี / ทำงานได้เพียง 3 เดือนต่อ 1 นายจ้าง แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับหลายคน บางคนทำงานเก่งมากนายจ้างเปลี่ยนวีซ่าทำงานให้เลยก็มีค่ะ

หมายเหตุ ถ้าไปงบน้อยก็มี work and holiday ของออสเตรเลีย / Aupair อเมริกา ยุโรป แต่พี่ทีมนิวซีแลนด์เลยมาชี้ทางเข้าเฉพาะนิวซีแลนด์ค่ะ

ถ้ามีโอกาสจะมาชี้ทางอื่นๆอีกนะคะ มีอีกหลายทาง คนที่อายุเกินไม่่ต้องน้อยใจค่ะ


ข้อมูลจากเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโยกโยกย้าย

ค่าแรงฟรีแลนซ์สาย Production ที่อเมริกา

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

Freelance บ้านเรา ค่าแรงและความเป็นอยู่จะค่อนข้างปากกัดตีนถีบนิดนึง ผมจึงขอนำเสนอค่าแรง Freelance สายโปรดักชั่นที่อเมริกาบ้าง เป็นการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตและจากการถามเพื่อนที่อเมริกานะครับ

เราหวังแค่ minimum rate ต่ำสุดของเค้า เราก็อยู่ได้แล้วครับ #ทีมอเมริกา

ค่าแรงฟรีแลนซ์สาย Production ที่อเมริกา ค่าแรงฟรีแลนซ์สาย Production ที่อเมริกา ค่าแรงฟรีแลนซ์สาย Production ที่อเมริกา ค่าแรงฟรีแลนซ์สาย Production ที่อเมริกา ค่าแรงฟรีแลนซ์สาย Production ที่อเมริกา ค่าแรงฟรีแลนซ์สาย Production ที่อเมริกา

ชั่วโมงการทำงาน

ภาพยนตร์, ซีรี่ส์ 12 ชม./วัน

โฆษณา 10 ชม./วัน

สัปดาห์นึงทำงานไม่เกิน 5 วัน

ถ้าเกินวันที่ 6 คิดค่าแรง x1.5

ถ้าเกินวันที่ 7 คิดค่าแรง x2

OT x1.5 ของค่าแรง

คิดทุกๆ 15 นาที

เลยเที่ยงคืนคิด OT x2

ต้องมีเวลาพักผ่อน 10 ชม.

หากเรียกกองก่อน ถือว่าเป็น OT

เช่น เลิกกองเที่ยงคืน ถ้านัดกอง 6 โมงเช้า จะโดน OT 4 ชม. ทันที

ปล.

– การต่อรองราคาเป็นเรื่องปกติของชาว Freelance ที่อเมริกาก็ต่อรองราคาเช่นกัน
– Rate ค่าแรงปี 2019
– ส่วนใหญ่จะคิดเฉพาะค่าแรง ไม่รวมค่าอุปกรณ์
– ไม่ใช่ค่าแรงของ Small Production หรือ Youtuber (ซึ่งจะราคาถูกกว่านี้)
– ถ้าคนที่เข้าไปอยู่ใน Union ค่าแรงจะสูงกว่านี้อีก
.
เผื่อใครมีโอกาสตามฝัน ได้ไปทำงานกองถ่ายที่อเมริกาครับ


ข้อมูลจากเฟซบุ๊ค Lit Samajarn

ชีวิต 3 ปีในนิวซีแลนด์

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ ริวิวตามจริง ไม่โลกสวย ไม่อวยประเทศ

อาชีพเดิม : pr ศูนย์การค้าชั้นนำย่านสุขุมวิท

อาชีพใหม่ : คนงานไร่องุ่น

เพิ่งย้ายมาอยู่นิวซีแลนด์ได้ 3 ปี ทุกวันนี้ยังคิดถึงเมืองไทย ถ้าถามว่าอยู่นิวดีกว่าอยู่ไทยไหม ต้องถามกลับว่าอยากหนีอะไรจากเมืองไทยมา ถ้าคำตอบคือหนีคุณภาพชีวิตแย่ๆ มาจากไทย คำตอบที่จะตอบได้คือที่นิวดีกว่ามาก แต่ถ้าถามเรื่องความสะดวกสบาย ที่ไทยดีกว่าแน่ๆ เราต้องเลือกว่าอยากได้อะไร เพราะทุกประเทศมีข้อดีข้อเสียต่างกัน

ต้องขอย้อนความก่อนว่าตอนอยู่ไทยอาชีพการงานก็ค่อนข้างดีมาก แต่ที่ตัดสินใจย้ายเพราะงานมันเครียดจนส่งผลไปถึงสุขภาพ เลยตัดสินใจกับสามีทำเรื่องย้ายประเทศมา (ตอนแรกตั้งใจย้ายแค่ชั่วคราวแต่ตอนนี้เริ่มคิดทบทวนใหม่) อาชีพการงานของเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากพนักงานออฟฟิศ เป็นชาวสวนองุ่นเต็มตัว

ด้านรายได้:

ที่นิวค่าแรงขั้นต่ำคือ $20 (ประมาณ 400 บาทต่อชั่วโมง) แต่อย่าคิดว่ามันมาก เพราะค่าแรงที่มาก มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่มากตามมาเช่นกัน ค่าใช้จ่ายที่นี่ส่วนใหญ่จ่ายเป็น week ค่าเช่าบ้านโดยประมาณ week ละ $350 ถ้าคูณเป็นเดือนก็เยอะเอาการ สำหรับตัวเองแล้วรายได้ต่อปีน้อยลง แต่รายจ่ายก็น้อยลงเพราะที่นี่ไม่ค่อยมีที่ให้ shopping เหมือนที่ไทยทำให้เงินเก็บเพิ่มขึ้น (ที่เป็นแบบนี้เพราะเรามาอยู่นิวกับแม่ที่นำทางมาก่อนแล้ว รวมถึงมากับสามีทำให้ค่าใช่จ่ายหาร 3 เลยไม่หนักมาก

แต่ใครที่มาตัวคนเดียว ช่วงแรกก็หนักเอาการไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่ากิน รวมถึงค่าไฟที่ค่อนข้างจะแพงถ้าเที่ยบกับบ้านเรา ที่บ้านอยู่กัน 4 คน หน้าร้อนจะตกอยู่ที่เดือนละประมาณ 300 NZD แต่ถ้าหน้าหนาวก็จะตกอยู่เกือบๆ 400 NZD

ด้านความเป็นอยู่:

มาปีแรกตื่นเต้นเพราะเจออะไรใหม่ๆ ปีที่ 2 คิดถึงเมืองไทย อยากกลับไปเที่ยว ไปกินอะไรอร่อยๆ ปีที่ 3 เริ่มชินใช้ชีวิตแบบสบายๆ เริ่มไม่อยากกลับเมืองไทยแล้ว เราอยู่ในเมืองที่ผู้คนเป็นมิตร เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็ก ๆ ของคน local ชื่อเมือง Martinborough เป็นเมือง vine village

คนส่วนใหญ่ทำงานสวนและงานฟาร์ม คนทำงานสวนองุ่นจะมีช่วงเวลาหยุดพัก 2-3 เดือนต่อปี เหมือนได้ปิดเทอมช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว และช่วง Pruning (ตัดแต่งกิ่ง) รอเริ่มฤดูกาลใหม่ ด้านรายได้ถือว่าดี เพราะมีทั้งงานที่จ่ายเป็นชั่วโมงและงานเหมาที่นี่จะเรียกว่างาน contract ใครทำเก่งทำไวก็จะได้เงินเยอะ บางงานได้ตกชั่วโมงละ 40-50 NZD ก็มี แถมยังมีช่วงหยุดพักอีกต่างหาก

อัตราภาษี:

  • Up to $14,000 : 10.5%
  • 14,000-48,000: 17.5%
  • 48,000-70,000: 30%
  • 70,000-180,000:33%
  • 180,000 up. : 39%

ข้อแตกต่างจากเมืองไทยคือ เค้าใช้รายรับทั้งหมดมาคิดภาษี ต่างจากที่ไทยที่มีลดหย่อนเยอะ เลยเลี่ยงภาษีได้ ที่นี่เท่าที่ศึกษาเเล้วไม่ค่อยมีลดหย่อน ทำงานได้มาเท่าไหร่ ต้องจ่ายภาษีหมด

Job:

การทำงานที่นี่ ค่อนข้างต่างจากไทยมาก คนที่นี่ชอบเรียนสายอาชีพ เพราะหางานง่ายกว่า เนื่องจากเป็นประเทศเล็กๆ ถ้าไม่นับเมืองหลวงและเมืองท่าแล้ว บริษัทที่นี่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจครอบครัว พนักงานจะไม่เกิน 10 คน บริษัทที่มีพนักงาน 50 คน up ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่มากแล้ว เราทำงานบริษัทที่มีสวนองุ่น 150,000 ต้น มีโรงไวน์เป็นของตัวเองส่งขายทั่วประเทศและต่างประเทศ มีพนักงานรวมคนทำสวนประมาณ 20 คน (รวมเจ้าของ) มาใหม่ๆ ตกใจมาก เพราะตอนอยู่ไทยเคยทำงานบริษัทที่มีพนักงานเป็นหมื่นคน เราเล่าให้เจ้าของโรงไวน์ฟัง เค้าก็งง ทำไมยูทำงานบริษัทใหญ่จัง

ดังนั้นคนที่อยากมาทำงานออฟฟิศ ความรู้ต้องแน่นจริง ภาษาต้องดีเริ่ด เพราะงานแบบนี้ค่อนข้างน้อยอัตราแข่งขันสูงแต่ถ้ามาทำสายอาชีพ ถือว่าสบาย หางานง่าย ตัวเลือกเยอะ ยิ่งพวกงานก่อสร้าง( building) ยิ่งหางานง่ายรายได้ดี งานซ่อมรถก็เริ่ด ได้ ชม. ละประมาณ $40 up

แต่ถ้าอาชีพค้าขาย ค่อนข้างลำบาก ที่นี่ทำอะไรต้องขออนุญาตทั้งหมด จะมาตั้งขายของริมทางอย่างไทยนี่ยากกกกก จะขายของกินก็ต้องมีคนมาตรวจครัวว่าสะอาดได้มาตรฐานไม่ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าตั้งโต๊ะแล้วขายได้เลย รวมถึงทำอะไรต้องจ่ายภาษีหมด จะมาหลบเลี่ยงไม่ได้ จะทำอะไรต้องจ้างทนายและสำนักงานบัญชี จะทำเองเรื่อยเปื่อยเหมือนตอนอยู่ไทยไม่ได้ มาบ้านเมืองเค้าก็ต้องรับกติกาเค้าให้ได้

สรุปโดยรวม ตอบไม่ได้ชัดๆ ว่าอยู่ไหนดีกว่ากัน อันนี้แล้วแต่คนชอบ ถ้าชอบสะดวกสบายอะไรก็ได้ต้องที่ไทย เพราะที่นี่เค้าไม่ได้พัฒนาแบบสุดโต่ง เค้าพัฒนาแต่สิ่งที่จำเป็นกับประชากรเค้า ห้างนี่มีน้อยมาก เพราะคนที่นี่เน้นเที่ยวธรรมชาติ เค้าเลยไม่รู้จะสร้างห้างมากมายไปทำไม รถไฟฟ้าเค้าก็ไม่มี เพราะรถที่นี่ไม่เยอะจนล้นถนน รถคันไหนเด่าจนตรวจสภาพไม่ผ่านก็ต้องเอาไปทำลายทิ้ง รถเลยไม่มีล้นถนน เพิ่มเติมอีกอย่างระบบขนส่งที่นี่ดีมาก

คนนอกเมืองที่ต้องไปทำงานในเมือง ส่วนใหญ่จะขับรถไปจอดที่สถานนีรถไฟแล้วต่อรถไฟเข้าเมือง มันดีตรงที่เค้า link กันหมดพอรถไฟจอด รถเมล์ก็มารอรับในเวลาที่พอดีกัน ไม่มีว่า รถบัสหมดก่อนรถไฟ เเล้วเดินทางต่อไม่ได้ แถมอีกอย่าง ระบบขนส่งสาธารณะมาตรงเวลามาก เราสามารถกะเวลาเดินทางได้โดยไม่ต้องเผื่อรถติด
ตอนนี้นึกออกแต่นี้ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวมาเล่าให้พังใหม่นะคะ

Edit

เพิ่มเติมอีกนิดค่ะ ส่วนตัวเคยย้ายมาอยู่นิวหลายรอบแล้ว แต่ทนคิดถึงเมืองไทยไม่ไหว หนีกลับทุกรอบ ด้วยเหตุผลที่ว่านิวเป็นเมืองที่เงียบสงบมากกกกก สงบจนน่ากลัว สมัยก่อนอินเตอร์เน็ตก็ไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้สบายมาก NZ นี่ 5G แล้วนะคะ มาแล้วไม่เหงาเลย เบื่อก็ดูข่าวไทยละครไทย หรือไม่ก็ซีรี่ย์เกาหลี คิดถึงเพื่อนก็ vdo call อยากกินของไทยก็สั่งออนไลน์ อิจฉาเด็ก ๆ สมัยนี้ ย้ายประเทศแล้วไม่เหงามาก เหมือนแค่ย้าย รร.


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ชีวิตวิศวกรที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย หวัดดีครับ เห็นหลายคนเล่าวิธีการย้ายไปอยู่ต่างประเทศตั้งหลายโพสแล้ว ผมเลยจะมาเล่าชีวิตการเป็นอยู่และชีวิตการทำงานในต่างประเทศบ้างดีกว่า

.

ผมย้ายมาอยู่ออสเตรเลีย Melbourne ปี 2017 แต่ก่อนเป็นวิศวกรอยู่รัฐวิสาหกิจชื่อดังย่านพระรามเจ็ด ช่วงที่ลาออกมาทุกคนบอกว่าเสียดาย แต่ผมคนเดียวที่คิดว่าคุ้มครับ

.

อยู่ที่นี่ชีวิตอิสระดี ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะว่าไม่ว่าทำอาชีพอะไร เงินเดือนก็จะไม่ต่างกันเยอะ ตัวอย่างเช่น ผมเห็นผู้จัดการโรงงาน คุมทั้งโรงงาน ก็รายได้แทบไม่ต่างกับ พนักงานใน ไลน์ อย่างมาก็ 20%

.

ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกันคนจนไม่ได้ต่างกันมาก ไม่ใช่แบบเมืองไทยที่ start 14900 หัวหน้า รายได้ 100000 up รายได้ต่างกันเป็น 10 เท่า ทำให้ทุกคนอยากที่จะไปเป็นหัวหน้าเพื่อจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น

.

ที่นี่จะเจอปรากฎการณ์ใหม่คือไม่อยากเป็นหัวหน้า คือกูพอใจรายได้เท่านี้และ มึงอยากไป คือขึ้นไปเลยกูขี้เกียจปวดหัว

.

พอได้เลือกในสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่ตามมาคือความสุขครับ ผมจึงเลือกไปเรียน ช่างก่อสร้างบ้าน(Carpenter) ใจจริงอยากเรียนช่างไฟแต่เขาไม่ให้เรียนเพราะต้องเป็น citizen ก่อน

.

ตอนเริ่มเรียนนี้ผม อายุ 35 แต่คนอื่นอายุ 19 ที่นี่เขาเริ่มทำงานกันตั้งแต่อายุยังน้อยครับ เด็กๆ ตอนเรียนก็ทำงานกันด้วยไปเลย เขาเลยเพิ่งตัวเองได้กันตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เหมือนที่เมืองไทย ต้องรอให้จบ ปตรีก่อน

.

ตอนเรียนที่นี่ รู้เลยว่าการเรียนการสอนต่างกับที่ไทยมากๆๆ ผมก็เรียนช่างมาก่อนเลยรู้ว่าต่างกันยังไง ที่นี่ เขาให้ลองทำจริงๆ ตั้งแต่ขุดดิน ใส่เสา จนถึงสร้างหลังคา ติดประตู หน้าต่าง และระหว่างที่เรียน ก็ทำงานสร้างบ้านไปด้วย รู้สึกการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมาก เพราะเรียนไปทำงานไปด้วย เรารู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เรียนเอาแค่เกรดอย่างเดียว

.

Apprentice ที่นี่จะทำงาน 4 วันและเข้ามาเรียน 1 วันต่อ สัปดาห์ แต่นายจ้างออกค่าเทอมให้ แต่ให้เงินใช้ด้วย

.

ถ้าถามว่าเจอ Bully ไหม เจอจนชินครับ อย่าไปคิดมาก เวลาเราออกเสียงผิด เพื่อนนี้ล้อเราเป็นเดือน 5555

.

งานช่างในต่างประเทศนี้คนทำน้อยมาก ผมถามครูว่าเคยมี Thai student มาเรียนบ้างไหม เขาบอกว่าสอนมา 30 ปี เพิ่งเจอเอ็งอะคนแรก อาจจะเป็นเพราะการสร้างบ้านที่นี่ กับ ที่ไทยมันต่างกัน เลยไม่มีใครมาเรียน ซึ่งตรงนี้รู้สึกเหงาครับ อยากให้มาเรียนกัน จะได้มีคนช่วยทำงานบ้าง

.

อยู่ที่นี่จะเจอแบบว่า ไม่อยากทำงานเยอะ เดี๋ยวจะโดนภาษีเยอะ มันเหมือนกับว่า นโยบายเขา ไม่อยากให้คนรวยกันคนจน ห่างกันเยอะ ยิ่งทำงานเยอะ Rate ภาษียิ่งหนัก แต่คนไม่ทำงาน กับมีเงินสนับสนุนเยอะแยะไปหมด จนคนส่วนใหญ่เริ่มขี้เกียจกัน (ขี้เกียจรวย) เป็นอะไรที่แปลกมากๆ

.

สุดท้ายนี้ ใครที่อยากย้ายประเทศก็รีบๆ กันนะครับเพราะว่ากฏเปลี่ยนกันทุกวัน ยิ่งต่อไป คนย้ายเข้ามาเยอะ กฏก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆแล้วก็ไม่ใช้ย้ายถาวรหรอกครับ เพราะโชคดีที่เรามีสองพาสปอร์ต คือเรามีสิทธิมากขึ้นการเลือกว่าจะอยู่ประเทศไหนก็เท่านั้นเอง อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวครับ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ฉันจะไม่ยอมเป็นผีน้อย EP1

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ฉันจะไม่ยอมเป็นผีน้อย Ep1 #ทีมออสเตรเลีย #ทีมทุนน้อย

จากที่เราได้เล่าเรื่องราวของเรา ใน #เดอะซีรี่เธอเป็นออสซี่ได้ยังไง แล้วมีคนสนใจมาก แต่เนื้อหาใน Ep1-3 เกี่ยวข้องกับการเข้าประเทศออสเตรเลีย ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ดังนั้นทำให้มีหลายคนเข้าใจผิด ว่าเราแนะนำการเข้าประเทศแบบผิดกฏหมาย ทำให้ทางทีมแอดมิน ต้องลบโพสออกไป ทั้ง 3 ep โดยที่เรายังไม่ทันได้เขียน บทสรุป ในep ที่ 4 ว่าเราได้เปลี่ยนวีซ่าทีหลัง ครั้งนี้เราเลยจะทำการเขียนใหม่

..

#ฉันจะไม่ยอมเป็นผีน้อย การเข้าประเทศออสเตรเลียของเรา ด้วย วีซ่าท่องเที่ยวนั้นเกิดจาก การที่เราได้รับข้อมูลผิดพลาด จากคนที่ชักชวน หรือเรียกง่าย ๆ ว่าถูกหลอกนั่นแหละค่ะ วันนี้ เลยจะมาตีแผ่เรื่องราวอีกด้าน จากมุมมองของเด็ก อายุ 20 ที่ถูกลอยแพในต่างแดน และต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความถูกต้อง

หลังจากที่เราเข้าประเทศออสเตรเลียมาได้ด้วยวีซ่าท่องเที่ยว เรามารู้ตอนมาถึงทีนี่ จากพี่เจ้าของบ้านเช่า ว่าวีซ่าท่องเที่ยว ทำงานไม่ได้เลย ไม่ได้ในทุกๆกรณี ก่อนที่เราจะเดินทางมา เราได้หาข้อมูลมาบ้าง และทราบว่า วีซ่าท่องเที่ยวทำงานไม่ได้ ซึ่งเราก็ได้สอบถามไปกับทางพี่ที่ชักชวนให้มา แต่ได้คำตอบมาว่า ทำได้ แต่ทำแบบที่เสียภาษีไม่ได้ ถ้าทำแบบรับเงินสด ทำได้ไม่มีปัญหา….ใครๆเค้าก็ทำกัน!!! พี่ก็ไปมาแล้ว ทำมาแล้ว กลับมาแล้ว แล้วยังบอกกับเราอีกว่า พี่จะดูงานให้ พอไปถึงก็เริ่มงานได้ แล้วติดต่อบ้านเช่าให้เราด้วย ก็เป้นพวกงานร้านอาหาร นี่คือคำตอบที่เราได้รับในตอนนั้น ทำให้เราที่อายุ 20 ปีในตอนนั้นกับเพื่อนอีกคน ตัดสินใจเดินทางมาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว เพื่อมาหาประสบการณ์และค่าขนม

เรามาถึงออสเตรเลียพร้อมกับเงินติดตัว $827 เหรียญ หรือราว ๆ 24,000 บาท (เรท 29 บาท ต่อ 1 AUD เมื่อประมาน 10 ปีที่แล้ว) ลงเครื่องที่สนามบินนานาชาติ คิงฟอร์ดสมิธ ซิดนีย์ ออสเตรเลีย พี่เจ้าของบ้านเช่า มารับที่สนามบิน พาเราไปซื้อ ซิมโทรศัพท์ แบบเติมเงิน $30 ดอลล่า และตั๋วรถไฟ $20 ดอลล่า และพาไปที่พัก

ตอนนั้นในใจเราพองโต ตื่นเต้นที่จะได้เปิดโลกใหม่ เรากับเพื่อนเก็บของเข้าที่พัก พี่เจ้าของบ้าน ก็เดินมาคุยกับเรา เรื่องค่าที่พัก. ก่อนเรามาถึง เรารู้ว่าค่าที่พัก $380 ดอลล่า แต่ไม่รู้รายละเอียด จนพี่เจ้าของบ้านบอกว่า ค่าที่พัก วีคละ $380 คิดเป็นค่า บอน 2 วีค(มัดจำ) แอดวานซ์ 2 วีค (ล่วงหน้า) เป็น $380×4 = $1520 ดอลล่า ที่เราต้องจ่ายวันนี้ หารกับเพื่อนคนละครึ่ง ก็ $760 เราสตั๊น ช้อค แต่ก็นับเงินจ่ายพี่เค้าไป

ตอนนี้เรามีเงินเหลือติดตัวอยู่ $17 เหรียญ เราเลยถามพี่เค้าว่า แล้วหนูต้องไปทำงานที่ไหนคะ พี่เจ้าของบ้านตอบกลับมา เอ้า พี่ไม่รู้ เค้าแค่ติดต่อพี่มาว่าจะเช่าห้อง พี่ไม่รู้รายละเอียดน้องต้องหางานเอง เราเลยเล่าให้พี่เจ้าของบ้านฟังว่า พี่คนที่ชวนเรามาบอกแบบนี้ ๆ พี่เจ้าของบ้านเลยบอกว่า โอ้ยเด็กน้อยยยยยย วีซ่าท่องเที่ยวมันทำงานไม่ได้!!! จะเสียภาษีหรือรับเงินสด ก็ทำไม่ได้ โดยลอยแพแล้วไง!!!

เรากับเพื่อนช็อค ช็อค และช็อค เพื่อนเราขอโทษเราที่เป็นคนชวนเรามา และเป็นคนติดต่อกับพี่คนนั้น เรากับเพื่อนตอนนั้นมืดแปดด้าน สิ่งที่ดีที่สุดที่คิดได้ตอนนั้นคือ เปลี่ยนตั๋วกลับไทย

ใช่ เปลี่ยนตั๋ว คือทางออกที่ดีที่สุด เพื่อนเราไม่น่ากังวลเท่าเรา เพราะเพื่อนเราพอมีเงินอยู่ แต่เราเหลือตังอยู่ $17 เหรียญ จะเปลี่ยนยังไงล่ะ!!!! แถมบอกแม่ไว้ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง เราอยากจะร้องไห้ออกมา อยากโทรหาแม่ อยากกลับบ้าน แต่เราทำอะไรไม่ได้เลย พี่เจ้าของบ้านบอกกับเราว่า ค่อย ๆ คิด ยังไงน้องก็จ่ายค่าบ้านไปแล้ว 4 วีค จะเอายังไง ก็บอกพี่ด้วยละกัน

เราโทรหาแฟนที่ไทย เล่าเรื่องทั้งหมดให้แฟนเราฟัง แฟนเราให้กำลังใจ แล้วบอกว่า พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง จะส่งเงินมาให้เป็นค่าเปลี่ยนตั๋ว และกินใช้จนกว่าจะถึงวันกลับ เราจะมาเล่าต่อใน ep หน้า ว่าเราทำยังไง จากเงิน $17 เหรียญ จนได้วีซ่านักเรียน และตัดสินใจไม่กลับไทยไปพร้อมกับเพื่อน แต่เลือกที่จะเรียนต่อที่ออสเตรเลีย

ฉันจะไม่ยอมเป็นผีน้อย EP2


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย