Sunday, October 26, 2025
Home Blog Page 23

ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ

0
ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ
ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ

“เงิน 100 ล้าน หาได้ไม่ยาก มีต้นไม้ 1 หมื่นต้น ต้นละ 1 หมื่นบาท ขายยกล็อตจะมีรายได้ทันที 100 ล้านบาท” ประโยคยั่วยวนชวนให้หยุดคิดตาม ถ้าใครอยากมีเงินใช้หลังเกษียณ

เริ่มปลูกต้นไม้ตั้งแต่วันนี้ ไม่สายเกินไป ไม่ดราม่า เพราะมีคนทำได้จริงและเริ่มต้นทำมาเป็นตัวอย่างแล้ว

ดร.เกริก มีมุ่งกิจ ผู้ก่อตั้งวนเกษตรเขาฉกรรจ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอู้ฟู่หรูหรา มีรถยนต์ใช้ร่วม 10 คัน วันดีคืนดีชีวิตกลับพลิกผันกลายเป็นต้องแบกหนี้หลักพันล้าน

หลังกัดฟันสู้จนปลดเปลื้องพันธนาการได้ระดับหนึ่ง … ดร.เกริก ตัดสินใจหันหลังให้เมืองกรุง มุ่งหน้าสู่สระแก้ว จังหวัดที่คุณพ่อทิ้งที่ดินไว้เป็นสมบัติที่อำเภอเขาฉกรรจ์ ร่วม 90 ไร่

ด้วยความเป็นพี่คนโต เขาตัดสินใจยกที่ดินให้น้อง ๆ และตัวเองขอเช่าที่ทำการเกษตรแทน อาจารย์ลงมือปลูกต้นไม้ โดยใช้ทั้งหลักวิชาการและวิชาเกินบนเนื้อที่ 50 ไร่ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ปลูกข้าว และพืชผักอื่น ๆ ผ่านไปแค่ 8 ปี มีคนมาขอซื้อไม้ยกสวน 20 ล้านบาท

ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ
ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ

ณ วันนี้พื้นที่สวนป่ากลายเป็น “ศูนย์การฝึกปฏิบัติงานวนเกษตรเขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว” เป็นแหล่งเรียนรู้อาชีพการทำเกษตรที่ยึดหลักไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่แบ่งปัน

คำถามต่อมาก็คือ แล้วรายได้จะมาจากไหน เพราะกว่าต้นไม้จะโตจนทันใช้ต้องใช้เวลากว่า 10 ปี

ประเด็นแรกคือ ต้องมีที่ดินก่อน มีมากมีน้อยไม่ใช่ประเด็น มีน้อยก็ปลูกน้อย มีมากก็ปลูกมาก ไม่มีเลยต้องไปขอแบ่งเช่าที่จากคนที่มีมาก

แล้วจะปลูกต้นอะไรดี … ต้องปลูกไม้เศรษฐกิจ เช่น ไม้สัก, พะยุง, มะค่าโมง, แดง, มะฮอกกานี, ยางนา, ยมหอม, ตะกู, ชิงชัง, มะริด, กันเกรา, ตะเคียน, ประดู่, เคี่ยม, หลุมพอ, ตะแบก, กฤษณา, มะขามป้อมป่า, มะหาด, พะยอม, จำปาป่า, กระถินเทพา ฯลฯ

ประเภทไม้เหล่านี้ มีทั้งไม้โตช้า โตปานกลาง และไม้โตเร็ว ไม้โตเร็วจะเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น ตะกู กระถินเทพา ยูคาลิปตัส ฯลฯ

วิธีการปลูกมี 2 รูปแบบ คือ

  1. ปลูกตามทฤษฎีวิชาการ (สามารถเข้าไปอ่านในเว็บไซต์หรือค้นหาข้อมูลได้) วิธีนี้จะกำหนดระยะห่างในการปลูก มีหลักภูมิทัศน์ที่แน่ชัด ต้นไหนควรปลูกอยู่ส่วนไหนของแปลง
  2. ทฤษฎีวิชากูรู คือ ปลูกคละกันไปเอาตามที่ถนัด เพราะจริง ๆ แล้วป่าที่เกิดขึ้นเองก็ไม่ได้ยึดหลักวิชาการอะไร แค่เบียด ๆ กันไป มันก็โตของมันได้ตามธรรมชาติ

“หลังเริ่มปลูกใบไม้เอาไปต่อยอดไปเป็นดินเป็นปุ๋ย จุดกำเนิดคือการปลูกต้นไม้ ถ้าไม่มีต้นไม้ ไม่มีสิทธิ์ต่อยอดอะไรได้เลย นี่คือนโยบายการเพิ่มพื้นที่ป่าในประเทศ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ลดภาวะโลกร้อน ได้ผลกระทบด้านดีมาหลายอย่าง ไม่มีอะไรเสีย”

“มี 35 ประเทศมาดูแปลงผม ฝรั่งคิดว่ามันแน่ คิดว่าฉลาด มันไปปลูกที่ละพัน เปลี่ยนไปเรื่อย ตัดทีละแปลง แล้วปลูกใหม่ 5-10 ปีตัด แต่มันโตไม่ทันกัน เป็นหย่อมเหมือนทะเลทราย แต่ผมปลูกไม้โตเร็วโตกลางโตช้าในแปลงเดียวกัน ต้นไหนใหญ่ตัดออกไปแปรรูป”

“กิ่งก้านไปเผาถ่าน ทำเฟอร์นิเจอร์สร้างบ้าน ขายได้ ผมมีออเดอร์วันละ 10 ต้น ผมปวดหัวว่าจะทำอย่างไร เพราะไม้ผมถูกกฎหมาย กระถินเทพาผมขายต้นละหมื่น ผมแปรรูปขายได้ราคากว่า มีคนมาซื้อผมทั้งแปลงให้ 20 ล้าน ผมไม่ขาย”

คำอธิบายของอาจารย์เกริก ไม่ต้องถามต่อว่าปลูกแล้วได้อะไร อยู่ที่ว่าเรามีที่ดินจำนวนเท่าไหร่ เช่น มี 5 ไร่ อาจจะเลือกพื้นที่ไว้ปลูกป่า 3 ไร่ อีก 2 ไร่ไว้ทำกินอื่น ๆ เช่น ปลูกข้าว เพราะข้าวต้องกินทุกวัน รวมถึงปลูกพืชผักอื่น ๆ ที่เราต้องการจะกินหรือใช้สำหรับปรุงอาหารในแต่ละมื้อ ก็ให้ใช้พื้นที่ส่วนนี้เป็นหลัก เช่น มะนาว มะกรูด มะขาม ไม้ไผ่ และผักนานาชนิด

สำหรับอีก 3 ไร่ ที่ตั้งใจจะปลูกป่า ก็ยังสามารถปลูกไม้อื่น ๆ แซมเข้าไปได้อีก เช่น ไม้ผล ไม้ประเภทสมุนไพรต่าง ๆ หวาย หรือไม้ที่ไม่ต้องการแสงแดดมาก ฯลฯ

“ของผมมีเป้าหมายการปลูกต่างกับพ่อเลี่ยม (เลี่ยม บุตรจันทา) ผมปลูกเพื่อตัด แต่พ่อเลี่ยมปลูกเพื่อให้เป็นป่าให้มีสรรพสิ่งที่เป็นสมุนไพรขึ้นตามมา ไม่ใช่เพื่อตัด แต่ของผมเพื่อตัด ผมแฝงเรื่องเศรษฐกิจเข้าไปด้วย”

“คนที่จะปลูกเขาต้องรู้ว่าจะได้อะไร ถ้าไม่ได้อะไรเขาก็ไม่ปลูก ปลูกให้หลากหลายชนิด โดยปลูกสลับชนิดกัน ของผม 470 กว่าชนิด พ่อเลี่ยมมีเป็นพันชนิด หลักคือต้นไม้โตช้าหรือไม่ตัดเลยจะห่างกันประมาณ 8 เมตร และระหว่างนั้นจะเป็นไม้โตเร็วและโตปานกลาง ซึ่งจะพอดี และปลูกพริกไทยได้อีก ผมไม่มีสมุนไพร ไม่มีเห็ด เพราะกวาดใบไม้มาทำปุ๋ย”

แค่ลงมือปลูกก็จะเริ่มมีความรู้ โดยใช้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน รายได้จะค่อย ๆ ตามมา และยังได้ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลโลก

แต่หลักการเบื้องต้นจะต้อง ไม่มีรายจ่าย หรือ ลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด

พ่อเลี่ยม บุตรจันทา ผู้ที่ยึดแนวทางทางนี้บอกว่า อย่าเพิ่งเอาเงินมาเป็นตัวตั้งให้มาก อันดับแรก ให้คิดก่อนว่าต้องไม่มีรายจ่าย ถ้าปลูกผักให้มีกินครบ 3 มื้อ เท่ากับแทบไม่ต้องซื้ออาหารกิน ยกเว้นอยากกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์บ้างในบางครั้ง หรืออาจต้องซื้อของใช้จำเป็นบ้าง การไม่มีต้นทุนก็เท่ากับไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่น

ทำไปสักพักก็อาจจะต่อยอดจากพืชที่ปลูกไปผลิตของใช้จำเป็น เช่น สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน ครีมหน้าขาว ผงซักฟอก ยาสมุนไพรบางชนิด ซึ่งก็จะสามารถลดรายจ่ายได้อีกมาก (ค่อยเรียนรู้จากภูมิปัญญาชาวบ้าน) ซึ่งบ้านพ่อเลี่ยมมีข้าวของเหล่านี้ไว้ใช้เอง และขายสร้างรายได้เป็นเรื่องเป็นราวอีกด้วย

คราวนี้มาลำดับการทำอาชีพวนเกษตรจริง ๆ

  1. ไม้ที่ปลูกไปสักระยะหนึ่ง หรือเริ่มโตขึ้นจะเริ่มมีกิ่งก้านสาขา ก็ให้เริ่มตัดแต่งกิ่งที่เกะกะออก แล้วนำไปเผา “ถ่าน” ทำไม่ยาก ก็แค่สร้างเตาเผา แล้วเอาไม้เหล่านี้ หรือไปหาเศษไม้เหลือใช้ในบริเวณใกล้เคียงมาเผา และผลิตถ่านขาย เตาเผาในสวน ดร.เกริก ขายกระสอบละ 200 บาท เดือนหนึ่งเผาได้ 100 กระสอบก็จะมีรายได้ 20,000 บาท (กรณีมีไม้ให้เผามาก)
  2. ต่อมาต้นไม้ที่โตขึ้นเรื่อย ๆ จะเริ่มทิ้งใบร่วงลงพื้น ไม่ต้องไปคิดเรื่องการกำจัดมันอย่างไร แค่กวาดมารวมกันเป็นกอง ๆ แล้วทำปุ๋ยอินทรีย์เพื่อนำไปใช้ใส่นาข้าว สวนพืชผักที่ปลูกไว้
ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ
ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ

นี่คือการเกษตรออแกนนิกส์ของแท้ 100% ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในทุกขั้นตอน (เว้นแต่ที่ดินอยู่ติดโรงงานอุตสาหกรรมอาจจะไม่ออแกนิกส์ 100% เพราะน้ำใต้ดินไม่บริสุทธิ์)

ผลิตปุ๋ยใช้เองแล้ว ยังผลิตเพื่อจำหน่าย ที่สวนอาจารย์เกริกขายกระสอบละ 40 บาท ถ้าปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดก็จะแพงขึ้นไปอีก ถ้าขายได้ครั้งละ 50 กระสอบต่อเดือน ก็จะมีรายได้ 2,000 บาท หรือมากกว่านั้น ต้นทุนถ้าจะมีก็แค่ค่ากระสอบปุ๋ย ซึ่งก็ไม่ได้มากมาย

  1. ต้นไม้โตไปอีกอาจจะระยะ 5-10 ปี คราวนี้ไม้บางชนิดจะเริ่มออกหน่อ ขยายพันธุ์ด้วยราก และบางชนิดก็ดอกออกผล ปล่อยลูกร่วงลงดิน เที่ยวนี้ก็จะเริ่มสร้างรายได้อีกรูปแบบ นั่นก็คือการขยายพันธุ์ไม้

ต้นไม้ชนิดไหนขยายพันธุ์ผ่านรากก็ขุดมาใส่ถุงชำ ชนิดไหนผลร่วงลงมาก็นำผลมาเพาะชำกล้าไม้ใส่ถุงเอาไว้ขายได้อีกต่อ จะเอาไปขายหน้าสวน หน้าบ้านตัวเอง หรือนำไปวางขายริมถนนก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน ซึ่งลองดูจากร้านจำหน่ายพันธุ์ไม้ก็ได้ว่าต้นไม้แต่ละชนิดเขาขายกันที่เท่าไหร่ ถ้าขายพันธุ์บางต้นได้ต้นละ 10 บาท รวม 50 ต้นต่อเดือน 500 บาท ขายได้มากรายได้ก็เพิ่มตาม

เมื่อรวมรายได้จากการทำนาข้าวกล้องแบบอินทรีย์ที่ใช้ปุ๋ยผลิตจากสวนป่า แต่ละปีนอกจากจะมีข้าวกินแล้ว ยังมีของขายตลอดปีได้อีกด้วย

  1. ไฮไลต์ปลูกต้นไม้ไว้ใช้หลังเกษียณ “บ้านสวนออนซอน” วนเกษตร เพื่อชีวิต และสิ่งแวดล้อม ของ “พ่อเลี่ยม” ปราชญ์แห่งบ้านนาอีสาน ต.ท่ากระดาน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ถือเป็น “ต้นแบบความร่ำรวยหลังเกษียณ”

พ่อเลี่ยมถอดบทเรียนจากชีวิตที่มีหนี้ล้นพ้นตัว หนีดินแดนอีสานมาปักที่ ต.ท่ากระดาน เพราะการทำเกษตรเชิงเดี่ยว กว่าจะเริ่มคิดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่โชคดีได้เข้าไปเป็นศิษย์ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม เก็บเกี่ยวองค์ความรู้ทุกซอกมุม

จากที่เริ่มต้นทำไร่ข้าวโพด นอกจากไม่พอกิน ยังวนเวียนเป็นหนี้เหมือนเงาอดีตตามหลอน เพราะทั้งปีได้กำไรแค่ 650 บาท เงินหมดไปกับปุ๋ย ยาฆ่าแมลง คิดแล้วทำไปจนตายก็ไม่มีทางรอด

ช่วงเวลานั้น คำว่า “จนเครียด กินเหล้า” พ่อเลี่ยมพูดจนขึ้นใจก่อนที่จะถูกนำมาใช้เป็นบทในสปอตโฆษณาเสียอีกช่วงปี 2540 เริ่มคิดได้ด้วยการเริ่ม “ลดรายจ่าย” เพราะเอาเข้าจริงแล้วของที่จำเป็นต้องซื้อมีแค่ 25% แต่อีก 75% กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น พร้อม ๆ กับปรับเปลี่ยนวิธีทำการเกษตรแบบใหม่ นั่นคือเริ่มปลูกพืชที่ต้องการกิน เช่น กินข้าวก็ปลูกข้าว ผักต่าง ๆ ต้องกินก็ปลูกไปเรื่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่มีรายจ่าย

“อยากกินอะไรก็ไปหาต้นนั้นมาปลูก ตื่นมาก็มีของกิน 3 มื้อ จากทำเอาไปขายก็ทำเพื่อมีกิน พอมีของกินก็มีอำนาจ”

พ่อเลี่ยมสรุปบทเรียนตัวเอง

ปรัชญาป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม เมื่อเริ่มเลิกปลูกข้าวโพด หันมาปลูกต้นไม้ กิ่งไม้ตัดมาเผาถ่าน ใบไม้เอามาทำปุ๋ย กินอาหาร (ปลอดสารเคมี) เป็นยา ไม่กินยาเป็นอาหาร สุขภาพก็ดี ชีวิตมีความสุข เพราะป่าที่โตขึ้น ๆ มีสมุนไพรนานาชนิดขึ้นตามมาใช้เอาทำไปผลิตยาได้อีก

“สวนออนซอน” ของพ่อเลี่ยมจึงกลายเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทุกวันนี้ปลูกต้นไม้ไว้ 5 ชนิด ไว้ใช้หลังเกษียณ นั่นก็คือ มะค่า ยางนา ตะเคียน มะฮอกกะนี และพะยูง ชนิดละพันต้น รวม 5,000 ต้น

พ่อเลี่ยมบอกว่าตอนนี้จะเกษียณตอนไหนก็ได้ ถ้าเริ่มเกษียณปุ๊บจะมีเงิน 50 ล้านใช้ คิดจากฐานเพราะต้นไม้ที่ปลูกไว้มีคนมาขอซื้อต้นละ 1 หมื่นบาท

จากทั้งแนวคิด ดร.เกริก และ พ่อเลี่ยม อาจเริ่มต้นถามตัวเองว่าตัวอายุเท่าไหร่ ถ้าคิดจะเริ่มต้นจะปลูกป่าก็ให้บวกระยะเวลาเข้าไป 10-20 ปี เช่น นาย ก. ประกอบอาชีพวิศวกร, เสมียน, นักบัญชี, หรือจะเป็นชาวสวน ชาวบ้านธรรมดาสามัญ เมื่อลงมือปลูกขณะอายุ 35 ปี (อายุขนาดนี้ไม่มีเงินเก็บซะที) บวก 20 ปีอายุก็แค่ 55 ปี

สมมติปลูกไว้ 3,000 ต้น โดยไม่ตายเลยหรือไม่มีคนมาขโมยตัด จะกี่ไร่ก็ตาม ให้คูณราคาต้นไม้กับจำนวนต้นที่มี ซึ่งไม้แต่ละต้นราคาจะไม่เท่ากัน ไม้เนื้อแข็งและอายุมาก ย่อมมีราคาดี ส่วนไม้เนื้ออ่อนแม้ราคาไม่แพงเท่า แต่เป็นความต้องการของตลาดเฟอร์นิเจอร์ เพราะน้ำหนักเบา

  • กรณีมีไม้ 2,000 ต้น เฉลี่ยต้นละ 1 หมื่นบาท ขายยกล็อตจะมีรายได้เท่ากับ 20 ล้านบาท
  • กรณีมีไม้ 3,000 ต้น เฉลี่ยต้นละ 1 หมื่นบาท ขายยกล็อตจะมีรายได้เท่ากับ 30 ล้านบาท
  • กรณีมีไม้ 4,000 ต้น เฉลี่ยต้นละ 1 หมื่นบาท ขายยกล็อตจะมีรายได้เท่ากับ 40 ล้านบาท
  • กรณีมีไม้ 5,000 ต้น เฉลี่ยต้นละ 1 หมื่นบาท ขายยกล็อตจะมีรายได้เท่ากับ 50 ล้านบาท
  • กรณีมีไม้ 1 หมื่นต้น เฉลี่ยต้นละ 1 หมื่นบาท ขายยกล็อตจะมีรายได้เท่ากับ 100 ล้านบาท
ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ
ปลูกป่า … หลังเกษียณมีเงินใช้จาก ‘ต้นไม้’ แค่เป็นส่วนหนึ่งดูแลโลก … สุขก็ล้นเหลือ

คิดแบบพอเพียง ทำแบบพออยู่พอกิน มีเหลือก็แบ่งปันคนอื่น ถ้าเอา 2 หารรายได้จากการขายไม้ก็จะมีเงินไว้ใช้เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานอย่างสบาย ๆ

ลูกจ้างที่ฝันหวังเก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ (ไม่มีพอให้เก็บ) นี่เป็นทางเลือกหนึ่งที่เป็นจริงได้ ไม่ต้องคิดจะร่ำรวยอะไรมากมาย แต่นี่เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลก มีอาหารปลอดภัยให้กินเองและขายให้คนอื่นได้กินด้วย

แค่นี้ความสุขก็ล้นเหลือแล้ว

จุดแข็ง – จุดอ่อน ของประเทศไทย และบทสรุปที่น่าคิด

0
จุดอ่อน จุดแข็ง และอนาคตที่เป็นไปได้ของประเทศไทย
จุดอ่อน จุดแข็ง และอนาคตที่เป็นไปได้ของประเทศไทย

ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ไม่ทราบที่มา เห็นว่าเป็นบทความวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของประเทศไทยเราได้ตรงจุด น่าสนใจมากเลยเอามาแบ่งปัน

จุดแข็งของประเทศไทย

ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่ดีที่สุดในทุก ๆ ด้าน คือ

  1. ที่ตั้ง : จะว่าอยู่ใจกลางโลกก็ว่าได้ เพราะรอบข้างมีแต่ประเทศที่มีประชากรมาก เช่น อินเดีย 1,200 ล้านคน จีน 1,400 ล้านคน ญี่ปุ่น 100 ล้าน อินโดนีเซีย 400 ล้านคน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เกาหลี ล้วนแต่ 100 ล้านคน >> ซึ่งหมายถึงตลาดการค้า ตลาดอาหารและยาสมุนไพร ที่ใหญ่มหาศาลยิ่ง
  2. มีสภาพพื้นที่เป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลระหว่างสองมหาสมุทร คือมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก เป็นทั้งแหล่งอาหาร ออกเรือหาปลาได้ถึงสองมหาสมุทร ทั้งจะติดต่อค้าขายกับทุกประเทศก็สะดวกยิ่งนัก
  3. บนผืนแผ่นดินก็อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ุธัญญาหาร มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย มีป่าไม้ แหล่งน้ำ กุ้งหอย ปู ปลา ทั้งในน้ำจืดและในทะเล ทุกพื้นที่ในป่า ในบ้าน ในสวน เต็มไปด้วยพืชอาหาร และพืชสมุนไพรมากมายเหลือเกิน เป็นทั้งครัว และคลังยาสมุนไพรของโลกไปพร้อมกันได้เลยทีเดียว
  4. ใต้ผืนดินก็มีแร่ธาตุนานาชนิด มีแหล่งน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติ มากมายมหาศาลยิ่งนัก มากกว่าประเทศกลุ่มโอเป็กหลายประเทศเสียด้วยซ้ำไป
  5. เรามีภูมิปัญญาในการใช้สมุนไพรที่สืบทอดจากบรรพชนมากมายเหลือเกิน ที่สามารถนำมาวิจัยพัฒนาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพเป็นยาสมุนไพรที่มีมาตรฐานในการรักษาโรคได้ไม่แพ้ยาเคมีจากต่างประเทศ สามารถส่งเป็นสินค้าออกไปขายทั่วโลกได้ สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงของชาติได้อย่างดี
  6. เรามีธรรมชาติที่สวยงาม มีหาดทรายยาวสองฝั่งทะเล มีน้ำตก มีถ้ำ เพิงผา ป่าไม้ ภูเขา อ่าว แหลม ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดีมากมาย
  7. ตั้งอยู่ในเขตร้อนที่แดดจัด สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้อย่างไม่ต้องกลัวหมด มีลมบก ลมทะเล ที่สามารถแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ไม่รู้สิ้น
  8. ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่รุนแรง ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว ไม่มีภูเขาไฟที่คุกรุ่น ไม่มีลมพายุที่รุนแรง เช่น ทอร์นาโด หรือ ใต้ฝุ่น
  9. เท่านั้นยังไม่พอ เรายังมีพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่สมบูรณ์ ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดอีกด้วย
  10. เรามีคนไทยที่จิตใจดี ยิ้มแย้ม มีน้ำใจ มีความฉลาด เรียนรู้เร็ว สามารถพัฒนาได้ง่าย

ด้วยจุดแข็งทั้ง 10 ข้อ ดังที่กล่าวมา ดินแดนไทยถือเป็นดินแดนสวรรค์บนดินก็ว่าได้ ใครก็ตามที่ได้เกิดในประเทศนี้ ถือได้ว่าโชคดีไม่ต่างจากได้เกิดบนสวรรค์ คนไทยส่วนใหญ่ควรจะมีความสุขที่สุดในโลก มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีฐานะมั่งคั่ง ร่ำรวย กันถ้วนหน้า

แต่ในความเป็นจริง กลับตรงกันข้าม

จุดอ่อน ของประเทศไทย

มีคนไทยเพียงไม่กี่ตระกูล ที่เป็น

  1. ขุนทหาร
  2. ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
  3. นักการเมืองใหญ่
  4. นายทุนระดับชาติเท่านั้นที่ร่ำรวย ที่เสพสุขอยู่บนกองทุกข์ของประชาชน อย่างล้นเหลือ ราวกับเทพยดาเดินดินก็ไม่ปาน

แต่คนส่วนใหญ่กลับตกอยู่ในขุมนรกของความยากจน ที่นับวันพวกเขายิ่งจน ยิ่งเป็นหนี้พอกพูนรุนแรง ทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลาย ป่าไม้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม พื้นที่ทำเกษตรในแม่น้ำลำธาร เต็มไปด้วยสารพิษทางการเกษตรตกค้าง สัตว์น้ำลดลงแทบไม่เหลือเนื่องจากสารพิษปนเปื้อนในน้ำทำให้การขยายพันธ์ุสัตว์น้ำลดลงมาก ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติของคนไทยลดลงอย่างน่าใจหาย คนต้องซื้ออาหารจากตลาดในราคาแพง แทบทั้งหมด

จุดอ่อน จุดแข็ง และอนาคตที่เป็นไปได้ของประเทศไทย
จุดอ่อน จุดแข็ง และอนาคตที่เป็นไปได้ของประเทศไทย

มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งมากอันดับ 1 ของโลก เนื่องจากรับสารเคมีที่ปนเปื้อนในพืชผัก ในอาหารและน้ำเข้าสู่ร่างกายทุกวัน เป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีโรคไต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคอ้วน ฯลฯ เนื่องจากขาดสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม จนคนป่วยล้นทุกโรงพยาบาล ทำให้คนไทยจำนวนมากทุกขเวทนาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งไม่ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน คนชั่วไม่เกรงกลัวกฏหมาย มียาเสพติด มีอาชญากรรมเต็มบ้านเต็มเมือง คนธรรมดาอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย

การทุจริตคอรัปชั่นยิ่งเพิ่มทวีทุกระดับ ยักษ์ใหญ่โกงใหญ่ ยักษ์เล็กโกงเล็กๆ โกงตามที่มีแรงจะโกง บ้านเมืองเข้าสู่ยุค “มือใครยาว สาวได้ สาวเอา” อย่างแท้จริง คือ ชนชั้นนำของไทย ตั้งแต่ปี 2500 ได้ใช้หลัก “รัฐศาสตร์มาร” ในการปกครองบ้านเมือง คือ การปกครองประเทศแบบ ฉ้อฉล หลอกลวง “คดในข้อ งอในกระดูก” “มุ่งทำให้ประชาชนอ่อนแอ” ทำให้ประชาชนตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ “โง่-เลว-จน-เจ็บ” เพื่อให้ปกครองอย่างเอารัด เอาเปรียบ คดโกง ได้สะดวกง่ายดาย

ข้อคิดที่น่าวิเคราะห์ ของสังคมไทย 

ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุก ๆ ด้าน, ปัญหาความยากจน, หนี้สิน, แม้แต่ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ แม้จะดูว่าเกิดตามธรรมชาติ แต่แท้จริงปัญหาพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เติบโต และขยายใหญ่ ลุกลาม ทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากโครงสร้างการปกครองที่ชั่วร้าย ที่รวบอำนาจไว้ที่คนไม่กี่คน ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจที่ดีพอ ทำให้ผู้ปกครอง ทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ผู้ปกครองกลายเป็นตัวขัดขวางการแก้ไขปัญหาทุกปัญหา เร่งให้มีปัญหา และปัญหาขยายใหญ่ขึ้นมากขึ้น ทั้งสิ้น

วิธีการทำให้ประชาชน “โง่”

โดยจัดการที่หลักสูตรการศึกษา ทำให้เด็กไม่รักการอ่าน ไม่ชอบการคิดหาเหตุผล ไม่สอนปรัชญาประชาธิปไตย ไม่สอนประวัติศาตร์ วีรชนที่เป็นสามัญชน ไม่สอนให้รู้จักการเอาตัวรอดในระบบทุนนิยม ไม่สอนให้รู้จักการรวมตัวกันต่อสู้ปัญหาเศรษฐกิจในรูปกลุ่ม หรือสหกรณ์ ฯลฯ

  • วิธีการทำให้ประชาชน “เลว” เรื่องนี้เน้นที่ปัญญาชน คนชั้นกลาง โดยจัดการที่การศึกษา
  • จะไม่ฝึกการมีวินัย
  • ไม่ปลูกฝังความรู้ทางศาสนาอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไม่คิดพัฒนาจิตใจตนเอง เพื่อความเป็นมนุษย์
  • ไม่ปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติให้ปัญญาชน-กีดกันการแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษาปัญญาชน เพื่อทำให้ปัญญาชนเห็นแก่ตัวให้มากที่สุด
  • เพื่อให้ปัญญาชนคนรุ่นใหม่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน ตัวใครตัวมัน ไม่เห็นใจคนยากคนจน ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ด้อยกว่า

ทำได้ดังนี้ ทางก็สะดวก ไม่มีใครขัดขวางการทุจริต การทำลายชาติของชนชั้นบน แย่ถึงขนาดว่า ถ้าใครพูดถึงการเมือง พูดถึงปัญหาชาติบ้านเมือง ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งก็พากันต่อต้าน ไม่ให้พูด ซึ่งเท่ากับ “ปกป้องการคอรัปชั่น ปกป้องคนทำลายชาติกันเลยทีเดียว แล้วจะไม่ให้ประเทศนี้ แย่ที่สุดในโลก ได้อย่างไร ?

วิธีการทำให้ประชาชน “จน”

  • แค่ออกกฎหมายกีดกัน สร้างความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ เช่น กฎหมายการเงินการธนาคาร การผลิตสุรา และอื่นๆ ที่ไม่เท่าเทียม ออกนโยบายส่งเสริมด้านอุตสาหกรรม
  • เลิกการสนับสนุนด้านเกษตร งดเงินสนับสนุนวิทยาลัยเกษตรในต่างจังหวัด กลับไปสนับสนุนวิทยาลัยการกีฬาแทนซึ่งไม่ได้พัฒนาอาชีพอะไร ไม่สนับสนุนการวิจัยข้าว ยาง อ้อย พืชสวน ฯลฯ
  • ปล่อยให้มีการบุกรุกทำลายป่าไม้ แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และสมุนไพร
  • สนับสนุนปุ๋ย เคมีฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลงเพื่อทำลายสัตว์น้ำในธรรมชาติ ทำลายดิน ทำให้น้ำปนเปื้อนสารพิษ

แค่นี้ เกษตรกรก็ล้าหลัง แข่งขันไม่ได้ ตกเป็นเบี้ยล่างนายทุนยา ปุ๋ย พันธ์ุพืช-สัตว์ เครื่องจักรกกลการเกษตร ฯลฯ แค่นี้เกษตรกร ก็ต้องทิ้งลูก เมีย ไร่ นา ไปหางานทำ เป็นกรรมกรในกรุงเทพฯ การอ้างส่งเสริมอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว จงใจละเลยการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ นั้นชั่วร้ายเกินที่จะกล่าว

อย่าลืมว่าคนสามัญชน 66 ล้านคนของไทย ไม่มีใครมีศักยภาพพอที่จะครอบครองเทคโนโลยีสูง หรือเป็นเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงได้ อย่างดีก็เป็นได้แต่ลูกจ้าง เป็นทาสนายทุน ประชาชนจะมีรายได้สูง ตามที่โม้ว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จะเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร

วิธีการทำให้ประชาชน “เจ็บ”

แค่เว้นภาษีนำเข้ายาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า เพียงอ้างว่า เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ซื้อของเหล่านี้ได้ถูกทั้งที่จริงถ้านำธรรมชาติมาคิดเป็นต้นทุนแล้ว มันจะแพงแสนแพงก็ตาม

นอกจากจะทำให้นายทุนยาพิษรวยจนสะดือปลิ้นแล้ว ยาเหล่านี้ยังไปปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศ นอกจากทำให้ปลา สัตว์น้ำในธรรมชาติแทบสูญพันธุ์แล้ว ยังทำให้คนไทยทุกคนได้รับยาเหล่านี้ผ่านอาหาร สัมผัสโดยตรง ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคต่างๆ สารพัด ทำให้ธุรกิจค้าความตายเหล่านี้เติบโตสูบเงินคนไทยไปไม่ต่ำกว่าปีละ เก้าแสนล้านบาททีเดียว

หลายคนอาจไม่ทราบว่า สารพิษ เคมีเกษตรนั้นปลอดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จุลินทรีย์ชีวภาพกำจัดแมลงที่ปลอดภัย และคนไทยทำได้เอง กลับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (นี่คือความคดในข้อฯ ของกฎหมายที่ออกโดยคนชั้นสูง) เพื่อกีดกันด้านการค้า และเพื่อชะลอเทคโลโลยีอินทรีย์ที่ปลอดภัยและผลิตได้เองอย่างชะงัดนัก

บทสรุป สั้น ๆ

ปัจจุบัน ประเทศนี้แย่ที่สุดเพราะ

  1. ชนชั้นนำไทย ที่พยายามทำลายไทย เพื่อประโยชน์ของตนและโคตรตระกูลตนฝ่ายเดียว
  2. ชนชั้นกลาง ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เห็นแก่ความสุขสงบของตน มองการต่อต้านความอยุติธรรมของการปกครอง เป็นความวุ่นวาย และพากันต่อต้านการต่อสู้ของประชาชน แทนที่จะร่วมสู้กับประชาชน!!!

อาจจะต้องรอวันล่มสลายในเร็ววัน

ตลาดเกษตรอินทรีย์ทั่วโลก

0
ตลาดเกษตรอินทรีย์ ทั่วโลก
ตลาดเกษตรอินทรีย์ ทั่วโลก

ทำไมผู้คนถึงสนใจอาหารอินทรีย์

ในประเทศแถบยุโรปได้มีการพบสารฆ่าแมลงปนเปื้อนในน้ำดื่ม เกิดโรควัวบ้าระบาด พบสารไดออกซิน พันธุ์พืช GMOs นอกเหนือจากการเกิดโรคมะเร็งกับมนุษย์เป็นจำนวนมาก

ในประเทศเยอรมนีมีการศึกษานานกว่า 12 ปี พบว่าอาหารอินทรีย์มีวิตามินซี ธาตุหล็กและสารอื่น ๆ มากกว่าอาหารที่ผลิตจากการเกษตรเคมีโดยทั่วไปนอกจากนั้นยังพบว่าผักอินทรีย์ มีรสชาติที่หวานกรอบกว่าผักเคมี

เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

ในประเทศสหรัฐอเมริกาในการประชุมสมาคมนักเคมีเมื่อเดือนมิถุนายน 2545 ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ด้านเคมีประมาณ 400 คนเข้าร่วมประชุม มีผู้นำเสนอผลงานกี่ยวกับส้มอินทรีย์ ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะไม่สวนแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงโดยเฉพาะวิตามินซีจะมีมากกว่าส้มที่ผลิตโดยใช้สารเคมีถึง 30 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนั้นนักโภชนาการอาหารของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย-เดวิส นักวิจัย Alyson Mitchell ได้ศึกษาเปรียบเทียบมะเขือเทศที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์กับที่ปลูกด้วยระบบเกษตรทั่วไป ในแปลงทดลองของมหาวิทยาลัย โดยสุ่มตัวอย่างผลผลิตจากทั้งสองแปลงที่มีการปลูกในระบบกษตรอินทรีย์และทั่วไปต่อเนื่องกัน 10ปี ผลจากการวิเคราะห์พบว่า มะเขือเทศที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์มีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ในกลุ่มของ Quercetin และ Kaempferol มากกว่ามะเขือที่ปลูกในระบบเกษตรทั่วไป สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ประเภทหนึ่ง ที่เชื่อกันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ ในด้านการป้องกันการเกิดมะเร็งโรคหัวใจและโรคสมองเสื่อม

กล่าวโดยสรุปอาหารอินทรีย์ให้ปริมาณคุณภาพผลผลิตที่ดีกว่า ให้อาหารปลอดสารพิษสำหรับชีวิตที่ดีกว่า ให้ต้นทุนการผลิตต่ำเพื่อศรษฐกิจที่ดีกว่า ให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตที่ดีกว่า ให้ผืนดินที่อุดมสมบุรณ์ดีกว่า และสุดท้ายคือให้สิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า ผลิตผลเกษตรอินทรีย์จะมีรูปร่างที่สมส่วนตามธรรมชาติ สีสวยเป็นปกติ มีกลิ่นหอมตามธรรมชาติ มีโครงสร้างของเนื้อนุ่ม กรอบแน่น มีรสชาติดี ไม่มีสารพิษตกค้าง เก็บรักษาได้ทนนานและให้สารอาหารและพลังชีวิตที่ดีที่สุด

เกษตรอินทรีย์สู้โลกร้อน

จากการศึกษาเกษตรอินทรีย์ภาคสนามมาเป็นวลานานถึง 23 ปี ของนักวิจัยสถาบันโรเดล ของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือได้ว่าป็นการทดลองเกษตรอินทรีย์ที่ใช้เวลายาวนานที่สุในโลกในที่สุดก็ได้ค้นพบว่าดินของระบบเกษตรอินทรีย์สามารถจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วปลี่ยนป็นเนื้อดินได้ นี่เป็นการศึกษาชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำหน้าที่เป็น “อ่าง” เก็บคาร์บอนของเกษตรอินทรีย์กับเกษตรกระแสหลัก แอนโทนี่ โรเดล ประธานสถาบันโรเดล กล่าวว่า

“เกษตรอินทรีย์เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน ทำให้การเกษตรมีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม”

ด้วยกระบวนการจับคาร์บอนที่เรียกว่า Carbon Sequestration นี้ พืชและดินจะทำงานร่วมกันโดยทำหน้าที่เป็นเสมือนอ่างเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประมาณการว่า คาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวการที่ทำให้โลกร้อนถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้คาร์บอนที่พืชและดินจับไว้ยังช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชอีกด้วย ซึ่งจากการติดตามตรวจสอบระดับคาร์บอนและไนโตรเจนในไร่นาที่ทำการเกษตรอินทรีย์และระบบเกษตรแบบอื่น ๆ พบว่าในระบบเกษตรอินทรีย์คาร์บอนในดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 15-28 จากการศึกษาของสถาบันโรเดล แสดงให้เห็นว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 3,500 ปอนด์ต่อเอเคอร์-ฟุต ต่อปี หากพื้นที่ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีอยู่กว่า 160 ล้านเอเคอร์ หันมาใช้วิธีการเพราะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งใช้ปัจจัยการผลิตต่ำกว่าจะสามารถจับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ได้ถึง 580 ล้านปอนด์ต่อปี

เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

เช่นเดียวกับการทำปศุสัตว์อินทรีย์ งานวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์ทุ่งหญ้าและปศุสัตว์แห่งญี่ปุ่น ศึกษาพบว่า การทำฟาร์มปศุสัตว์ส่งผลกระทบต่อภาวะเรือนกระจก การใช้พลังงาน และทำให้น้ำเกิดสภาพเป็นกรด ทีมงานได้เก็บข้อมูลการเลี้ยงวัว และผลกระทบที่มาจากกระบวนการผลิตและขนส่งอาหาร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้ศึกษาก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเลี้ยงวัวขุน หลังจากนั้นนำมาคำนวณสัดส่วนก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จากการวิเคราะห์พบว่า การผลิตเนื้อหนึ่งกิโลกรัม แพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตัวการก่อภาวะโลกร้อนเท่ากับ 36.4 กิโลกรัม และยังปล่อยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เป็นปุ๋ย 340 กรัม ฟอสเฟต 59 กรัม และบริโภคพลังงาน 169 เมกะจูลส์ เท่ากับว่า การผลิตเนื้อหนึ่งกิโลกรัมเท่ากับขับรถยุโรปเป็นระยะทางโดยเฉลี่ย 250 กิโลเมตร และเผาผลาญพลังงานเท่ากับเปิดหลอดไฟ 100 วัตต์เกือบ 20 วัน ในส่วนของนักวิจัยชาวสวีเดนได้ศึกษาพบว่า การทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ หรือปล่อยให้วัวเล็มหญ้ากินก่อนให้เกิดก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ร้อยละ 40 และใช้พลังงานน้อยลงร้อยละ 85

ภาวะการทำเกษตรอินทรีย์ในต่างประเทศ

ประเทศออสเตรียและสวิสเซอร์แลนด์มีการทำเกษตรอินทรีย์ 10 เปอร์เซ็นต์ สหรัฐอเมริกามีคนทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น 2เปอร์เซ็นต์ทุกปีและทำมากว่า28ปีแล้ว ประเทศสวีเดนในปี พ.ศ. 2513-2523 ได้เกิด GREEN WAVE โคยผู้คนในเมืองได้อพยพเข้าไปทำเกษตรอินทรีย์ในชนบมและได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ในปีพ.ศ. 2535 และ 20 เปอร์เซ็นต์ ในปีพศ 2548 ประเทศเบลเยี่ยม เนธอร์แลนด์ และนอรเวย์ ตั้งเป้าจะทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ 10 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2553 ประเทศเยอรมณี ตั้งเป้จะทำเกษตรอินทรีย์ให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. 2553 ระหว่างปี พ.ศ. 2544 -2549 ประเทศแคนาดามีผู้ได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นถึง 60 เปอร์เซ็นต์

ผลิตภัณฑ์อินทรีย์ในตลาดโลก

ปัจจุบันมีสินค้าการเกษตรเกือบทุกชนิดที่สามารถผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ได้ เช่น ไวน์อินทรีย์ที่ผลิตจากองุ่นอินทรีย์  ช็อคโกแล็ตอินทรีย์ที่ทำจากโกโก้อินทรีย์ กาแฟอินทรีย์ ชาอินทรีย์ ข้าวอินทรีย์ ถั่วหลืองอินทรีย์ ฝ้ายอินทรีย์ หน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ ข้าวโพดฝักอ่อนอินทรีย์ กล้วยหอมอินทรีย์ สับปะรดอินทรีย์ ส้มอินทรีย์ ลำไยอินทรีย์ แอปเปิ้ลอินทรีย์ ผักอินทรีย์  นมอินทรีย์ ไก่อินทรีย์ อาหารอินทรีย์สำหรับเด็ก อาหารสัตว์ เครื่องเทศ สมุนไพร เครื่องสำอาง และครื่องดื่มอินทรีย์นานาชนิด เป็นต้น

ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์

สำหรับสถานการณ์ตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของโลกนั้นในปี พ.ศ. 2549 บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยรายงานโอกาสในสินค้าอาหารอินทรีย์ของไทยว่า ไทยมีโอกาสที่จะขยายตลาดข้าวอินทรีย์ ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์อินทรีย์ ผลิตภัณฑ์ประมงโดยเฉพาะกุ้งอินทรีย์ เนื่องจากไทยยังมีพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เพียง 140,963 ไร่ ซึ่งไม่ถึงร้อยละ 0.1 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมดของประเทศ

เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

ขณะที่ความต้องการของตลาดโลกมีอัตราเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 10-20 ต่อปี โดยในปี 2550 มูลค่าตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกอยู่ที่ระดับ 45,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เติบโตขึ้นจากปี 2549 ร้อยละ 12.5 ซึ่งมีมูลค่า 40,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ คาดว่าปี 2553 มูลค่าการค้าสินค้าเกษตรอินทรีย์ในตลาดโลกจะเพิ่มเป็น 60,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เนื่องจากกระแสพฤติกรรมของคนทั่วโลกที่หันไปนิยมบริโภคอาหารที่ผลิตตามวิธีธรรมชาติมากขึ้น โดยสหภาพยุโรปมีสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ 50 ของตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั่วโลก รองลงมาเป็นตลาดสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนร้อยละ 45 สำหรับตลาดญี่ปุ่นมีสัดส่วนร้อยละ 2.3 ตลาดออสเตรเลียสัดส่วนร้อยละ 1 ดังนั้นโอกาสและลู่ทางในการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปขายในตลาดโลกของประเทศไทยยังมีอยู่มาก

ส่วนสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดยกรมวิชาการเกษตรร่วมกับบริษัทในเครือนครหลวง และบริษัทในเครือสยามวิวัฒน์ ผลิดข้าวอินทรีย์ในท้องที่จังหวัดพะเยาและเชียงราย เนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 1,200-1,500 ตัน ส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ภายใต้การควบคุมขององค์กรตรวจสอบคุณภาพของประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นสมาชิกของสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (IFOAM)

เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

นอกจากนั้นในหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เช่น จังหวัดสุรินทร์ ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ฯลฯ ก็ได้มีการผลิตข้าวอินทรีย์ส่งไปขายยังสหภาพยุโรปภายได้เครือข่ายของมูลนิธิสายใยแผ่นดิน จังหวัดอุบลราชธานีส่งออกในนามสมาคมเกษตรก้าวหน้า เป็นต้น ปัจจุบันประทศไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2549 140,939 ไร่ (คิดเป็น 0.11 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งประเทศ 131,270,000 ไร่) ผลผลิต 30,381 ตันคิดเป็นมูลค่า 948  ล้านบาท โดยขายในประเทศ 520 ล้านบาท และส่งออกต่างประเทศ 428 ล้านบาท

ปี พ.ศ. 2542-2546 กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาเกษตรศาสตร์ จัดทำโครงการนำร่องการผลิตพืชอินทรีย์เพื่อการส่งออก โดยร่วมกับบริษัทผู้ส่งออกจำนวน 6 บริษัท ตั้งเป้าหมายผลิตพืชอินทรีย์ 6 ชนิด เพื่อการส่งออก คือ หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดฝักอ่อน กล้วยไข่ สับปะรด ขิง และกระเจี๊ยบเขียว เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา

พ.ศ. 2549 เกิดวาระแห่งชาติเกษตรอินทรีย์ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณจำนวน 1,215.97 ล้านบาท โดยมีกรมพัฒนาที่ดินเป็นผู้ประสานงานแบ่งการดำเนินงาน เป็นการประชาสัมพันธ์ การวิจัยพัฒนาการสร้างเครือข่ายแกนนำเกษตรกร การจัดฝึกอบรม การสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้านเทคโนโลชีวภาพ การรับรองมาตรฐานและการส่งเสริมการตลาด

พ.ศ. 2551 เกิดแผนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2551 อนุมัติกรอบงบประมาณ จำนวน 4,826.80 ล้านบาท เพื่อจัดทำแผนพัฒนาเกษตรอินทรีย์ระหว่างปี พ.ศ. 2551-2554

ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ โดยได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการที่กระทรวงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2551 สนใจต้องการศึกษาหข้อมูลตลาดเกษตรอินทรีย์ ให้เข้าไปดูที่เว็บไซต์ http://www.organic.moc.go.th/ หรือโทร. 0-4451-1384

อบรมเกษตรขั้นเข้มข้น วนเกษตรเขาฉกรรจ์

0

เทพแห่งเกษตร ดร.เกริก มีมุ่งกิจ อธิบายถึง มีงานประจำลาออกมาทำเกษตรได้มั๊ย

สร้างป่าด้วยมือ จากเทพแห่งเกษตร ดร.เกริก

0

เคยสงสัยไหมว่าทำไมเกษตรกรถึงไม่ประสบความสำเร็จ ทำเท่าไรก็มีแต่หนี้สิน เรียนรู้วิธีเป็นเกษตรกรที่มีทั้งเงินและความสุขได้ที่นี่ วนเกษตรเขาฉกรรจ์

ปลูกป่า เลือกไม้ที่น่าปลูก

0

ปลูกป่า ควรจะรู้จักไม้มีค่าที่น่าปลูก ปลูกแบบผสมผสาน ไม่จำกัดแค่ต้นใด ต้นหนึ่ง

ปลูกป่า วางแผนอย่างไรดี ?

0

ปลูกป่า การวางแผนนั้นสำคัญ เพราะเมื่อต้นไม้โตขึ้นนั้น จะไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก จึงต้องมีการปรับภูมิทัศน์ และรู้จักพันธุ์ไม้แต่ละชนิดเป็นอย่างดี

เผาถ่านเตา 200 ลิตร อบไล่ความชื้น

0

เผาถ่านก็ต้องสร้างป่า การเผาถ่านเป็นการพึ่งตนเองประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ได้เพียงแค่ถ่านไว้ใช้หุงต้ม แต่ยังได้น้ำส้มควันไม้ไว้ใช้ในการเกษตร ประโยชน์มหาศาล แต่กว่าจะเผาถ่านได้นั้นก็ต้องมีการเรียนรู้ ฝึกฝน ความอนทน ดูแลเอาใจใส่ จนเกิดเป็นความชำนาญ ดังคำโบราณที่เปรียบไว้ว่า “คนเอาถ่าน”

เผาถ่านเตาดิน ลงทุนน้อยประโยชน์เยอะ

0

เผาถ่านเตาดิน เหมาะกับเกษตรโดยตรง ได้ทั้งถ่านหุงต้ม และ นำส้มควันไม้ไว้ใช้ในการเกษตร ลงทุนแค่ไม่ถึงหลักร้อย อิฐบล็อก ก้อนละ 4.50 บาท ท่อใยหิน เมตรละ 40 บาท ไม้ไผ่สีสุก สังกะสีเก่า

ดินดีปลูกอะไรก็งาม

0

ดินดี เข้าใจสังคมของต้นไม้ สร้างดินให้ดีเป็นพื้นฐาน จะปลูกอะไรก็งาม ไม่ต้องไปหาซื้อปุ๋ย ซื้อยาฆ่าแมลงมาใส่

ผลเสียจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร

0
ผลเสียจากการใช้สารเคมีในการเกษตร
ผลเสียจากการใช้สารเคมีในการเกษตร

ในโลกของเราใบนี้มีสารเคมีที่นุษย์เราผลิตขึ้นประมาณ 600,000 ชนิด ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์หรือ 60,000 ชนิด ใช้ในชีวิตประจำวัน และมีสารคมีที่เกิดใหม่ปีละ 1,000 ชนิด สารเคมีที่ใช้ทางการเกษตรพบว่าเป็นยาฆ่าเชื้อรา มากกว่า 250 ชนิด ยาฆ่าหญ้ามากกว่า 150 ชนิด

องค์กรอนามัยโลกได้สำรวจพบว่ามีคนป่วยเนื่องจากสารเคมีปีละ 3 แสนคนและเสียชีวิตปีละประมาณ 220,000 คน ร้อยละ 99 อยู่ในประเทศด้อยพัฒนา เนื่องจากอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกจึงใช้สารเคมีที่นานาประเทศเขาห้ามใช้แล้วทั้ง ๆ ที่มีคำเตือนอยู่ที่ภาชนะบรรจุสารเคมี

สำหรับสถานการณ์การใช้สารเคมีการเกษตรในประเทศไทยเป็นดังนี้

  • ปี พ.ศ. 2489 มีการก่อตั้งองค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือ FAO เกิดการปฏิวัติเขียวในปี พ.ศ. 2503 เพื่อให้มีอาหารที่เพียงพอต่อการบริโภค อันเนื่องจากเกิดภาวะอาหารขาดแคลนเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2
  • ปี พ.ศ. 2517 ป่าไม้ของไทยถูกทำลายมากที่สุดเพื่อใช้พื้นที่ในการทำการเกษตร
  • ปี พ.ศ. 2526 เกิดโรคระบาดกระจายกันทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เนื่องจากมีการใช้สารเคมีทางการเกษตรกันมากโดยเฉพาะยากำจัดวัชพืช
  • ปี พ.ศ. 2530 ตรวจพบว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการใช้สารเคมีทางการเกษตร 9,738 ราย
  • ปี พ.ศ. 2531-2533 สำรวจพบว่าผักร้อยละ 6 และผลไม้ร้อยละ 3 มีสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัย
  • ปี พ.ศ. 2536 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากระทรวงสาชารณสุขเก็บตัวอย่างผักคะน้าที่จังหวัดนครราชสีมา นครสวรรค์ สุพรรณบุรี เพรชรบูรณ์ และ ปราจีนบุรี จำนวน 86 ตัวอย่าง พบสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตฐานความปลอดภัยร้อยละ 13 ขณะที่กรมวิทยศาสตร์การแพพย์สำรวจพบว่ผลไม้ที่คนไทยนิยมบริโภค ได้แก่ องุ่น ชมพู่ พุทรา และละมุด 97 ตัวอย่าง พบสารเคมีตกค้างถึง 77 ตัวอย่าง โดยเฉพาะองุ่นและชมพู่ พบสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐานร้อยละ 71 และ 8 ตามลำดับ

แน่นอนผลเสียที่เราพบแน่ ๆ ว่าเกิดจากการใช้สารเคมี คือ ทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง อันเป็นสาเหตุก่อนให้เกิดโรคมะเร็ง จากข้อมูลการเสียชีวิตของคนในประเทศไทยในปี 2540 พบว่ามีคนไทยเสียชีวิตด้วยสาเหตุต่าง ๆ เรียงตามลำดับได้ดังนี้

  • อันดับ 1 อุบัติเหตุ 18 เปอร์เซ็นต์
  • อันดับ 2 โรคหัวใจ 14 เปอร์เซ็นต์
  • อันดับ 3 มะเร็ง 9 เปอร์เซ็นต์
  • อันดับ 4 โรคตับ 3 เปอร์เซ็นต์

แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2549 – 2550 พบว่าคนไทยเสียชีวิตด้วยสาเหตุจากโรคมะเร็งมาเป็นอันดับหนึ่งสองปีติดต่อกันแล้ว ปีละประมาณ 50,000 ราย โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเนื่องจากการรับประทานอาหารที่ผิด ๆ และมีสารพิษปนเปื้อน นอกจากสารเคมีหลายชนิดเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังมีพิษต่อระบบประสาทและการทำงานของกล้ามเนื้อ และอาจทำให้ผู้ชายมีอสุจิอ่อนแอทำให้มีบุตรยาก

  • ปี พ.ศ. 2533 ในประเทศมาเลเซีย จากการสำรวจพบว่ามีผู้เสืยชีวิตจากการใช้ยาฆ่าหญ้า คือ พาราควอท ชนิดเดียวถึง 1,200 ราย ทำให้ปัจจุบันประเทศมาเลเซียได้ห้ามจำหน่ายสารเคมีชนิดนี้ไปแล้ว

นอกจากผลเสียต่อสุขภาพและชีวิตแล้ว การใช้สารเคมีนาน ๆ ยังทำให้แมลงมีความต้านทานต่อยาปราบศัตรูพืชอีกด้วย โดยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2539 ประเทศอังกฤษ ได้รายงานว่า พบแมลงมากกว่า 500 ชนิด ต้านทานยาฆ่าแมลงที่ฉีด ทำให้ต้องใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น

ผลเสียอีกประการที่ตามมา คือ ทำให้พันธุ์พืชดั้งเดิมสูญหาย โดยในประเทศสหรัฐอเมริกามีรางานว่าจากเดิมมีพันธุ์พืชดั้งเดิมอยู่ประมาณ 80,000 ชนิด ปัจจุบันพบเหลืออยู่เพียง 150 ชนิด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำเกษตรแบบสมัยใหม่ ในประเทศเยอรมณี ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาไม่พบสาหร่ายน้ำในแม่น้ำเกิดขึ้นเลย ในประเทศแคนาดาพื้นที่ 6 ไร่ 1 งาน จะพบว่ามีต้นไม้ขึ้นอยู่เพียง 1-5 ชนิดเท่านั้น

ประเทศออสเตรเลียในปี พ.ศ. 2538 พบโลหะหนักปนเปื้อนในผักและผลไม้ที่ปลูกในนครซิดนีย์สูงกว่าปริมาณที่ยอมรับได้ 11 เท่า

นอกเหนือจากนั้นยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ สารเคมีบางชนิดอาจจะตกค้างอยู่ในระบบนิเวศนาน บางชนิดอยู่นานถึง 30 ปี เช่น ดีดีที เป็นต้น

ทำไมถึงห้ามใช้พันธ์พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรม

เพราะเราไม่แน่ใจว่าพันธุ์พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการดัดแปรงทางพันธุกรรม จะมีความปลอดภัยหรือไม่ อย่างบุหรี่กว่าจะรู้ว่ามันมีอันตรายต่อมนุษย์ คือ เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งต้องใช้เวลาในการศึกษาถึงร้อยปี จึงทราบว่าบุหรี่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง

ทำไมถึงห้ามใช้ปุ๋ยเคมี

หลายคนเชื่อว่าปุ๋ยเคมีไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ปุ๋ยเคมีโดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรเจนอาจส่งผลต่อสุขภาพได้ ถ้าใช้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป ไนเตรทอาจตกค้างในพืชผักหรือปนเปื้อนในแหล่งน้ำใต้ดิน ถ้าเราบริโภคในเตรทเข้าไปสารดังกล่าวจะแปรรูปเป็นไนไตรท์ โดยทั้งไนเตรทและไนไตรท์ เป็นสารก่อมะเร็งในกระเพาะอาหาร ตับ ไต และกระเพาะปัสสาวะ ดังนั้นในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงได้มีการกำหนดปริมาณสารไนเตรทตกค้างในผักและน้ำดื่มได้ด้วย

จำเป็นหรือไม่ที่ต้องพ่นยาฆ่าแมลงทุกครั้งที่พบ

คำตอบคือไม่จำเป็นเลย ยกตัวอย่างในการทำนา จากการสำรวจในแปลงนาข้าวของเกษตรกรจะพบว่ามีตัวห้ำและตัวเบียนอยู่ในเปลงนาทั่ว ๆ  ไป ประมาณ 2,173 ชนิด โดยเป็นตัวห้ำ 820 ชนิด ตัวเบียน 419 ชนิด แมงมุม 293 ขนิด ในขณะที่ศัครูพืชที่พบในแปลงนาจะมีเพียง แมลง 26 ชนิด โรค 22 ชนิด ไส้เดือนฝอย และวัชพืช 18 ชนิด สัตว์ศัตรูพืข 3 ชนิด ดังนั้นการที่เราฉีดพ่นยาเคมีเพื่อฆ่าแมลงทุกครั้งที่พบก็จะเป็นการฆ่ามิตรแท้ที่มีประโชน์ต่อเราไปด้วย ทำให้เกิดแมลงศัตรูพืชระบาดเพราะขาดตัวที่ควบคุมตามรรมชาติ

เกษตรอินทรีย์

0
เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

ในภาวะปัจจุบันกระแสความตื่นตัวด้านเกษตรอินทรีย์ได้แพร่หลายและกระจายอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศที่มีความเจริญแล้ว ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากได้เห็นพิษภัยของสารเคมีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีที่ใช้ทางการเกษตรหรือกิจการอื่น ๆ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อดินแหล่งน้ำและสภาพเวดล้อมและเกิดอันตรายต่อชีวิตมนุมย์และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ด้วยเหตุนี้เองจึงมีคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งในยุโรปได้ดำเนินการผลิตพืชและสัตว์เพื่อบริโภคเอง ตลอดจนขายในหมู่ผู้บริโภคที่รักชีวิดของตนเองและด้องการอาหารทีสดสะอาดและปลอดภัยจากสารพิษเป็นสำคัญ การระบาดของโรควัวบ้าและการพบสารไดออกชินในประเทศเบลเยี่ยมมีผลทำให้ประเทศต่าง ๆ ในหภาพยุโรปหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันมากขึ้น ปัจจุบันเกษตรอินทรีย์ถือเป็นเรื่องธรรมดา ๆ สามัญของหลายประทศในยุโรปเพราะรู้จักและคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว เช่น ประเทศสวีเดน ออสเตรีย ฟินแลนด์ กรีซ สเปน และ อิตาลี เป็นต้น

เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

การเกษตรอินทรีย์ของโลกครั้งแรกเกิดขึ้นในทวีปยุโรปและต่อมาได้แพร่หลายและกระจายเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกาแคนาดา ฯลฯ ในขณะที่ประเทศเถบเอเซียเรานิยมชมชอบกับการทำการเกษตรแบบธรรมชาติโดยยึดแนวทางจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นหลัก ประเทศไทยเองตั้งแต่ตั้งแต่เดิใก็มีการทำการเกษตรที่ปลอดภัยมาช้านานแล้วและเรียกขานกันในหลา รูปแบบ เช่น เกษตรไร้สารพิษ เกษตรปลอดสารพิษ เกษตรปลอดภัยจากสารพิษ เกษตรธรรมชาติ เกษตรยั่งยืน เป็นต้น

กำเนิดเกษตรอินทรีย์

เกษตรอินทรีย์เกิดมาพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษชาติตั้งแต่สมัยเริ่มแรกที่มนุษย์รู้จักวิธีการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์เมื่อประมาณ 10,000 ปี มาแล้ว โดยอาศัยหลักการพึ่งพิงธรรมชาติเละหมุนวียนการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่เกษตรอินทรีย์สมัยใหม่โคยอาศัยหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เริ่มต้นครั้งแรกในทวีปยุโรปเมื่อปี พ.ศ.2479 โดยเซอร์อัลบิร์ต โฮเวิร์ด ซึ่งถือได้ว่าเป็นบิดาของกาทำเกษตรอินทรีย์ได้เขียนรื่องราวเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ในหนังสือเรื่อง “คัมภีร์การเกษตร” (An Agricultural Testament) เมื่อเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2483 โดยกล่าวถึงหลักการทำเกษตรอินทรีย์ไว้ 7 ประการ คือ

  1. สุขภาพที่ดีเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
  2. สุขภาพที่ดีต้องใช้ได้กับทั้ง ดิน พืช สัตว์ และมนุษย์ ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  3. ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นกับห่วงโซ่อาหารแรก คือ ดิน จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อื่น ๆ ที่อยู่ลำดับสูงขึ้นไปตามลำดับจนถึงมนุษย์ซึ่งอยู่บนสุด
  4. การระบาดของโรคแมลงต่อพืชและสัตว์ในระบบการเกษตรสมัยใหม่ คือ ปัญหาในห่วงโซ่อาหารที่สองและสาม
  5. ปัญหาสุขภาพของมนุยย์เป็นผลมาจากห่วงโซ่อหารที่สองและสาม
  6. สุขภาพที่ไม่ดีของพืช สัตว์ และ มนุษย์ เป็นผลต่อเนื่องมาจากสุขภาพที่ไม่ดีของดิน
  7. การยอมรับกฏและบทบาทของธรรมชาติโดยสำนึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนการพัฒนาให้ถูกต้องโดยไม่ยาก ทั้งนี้จะต้องไม่กระทำการใด ๆ ที่เป็นการรบกวนต่อกระบวนการสะสมธาตุอาหารในดินที่ดำเนินการโดยจุลินทรีย์ในดิน

เกษตรอินทรีย์คืออะไร?

เกษตรอินทรีย์คืออะไร เป็นคำถามที่ไม่แน่ใจว่ผู้คนจะรู้ซึ้งถึงคำ ๆ นี้มากน้อยเพียงใด บ้างก็ว่สคือการทำการเกษตรโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ บ้างก็ว่า คือการทำการเกษตรที่ใช้ปุ๋ยชีวภาพและสมุนไพรในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชซึ่งก็ถือได้ว่าถูกส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ก็อย่างที่บอกไว้แล้วว่าเกษตรอินทรีย์เกิดขึ้นในยุโรป ดังนั้นนิยามของคำว่า เกษตรอินทรีย์ จะแตกต่างกันไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของแต่ละประเทศซึ่งแตกต่างกันไป

สำหรับประเทศไทยได้ให้คำนิยามหรือความหมายของเกษตรอินทรีย์ซึ่งแตกต่างจากผักไร้สารพิษ ผักปลอดภัยจากสารพิษและผักอนามัย ดังนี้

1. เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture)

คือระบบการผลิตที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม รักษาสมคุลของธรรมชาดิและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีระบบการจัดการนิเวศวิทยาที่คล้ายคลึงกับธรรมชาติหลีกเลี่ยงการใช้สารสังคราะห์ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและฮอร์โมนต่าง ๆ ตลอดจนไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรมที่อาจก่อให้เกิดมลพิษในสภาพแวดล้อมนั้น การใช้อินทรียวัดถุ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสดและชีวภาพ ในการปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เพื่อให้ต้นพืชมีความแข็งแรงสามารถต้านทานโรคและแมลงได้ด้วยตนเอง รวมถึงการนำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ประโชน์ด้วย ผลผลิตที่ได้จะปลอดภัยจากอันตรายของสารพิษตกค้าง ทำให้ปลอดภัยทัตตัวผู้ผลิต ผู้บริโภค และไม่ทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมอีกด้วย

สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้คำจำกัดความของเกษตรอินทรีย์ ไว้ว่า

เกษตรอินทรีย์ (Organic agriculture) หมายถึง  ระบบการจัดการการผลิตด้านการเกษตรแบบองค์รวมที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศรวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ วงจรชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติหลีกเลี่ยงการใช้วัตถุดิบจากการสังคราะห์และไม่ใช้พืชสัตว์หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากเทคนิคการดัดแปรงพันธุกรรม (genetic modifcation) หรือพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) มีการจัดการกับผลิตภัณฑ์ โดยนั้นการแปรรูป ด้วยความระมัดระวังเพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์และคุณภาพที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ในทุกขั้นตอน”

2. อาหารอินทรีย์ (Organic Food)

คืออาหารที่ได้จากผลิตผลและ/หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ผลิตจากระบบการเกษตร โดยใช้วัสดุธรรมชาติแต่ไม่ใช้พืชหรือสัตว์ที่มีการตัดต่อสารพันธุกรรม ทั้งนี้ เน้นการที่ฏิบัติที่ไม่เพิ่มมลพิษแก่ภาวะแวดล้อม

3. ผักไร้สารพิษ

เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

คือผักที่ระบบการผลิตไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสารเคมีเพื่อป้องกันและปราบศัตรูพืชหรือเคมีทุกชนิด แตะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทั้งหมด และผลผลิตที่เก็บเกี่ยวและต้องไม่มีสารพิษใด ๆ ทั้งสิ้น

4. ผักอนามัย (Hygienic Vegetable)

คือผักที่ระบบการผลิตมีการใช้สารเคมีในการป้องกันและปราบศัตรูพืช รวมทั้งปัยเคมีเพื่อการเจริญเติบโต ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ยังมีสารพิษตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและมีความสะอาดผ่านกรรมวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการเก็บเกี่ยวตลอดจนการขนส่งและการบรรจุหีบห่อได้คุณลักษณะตามมาตรฐาน

ทำไมต้องเกษตรอินทรีย์

การใช้ทรัพยากรดินโดยไม่คำนึงถึงผลเสียของปุ๋ยเคมีสังเคราะห์ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในแร่ธาตุ และสภาพของดิน ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ในดินนั้นสูญหายและไร้สมรรถภาพความไม่สมดุลนี้ป็นอันตราบยิ่ง กระบวนการนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ผืนดินที่ถูกผลาญไปนั้น ได้สูญเสียความสามารถในการดูดซับแร่ธาตุทำให้ผลิตผลมีแร่ธาตุ วิตามิน และพลังชีวิตต่ำ เป็นผลให้เกิดการขาดแคลนธาตุอาหารรองในพืช พืชจะอ่อนแอขาดภูมิต้านทานโรค และทำให้การคุกคามของแมลงและเชื้อโรคเกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งจะนำไปสู่การใช้สารเคมีฆ่าแมลงและเชื้อราเพิ่มขึ้น ดินที่เสื่อมคุณภาพนั้นจะเร่งการเจริญเติบโตของวัชพืชให้แข่งกับพืชเกษตร และนำไปสู่การใช้สารเคมีสังคราะห์กำจัดวัชพืช ข้อบกพร่องเช่นนี้ก่อให้เกิดวิกฤติในห่วงโซ่อาหารและระบบการกษตรของเรา ซึ่งทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน

เกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์

จากรายงานการสำรวจขององค์กรอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2543 พบว่าประเทศไทยมีเนื้อที่ทำการเกษตรอันดับที่ 48 ของโลกแต่ใช้ยาฆ่าแมลงอันดับ 5 ของโลก ใช้ยาฆ่าหญ้าอันดับ 4 ของโลก ใช้ฮอร์โมนอันดับ 4 ของโลก ประเทศไทยนำเข้าสารเคมีสังคราะห์ทางการเกษตร เป็นเงินปีละกว่า 3 หมื่นล้านบาท เกษตรกรต้องซื้อปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ในการเพาะปลูกทำให้การลงทุนสูง และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาผลผลิตในรอบยี่สิบปีไม่ได้สูงขึ้นตามสัดส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้นนั้นมีผลทำให้เกษตรกรขาดทุนมีหนี้สินลั้นพันตัว การกษตรอินทรีย์จะป็นหนทางของการแก้ปัญหาเหล่านั้นได้

การเกษตรสมัยใหม่หรือเกษตรเชิงเดี่ยวก่อให้เกิดปัญหาทางการเกษตรมากมายดังนี้

  1. ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง
  2. ต้องใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นทุกปีจึงจะได้รับผลผลิตเท่าเดิม
  3. เกิดปัญหาโรคและแมลงระบาดทำให้เพิ่มความยุ่งยากในการป้องกันและกำจัด
  4. แม่น้ำและทะเลสาบปนเปื้อนด้วยสารเคมีและความเสื่อมโทรมของดิน
  5. พบสารเคมีปนเปื้อนในผลผลิตเกินปริมาณเกณฑ์ที่กำหนดทำให้เกิดพิษภัยต่อผู้บริโภค
  6. สภาพแวดล้อมถูกทำลายเสียหายจนยากที่จะเยียวยาให้กลับคืนมาดังเดิม

นอกจากนั้นการเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมซึ่งเป็นการเลี้ยงสัตว์จำนวนมากในพื้นที่จำกัด ทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่ายจึงต้องใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมากทำให้ตกค้างในเนื้อสัตว์และไข่ส่งผลต่อผู้บริโภคโรควัวบ้ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนสัญญาณอันตรายที่บอกให้รู้ว่าการเลี้ยงสัตว์แบบอุตสาหกรรมไม่เพียงป็นการทรมานสัตว์แต่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของมนุษย์ด้วย

ครม.เคาะกองทุน SSF แทน LTF ลดหย่อนสูง 30% ไม่เกิน 2 แสน ถือครอง 10 ปี

0
ครม.เคาะกองทุน SSF แทน LTF ลดหย่อนสูง 30% ไม่เกิน 2 แสน ถือครอง 10 ปี
ครม.เคาะกองทุน SSF แทน LTF ลดหย่อนสูง 30% ไม่เกิน 2 แสน ถือครอง 10 ปี

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการออมระยะยาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอประกอบด้วย การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF) (กองทุน SSF) และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund :  RMF) (กองทุน RMF) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมระยะยาวมากขึ้น ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะมุ่งเน้นให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงน้อยและผู้ที่เริ่มต้นวัยทำงานได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการจูงใจให้ประชาชนกุ่มดังกล่าวเริ่มต้นการออมระยะยาวโดยเร็ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

ครม.เคาะกองทุน SSF แทน LTF ลดหย่อนสูง 30% ไม่เกิน 2 แสน ถือครอง 10 ปี
ครม.เคาะกองทุน SSF แทน LTF ลดหย่อนสูง 30% ไม่เกิน 2 แสน ถือครอง 10 ปี

1. ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุน SSF ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการออมระยะยาวที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยกำหนด ดังนี้

1.1 ให้บุคคลธรรมดาสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน SSF ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยเมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ (กองทุน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี

1.2 กองทุน SSF ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท

1.3 ไม่กำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อหน่วยลงทุน และไม่กำหนดเงื่อนไขในการซื้อต่อเนื่อง

1.4 ผู้ซื้อกองทุน SSF สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อถือมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ

1.5 เงินได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน SSF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด

ทั้งนี้ สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF ได้ 5 ปี (2563-2567) โดยกระทรวงการคลังจะประเมินผลของมาตรการเพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป

2. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อกองทุน RMF ดังนี้

2.1 ปรับสัดส่วนการหักลดหย่อนภาษีสำหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน RMF จากเดิมไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน เป็นไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน โดยยังคงกำหนดวงเงินหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ (กองทุน SSF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ หรือเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนออมได้มากขึ้น

2.2 ยกเลิกการกำหนดจำนวนขั้นต่ำในการซื้อกองทุน RMF (เดิมกำหนดให้ซื้อไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของเงินได้พึงประเมิน หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปี แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า) เพื่อให้ผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยสามารถซื้อกองทุน RMF ได้ โดยยังคงกำหนดให้ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี และไม่ระงับการซื้อเกิน 1 ปี ติดต่อกันเช่นเดิม

นายอุตตม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังมุ่งหวังให้ประชาชนทุกกลุ่มมีวินัยการออม เริ่มต้นออมระยะยาวตั้งแต่เข้าสู่วัยทำงาน และรู้จักวางแผนทางการเงิน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงทางรายได้เมื่อพ้นวัยทำงาน ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Fund) หรือ LTF ซึ่งจะสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในปี 2562 นั้น นักลงทุนจะยังคงสามารถซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน LTF ได้ และแม้ว่าจะไม่ได้รับการลดหย่อนภาษีสำหรับเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป แต่กระทรวงการคลังได้เสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ผู้ที่ถือหน่วยลงทุนได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุน LTF เช่นเดียวกับกองทุนรวมอื่น ๆ