Friday, October 24, 2025
Home Blog Page 25

วิธีสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ สำหรับคนชอบอยู่บ้าน

0
กับดักของ Passive Income

วัยทำงานหลายคนมักจะเบื่อกับการเป็นมนุษย์ออฟฟิศ ที่ต้องตื่นแต่เช้าไปตอกบัตรเข้างานให้ตรงเวลา และเมื่อเลิกงานแล้วยังต้องมาเผชิญกับรถติดอันแสนน่าเบื่อ ด้วยเหตุนี้แล้วจึงทำให้คนเรามักมีความคิดที่อยากจะลาออก เพื่อมาทำงานหรือสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง สำหรับยุคปัจจุบันนี้แล้วทุกสิ่งเราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ จากความรู้และความสามารถที่ตนเองมี เช่นเดียวกัน บางคนที่เบื่อจากการเป็นมนุษย์ อยากมาทำงานที่บ้าน, มีความจำเป็นต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งหากว่าคุณกำลังมองหาการหารายได้เสริมแม้อยู่บ้าน ก็อย่ารอช้าเลยเพราะเรามีเหล่าอาชีพดี ๆ ต่อไปนี้มาฝากกัน ไม่แน่ว่าจากรายได้เสริมอาจกลายเป็นรายได้หลักก้อนโตให้กับตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

ทำขนมขาย

ถ้าหากว่าคุณเป็นคนมีฝีมือในการทำอาหาร หรือทำขนม ขอบอกเลยว่าเราสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง ด้วยเสน่ห์จากปลายจวักนี่แหล่ะ เริ่มแรกให้เริ่มต้นจากเมนูง่าย ๆ ก่อนจากนั้นแล้วค่อยฝากขายตามร้านค้าแถวบ้าน หรือถ้าจะให้ดีก็ลงขายในช่องทางออนไลน์ไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมเบเกอรี่ เป็นของว่างที่ฮอตฮิตอยู่เสมอ ถ้าขนมอร่อยไม่ว่าใครต่างก็ชื่นชอบ จนถึงคราวนั้นแล้วหากชื่อเสียงความอร่อยขยับขยาย อาจจะทำขายไม่ทันเลยเชียวนะ

ขายของออนไลน์

การขายของออนไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนี้ ไม่ว่าใครต่างก็สั่งซื้อของออนไลน์กันรัว ๆ และเป็นงานที่คุณสามารถทำได้ที่บ้าน และนอกบ้าน เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนติดตัวเท่านั้น! เห็นไหมล่ะว่าสร้างรายได้จากการขายของออนไลน์นั้นง่ายนิดเดียว แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ การนำสินค้ามาขาย ควรมีจุดเด่น มีคุณภาพ และราคาเหมาะสม เมื่อมีการโปรโมทสินค้าเป็นอย่างดีแล้ว ก็ทำให้คุณสามารถสร้างรายได้อย่างงามจากการขายของออนไลน์ ซึ่งถ้ามุ่งมั่นอย่างแท้จริง อาชีพนี้ก็สามารถทำให้คุณซื้อบ้านซื้อรถได้เลยนะ

เขียนบทความ

สำหรับใครที่ชอบเขียนบทความต่าง ๆ สามารถนำความสามารถของตนเอง มาแปรเปลี่ยนรายได้อย่างงามเลยเชียว เรียกได้ว่าแค่อยู่บ้านและมีคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุคสักตัว ก็สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองได้ ทั้งนี้ อาจเริ่มต้นจากการเขียนบทความขายให้กับผู้ที่ต้องการ, เขียนบทความลงเว็บไซต์ของตัวเอง โดยหารายได้จากโฆษณาหรือสปอนเซอร์ หรือถ้าใครชอบเล่าเรื่อง อาจเขียนนวนิยายลงช่องทางออนไลน์ให้มีผู้อ่านเยอะ ๆ  ซึ่งหากว่านวนิยายนั้น ๆ ได้รับความนิยมก็มีโอกาสที่จะได้ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มหรือนำไปพัฒนาเป็นซีรีย์-ละครในโทรทัศน์  จนนำมาซึ่งรายได้ที่งดงาม!

เล่นหุ้น

การเล่นหุ้น เป็นแนวทางที่เหมาะสำหรับคนมีเงินเย็นอยู่แล้ว แต่สามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างแท้จริง และเหมาะกับคนชอบอยู่บ้านด้วย แต่ก่อนที่จะลงทุนในหุ้น ต้องศึกษาข้อมูลในการลงทุนให้ดี หากเตรียมตัวมาดีก็ย่อมมีโอกาสสูงที่จะได้กำไรแต่ถ้าหากว่าใช้ความโลภครอบงำ และเล่นอย่างประมาทก็อาจทำให้ขาดทุนได้

ทำสติ๊กเกอร์ไลน์ขาย

เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแอพพลิเคชั่น “ไลน์” เพราะแทบทุกคนจะต้องมีไว้ใช้ เพื่อติดต่อสื่อสารกัน ไม่ว่าจะด้วยข้อความ เสียง หรือในรูปแบบอื่น ๆ ก็ตาม ซึ่งไลน์มีลูกเล่นที่น่ารักด้วยการนำสติ๊กเกอร์มาเป็นสื่อแทนความรู้สึก นอกจากนี้แล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างรายได้ จากการทำสติ๊กเกอร์ไลน์ขาย ขอบอกเลยว่าได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นตัวการ์ตูนที่มีความครีเอทและแปลกใหม่ อีกทั้งได้รับความนิยมก็ยิ่งเพิ่มโอกาสทำเงินได้มากขึ้นเท่านั้น ใครที่ถนัดการวาดรูปก็ลองมาหารายได้จากไลน์กัน

งานฝีมือ

การสร้างผลงานที่มาจากฝีมือของตัวเอง ที่มักจะเรียกกันว่า งานแฮนด์เมด ไม่ว่าจะเป็นการเย็บ ปัก ถัก ร้อย หรือแม้แต่งานพับก็ตาม หากว่าคุณมีความถนัดในด้านนี้ก็ลองสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง อย่างเช่น การทำถุงผ้าลวดลายแปลกตา เย็บชุดตามสั่ง ถักโครเชต์ และอีกมากมาย ซึ่งงานฝีมือเหล่านี้หากทำด้วยความประณีตและขายให้ตรงตามกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ ก็จะกลายเป็นรายได้เสริมและรายได้หลัก แม้ว่าจะทำที่บ้านก็ตาม

รับจ้างรีดผ้า

เชื่อว่าทุกบ้านย่อมมีเตารีดกันอยู่แล้ว ดังนั้นแล้วการรับจ้างรีดผ้าจึงเป็นอีกหนึ่งทางหารายได้เสริม ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเลยเพียงแค่ลงแรงเท่านั้น ด้วยการหากลุ่มลูกค้าจากละแวกใกล้เคียง จะดีอย่างมากหากบ้านของคุณอยู่ใกล้กับแหล่งทำงานหรือสถานศึกษา ซึ่งมีคนพลุกพล่าน  ลองทำดูเพลิน ๆ แม้ว่าจะเหนื่อยไปสักหน่อย แต่ก็เป็นรายได้เสริมที่เหมาะสำหรับคนชอบอยู่บ้าน


สรุป

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานที่สามารถทำได้จากที่บ้าน ที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงานมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นงานที่ทุกคนทำได้ โดยใช้ความถนัดและความรู้ของตนเองมาแปรเปลี่ยนให้เป็นเงิน  ถือว่าเป็นทางเลือกน่าสนใจสำหรับผู้อยากทำงานที่บ้าน  ไม่ว่าจะเป็นงานแบบใดก็ตามถ้าหากว่าไม่เลือกมากแล้วย่อมไม่ยากจน จะมีเงินใช้ตลอดไม่ขาดสายอย่างแน่นอน


แหล่งข้อมูลอ้างอิงบทความ

เทคนิคการลงทุนให้เห็นกำไรอย่างแท้จริง และไม่ต้องเสี่ยงขาดทุน

0
เทคนิคการลงทุนให้เห็นกำไรอย่างแท้จริง และไม่ต้องเสี่ยงขาดทุน

ในการลงทุนแต่ละครั้ง เราย่อมคาดหวังว่าจะได้รับผลกำไรกลับคืนมา และไม่มีใครอยากจะเสี่ยงขาดทุนเพราะนั่นอาจหมายถึงการสูญเงินลงทุนไปทั้งหมด ซึ่งแต่ละคนต้องใช้เวลาออมเงินกว่ายาวนาน กว่าจะได้นำมาลงทุนในแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ เราสามารถเซฟเงินทุนของตัวเอง และได้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย โดยมีทางเลือกมากมายให้กับผู้ที่สนใจอยากจะลงทุนให้ได้กำไร และไม่อยากจะเสี่ยงขาดทุน งั้นลองมาดูกันเลยว่าจะมีการลงทุนแบบไหนบ้างที่น่าสนใจ

ลงทุนด้วยการฝากเงินประจำ

การฝากเงินประจำ ถือว่าเป็นวิธีสุดเบสิกและง่ายสุด ๆ ในการลงทุนให้ได้ผลตอบแทน ต้องเรียกได้ว่าไม่มีความเสี่ยงเลย เนื่องจากการลงทุนประเภทนี้เป็นการฝากเงินไว้ในบัญชีธนาคารตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อครบกำหนดก็จะมีการจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ฝากในอัตราที่แน่นอน อย่างไรก็ตามผลตอบแทนถือว่าค่อนข้างน้อย หากนำไปเปรียบเทียบกับการลงทุนด้านอื่น ๆ แต่ก็มีข้อดีอย่างนึงคือ เงินฝากของคุณจะอยู่รอดปลอดภัยอย่างแน่นอน

ซื้อสลากออมสินหรือสลากธ.ก.ส.

หากใครที่ชอบเสี่ยงโชค รวมไปถึงอยากจะออมเงินและลงทุนไปพร้อมกัน งั้นเราขอแนะนำให้คุณพิจารณาซื้อ สลากออมสินหรือสลากธ.ก.ส. ซึ่งรูปแบบของสลากคือ เราสามารถซื้อสลากในจำนวนกี่บาทก็ได้ หลังจากนั้นก็จะได้เลขสลากเพื่อนำมาลุ้นรางวัลทุกเดือน มีเคล็ดลับคือหากยิ่งซื้อมากก็มีโอกาสที่จะถูกรางวัลได้มาก นอกจากนี้แล้วหากถือครบตามกำหนดคือ 3 ปี, 5 ปี ก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามที่ธนาคารกำหนดอีกด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะเพียงแค่ซื้อสลากก็สามารถลุ้นผลตอบแทนได้หลายช่องทางเลยทีเดียว

กองทุนรวมตราสารหนี้ แบบกำหนดอายุโครงการ

หากว่าพูดถึงเรื่องการซื้อ กองทุนรวม หลายคนคงจะส่ายหน้าหนีและคิดว่าเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตามต้องบอกก่อนว่ากองทุนรวมมีหลายประเภทด้วยกัน มีตั้งแต่ระดับที่ความเสี่ยงสูงไปจนถึงความเสี่ยงต่ำ หากเราเลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างเช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ ประเภทกำหนดอายุโครงการ ก็จะช่วยให้สบายใจมากยิ่งขึ้นว่าจะไม่เสี่ยงขาดทุนได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะเป็นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศก็ตาม แต่มีการกำหนดระยะเวลาโครงการอย่างแน่นอน จึงทำให้ผู้ลงทุนทราบผลลัพธ์และผลตอบแทนที่ได้ลงทุนไปได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้เมื่อเราได้เลือกลงทุนครบตามระยะเวลาที่กำหนดแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนตามที่บลจ.นั้น ๆ ได้กำหนดไว้ หากเปรียบเทียบกันแล้วก็ถือว่าได้รับผลตอบแทนสูงมากกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์อย่างแน่นอน

ลงทุนทองคำ

การลงทุนในทองคำ เป็นสิ่งที่ทุกคนย่อมคุ้นเคยดีโดยเฉพาะคนยุคสมัยก่อนซึ่งเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่มักจะนิยมซื้อทองคำมาเก็บไว้แล้วเก็งกำไร เพราะการลงทุนในทองคำนั้นมีมาแต่ช้านานและลักษณะของการซื้อ-ขายก็ง่ายและสะดวกอีกด้วย เมื่อมาถึงยุคนี้แล้วคนรุ่นใหม่สามารถซื้อทองคำมาเก็บเก็งกำไรไว้เอง หรือว่าจะซื้อ-ขายจากช่องทางออนไลน์ก็ได้ ถือว่าสร้างความสะดวกสบายเป็นอย่างมากเลยล่ะ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักจะซื้อทองคำในรูปแบบของทองคำแท่ง หรือทองคำรูปพรรณ สำหรับผลตอบแทนที่ได้นั้นมาจากส่วนต่างของราคาเมื่อได้ทำการซื้อ-ขาย อย่างไรก็ตามแม้หลายคนจะอุ่นใจว่าทองคำเป็นสิ่งที่มีค่า แต่หากว่าอยากจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ ก็จะต้องลงทุนในระยะยาวเพราะยิ่งระยะเวลานานเท่าไหร่ ราคาทองคำก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น จึงเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ทุกคนเข้าถึงได้และเข้าใจง่าย แต่ก็ไม่เหมาะที่จะทำกำไรในระยะสั้น

ลงทุนธุรกิจออนไลน์

การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนในหุ้น กองทุนรวม หรือเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินเสมอไป เพราะในยุคที่ผู้คนต่างใช้สมาร์ทโฟนกันเกลื่อนเมือง ชีวิตผูกติดกับอินเตอร์เน็ตแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นแล้วถือว่าเป็นเรื่องดีที่เราจะถือโอกาส ลงทุนด้านธุรกิจออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมก็ต้องเป็นการขายของออนไลน์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างงามให้กับแต่ละคน ถือว่าเป็นการลงทุนที่ช่วยให้คุณได้เรียนรู้ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการนำเงินไปลงทุน หาสินค้ามาขาย การติดต่อสื่อสารกับลูกค้า การได้กำไร การขาดทุน อย่างไรก็ตามถ้าหากว่ามีความมุ่งมั่นและหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ การลงทุนในด้านนี้จะสร้างผลกำไรให้จนสามารถตั้งตัวได้เลยล่ะ


สรุป

สิ่งที่เรานำมาฝากกันนี้ก็เป็นเทคนิคในการลงทุนแต่ละด้าน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน บางอย่างใช้เงินทุนมากในขณะที่บางอย่างใช้เงินทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งคุณก็ควรเลือกประเภทการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง รวมไปถึงให้เหมาะสมกับฐานะทางการเงินด้วย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป นอกจากนี้แล้วก็อย่ามัวแต่มุ่งผลตอบแทนเพียงอย่างเดียวจนลืมศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนด้านนั้น ๆ ที่ควรมีความรอบคอบเป็นอย่างมาก เพื่อลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนอีกขั้นนึง รับรองได้เลยว่าก็จะสามารถสร้างผลตอบแทบให้กับตัวเอง โดยที่ไม่ต้องเสี่ยงขาดทุนแต่อย่างใดเลย


แหล่งอ้างอิง

  • https://money.kapook.com/view125178.html
  • https://kasikornbank.com/th/k-expert/knowledge/articles/savings/Pages/Invest_A142.aspx
  • ภาพประกอบบทความ : freepik.com

เทคนิคบริหารหนี้สิน ให้หมดไปจากชีวิต

0
เทคนิคบริหารหนี้สิน ให้หมดเร็ว

คำกล่าวที่ว่า การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นประโยคคลาสสิกที่นำมาใช้ได้ทุกยุค โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ที่มีสิ่งเร้าเยอะ ของสวย ๆ งาม ๆ ล่อหน้าล่อตาทำให้คนเราเกิดกิเลสมากยิ่งขึ้น และเมื่อได้เข้าสู่วัยทำงาน หรือมีรายได้เป็นของตัวเอง ทำให้ในบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะให้รางวัลกับตัวเองด้วยการช้อปปิ้งซื้อของใช้ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะจำเป็นบ้างหรือไม่จำเป็นบ้าง ถ้าหากว่ามีการผ่อนจ่ายและพอกพูนหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยแล้วละก็  รับรองเลยล่ะว่าจะทำให้คุณจมอยู่กับหนี้สินจนแทบเอาตัวไม่รอดอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วถ้าหากว่าคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ไม่อยากมีหนี้สินอีกแล้ว ก็ต้องนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กัน ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้นก็ไปดูกันเลย

แจกแจงหนี้ของตนเอง

ถ้าหากว่าคุณมีหนี้สินเพียงแค่อย่างเดียว ก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะโฟกัสไปเพียงแค่การรีบจ่ายหนี้ก้อนนั้น ๆ ให้หมดไปซะ แต่ถ้าหากว่าดันมีหนี้สินหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าไหนก็ต้องจ่ายกันทั้งนั้น แน่นอนว่าคงทำให้ปวดหัวมากเลยใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งสำคัญที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกหากต้องการสะสางหนี้สินให้หมดไป นั่นก็คือ ให้แจกแจงหนี้ของตนเองเสียก่อน ว่ามีหนี้สินกับเจ้าหนี้รายใดบ้าง ทั้งนี้ควรจะรีบจ่ายหนี้ที่ปล่อยดอกเบี้ยสูงเพราะถ้าหากว่าปล่อยไว้นาน ๆ จะยิ่งทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้นจนคุณไม่สามารถปิดจ๊อบได้ จากนั้นแล้วจึงค่อยจ่ายหนี้ก้อนอื่น ๆ ให้หมดไป โดยเรียงตามลำดับความสำคัญ

เจรจากับเจ้าหนี้

เมื่อมีหนี้ต้องเผชิญหน้ากับมัน อย่าหนีปัญหาและอย่าหนีหนี้เป็นอันขาด เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเหตุการณ์อาจบานปลายจนเกิดการฟ้องร้องเป็นเรื่องเป็นราวจากเจ้าหนี้ได้เลยนะ ถ้าหากรู้สึกว่าหนี้ที่มีอยู่มันช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน และคงไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามวันและเวลาที่กำหนด หนทางที่ดีที่สุดนั่นก็คือ ควรไปเจรจาหับเจ้าหนี้และขอคำปรึกษาเพื่อหาทางออกร่วมกัน ทั้งนี้ควรเตรียมตัวให้พร้อมและศึกษาข้อมูลการประนอมหนี้ เพื่อที่จะได้สามารถต่อรองการชำระหนี้จากเจ้าหนี้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ย่อมเข้าใจปัญหาเหล่านี้ดี และในบางกรณีอาจขอเจรจาให้ปรับดอกเบี้ยสูงให้เบาลงกลายเป็นดอกเบี้ยต่ำได้ แน่นอนว่าเจ้าหนี้ย่อมอยากให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมักจะให้คำปรึกษาและเสนอทางเลือกที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย

ทำความเข้าใจกับหนี้ที่ดีและไม่ดี

ถึงแม้จะถูกเรียกว่าเป็น หนี้สิน แต่ก็ต้องบอกก่อนเลยว่า มีทั้งหนี้ดีและหนี้ไม่ดี ยกตัวอย่าง เช่น การผ่อนชำระบ้าน การลงทุนในธุรกิจ เป็นต้น ถือว่าเป็นหนี้ดีเพราะเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของตนเอง ส่วนหนี้ที่มาจาก การผ่อนชำระสินค้า หนี้บัตรกดเงินสด เป็นต้น ถือว่าเป็นหนี้ไม่ดีสักเท่าไหร่นัก เพราะคนส่วนใหญ่มักซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งานจริง ๆ ซึ่งถ้าหากว่าคุณมีหนี้ไม่ดีอยู่แล้วละก็ ควรจะรีบกำจัดมันให้หมดไป

หยุดนิสัยฟุ่มเฟือย

พฤติกรรมที่ควรระวังและไม่ควรเกิดขึ้นบ่อยนัก นั่นก็คือนิสัยฟุ่มเฟือย เพราะสิ่งนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งยุคนี้มีโปรโมชั่นผ่อนสินค้า ลดแลกแจกแถมกันตรึม แม้หลายคนจะมองว่าดีแต่หารู้ไม่ว่าหากเราผ่อนสินค้าหลาย ๆ ชิ้นมากเข้า ก็จะทำให้ติดอยู่ในบ่วงของหนี้สิน เพราะฉะนั้นจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ไม่ควรช็อปปิ้งสิ่งของที่ไม่จำเป็น แต่ถ้าอยากได้ของชิ้นนั้นจริง ๆ ก็ควรหยอดกระปุกออมเงิน แล้วค่อยนำเงินก้อนนี้ไปซื้อก็จะทำให้ได้ของชิ้นที่ต้องการ โดยไม่ต้องเป็นหนี้เลยนะ

หารายได้เพิ่ม

ถึงแม้ว่าจะปรับพฤติกรรมการใช้เงิน และเจรจาขอปรับลดดอกเบี้ยจากเจ้าหนี้แล้วละก็ตาม แต่ยังไม่มีทีท่าว่าหนี้สินจะหมดลงไปง่าย ๆ ถ้าหากว่าอยากจะกำจัดหนี้สินให้หมดไปจากชีวิตเร็ว ๆ ก็ต้องมีเงินมาจ่ายหนี้ให้เยอะขึ้น หนทางที่คุณสามารถทำได้นั่นก็คือการหารายได้เพิ่ม เชื่อหรือไม่ล่ะว่าเงินเพิ่มส่วนนี้จะทำให้หนี้หมดลงไปเร็วขึ้นจริง ๆ แต่คุณต้องมีความมุ่งมั่นที่จะนำเวลาว่างมาหารายได้เพิ่ม และมีวินัยในการชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้หนทางในการหารายได้เพิ่มมีมากมาย โดยการนำความรู้และความสามารถของตัวเองมาหาเงิน  ยกตัวอย่างที่ได้รับความนิยม เช่น ขายของออนไลน์, การเป็นบล็อกเกอร์, เขียนบทความ-Ebook, ยูทูบเบอร์, เล่นหุ้น, ค้าขาย เป็นต้น เรียกได้ว่ามีเยอะมากถ้าหากว่าถนัดด้านไหนก็ทำด้านนั้นไปเลย


สรุป

ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะมีหนี้สิน แต่ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะชำระหนี้ ปัญหาเหล่านี้ก็สามารถหมดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้เสียหรือหนี้ที่ไม่ดี ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ควรจะเคลียร์ให้หมดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นแล้วจึงค่อยเคลียร์หนี้ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ เมื่อหมดหนี้แล้วเชื่อได้เลยว่าจะทำให้เราโล่งใจและสบายใจได้อย่างบอกไม่ถูก และนอกจากนี้แล้วก็ควรนำบทเรียนของการเป็นหนี้มาเตือนใจตัวเองไว้ด้วย เพื่อที่จะได้ไม่เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีกครั้ง  


อ้างอิงเนื้อหา

  • https://taokaemai.com/%E0%B9%8910-step-to-clear-debt/
  • https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/free-yourself-from-debt.html

แชร์ไอเดียเก็บเงิน ที่จะทำให้เห็นเงินแสนได้ไม่ยาก

0
ไอเดียวเก็บเงิน มีเงินแสนได้ไม่ยาก

การออมเงินสำหรับคนทั่วไป ที่ไม่ได้มีต้นทุนสูงต้องดิ้นรนทำงาน หาเงินเอง และมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมากมาย มักจะคิดกันว่าการเก็บเงินเป็นเรื่องที่ไกลตัวและเป็นไปได้ยาก จนทำให้ท้อในการเก็บเงินก้อนเป็นของตัวเอง ถ้าหากว่าคุณกำลังมีความคิดแบบนี้อยู่แล้วละก็อยากจะลองปรับเปลี่ยนใหม่คือไม่ว่าคุณจะมีรายได้มากน้อย หรือรายจ่ายเยอะสักแค่ไหนก็ตาม หากมุ่งมั่นแล้วก็สามารถเก็บเงินก้อนหลักแสนได้นะ! แต่ต้องมีวินัยในการออมเงินและลองทำตามไอเดียที่เรานำมาฝากกันนี้เลย

สำรวจรายรับ-รายจ่ายของตนเอง

ก่อนอื่นเราต้องมาสำรวจและคำนวณกันก่อน ว่ารายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือนนั้นมีมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่คุณจะได้วางแผนว่าควรเก็บออมเดือนละเท่าไหร่ ซึ่งโดยปกติทั่วไปมักจะออมเงินจาก 10-15% ของเงินเดือน ซึ่งรายรับมักจะได้รับในจำนวนที่แน่นอน แต่สำหรับรายจ่ายนั้นเราไม่สามารถคาดเดาได้เลย ว่าจะมีเหตุอันใดให้เสียเงินเพิ่มอีก ดังนั้นแล้วลดรายจ่ายส่วนไหนที่ไม่จำเป็นได้ก็ควรลดไป  เรียกได้ว่าเป็นการลดนิสัยฟุ่มเฟือย ก็จะทำให้คุณบริหารจัดการเงินได้ดีมากยิ่งขึ้น

หักเงินเข้าบัญชีออมโดยอัตโนมัติ

การหักเงินเข้าบัญชีเพื่อการออมโดยอัตโนมัติ เป็นวิธีที่เหมาะกับคนที่เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ หากนำวิธีนี้ไปใช้บอกเลยว่าภายในระยะเวลาไม่นาน คุณจะสามารถมีเงินก้อนหลักแสนได้อย่างแน่นอน และยังสะดวกต่อการใช้ชีวิตในยุคนี้อีกด้วยเพียงแค่ตั้งระบบทางแอพพลิเคชั่นหรืออินเตอร์เน็ต แบงค์กิ้งค์ของธนาคารนั้น ๆ ให้มีการหักเงินในจำนวนเท่าๆ กันทุกเดือนเข้าไปในบัญชีเงินออมของคุณ และจะดีมากยิ่งขึ้นถ้าหากใช้เป็นบัญชีฝากประจำ เพราะจะได้รับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอีกด้วยนะ

ลงทุนในหุ้นหรือกองทุน

การลงทุนก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เราสามารถมีเงินออม ให้ถึงหลักแสนได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ในการลงทุนก็มีหลายประเภท ที่ได้รับความนิยมอย่างเช่น การเล่นหุ้น หรือ ลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีเงินเย็นและต้องการที่จะลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนที่มาก ถ้าหากว่าเราลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานดี และผลประกอบการเจริญเติบโตขึ้นในทุกๆปี ก็ขอบอกได้เลยล่ะว่า ไม่เพียงแค่ทำให้ออมเงินได้หลักแสนเท่านั้น แต่สามารถพัฒนาเป็นเงินหลักล้านได้เลย

เก็บเงินวันละ 50 บาท

สำหรับใครที่อยากมีวิธีออมเงินง่าย ๆ แบบไม่ต้องยุ่งยากและซับซ้อน งั้นต้องมาลองวิธีนี้เลย มีหลักการง่าย ๆ เพียงแค่ ออมเงิน ใส่กระปุกวันละ 50 บาทเท่านั้น  เรียกได้ว่าเป็นการออมเงินที่ไม่ต้องคิดเยอะเลย เตรียมเพียงแค่ไอเท็มอย่างเดียวนั่นก็คือกระปุกออมสินเท่านั้น  แนะนำว่าควรเลือกกระปุกออมสินที่ไม่สามารถนำเงินออกมาได้ง่าย เพราะไม่อย่างนั้นบางคนอดใจไม่ไหว มักจะแคะหรืองัดในกระปุกออกมาใช้บ่อย ๆ จนแทบไม่มีเงินออมเลยก็ว่าได้นะ  และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือควรหยอดเงินลงไปอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถ้าหากว่าวันไหนลืมก็อาจอนุโลมให้ออมทบเพิ่มในวันถัดไปได้ แม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลานานสักนิด แต่เชื่อได้เลยว่ามันจะทำให้คุณมีเงินแสนเป็นของตัวเอง ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

หารายได้เสริม

ถ้าหากว่าการออมเงินโดยใช้รายได้ทางเดียว มันทำให้คุณมีปัญหาต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแล้วจึง ควรมีรายได้เสริมเพิ่มขึ้นมาซึ่งจะทำให้รายรับมีมากยิ่งขึ้น และสามารถนำไปออมเงินแสนให้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วยนะ ทั้งนี้การหารายได้เสริมมีอยู่หลายช่องทางเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น การขายของออนไลน์, งานฝีมือ, ทำงาน Parttime ในห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไป, รับจ้างถ่ายรูป และอีกมากมาย ซึ่งรายได้เสริมบางอย่างสามารถสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย

ไม่ควรใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย

ถึงแม้ว่าคุณมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเก็บเงินให้ได้หลักแสน แต่ถ้าหากว่ายังมีนิสัยที่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและสุรุ่ยสุร่ายแล้วละก็ คงไม่สามารถไปถึงเป้าหมายนั้นได้ง่ายอย่างแน่นอน เพราะการที่เราใช้เงินซื้อสิ่งของไม่จำเป็น จะทำให้เงินที่อยู่ร่อยหรอลงเรื่อยๆ เมื่อถึงคราวนั้นแล้วคงไม่มีเงินเหลือมาให้เก็บออมอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ซื้อแต่ของที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อการใช้งานเท่านั้น สำหรับของที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ก็ไม่ควรซื้อ ให้คิดว่าควรนำไปเก็บออม ก็จะทำให้ตัดใจจากการชอบช็อปปิ้งได้เร็ว


รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าหากอยากจะเก็บออมเงินให้ได้หลักแสนจริง ๆ ก็ลองนำไอเดียเหล่านี้ไปใช้กัน ซึ่งคุณควรมีเป้าหมายที่แนวแน่และไม่วอกแวก จึงจะทำให้สามารถประสบผลสำเร็จในสิ่งที่หวังได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามไม่ควรที่จะเคร่งเครียดกับการเก็บออมมากจนเกินไปจนทำให้ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต ซึ่งคุณอาจจะวางแผนเก็บออมเงินไปเรื่อย ๆ โดยขยายระยะเวลาให้นานหน่อย ซึ่งไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตามทุกคนสามารถมีเงินหลักแสนได้เหมือน ๆ กัน


อ้างอิง

  • https://moneyhub.in.th/article/100000-baht-in-1-year/
  • https://www.finance-rumour.com/money/saving-money-salaryman/
  • ภาพประกอบบทความ : freepik.com

เคล็ดลับเริ่มต้นลงทุนด้วยกองทุนรวม สำหรับมือใหม่

1
กองทุนรวม

สำหรับใครที่กำลังมองหาช่องทางการลงทุน ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับตนเองอย่างงดงาม งั้นต้องลองมองที่การลงทุนแบบ ”กองทุนรวม” ซึ่งขอบอกเลยล่ะว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจอย่างมาก และเหมาะกับคนทำงานประจำหรือไม่ค่อยมีเวลามาเล่นหุ้นบ่อยสักเท่าไหร่นัก เพราะกองทุนรวมจะคอยดูแลเรื่องการซื้อขายหุ้นให้เรา จนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่ก่อนที่จะไปลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลกันก่อนสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าคุณเป็นมือใหม่ด้วยแล้วละก็ มาตามอ่านข้อมูลที่นำมาฝากกันได้เลย

เลือกประเภทกองทุนที่สนใจ

กองทุนรวม มีหลายรูปแบบให้เราได้เลือกกัน ซึ่งมือใหม่อาจจะค่อนข้างสับสนว่าควรเลือกแบบไหนดี ดังนั้นแล้วเราจะอธิบายภาพรวมให้เข้าใจกันง่าย ๆ ว่า กองทุนรวมมีทั้งแบบปันผลและไม่ปันผล ซึ่งกองทุนรวมแบบปันผลนั้น คุณจะได้รับเงินซึ่งเป็นผลตอบแทนตามผลประกอบการที่ได้จากการลงทุน ทั้งนี้อาจกำหนดว่าจ่ายปีละครั้งหรือสองครั้ง ตามข้อกำหนดของกองทุนนั้น ๆ และจะต้องเสียภาษี ส่วนแบบไม่ปันผล คือ จะไม่มีการจ่ายเงินผลตอบแทนเป็นงวด ๆ คุณจะได้กำไรที่ได้จากการลงทุนก็ต่อเมื่อขายหุ้นในกองทุนของตัวเอง ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี

ดูรายละเอียดของกองทุนรวม

เมื่อให้คำตอบกับตัวเองแล้วว่า ต้องการเลือกกองทุนแบบไหน ก็ให้มาขั้นต่อไปนั่นก็คือการศึกษาข้อมูลของกองทุนนั้น ๆ ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ผลประกอบการย้อนหลังดีไหม ก่อตั้งกองทุนมานานแล้วหรือยัง มีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่ กองทุนมีการเจริญเติบโตไปในทางที่ดีขึ้นรึเปล่า เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้บ่งบอกได้ว่ากองทุนนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือไม่  โดยที่คุณสามารถดูรายละเอียดได้จากหน้าเว็บไซต์ของ บลจ.นั้น ๆ แม้ว่าอ่านในช่วงแรกอาจจะค่อนข้างสับสน แต่เมื่อพยายามเรียนรู้แล้ว ก็จะสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก

เลือกกองทุนรวมที่มีผลประกอบการดี

ไม่ว่าใครจะอยากให้การลงทุนที่ตนเองได้ลงเงินและลงแรงไปนั้น ได้รับผลตอบแทนออกมาอย่างคุ้มค่า ดังเช่นกับการซื้อกองทุนรวม ถ้าเราอยากจะได้ผลกำไรกลับมา ก็ควรเลือกกองทุนที่มีผลประกอบการดี ให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเราสามารถดูข้อมูลเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ของ บลจ.นั้น ๆ หรือที่เรียกกันว่า Fund Fact Sheet จะแสดงให้เห็นถึงข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมนั้น ๆ เช่น ผู้ดุแลกองทุน, การซื้อ-ขายหุ้น, ผลตอบแทนย้อนหลัง ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าสำคัญอย่างมาก หากว่าผลตอบแทนย้อนหลังมีความสม่ำเสมอติดต่อกันหลาย ๆ ปี ก็ย่อมมีความน่าเชื่อถือ และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตไปในทางที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ

เลือกบลจ.ที่น่าเชื่อถือ

เราจะไม่สามารถซื้อกองทุนรวมได้เลย ถ้าหากว่าขาด บลจ.ซึ่งเปรียบเสมือนกับการว่าตัวแทน ที่จะนำพาคุณเข้าไปสู่การลงทุนในกองทุนรวมอย่างแท้จริง ทั้งนี้จึงควรเลือกบลจ.ที่จะช่วยทำให้การซื้อ-ขายกองทุนรวมของเรา เป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้นก็ควร เลือกบลจ.ที่บริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มีความโปร่งใสในการทำงานทุกขั้นตอน  มีทีมงานที่ดีและชี้แจงผลการดำเนินงานอย่างตรงไปตรงมา  สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยทำให้เราอุ่นใจได้ว่าการลงทุนในครั้งนี้อยู่ในมือของผู้ที่มีความเป็นอาชีพ

ต้องรับความเสี่ยงให้ได้

ถึงแม้ว่ากองทุนรวมจะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามต้องยอมรับความจริงอีกด้านหนึ่งให้ได้ว่า การลงทุนไม่ว่าจะในหุ้นหรือกองทุนรวมก็ตาม ยิ่งให้ผลตอบแทนมากเท่าไหร่ ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงมากเท่านั้น ในบางครั้งที่เรามั่นใจว่ากองทุนนี้จะต้องมอบผลตอบแทนอย่างงดงาม แต่กลับกลายเป็นว่ารับผลตอบแทนไม่ได้ดั่งใจ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงควรทำความเข้าใจและรับความเสี่ยงที่อาจคาดไม่ถึงไว้ด้วย แต่ถ้าหากว่าเราศึกษาข้อมูลของกองทุนนั้นๆมาเป็นอย่างดี ก็สามารถลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการซื้อ-ขายกองทุนให้ดี

ในยุคนี้การซื้อ-ขายกองทุนรวม เป็นเรื่องที่ง่ายมากเพียงแค่ปลายนิ้ว เพราะเทคโนโลยีก้าวไกลเราจึงสามารถลงทุนและซื้อ-ขายกองทุนรวม ผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย ซึ่งในช่วงแรกอาจจะค่อนข้างสับสน เกี่ยวกับวิธีการใช้งาน  ก็ควรที่จะสอบถามพนักงานเพื่อให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง และ นอกจากนี้แล้วก็ควรระมัดระวังไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวรวมไปถึงรหัสที่ใช้ในการล็อคอินรั่วไหล เพราะอาจมีมิจฉาชีพนำไปใช้ในทางที่ผิดจนอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่คุณได้

ลงทุนโดยเน้นหุ้นที่มีพื้นฐานดี

ถ้าหากว่าอยากจะลงทุนกองทุนรวม ให้ได้ผลตอบแทนในระยะยาวและมีความมั่นคง เราก็อยากจะแนะนำ ให้คุณเลือกกองทุนรวมที่มีหุ้นพื้นฐานดี อยู่ในตลาดหุ้นมาอย่างยาวนาน มีผลประกอบการที่เจริญเติบโตไปในทางที่ดีอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเสมือนกับน้ำซึมบ่อทรายนั่นเอง


ถือว่าเป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยทำให้การลงทุนในกองทุนรวม สำหรับมือใหม่ทั้งหลายและเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้จากการลงทุนประเภทนี้ ซึ่งมีเหล่านักลงทุนที่รับผลกำไรไปอย่างงดงาม โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเทรดหุ้นด้วยตัวเอง และไม่เบียดเบียนเวลาส่วนตัวหรือเวลาทำงานอื่น ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลกองทุนให้ทุกช่วงเวลา จึงทำให้กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน


อ้างอิงเนื้อหา

ทริคการออมเงิน ที่จะทำให้คุณเกษียณตัวเองได้เร็วขึ้น

1
ไม่พยายามก็ไม่มี Passive Income

เมื่อถึงช่วงวัยทำงานเริ่มมีรายได้หรือเงินเดือนเป็นของตนเอง ทำให้หลายคนต่างนำเงินซื้อความสุขให้กับตนเอง รวมไปถึงสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตด้วยการซื้อบ้าน ซื้อรถ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตในยุคนี้อย่างมาก และนอกจากนี้แล้วหลายคนยังนึกถึง การเกษียณด้วยเช่นกัน และ ไม่ว่าจะด้วยความเครียดหรือปัญหาต่าง ๆ ในการทำงาน ทำให้หลายคนอยากจะเกษียณตัวเองให้เร็วมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นจริงก็คงจะทำให้มีความสุขทั้งกายและใจอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากว่าคุณกำลังมีเป้าหมายที่อยากจะเกษียณตัวเองให้เร็วขึ้น ก็ต้องวางแผนทางการเงินให้พร้อมด้วย งั้นลองดูแนวทางเหล่านี้แล้วนำไปใช้กันได้เลย

1. คำนวณเงินที่ต้องการใช้หลังเกษียณ

เมื่อต้องการที่จะเกษียณตัวเองให้เร็วขึ้น ดังนั้นแล้วก่อนอื่นก็ควรจะมาคำนวณก่อนว่า เงินที่ต้องการใช้หลังเกษียณนั้นมีจำนวนเท่าไหร่ อาจจะคิดเป็นก้อนเดียวหรือเฉลี่ยเป็นรายเดือนก็ได้แล้วแต่ตามสะดวก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะคำนวณจาก 70-90เปอร์เซ็นต์ของรายได้ในปัจจุบัน เมื่อคุณคำนวณเป็นตัวเงินได้แล้ว ก็ต้องคำนวณไว้ด้วยว่าจะเพียงพอต่อการใช้เงินจำนวนนี้ไปอีกกี่ปี แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมด้วยว่าเงินเฟ้อขึ้นทุกปีนะ ซึ่งเงินที่เคยคิดว่าใช้ได้อย่างเพียงพอในตอนนี้ หากผ่านไปอีก20-30ปีก็อาจจะไม่พอใช้ก็เป็นได้  ดังนั้นหากไม่แน่ใจว่าจะออมเงินได้พอตามที่ตนเองต้องการหรือเปล่า นอกจากการมีรายได้ประจำจากเงินเดือนหรือธุรกิจให้มากขึ้น ก็ควรมีรายได้เสริมหลายทางเพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายของตัวเองได้แท้จริง

2. สะสางปัญหาหนี้สิน

หนี้สิน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกับดักตัวสำคัญเลยที่ทำให้หลายคนไม่สามารถออมเงินได้ตามเป้าหมายสักที อย่างไรก็ตามหากเป็นหนี้สินที่ดี เช่น การซื้อบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มนุษย์ควรมี ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต  คุณก็ควรจะเลือกผ่อนต่อเดือนให้พอไหวและไม่เหนื่อยจนเกินไป อย่างไรก็ตามหากโปะเงินให้หนี้หมดได้โดนเร็วก็ยิ่งดี เพื่อที่จะได้นำเงินส่วนหนึ่งมาเก็บออมหรือลงทุน ให้เกษียณได้เร็วขึ้น แต่ถ้าหากว่าเป็นหนี้เสียที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แล้วละก็ ควรจะรีบจัดการโป๊ะหนี้ปิดบัญชีเหล่านี้ให้หมด เพราะถ้าหากปล่อยไว้นอกจากจะไม่สามารถออมเงินได้แล้ว ยังอาจทำให้มีดอกเบี้ยจากหนี้เพิ่มขึ้นอีกด้วยนะ

3. หารายได้จากหลาย ๆ ทาง

การที่เราจะมีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว แม้จะรู้ว่ามีรายรับที่แน่นอนก็จริงแต่เราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะตกงานวันไหน หรือบริษัทจะปิดตัวลงเมื่อใด หรือแม้กระทั่งคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวก็ตาม มีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ หากรายรับหยุดชะงักก็อาจทำให้สถานะทางการเงินของตัวเองย่ำแย่ได้  ดังนั้นแล้วจึงไม่ควรฝากความหวังไว้ที่รายได้จากทางเดียว ควรจะหารายได้จากหลาย ๆ ทาง คุณอาจใช้ความรู้และความสามารถที่ตนเองมีอยู่ มาเปลี่ยนให้เป็นรายได้เสริมอย่างงาม ซึ่งจะทำให้คุณมีเงินมากกว่าเดิมจนสามารถทำให้ตัวเองเกษียณได้เร็วมากยิ่งขึ้น

4. เก็บออมก่อนแล้วค่อยจ่าย

ช่วงที่ได้เงินเดือนหรือมีรายได้เข้ามา บางคนมักจะหน้ามืดตามัวนำเงินเหล่านั้นไปช็อปปิ้ง ซื้อของ ทานอาหารกันอย่างอิ่มหนำ จนกลายเป็นว่าไม่มีเงินเหลือให้นำไปเก็บออม เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ารู้ตัวว่ามีพฤติกรรมแบบนี้ ก็ควรจะยับยั้งชั่งใจกันสักนิด คือ เมื่อได้เงินมาแล้วให้หักเงินส่วนหนึ่งไปเก็บออมหรือลงทุนก่อน จากนั้นแล้วค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ ถือว่าเป็นการวินัยการออมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อการออมเงินเพื่อเกษียณเป็นอย่างมาก

5. สร้างรายได้แบบ Passive income

ในบางครั้งการที่เรามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน จนทำให้เหนื่อยทั้งกายและใจ หากหยุดพักเมื่อไหร่นั่นหมายความว่าจะไม่มีรายได้เข้ามา ซึ่งจะต้องมีผลต่อการออมเงินเกษียณอย่างแน่นอน  ถ้าหากว่าคุณไม่อยากจะเหนื่อยแบบนี้ไปตลอดชีวิต ก็ควร สร้างรายได้แบบ Passive income ให้กับตัวเองบ้าง ซึ่งมันเป็นรายได้ที่ไม่ว่าเราจะนอนหลับอยู่ก็ตาม รายได้ยังคงหลั่งไหลมาเรื่อย ๆ เหมือนกับน้ำซึมบ่อทราย ยกตัวอย่างรายได้ประเภทนี้ที่น่าสนใจ เช่น ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ,ค่าลิขสิทธิ์,เขียนหนังสือ-ขายEbook ,สร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง เป็นต้น หากคุณสามารถสร้างรายได้แบบ Passive income ให้กับตนเองจนประสบความสำเร็จ ซึ่งนอกจากจะสามารถเกษียณได้เร็วขึ้นแล้ว ยังคงมีรายได้ที่หลั่งไหลเข้ามาตลอดชีวิตอีกด้วย


ถือว่าเป็นแนวทางที่เข้าใจได้ง่าย และสามารถนำไปใช้กันได้เลย ซึ่งจะต้องมีประโยชน์ต่อผู้ที่อยากจะเกษียณตัวเองให้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน  ซึ่งหากว่าเราวางแผนมาอย่างดีและทำตามแต่ละขั้นตอนอย่างมีระเบียบแบบแผน ก็จะทำให้ประสบผลสำเร็จดังใจหวังได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามหากในบางจังหวะมีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น ตกงานกะทันหัน หรือมีเหตุต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ก็ควรปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับสภาวะทางการเงินในตอนนั้นด้วย เพื่อไม่ให้คุณเครียดมากจนเกินไป อาจเรียกได้ว่าควรเป็นการออมเงินที่ทำให้เกิดความสบายใจและยังคงมอบผลประโยชน์อันสูงสุดแก่ตัวเอง


อ้างอิงเนื้อหา

  • https://www.ncb.co.th/fin-knowledge/saving-money
  • https://aommoney.com/stories/insuranger/v/2636#k1uv3a5y35

แนะนำ 4 อาชีพทำเงินออนไลน์ ทำคู่กับงานประจำก็ได้ ตอน 2/2 (จบ)

0
รายได้เสริมแบบ Passive Income

หลังจากที่ได้มีการแนะนำ อาชีพออนไลน์ 4 อาชีพ ไปก่อนหน้านี้แล้วคราวนี้ก็ถึงเวลาแนะนำเพิ่มเติมอีก 4 อาชีพออนไลน์ที่เป็นที่นิยมกันไม่น้อยหน้า มีการทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งในประเทศเราเองและต่างประเทศ มีอะไรบ้างไปติดตามกันต่อเลยครับ

1. Dropshipper

ใครที่อยากขายสินค้าออนไลน์แต่ว่าติดขัดเรื่องเงินทุนตั้งต้น หรือไม่สะดวกในการสต๊อกสินค้า ลองหันมาดูการทำ Dropship เพราะจะตัดปัญหาเบื้องต้นออกไปได้ทันที หน้าที่ของเราเป็นเสมือนนายหน้าในการขายสินค้าเลย คือเอาสินค้ามาประกาศขายตามช่องทางที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ส่วนตัว หรือ Marketplace ต่าง ๆ เมื่อมีการซื้อสินค้าเราก็แจ้งไปยังผู้ผลิตว่ามีออเดอร์อะไร รายละเอียดของสินค้าที่ขายได้ ให้ผู้ผลิตสินค้าเหล่านั้นเป็นผู้จัดส่งโดยตรงไปให้ลูกค้าเอง เสร็จแล้วเราก็โอนเงินให้ผู้ผลิตตามอัตราส่วนที่ได้ตกลงกันเอาไว้ โดยส่วนมากแล้วก็จะเป็นราคาต้นทุน + ค่าจัดส่ง เงินที่เหลือก็เป็นกำไรที่เราจะได้นั่นเอง

ถือว่าเป็นวิธีที่สะดวกมากเลยทีเดียว แทนที่จะต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการซื้อสินค้ามาสต๊อกเอาไว้ เราอาจจะนำเงินเหล่านั้นมาใช้ในการทำการตลาด ประชาสัมพันธ์สินค้าแทน แถมยังลงขายสินค้าได้หลายประเภทอีกด้วย

2. นักการตลาดออนไลน์

ใครที่มีความสามารถเรื่องการตลาด เช่น การโปรโมทเว็บไซต์ หรือ ร้านค้า ผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะทำ SEO, โปรโมทผ่าน Social, Email Marketing เป็นต้น สามารถให้บริการได้โดยไม่ต้องพบเจอลูกค้าเลยก็ได้ เดี๋ยวนี้เมืองไทยก็มีเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ที่ค้นหาบริการ และ ผู้ให้บริการด้วย ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความต้องการนักการตลาดออนไลน์มากขึ้นเป็นเงาตามตัวอีกด้วย แต่เราต้องมีความเชี่ยวชาญจริง ๆ ในแพลตฟอร์มที่พูดถึงข้างต้น โดยหลักแล้วก็ให้เชี่ยวชาญช่ำชองเป็นมืออาชีพเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นหลักก่อน ส่วนด้านอื่น ๆ ก็ใช้เป็นทักษะเสริม

3. ฟรีแลนซ์

ฟรีแลนซ์เป็นอาชีพอิสระ ที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่เราสะดวก เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบการทำงานที่ต้องเดินตามระบบเหมือนคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะต้องรีบตื่นเช้าเพื่อเผชิญรถติดและเข้างานให้ทันเวลาที่กำหนดเอาไว้ การทำฟรีแลนซ์ก็คือการรับงานอิสระโดยใช้ทักษะวิชาชีพที่เรามี บริหารจัดการเองในเรื่องของเวลาและงานที่จะรับ

ถึงแม้ว่าอาชีพฟรีแลนซ์ดูเหมือนอิสระมากก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นชะงักติดหลังก็คือ จะต้องแบกรับความเครียดเอาไว้เสมอในเรื่องของรายได้ที่อาจจะไม่คงเส้นคงวา และการบริหารจัดการทุกเรื่องที่จะต้องดูแลเองทั้งหมด ไม่ว่าจะหาลูกค้า พูดคุยกับลูกค้า เสนอโซลูชั่นที่ลูกค้าต้องการ การจัดการรายรับ รายจ่าย เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้ก็มีเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางในการหาลูกค้าให้เราด้วย ก็จะลดภาระดังกล่าวไปได้มากเลยทีเดียว

4. ที่ปรึกษาออนไลน์

การเป็นที่ปรึกษาออนไลน์น่าสนใจตรงที่ว่าเราสามารถใช้ความรู้เฉพาะทางของเราที่มี มาให้คำแนะนำแก่คนที่ต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนั้นได้ เช่น ที่ปรึกษาการสร้างแบรนด์ ทีปรึกษาทางด้านบัญชี ที่ปรึกษาการลงทุน ที่ปรึกษาเรื่องสุขภาพ เป็นต้น

การเป็นที่ปรึกษาออนไลน์ เราจะต้องมีความรู้เฉพาะด้านจริง ๆ เพราะเมื่อแนะนำเรื่องใด ๆ ไปแล้ว ผู้รับคำแนะนำก็มักจะคาดหวังผลลัพท์ที่สูงพอสมควรเลยทีเดียว

ข้อดีของการประกอบอาชีพผ่านทางออนไลน์

1. ลงทุนน้อย

ถ้ามองว่าการประกอบอาชีพออนไลน์เป็นการลงทุนธุรกิจสักอย่าง จะเป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด เพราะเป็นการลงทุนที่ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรตามสไตล์ของแต่ละคน บางคนอาจจะเริ่มต้นทำงานออนไลน์แบบเต็มตัว แต่บางคนก็ใช้เวลาว่างจากงานประจำ ไม่มีผิดหรือถูก จะเลือกแบบไหนก็แล้วแต่ใครถนัด

2. สามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้ทั่วโลก

เราสามารถขายสินค้าและบริการของเราให้กับคนทั่วทุกมุมโลกได้ ไม่ได้มีข้อจำกัดแค่ในประเทศอย่างเดียวอีกต่อไป สินค้าหลายอย่างในประเทศไทยเรา ที่ดูเป็นสินค้าบ้าน ๆ ราคาถูก ๆ แต่อาจจะเป็นสินค้าที่ชาวต่างชาติชอบและหาซื้อยากมากในบ้านเค้า เช่น ยาหม่อง ยาดม และสินค้าจำพวกสมุนไพรต่าง ๆ ลองเข้าเว็บไซต์ amazon.com ดู จะเห็นว่าสินค้าเหล่านี้ขายดีและขายแพงมาก

3. สร้างรายได้ทั้ง Active Income และ Passive Income

การทำงานด้วยช่องทางออนไลน์เราอาจจะต้องใช้แรงกายแรงใจค่อนข้างเยอะ ในช่วงเริ่มต้น เพราะต้องแสดงผลงานให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้เป็นที่พูดถึงและแนะนำกันไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อสินค้าหรือบริการของเราเป็นที่ยอมรับแล้ว มันก็จะสามารถสร้างรายได้ให้เราได้ตลอดโดยที่ไม่ต้องลงแรงในการโปรโมทมากเท่ากับตอนเริ่มต้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อก็คือการควบคุมคุณภาพให้คงเส้นคงวาเสมอ ลองคิดดูว่าในขณะที่เรานอนหลับ ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ก็ยังมีรายได้ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย มันเป็นชีวิตที่น่าพิศมัยมากเลยใช่มั้ยล่ะครับ

4. เมื่อประสบความสำเร็จ สามารถมีอิสระได้ตามที่ต้องการ

เมื่อเราประสบความสำเร็จจากการทำงานออนไลน์แล้ว เราก็สามารถมีอิสระได้เต็มที่กับชีวิต เพราะได้วางโครงสร้างในการทำงานไว้เรียบร้อยแล้ว เช่น การเป็นบล๊อคเกอร์ หรือ เป็นเจ้าของ Youtube Channel ต่าง ๆ เราเหนื่อยแค่ช่วงแรกในการทำ Content ให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค บางทีอาจจะต้องเหนื่อยเป็นปี ๆ กว่าที่จะเป็นที่รู้จัก แต่เชื่อได้เลยว่าเมื่อติดตลาดแล้ว เราจะเหนื่อยน้อยลงมาก จนแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ต่อไปก็จะมีเวลาว่างเหลือกมากมาย ได้ออกไปใช้ชีวิตอิสระตามที่ต้องการ


สรุป

การประกอบอาชีพออนไลน์ สามารถเริ่มต้นได้ง่ายทุกสาขาอาชีพและใช้ทุนน้อยในการเริ่มต้น เราอาจจะไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้ อาศัยเพียงความรู้ความสามารถที่มี ทำควบคู่กับงานประจำไปเรื่อย ๆ แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการทำ หมั่นดูแล หมั่นโพสต์สินค้า สร้างฐานลูกค้าไปเรื่อย ๆ รับรองว่าคุณจะประสบความสำเร็จแน่นอน แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วอย่าหยุดอยู่แค่นั้น เพราะโลกออนไลน์ปรับเปลี่ยนเร็วมาก เราจะต้องตามทันเทรนด์ต่าง ๆ อยู่เสมอ

วิธี เล่นหุ้นให้เก่งเหมือนเซียน ฉบับมนุษย์เงินเดือน

0
วิธีเล่นหุ้นให้เก่งเหมือนเซียน

ในยุคปัจจุบันนี้ไม่ว่าใครต่างก็อยากจะหารายได้และสร้างความมั่งคั่งทางการเงินให้กับตนเอง ดังนั้นแล้วจึงมักจะมองหาช่องทางการลงทุนในด้านต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการ  ทั้งนี้หากพูดถึงเรื่องการลงทุนแล้ว “หุ้น” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลาย ๆ คนคงจะรู้จักการลงทุนประเภทนี้ ดังตัวอย่างจากเซียนหุ้นทั้งหลาย ที่สามารถสร้างกำไรอันมหาศาลได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ในขณะเดียวกันหากขาดความรู้และไม่ศึกษาข้อมูลก่อนจะเล่นหุ้น อาจทำให้ขาดทุนจนหมดตัวได้เลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เงินเดือนที่ไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่ และมักจะตัดใจจากการเล่นหุ้นไปซะดื้อ ๆ แต่ก็ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะแม้ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ต่อให้มีงานรัดตัวมากสักเท่าไหร่ ก็สามารถเล่นหุ้นให้เก่งเหมือนเซียนได้ ตามแนวทางดังต่อไปนี้เลย

1. เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี

การเลือกเล่นหุ้นที่มีพื้นฐานดี ถือว่าเป็นหัวใจหลักสำคัญเลยก็ว่า ถ้าหากว่าคุณอยากจะเป็นเซียนในตลาดนี้  โดยส่วนใหญ่แล้วแนวทางการเล่นหุ้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) เป็นการหุ้นที่มีพื้นฐานดีส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นหุ้นจากกิจการที่มีความมั่นคง ไม่ล้มหายตายจากไปได้ง่าย เป็นสินค้าที่มีความต้องการอยู่ในตลาดสินค้าและระบบเศรษฐกิจอยู่เสมอ รวมไปถึงมีผลประกอบการที่สูงขึ้นในทุก ๆ ปี เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้จะทำให้การลงทุนของคุณมีความคุ้มค่าและสร้างกำไรให้กับตัวเองได้ไม่ยาก

2. ไม่ควรเล่นหุ้นตามกระแส

ในบางครั้งที่เราอาจจะได้ยินแหล่งข่าวมากมายที่ซุบซิบกันว่า หุ้นตัวนี้ดีซื้อแล้วมีกำไร แต่พอลงทุนไปจริง ๆ กลับทำให้ขาดทุนซะงั้น นี่จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่ว่าไม่ควรเล่นหุ้นตามกระแส ซึ่งบ่อยครั้งมักจะเป็นข่าวลวงและปั่นหุ้นจนทำให้มีคนหลงเชื่อเข้ามาจนทำให้ขาดทุน ดังนั้นแล้วทางที่ดีควรจะศึกษาข้อมูลสักนิด ก่อนที่จะซื้อหุ้นแต่ละตัว ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นอย่างไร มีความมั่นคงและเติบโตดีหรือไม่ ผลประกอบการย้อนหลังดีหรือเปล่า เพียงเท่านี้ก็จะทำให้คุณไม่ถูกหลอกซื้อหุ้นเกาะกระแสแล้วล่ะ

3. เลือกลงทุนแบบ DCA

การเลือกลงทุนในหุ้นแบบ DCA (Dollar-Cost-Averaging) ซึ่งเป็นการซื้อหุ้นแบบถัวเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ ในจำนวนเงินที่เท่ากันทุกเดือน ถือว่าเป็นแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับมือใหม่และมนุษย์เงินเดือนที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างมาก เพราะไม่ทำให้คุณต้องเสี่ยงกับความผันผวนของราคาหุ้น  มีการลงทุนเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยฝึกวินัยในการลงทุนและการออมไปด้วย ทั้งนี้การลงทุนแบบ DCA หากเลือกหุ้นที่เหมาะสมและเติบโตดี รวมไปถึงมีการลงทุนอย่างสม่ำเสมอก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ไม่น้อยเลยนะ

4. ไม่ควรให้ความโลภครอบงำ

ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในตลาดหุ้น เพราะหวังว่าจะรวยเร็วและอยากมีเงินเยอะ ๆ ซึ่งทุกสิ่งนี้คุณสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ แต่ก็อย่าลืมว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องสั่งสมประสบการณ์และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเล่นหุ้น อย่างไรก็ตามหากว่าปล่อยให้ความโลภเข้ามาครอบงำมากจนเกินไป ดันทุรังลงทุนจนไม่สนเหตุผลใด ๆ ก็อาจทำให้การเล่นหุ้นของคุณไม่ประสบผลสำเร็จตามที่หวังไว้ เข้ากับสุภาษิตที่ว่า โลภมากลาภหาย ซึ่งสิ่งนี้เหล่าเซียนต่างบอกว่า การควบคุมตัวเองไม่ให้โลภมากเกินไป เป็นสิ่งที่ฝึกได้ยากมากเลย

5. หาความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวกับการเล่นหุ้น

สำหรับมือใหม่เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเล่นหุ้น ซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ การเริ่มต้นดีที่สุดที่จะทำให้คุณสามารถเข้าสู่การลงทุนในตลาดนี้ได้อย่างมั่นใจ และลดความผิดพลาดให้น้อยลง นั่นก็คือ ควรศึกษาหาความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเล่นหุ้นอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือ, สัมมนาเกี่ยวกับการเล่นหุ้น, ศึกษาวิธีการเล่นหุ้นของเหล่าเซียนแต่ละคน เป็นต้น เชื่อว่าจะทำให้คุณได้ไอเดียและความรู้ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการเทรดหุ้นในพอร์ตของตัวเอง

6. ตั้งเป้าหมายให้แน่ชัด

การเข้ามาสู่ตลาดหุ้น ต้องตั้งเป้าหมายให้แน่ชัด หากว่าต้องการเล่นหุ้นให้เก่งเหมือนเซียน ซึ่งจะนำมาซึ่งผลกำไรที่มากมาย คุณก็ต้องนำมาเป็นแรงผลักดันเพื่อพัฒนาการเทรดของตนเองให้ดีอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรค ขาดทุนบ้าง ก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่ต้องนำมาปรับปรุง นอกจากนี้แล้วควรคำนึงด้วยว่าการเล่นหุ้นจะสามารถตั้งเป้าหมาย ให้ตัวเองมีเงินใช้ไปจนถึงตอนเกษียณได้หรือไม่ สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ควรวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะได้บริหารพอร์ตของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ


วิธีการเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนและทุก ๆ คน สามารถนำไปใช้ได้กับการเริ่มเล่นหุ้น ซึ่งเป็นตลาดที่หอมหวานใคร ๆ ต่างอยากเข้ามาตลอดเวลา แต่สิ่งที่จะทำให้เราสามารถเป็นเซียนอยู่ในตลาดนี้ได้อย่างยาวนาน  ต้องสั่งสมประสบการณ์และความรู้อีกมาก หากคุณทำให้รับรองเลยว่าผลกำไรที่ได้รับมาย่อมคุ้มค่าอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าพร้อมแล้วก็ไปเริ่มต้นเทรดกันเลย !


อ้างอิง

  • https://www.investorz.com/investorz-com/5-วิธีเล่นหุ้นสำหรับมนุษย์เงินเดือน-t33182.html
  • https://money.kapook.com/view211491.html
  • ภาพประกอบบทความ freepik.com

แนะนำ 4 อาชีพทำเงินออนไลน์ ทำคู่กับงานประจำก็ได้ ตอน 1/2

1
รายได้เสริมแบบ Passive Income

ยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้าถึงมือผู้ใช้งานทุกหย่อมหญ้า พ่อค้าแม่ค้าหรือแม้แต่ชาวบ้านชาวเขาในพื้นที่ห่างไกล ต่างก็สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น ทำให้มีอาชีพเกิดใหม่มากมายนับไม่ถ้วน หลายคนทำงานประจำอยู่แล้วก็มี อาชีพทำเงินออนไลน์ โดยไม่กระทบงานประจำ เพราะสามารถทำงานเมื่อไหร่และทำจากที่ไหนก็ได้ขอให้มีอินเตอร์เน็ตก็เพียงพอแล้ว

รายได้เสริมแบบ Passive Income

อาชีพออนไลน์ คือ การทำงานหรือธุรกิจผ่านทางอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สดขายสินค้าที่กำลังฮิตเป็นกระแสในปี 2019 การโพสต์สินค้าขายตามเว็บไซต์ทั่วไป การหาลูกค้าออนไลน์ การดูแลแฟนเพจ รวมไปถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซื้อขายสินค้ากัน เมื่อก่อนผมจะรู้จักเพียงอาชีพเดียวคือ ขายของออนไลน์ ซึ่งถ้าใครที่สามารถจับสินค้าได้ตรงจุด เป็นที่ต้องการของตลาด ก็เป็นอาชีพที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำไม่น้อยเลยเหมือนกัน แต่มันไม่ได้มีแค่อาชีพขายของออนไลน์อย่างเดียวน่ะสิ มาดู 4 อาชีพออนไลน์ที่จะแนะนำกันว่ามีอะไรบ้าง

1. พ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์

ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะเป็นอาชีพออนไลน์ยุคแรก ๆ ของอินเตอร์เน็ตเลย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงมีอยู่แถมยังเติบโตขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ดูได้จากที่มีบริษัทใหญ่ ๆ ลงมาเล่นในตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยหลายจ้าว เช่น Lazada, Shopee เป็นต้น

อาชีพพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เดี๋ยวนี้ทำง่ายมากขอแค่มีสินค้าที่ต้องการขาย สักประมาณหนึ่ง แล้วเอามาลงขายในเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นเว็บที่เปิดเอง หรือจะเอาไปขายบน Lazada, Shopee รวมไปถึง Facebook Marketplace ก็ได้ โดยไม่ต้องมีความรู้ในการสร้างเว็บไซต์เลยสักนิดเดียว ขอแค่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็น อัพโหลดรูปเป็น สามารถอธิบายรายละเอียดสินค้าได้ครบถ้วน ตอบคำถามลูกค้าได้รวดเร็ว มีการอัพเดตสินค้าอย่างสม่ำเสมอ จัดส่งสินค้าให้ลูกค้ารวดเร็วตามที่ลูกค้าต้องการ ที่สำคัญ… ห้ามโกงเชียวนะ เพราะเดี๋ยวนี้โลกออนไลน์มันไปเร็วมาก ถ้าคุณโกงแค่นิดเดียวมันจะกลายเป็นไฟลามทุ่งรวดเร็วจนดับไม่ได้เลยแหละ

สินค้าที่นิยมขายออนไลน์ ที่พบเจอมากที่สุด ก็จะมีตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ อาหารเสริม ของแต่งบ้าน เป็นต้น

2. สอนหนังสือออนไลน์

ผมเป็นคนหนึ่งที่ศึกษาหาความรู้หลาย ๆ อย่างจากคอร์สเรียนออนไลน์ เพราะมีหลักสูตรที่เจาะจงเฉพาะที่ต้องการเรียนรู้ให้เลือกมากมาย หากคุณมีความรู้ความสามารถไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ สามารถเปิดคอร์สสอนออนไลน์ได้ ซึ่งเหมาะมากสำหรับติวเตอร์ที่มีทักษะในการถ่ายทอดความรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นครูสอนภาษา ครูสอนดนตรี หรือแม้แต่จะสอนทำอาหาร สอนทำขนมก็เปิดคอร์สสอนได้เหมือนกัน

ผลลัพท์ทางอ้อมเมื่อเปิดคอร์สออนไลน์คือ มีคนรู้จักเรามากขึ้นจากช่องทางออนไลน์ ถ้าเรามีหน้าร้านหรือโรงเรียนสอนอยู่แล้วด้วยก็จะได้ลูกค้ามาจากช่องทางออนไลน์เพิ่มเติม แถมหลักสูตรที่เปิดสอนออนไลน์นั้นก็ยังใช้สอนนักเรียนได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องมาอัดวีดีโอสอนใหม่ทุกครั้ง อาจจะมีเพียงแค่การปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ๆ เท่านั้นเอง

3. YouTuber

มาแรงมากในยุคนี้ก็คือการทำ Video Content แล้วก็อัพโหลดขึ้นไว้บน Youtube Channel ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการเสพย์เนื้อหาของคนไทยมักจะชอบดูจากวีดีโอมากกว่าการอ่าน จะเห็นว่ามี Youtuber ที่ได้รับเงินจาก Youtube จนถึงขั้นรวยไปหลายคนแล้ว การเป็น Youtuber เป็นการผลิตเนื้อหาแบบวีดีโอ เหมือนรายการต่าง ๆ ที่มีอยู่บนโทรทัศน์นั่นแหละครับ ต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวพอสมควร การตัดต่อและเนื้อหาต้องน่าติดตาม เนื้อหาที่มี Youtuber ผลิตกันค่อนข้างมาก จะมีแนวตลก ท่องเที่ยว เทคนิคการเล่มเกมส์ เป็นต้น

แต่ไม่ใช่จะมีแค่นั้นนะครับ มี Youtuber อีกหลายประเภทมาก มีทั้งที่ทำคนเดียวและทำกันเป็นทีมงาน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนนั้น สาระสำคัญที่จะประสบความสำเร็จในการเป็น Youtuber นั้นก็คือ Content ที่เสนอออกมาจะโดนใจกลุ่มเป้าหมายขนาดไหน บางคนทำออกมาเพียงคลิปเดียวก็ดังเปรี้ยงปร้าง ในขณะที่อีกหลายคนทำแล้วทำอีกก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที

4. Blogger

คนที่ชอบเขียนบันทึกหรือไดอารี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ลองเปลี่ยนจากเขียนลงสมุดมาเขียนลงเว็บไซต์เอาไว้ให้คนอื่นเข้ามาอ่านดูสิครับ เพราะเรื่องราวของเราเองอาจจะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ความงาม อาหารการกิน และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ต้องห่วงว่ามีคนเขียนเยอะแล้วเพราะการสื่อสารเรื่องราวของแต่ละคนจะแตกต่างกันแน่นอน ต่อให้เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่แน่ว่าเรื่องราวของเราอาจจะเป็นที่นิยมกว่าคนอื่น ๆ ก็ได้

ขอควรรู้นิดนึงเกี่ยวกับการเป็นบล๊อคเกอร์ เดี๋ยวนี้จะค่อนข้างติดอันดับยากถ้าเนื้อหาของเราไม่เจ๋งพอจริง ๆ ยิ่งถ้าเป็นการก๊อปปี้ข้อมูลมาจากเว็บอื่นด้วยแล้วยิ่งค้นหาแทบจะไม่เจอเลยทีเดียว เทคนิคการเขียนบทความก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เขียนเองในสไตล์การเขียนของเรา ใช้คำที่เน้นให้คนเข้ามาอ่าน ไม่ได้เน้นทำอันดับ อาจจะเห็นผลช้าแต่ถ้าเห็นผลแล้วก็มีรายได้ระยะยาวเหมือนกัน

รายได้จากการเป็นบล๊อคเกอร์หลัก ๆ มีอะไรบ้าง

1. Adsense

สำหรับเว็บไซต์เล็ก ๆ แต่ถ้ามีจำนวนคนเข้ามาอ่านเป็นประจำสักจำนวนหนึ่งแล้ว ลองสมัคร Adsense แล้วเอาโฆษณามาแปะไว้ในเว็บของเรา เมื่อมีคนคลิกโฆษณาเหล่านั้นเราก็จะได้ค่าขนมมากบ้างน้อยบ้างปะปนกันไป บางเว็บไซต์ที่จำนวนคนเข้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีรายได้หลักจาก Adsense เดือนนึงเป็นแสน ๆ ก็มีนะครับ

2. Sponsor

ถ้าเว็บไซต์เราเติบโตจนมีคนเข้าจำนวนเยอะแล้ว ช่องทางในการมีรายได้อีกทางก็คือ รายได้จากสปอนเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเชียร์สินค้า หรือแม้แต่เอาโฆษณาของสปอนเซอร์มาวาง ยิ่งคนเข้าเว็บไซต์เยอะก็ยิ่งมีรายได้เยอะ และถ้าเป็นเว็บเฉพาะเจาะจงเฉพาะทางก็ยิ่งสามารถกำหนดราคาได้สูงขึ้นเพราะสปอนเซอร์จะได้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทีต้องการจริง ๆ

3. รับจ้างเขียนบทความ

อีกช่องทางที่สร้างรายได้ให้ผมบ่อย ๆ ก็คือ การรับเขียนบทความให้บริษัทหรือเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งวิธีนี้ส่วนมากนั้น ลูกค้าที่จะว่าจ้างมักจะเข้ามาอ่านเนื้อหาของเราก่อน แล้วเกิดความถูกใจในการใช้ภาษาและทักษะการเขียน จึงว่าจ้างเขียนบทความ แต่ละบทความก็ได้ราคาหลายร้อยบาทเหมือนกัน


สรุป

ก็เป็นลู่ทางในการหารายได้เบื้องต้นเพื่อเป็นไอเดียให้ผู้อ่านเพียง 4 อย่างก่อน ในความจริงยังมีอีกหลายอย่างมากที่สามารถสร้างรายได้เป็น Passive Income ควบคู่งานประจำให้เราไปได้ด้วย ใครที่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดีอยากขายของก็ไม่รู้จะขายอะไร อยากเขียนบล๊อคก็ไม่รู้จะเขียนอะไร ให้เริ่มจากการขายของหรือเขียนบทความในสิ่งที่เราชอบก่อนครับ เพราะถ้าเราเริ่มจากสิ่งที่ชอบเราจะสามารถทำมันออกมาได้ค่อนข้างดี ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น เป็นการลองดูด้วยว่าการหาเงินออนไลน์แบบนี้เราชอบจริงรึเปล่า เมื่อทำได้สักพักค่อยขยับขยายทีหลังก็ไม่สายเกินไป แถมเจ็บตัวน้อยด้วยครับ


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยจะต้องอ้างอิงกลับมาที่ต้นฉบับนี้ทุกครั้ง

ส่งแฟกซ์ออนไลน์ฟรี 100% ทั่วโลก

0

ถึงแม้ว่าโลกจะไปไกลจนช่องทางการสื่อสารมักจะใช้อีเมล์เป็นหลักแล้วก็ตาม แต่การส่งเอกสารบางอย่าง บางองค์กร หรือบางธุรกิจก็ยังต้องใช้แฟกซ์อยู่ ปัญหาก็คือ หาเครื่องแฟกซ์ยากมาก แต่วันนี้ผมมีทางออกมาให้ทุกคนที่ต้องการส่งแฟกซ์ เป็นการส่งแบบออนไลน์และฟรี 100%

สิ่งที่ต้องรู้และเตรียมตัวก่อนส่งแฟกซ์ฟรี

  • เตรียมเอกสารที่ต้องการส่งเป็นไฟล์ PDF
  • การสมัครใช้งานแบบฟรี จะส่งแฟกซ์ได้จำกัดที่ 5 หน้าต่อเดือน

ขั้นตอนการส่งแฟกซ์ออนไลน์ฟรี

1. เข้าเว็บไซต์ https://fax.pdf24.org/ เพื่อสมัครสมาชิกก่อน เมื่อเข้ามาแล้วให้กดที่ “Create Account”

ส่งแฟกซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตฟรี

2. กรอกรายละเอียดเบื้องต้นที่จำเป็นสำหรับสมัครสมาชิก

  • Firstname = ชื่อ
  • Lastname = นามสกุล
  • E-Mail = ให้ใช้อีเมล์จริงที่มีการใช้งาน
  • Password = รหัสผ่านที่ต้งการใช้งาน

เมื่อกรอกรายละเอียดเสร็จแล้วให้ติ๊กยอมรับเงื่อนไขในการใช้งาน และกดปุ่ม “Create Account”

ส่งแฟกซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตฟรี

3. เมื่อเข้าสู่ระบบเสร็จแล้วกดปุ่ม “Send a Fax” เพื่อเริ่มส่ง

ส่งแฟกซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตฟรี

4. เลือกไฟล์ที่ต้องการส่ง แนะนำให้ทำเป็น PDF ก่อน ถ้ามีหลายหน้าก็ให้รวมไฟล์ไว้ให้เป็นไฟล์เดียวกัน เมื่อพร้อมแล้วกด “Next”

ส่งแฟกซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตฟรี

5. หน้าถัดมาให้กรอกเบอร์แฟกซ์ปลายทางที่ต้องการส่ง ส่วนนอกนั้นจะไม่สามารถแก้ไขได้นะครับ เพราะเราเลือกใช้งานแบบฟรี แต่ถ้ามีการสมัครใช้งานแบบเสียเงิน จะแก้ไขข้อมูลของผู้ส่งได้ เช่น ชื่อผู้ส่ง, เบอร์โทรที่ส่ง เป็นต้น

เมื่อพร้อมที่จะส่งแล้วให้กด “Send a Fax” แล้วรอระบบทำการส่งประมาณ 10-15 นาที เมื่อเอกสารส่งไปถึงปลายทางเสร็จแล้ว ก็จะมีอีเมล์แจ้งเตือนให้ทราบกันอีกด้วย

ส่งแฟกซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตฟรี

6. ในส่วนของหลังบ้าน ก็สามารถคลิกดูประวัติการส่งได้ที่เมนู “Your faxes” + Sent

ส่งแฟกซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตฟรี


เป็นงัยครับ .. วิธีส่งแฟกซ์ง่ายนิดเดียว แถมยังฟรีอีกต่างหาก ใครว่าของฟรีไม่มีในโลกให้มาดูตรงนี้ก่อน ส่วนใครที่ส่งเยอะ ๆ หรือต้องการรับแฟกซ์ด้วย ก็สามารถสมัครสมาชิกแบบเสียเงินก็ได้ จะสามารถใช้งานได้ทุกฟังก์ชั่นที่เว็บนี้มีให้


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ กาเหว่า สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง ภาพประกอบหัวเรื่องบทความโดย freepik.com

บล๊อคเชน คืออะไร

0
บล๊อคเชน คืออะไร

มีบทความมากมายที่สามารถค้นหาเกี่ยวกับความหมายของ “บล๊อคเชน” แต่ปัญหาก็คือบทความเกือบจะทั้งหมด อธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจยากมาก แถมมีแต่ตัวหนังสือยาวเป็นพรืด ผมเองก็เป็นคนนึงที่เจอปัญหานั้นในช่วงที่ศึกษาเทคโนโลยีนี้ช่วงแรก ๆ และเมื่อมีความรู้ที่ค่อนข้างกระจ่างถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมาก แต่ก็สามารถที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่นศึกษาต่อได้ นั่นแหละคือที่มาของบทความนี้ ผมจะอธิบายให้ละเอียดและเข้าใจง่ายมากที่สุดครับ

ความหมายของบล๊อคเชน

บล๊อคเชน เป็นการจัดเก็บข้อมูลโดยแบ่งข้อมูลออกเป็นบล๊อค (Block) หรือกล่องสี่เหลี่ยม แล้วเอามาวางต่อกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งแต่ละบล๊อคจะมีโซ่หรือเชน (Chain) ผูกติดกันเอาไว้เผื่อใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องระหว่างบล๊อค พอรวมกันถึงเรียกว่า “บล๊อคเชน” (ภาพที่ 1)

บล๊อคเชน คืออะไร

ภาพที่ 1 : บล๊อคเชน

ข้อมูลที่อยู่ในแต่ละบล๊อคมีอะไรบ้าง แล้วแต่ละอย่างทำหน้าที่อะไร

เมื่อเข้าใจภาพกว้างของบล๊อคเชนแล้ว เราไปเจาะรายละเอียดกันดูว่าในแต่ละบล๊อค มีอะไรเก็บเอาไว้บ้าง มันทำงานยังงัย ทำไมมันถึงปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับในวงกว้างอย่างรวดเร็ว (ภาพที่ : 2)

บล๊อคเชน คืออะไร

ภาพที่ 2 : ข้อมูลที่จัดเก็บไว้แต่ละบล๊อคเชน

ข้อมูล – Data

ข้อมูลในที่นี้ คือ รายการเกี่ยวกับการเงินที่เกิดขึ้น (Transaction) ในแต่ละบล๊อคสามารถเก็บรายการเหล่านี้ได้เป็นจำนวนมากกว่าหลักร้อยขึ้นไป ตัวอย่าง Alice โอนเงินไปให้ Bob เป็นเงิน 100$ ก็ถือเป็น 1 Transaction ถ้าโอน 10 ครั้งก็จะเก็บเอาไว้ 10 Transaction (ภาพที่ 3)

บล๊อคเชน คืออะไร

ภาพที่ 3 : ตัวอย่าง Transaction – Alice โอนเงินให้ Bob

แฮช – Hash

  1. Transaction Hash : เป็นหมายเลขที่ระบบสร้างขึ้นมาทุก ๆ รายการที่เกิดขึ้น เพื่อเอาไว้ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของแต่ละรายการ เป็นค่าที่ไม่เคยซ้ำประกอบด้วยตัวเลขและตัวหนังสือยาวเป็นพรืด จำยังงัยก็จำไม่ได้ถ้าสมองไม่เทพพอ

ตัวอย่าง

  • Alice โอนเงินให้ Bob เป็นเงิน = 100$ จะถูกสร้าง Hash ขึ้นมา 1 ชุด
  • ถ้า Alice โอนเงินให้ Bob อีกไม่ว่าจะยอดเท่าไหร่ จะมี Hash ใหม่ถูกสร้างขึ้นมาอีก ไม่สามารถเอาอันเดิมมาใช้งานได้ ถึงแม้จะเป็นคนเดิมโอนหากัน

บล๊อคเชน คืออะไร

ภาพที่ 4 : Hash จะถูกสร้างขึ้นมาไม่ซ้ำในแต่ละ Transaction

  1. Hash of the previous block : นอกจาก Hash ที่ถูกสร้างขึ้นมาในการทำรายการแต่ละครั้งแล้วอย่างที่บอกในตอนต้นว่า ช่วงรอยต่อระหว่างบล๊อค จะมี Hash อีก 1 ชุดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับตรวจสอบระหว่างบล๊อค

ตัวอย่าง

บล๊อคแรกมีการเก็บข้อมูลการโอนเงินจนข้อมูลเกือบจะเต็มบล๊อค แต่ก่อนจะเต็ม Hash จะถูกสร้างขึ้นมาปิดท้ายบล๊อคอันนั้นเอาไว้ แล้วก็จะถูกส่งไปที่บล๊อคถัดไป พอบล๊อคถัดไปได้รับ Hash มาก็จะเก็บเอาไว้เป็นตัวเชื่อมต่อกับบล๊อคก่อนหน้า แล้วก็เก็บแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกบล๊อค (ภาพที่ 5)

บล๊อคเชน คืออะไร

ภาพที่ 5 : Hash สำหรับใช้ในการตรวจสอบและเชื่อมแต่ละบล๊อคเข้าด้วยกัน

เพิ่มเติม

  • ถ้ามีใครพยายามจะขโมยหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล๊อค เช่น จะสลับบล๊อคอันที่ 100 มาไว้ที่ 50 จะทำได้ยากมาก เพราะต้องแก้ไข Hash ที่จะเชื่อมต่อกันให้ถูกต้อง ถ้าสลับเอามาวางทื่อ ๆ ยังงัยก็ต่อกันไม่ได้
  • เพราะโครงสร้างที่ออกแบบมาแบบนี้ ทำให้รายการที่เกิดขึ้นในบล๊อคเชนไม่สามารถกลับไปแก้ไข หรือลบได้
  • อยากรู้ว่า Hash หน้าตาเป็นยังงัย คลิกที่นี่ เมื่อเข้าเว็บไปแล้วให้ลองกรอกข้อมูลอะไรดูก็ได้ จะมี Hash ถูกสร้างขึ้นมาให้เห็นทันที
  • อยากรู้ว่า Hash ที่ใช้ต่อระหว่างบล๊อค หน้าตาเป็นยังงัย คลิกที่นี่ แล้วลองกรอกข้อมูลเล่นดูได้เหมือนกัน

สิ่งที่ทำให้บล๊อคเชนปลอดภัยสูงม้ากกกก ….

การจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดของบล๊อคเชน ไม่เก็บไว้ที่เดียวเหมือนระบบฐานข้อมูลแบบเดิม แต่จะกระจายข้อมูลชุดเดียวกันทั้งหมดออกไปไว้ในคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันทั่วโลก … (ย้ำนะว่าทั่วโลก) ระบบแบบนี้เรียกว่า “Peer to peer network” เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มาเชื่อมเข้าด้วยกันจะเรียกว่า Node (ภาพที่ 6)

บล๊อคเชน คืออะไร

ภาพที่ 6 : การเชื่อมต่อแบบ Peer-to-Peer Network

เมื่อมีการทำรายการสักอย่างเกิดขึ้นในระบบ เอาตัวอย่างเดิมแล้วกันนะครับ Alice โอนเงินให้ Bob ข้อมูลก็จะถูกกระจายออกไปยังคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อทั้งหมดก่อน ไม่ว่าจะต่ออยู่กี่พันเครื่องก็จะค่อย ๆ กระจายออกไปจนมีข้อมูลชุดเดียวกัน

เมื่อได้รับข้อมูลว่า Alice โอนเงินให้ Bob แล้ว Node ยังมีหน้าที่อีกอย่างคือ ตรวจสอบดูว่ารายการนั้นถูกต้องจริง ๆ การตรวจสอบก็จะใช้ Hash ที่บันทึกเอาไว้น่ะแหละมาเช็ค เมื่อทุกเครื่องในระบบตรวจสอบและยืนยันตรงกันแล้วว่าข้อมูลนั้นถูกต้องจริง ๆ แล้วเท่านั้นถึงจะบันทึกข้อมูลลงไปในบล๊อค (ภาพที่ 7)

บล๊อคเชน คืออะไร

ภาพที่ 7 : ตัวอย่างการตรวจสอบรายการของ Node ในเครือข่าย

นี่แหละคือจุดแข็งมากของเทคโนโลยีบล๊อคเชน เพราะมันเจาะได้โคตรยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ … ถ้ายังนึกไม่ออกว่ามันยากยังงัย

ลองสมมุติสถานการณ์ว่าเราเป็นแฮกเกอร์แล้วกันครับ … เผอิญว่าไปแฮคเข้าระบบธนาคารได้สักที่นึงละกันเนอะ … พอเข้าได้แบบทะลุทะลวงเราจะโอนเงิน เพิ่มเงิน หรือจะทำยังงัยก็ได้ให้เรามีเงินเยอะขึ้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะข้อมูลของธนาคารจะถูกจัดเก็บและดูแลโดยธนาคารเอง แต่ถ้าจะแฮคบล๊อคเชนต่อให้เข้าได้สักเครื่องก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากข้อมูลที่ Node อื่นมันไม่เหมือนกับที่เราแก้ไขไป … จะทำยังงัยให้แฮคคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบนี้ได้กันล่ะ จริงมั้ย

สรุปสั้น ๆ อีกรอบเกี่ยวกับบล๊อคเชน

  1. บล๊อคเชนเป็นวิธีการจัดเก็บข้อมูลแบบใหม่ โดยแบ่งข้อมูลออกเป็นบล๊อคสี่เหลี่ยมและมีโซ่เชื่อมแต่ละบล๊อคไว้ด้วยกัน
  2. ใช้ hash ในการยืนยันความถูกต้องและปลอดภัยในการทำรายการแต่ละครั้ง และ hash จะไม่มีทางซ้ำกัน
  3. กระจายข้อมูลออกไปเก็บไว้ที่ node ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้ามาในระบบ
  4. Node ที่เชื่อมต่อเข้ามาในระบบนอกจากจะเก็บข้อมูลบล๊อคเชนแล้ว ยังจะทำหน้าที่ในการยืนยันรายการที่เกิดขึ้นในเครือข่ายด้วย ถ้ารายการใดมี node ยืนยันไม่ตรงกันจะถือว่ารายการนั้นเป็นโมฆะไปจ้า

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับบล๊อคเชนในบทความนี้ จะมีประโยชน์กับผู้ที่กำลังหาความรู้ทางด้านนี้ ถ้าอ่านแล้วชอบก็แนะนำเพื่อนหรือแชร์บทความนี้ต่อ ๆ กันไป ช่วยประชาสัมพันธ์เว็บให้นิสนึง แค่นี้ก็มีกำลังใจหาความรู้มาเติมเรื่อย ๆ แล้วครับ


บทความนี้แปลและเรียบเรียงใหม่จากต้นฉบับ : Hackermoon สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้ แต่ต้องใส่ลิงค์อ้างอิงกลับมาที่นี่ทุกครั้งนะจ้ะ .

หลักการเขียนบทความเพื่อใช้กับเว็บไซต์

0
หลักการเขียนบทความที่ดีสำหรับเว็บไซต์

เว็บไซต์ที่ดีมีจำนวนผู้เข้าชมมาก ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเว็บที่ออกแบบสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ องค์ประกอบหลักที่สำคัญมากอันดับ 1 ก็คือ เนื้อหาภายในเว็บ (Content is a King) ยิ่งเป็นบทความที่เขียนขึ้นมาเองสดใหม่ ไม่ไปคัดลอกใครมา Search Engine ยิ่งชอบและจะให้คะแนนความน่าเชื่อถือกับเว็บเราสูงขึ้น ต่อให้ออกแบบเว็บได้สวยงามขนาดไหน แต่ไม่มีเนื้อหาหรือสาระสำคัญอะไรเป็นตัวชูโรง ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่จดจำ

เนื้อหาในเว็บไซต์ มีได้หลายประเภท เช่น บทความ, วีดีโอ และ ภาพถ่าย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละเว็บต้องการจะสื่อออกมาแบบไหน ในบทความนี้จะแนะนำเทคนิคในการเขียนบทความเพื่อใช้งานในเว็บไซต์ที่พิสูจน์จากสถิติของเว็บไซต์นี้แล้วว่าได้ผลดี แต่ไม่ได้อ้างอิงทฤษฎีหรือหนังสือใด ๆ ที่เกี่ยวกับงานเขียนเลยนะ … สรุปสาระและใจความสำคัญมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วน ๆ

1. เขียนเรื่องที่ชอบและมีความรู้ในเรื่องนั้น

ไม่ใช่แค่การเขียนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้าลงมือทำในสิ่งที่ชอบเป็นตัวตั้งต้นเราจะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าอย่างอื่น การเขียนบทความก็ตกอยู่ในกฎเหล่านี้ไม่ต่างกัน เมื่อเราเขียนบทความขึ้นมาสักเรื่อง เราจะสามารถเจาะลึกในรายละเอียดได้เกือบทุกแง่ทุกมุม มีความสุขที่จะสื่อสารเรื่องราวเหล่านั้นออกมาทางตัวหนังสือ

2. เขียนบทความให้คนอ่าน ไม่ได้เขียนให้กูเกิ้ลอ่าน

จำไว้เลยว่า เรากำลังเขียนบทความเพื่อให้คนเข้ามาค้นหาข้อมูล ไม่ได้ทำเพื่อให้กูเกิ้ลมาเก็บข้อมูล ถึงแม้ว่าการเขียนบทความของเราจะเป็นการโปรโมทเว็บด้วย SEO ก็ตาม ผมเจอเป็นจำนวนไม่น้อยที่เขียนบทความมีโครงสร้างตรงเป้ะตามที่กูเกิ้ลต้องการ ไม่ว่าจะหัวเรื่อง คีย์เวิร์ดที่แทรกลงไปในเนื้อหา แต่เมื่อกดเข้าไปอ่าน กลับเป็นบทความที่อ่านไม่รู้เรื่อง วกไปวนมา สักแต่จะใส่คีย์เวิร์ดย้ำแล้วย้ำอีก การทำแบบนี้อาจจะดีแค่ช่วงแรกที่ติดอันดับ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานหรอก เมื่อคนไม่เข้าไปอ่าน ต่อให้เขียนบทความมากมายแค่ไหน ก็เสียเวลาเปล่า ๆ

กลับกัน ถ้าเป็นบทความที่เขียนออกมาจากใจ เน้นเนื้อหาอย่างพิเนียดบรรจง คนอ่านจะสัมผัสถึงความตั้งใจของเราได้เอง เมื่อนั้นก็จะเกิดความไว้ใจและกลับมาหาข้อมูลจากเว็บเราเรื่อย ๆ ส่งผลดีต่อเนื่อง ทำให้มีช่องทางในการหารายได้เพิ่มขึ้นจากเว็บนั่นเอง

3. มีเกริ่นนำและบทสรุปของบทความ

การใส่เกริ่นนำและบทสรุปแต่ละบทความไม่ได้เป็นเรื่องที่จำเป็นเสมอไป แต่ก็ควรที่จะใส่เอาไว้เพื่อให้ผู้อ่านรู้ที่มาที่ไปของบทความที่เรากำลังจะเสนอ กล่าวถึงสาระสำคัญเริ่มต้นสักเล็กน้อย ไม่ต้องออกทะเลมาก เข้าถึงภาพรวมของเนื้อหาให้ได้ภายในบทนำ ก่อนจะไปเข้าสาระสำคัญแบบละเอียดยิบในหัวข้อย่อยแต่ละอัน สุดท้ายค่อยสรุปทิ้งท้ายอีกสักรอบ ถ้ามีการแบ่งบทความดังกล่าวเป็นตอน ๆ ก็ทิ้งไว้ในตอนท้าย หรือ จะใส่ไว้ตั้งแต่เกริ่นนำเลยก็ได้ ให้ผู้อ่านได้รู้ตัวสักนิดถ้าอ่านแล้วติดใจ จะได้ติดตามอ่านตอนต่อ ๆ ไป ไม่ต้องจบแบบค้างคา เหมือนหนังฮอลลีวู้ดบางเรื่อง

4. แบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ 

การแบ่งเนื้อหาบทความออกเป็นหัวข้อย่อย เป็นการช่วยให้การอ่านยุ่งยากน้อยลง เพราะผู้อ่านจะได้ไม่เจอแต่ตัวหนังสือยาวเป็นพรืดอ่านแล้วปวดตาพาลปิดหน้าจอทิ้งแถมไม่กลับมาอ่านอีกเลย ช่วยให้รับรู้เรื่องราวในเนื้อหาแต่ละเรื่องได้ดีขึ้น เมื่อเห็นหัวข้อย่อยก็จะรู้ได้เลยว่ามันคืออะไร บางคนก็จะอ่านเนื้อหาย่อยได้เร็วและเข้าใจยิ่งขึ้น ก็ในเมื่อรู้แล้วนี่นาว่าหัวข้ออะไร สาระสำคัญมันถูกฝังอยู่ในหัวอยู่แล้ว

5. ไม่ต้องรีบ

กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จวันเดียว การก่อสร้างบ้านสักหลังก็ใช่ว่าจะสร้างภายในวันเดียว การเขียนบทความก็เช่นกัน!! … ยิ่งผู้เริ่มต้นเขียนบทความด้วยแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนขีดเส้นให้ตัวเองว่าบทความนึงต้องเสร็จภายในกี่ชั่วโมง หรือวันนึงต้องเขียนได้กี่บทความ บางบทความที่ผมเขียนใช้เวลาเป็นสัปดาห์ถึงแม้บทความนั้นจะไม่มีเนื้อหาที่ยาวหรืออะไรเลย แต่สิ่งที่ต้องการเน้นคือคุณภาพมากกว่าความยาวบทความ อุปสรรคอีกอย่างที่ทำให้ใช้เวลาในการเขียนก็คือการเรียบเรียงและสื่อสิ่งที่คิดออกมาเป็นตัวอักษร มันเป็นศิลปะอย่างนึงที่ยากพอ ๆ กับการพูดคุย

ถ้ากลัวว่าจะลืมก็ให้ใส่หัวข้อหรือโน๊ตสั้น ๆ เอาไว้ก่อน แล้วค่อยมาแจกแจงรายละเอียดในภายหลังก็ได้ ปล่อยให้สมองได้พัก ระหว่างนั้นอาจจะเกิดไอเดียบรรเจิดกลับมาเขียนได้น่าอ่านกว่าเดิมก็ได้

ไม่ต้องห่วงว่าจะใช้เวลาในการเขียนบทความนานเสมอไป เมื่อเขียนบทความไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะมีความชำนาญในการใช้คำเองโดยไม่รู้ตัว บทความหลัง ๆ ก็จะใช้เวลาในการเขียนน้อยลงแถมน่าอ่านน่าติดตามกว่าเดิมซะด้วย

6. ระมัดระวังเรื่องไวยากรณ์

นักเขียนหลายคนมาตกม้าตายตรงนี้ คำง่าย ๆ ยังเลือกใช้งานไม่ถูก เช่น คะ-ค่ะ หรือ เรื่อย-เลื่อย บางคำเป็นคำพ้องเสียงที่แยกออกค่อนข้างยากเวลาพูด แต่เมื่อเอามาใช้ในภาษาเขียนจะทำให้ความหมายเปลี่ยนออกไปคนละทิศคนละทาง ส่วนการใส่สระหรือวรรณยุกต์ก็ เป็นการสื่อถึงความเป็นมืออาชีพและใส่ใจในบทความ ถ้าคำไหนไม่แน่ใจ ก็ค้นหาดูในพจนานุกรมหรือค้นจากกูเกิ้ลก็ได้คำตอบเหมือนกัน

ผ่านเรื่องไวยากรณ์ไปแล้วเมื่อเขียนบทความเสร็จแล้ว … อย่าลืมกลับมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนซ้ำสักรอบหนึ่ง ย้ำนะว่าต้องอ่าน “ถ้าเราไม่อ่านแล้วใครจะอ่าน” ถือเป็นการทบทวนตรวจสอบความถูกต้องและเน้นคุณภาพของบทความกันอีกที … ย้ำมันเข้าไปครับ อย่าให้คุณภาพตก


สุดท้าย หมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ จะศึกษาลักษณะการเขียนจากคู่แข่งก็ยังได้ เดี๋ยวนี้ข้อมูลและเครื่องไม้เครื่องมือมีมากมายไม่รู้จะแนะนำให้เลือกตัวไหน เอาง่ายที่สุดก็เข้ากูเกิ้ลแล้วค้นหาสิ่งที่เรากำลังจะเขียน ดูว่าอันดับต้น ๆ ที่แสดงผลเค้าเขียนกันยังงัย แล้วก็เอามาปรับปรุงเขียนในภาษาและสไตล์ของเราเอง … แต่ย้ำกันอีกรอบว่า “อย่าก๊อปปี้” เป็นอันขาด


ภาพประกอบบทความ : https://www.freepik.com

13 เทคนิคบ้าน ๆ โปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จัก

0
13 เทคนิคบ้าน ๆ โปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จัก

ทำเว็บไซต์มาก็นานแรมปี ร้านค้าออนไลน์แทบจะไม่มียอดขายเข้ามา คนเข้าเว็บแต่ละวันนับหัวได้เลย แถมมาแป้บ ๆ ก็หายออกไป ทั้งอัพเดตสินค้าและบทความแทบตายก็ยังมีคนเข้าเว็บน้อยอยู่ดี เพราะเดี๋ยวนี้เว็บไซต์ทำกันง่ายมาก ทั้งบล๊อคและเว็บอีคอมเมิร์ซสำหรับขายของ มีตัวช่วยมากมาย ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เปิดเว็บไซต์กันได้แล้ว แถมบางที่ก็ใช้งานกันฟรี ๆ อีกต่างหาก แน่นอนว่าเมื่อมันทำได้ง่ายขึ้น ก็จะมีคู่แข่งมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แถม Google เองก็ปรับเงื่อนไขการค้นหาให้ทันสมัยอยู่ตลอดเหมือนกัน เว็บไหนที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ก็แสดงผลในหน้าแรกได้ยาก ลองคิดดูสิ … ถ้าเราเป็นกูเกิ้ล เวลามีคนค้นหาสินค้าสักอย่าง ระหว่างเว็บของเรากับลาซาด้า … คุณว่ากูเกิ้ลจะเลือกเอาของใครมาแสดงผลล่ะ

ทำเว็บทั้งทีจะปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าตายไม่มีคนรู้จักเลย มันก็เสียเวลาทำเปล่า ๆ เราต้องป่าวประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้ด้วยว่าเรามีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์เหมือนกัน ลองทำตามวิธีการบ้าน ๆ เหล่านี้ดูแล้วก็ดูสถานการณ์สักสามเดือนขึ้นไป ค่อนข้างมั่นใจเลยว่าจะมีคนเข้าเว็บไซต์เรามากขึ้น .. ถึงแม้จะไม่สามารถไปแข่งกับผู้เล่นรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดอยู่แล้วได้ก็เถอะ แต่มันก็ยังดีกว่าอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ทำอะไรแบบเดิมเลย .. จริงมั้ยล่ะ

ทำไมต้อง 13 เทคนิค?? … ตอบ … นึกออกแค่นี้เลยเขียนแค่นี้ครับ -*-

ขั้นตอนการโปรโมทเว็บไซต์

1. บอกคนรอบข้างให้รับรู้ว่าเรามีเว็บไซต์แล้วนะ

คนรอบข้างนี่แหละเป็นกระบอกเสียงชั้นดี จะมีประโยชน์อะไรถ้าจะบอกแต่ชาวบ้านทั่วไปแต่กลับปล่อยปะละเลยคนข้าง ๆ มันเป็นวิธีการที่ง่าย ไม่เสียค่าใช้จ่าย เจอหน้ากันก็บอกได้ แถมคนรอบข้างก็จะช่วยกระจายข่าวให้อีกทางนึงด้วยนะ

2. ส่งอีเมล์ให้เพื่อนทราบ

เมื่อคนรอบข้างรับรู้แล้วก็ขยายวงกว้างออกมาอีกนิด ด้วยการส่งให้เพื่อนได้รับรู้ เอาง่าย ๆ ก็คือส่งอีเมล์ออกไปเลย แจ้งให้ทุกคนทราบโดยทั่วกันว่าเรามีเว็บไซต์แล้ว เว็บไซต์เราทำอะไรได้บ้าง อย่าใช้วิธีการส่งสแปมเมล์ไปยังบุคคลที่ไม่รู้จักเป็นอันขาดนะ เอาแค่คนรู้จักก็พอถึงแม้จะมีจำนวนน้อยแต่คุณภาพสูงพอสมควรเลยแหละ

3. เพิ่มชื่อเว็บไซต์เข้าไปใน Search Engine หรือ Web Directory

ในส่วนของการเพิ่มชื่อเข้าไปใน Search Engine ต่าง ๆ นั้นจะไม่ทำก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้มันมีการเก็บข้อมูลของ Search Engine ตลอดเวลาอยู่แล้ว หลังจากที่เว็บไซต์เปิดให้สาธารณะเข้าดูได้ ปกติแล้วไม่เกิน 1 อาทิตย์ข้อมูลของเว็บเราก็จะถูกเก็บไว้ใน Search Engine แล้ว แต่ถ้าใครที่ไม่ชัวร์ก็ไปทำการ Submit Website เข้าระบบของ Search Engine ก็ได้ ไม่ว่ากัน แต่ทำเพียงครั้งเดียวพอนะ อย่าไปทำหลายครั้ง

ส่วนการ Submit ไปใน Web Directory ก็เลือก Submit ได้เลยตามใจชอบ เอาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้น่ะแหละ แต่เลือกประเภทหรือหมวดหมู่เว็บไซต์ให้ตรงกับเว็บของเรานะ ไม่ใช่ทำเว็บไซต์ขายอาหารสัตว์แต่ไป Submit เว็บไซต์หมวดชุดชั้นในซะล่ะ

4. ขอแลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่น

ขอแลกลิงค์กับเว็บไซต์ที่น่าสนใจ ยิ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับของเราด้วยแล้วก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ หากเจ้าของเว็บไซต์แต่ละเว็บยอมแลกลิงค์ ใส่ลิงค์มาหาเราแล้วก็อย่าลืมใส่กลับไปให้เค้าด้วยนะ ต่อให้เป็นเว็บคู่แข่งขายสินค้าชนิดเดียวกัน ก็ลองติดต่อเพื่อขอแลกดูได้เหมือนกัน การแลกลิงค์ไปเว็บอื่นควรสร้างหน้ารองรับสำหรับแลกลิงค์โดยเฉพาะ ไม่ใส่ลิงค์พร่ำเพรื่อในเว็บของเรา

5. ทำสติ๊กเกอร์ติดที่รถกันเลย

ทำได้กับรถทุกประเภท ในแต่ละวันเราจะต้องใช้รถเป็นพาหนะในการเดินทาง ลองคิดดูว่ารถเราจะต้องผ่านตาใครบ้าง ยิ่งถ้ารถติดแล้วมีคนเห็นสติ๊กเกอร์ท้ายรถเราขึ้น อาจจะเกิดความรู้สึกสนใจ ใคร่รู้ขึ้นมา เปิดเข้าไปดู … โป๊ะเชะ กลายเป็นลูกค้าทันทีเลยก็เป็นได้

ทำสติ๊กเกอร์สวย ๆ ให้น่าสนใจ ขอติดรถคนรู้จักที่ยินยอมให้หมด เล่นกันง่าย ๆ แบบนี้แหละ

6. ใส่ลายเซ็นต์ที่อีเมล์

การสื่อสารหลักเดี๋ยวนี้ไม่ใช่จดหมายแล้วนะรู้ยัง สำหรับอีเมล์ส่วนตัวให้ตั้งค่าใส่ลายเซ็นต์เอาไว้ใต้อีเมล์ทุกฉบับ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเมล์ใหม่ ส่งต่ออีเมล์ หรือตอบกลับอีเมล์ ให้มีรายละเอียดเว็บไซต์และ url เว็บไซต์ของเราติดไปด้วย

7. ใส่เว็บไซต์เอาไว้ใน Social Profile

ทุกวันนี้คงมีเฟซบุ๊คกันทุกคนหมดแล้วแหละ ยิ่งถ้าทำเว็บไซต์หรือเปิดร้านขายของออนไลน์ด้วยแล้ว คงจะเป็นเรื่องแปลกมากถ้าไม่มี Social Account ใส่ชื่อเว็บไซต์ และใส่ลิงค์ในข้อมูลส่วนตัวของเราลงไปเลยครับ ถ้ามีหลาย Account ก็ใส่ให้ครบทุกอัน ทั้ง Facebook, Instagram, Twitter, Pinterest บลา ๆ ๆ ๆ

8. เพิ่มฟังก์ชั่นแชตในเว็บไซต์

เพื่อเป็นการทักทาย โต้ตอบกับผู้เข้าชมเว็บไซต์อยู่สม่ำเสมอ บางคนอาจจะค้นบางอย่างแล้วเจอเว็บเราในหน้าค้นหา แต่เมื่อกดเข้ามาก็อาจจะยังไม่ถูกใจ อยากหาข้อมูลอื่น ๆ เพิ่ม อาจจะกดปิดเว็บไปเลย ถ้ามีฟังก์ชั่นแชตเด้งทักทายตอนเข้ามาแล้ว เค้าอาจจะคุยกับเราก่อน สอบถามถึงสิ่งที่ต้องการ ก่อนจะหนีออกจากเว็บของเรา ปิดการขายได้แบบเนียน ๆ เหมือนกันนะ

แต่ ๆ ๆ ๆ … เพิ่มฟังก์ชั่นนี้แล้ว ต้องมีเวลาตอบแชตด้วยนะเอ้อ .. อย่าให้มีอย่างเดียวเป็นสุสานร้าง มีคนทักทายมาแล้วไม่คุยกับเค้าล่ะ เข้าจั๊ย??

9. สิงตามเว็บบอร์ดแล้วใส่เว็บไซต์ไว้ในลายเซ็นต์

เว็บบอร์ดพูดคุยดัง ๆ ก็มีหลายเจ้า เข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น ในหัวข้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตอบกระทู้หรือสร้างกระทู้ขึ้นมาใหม่ ยิ่งถ้าเป็นการตอบแบบให้ความรู้และโพสต์กระทู้สาระ จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือขึ้น แล้วอย่าลืมใส่เว็บไซต์เอาไว้ในข้อมูลส่วนตัวของเราด้วย เมื่อเกิดความน่าเชื่อถือแล้ว เดี๋ยวก็มีคนคลิกมาดูเว็บเราเองแหละ

10. ทำนามบัตร

ขาดได้งัยนามบัตร ทำเก็บเอาไว้กับตัวเลย ใส่รายละเอียดเอาไว้ให้ครบถ้วนในนั้น หากได้มีโอกาสเจอคนใหม่ ๆ หรือไปงานสัมมนาต่าง ๆ ก็แจกออกไปเลย ต้นทุนทำนามบัตรนิดเดียวเอง ทำเองก็ได้ง่ายจะตาย

11. ทำแผ่นพับ

หรูหรา ดูดี มีสไตล์ขึ้นมาหน่อย ก็ทำเป็นแผ่นพับ โบชัวร์ เอาไว้แจกเลยก็ย่อมทำได้เหมือนกัน ข้อดีคือมันแผ่นใหญ่กว่านามบัตร เราสามารถใส่รายละเอียดอื่น ๆ เอาไว้ในแผ่นพับได้ด้วย ถ้ามีงบมากหน่อยก็ลงทุนพิมพ์เยอะ ๆ แล้วเอาไปเสียบแจกไว้ในตู้ไปรษณีย์ตามบ้านก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร

12. ลงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ตามเว็บ Classified

เป็นการลงโฆษณาเว็บไซต์ ประชาสัมพันธ์ ตามเว็บที่รับลงประกาศทั่ว ๆ ไป มีทั้งแบบที่เสียเงินและโพสต์ได้ฟรี ถ้ามีเวลามากหน่อยก็ไล่ลงประกาศสัก 10-20 เว็บต่อวันเป็นอย่างน้อย ทำไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ต้องทำตู้มเดียวเยอะ ๆ แล้วหยุดล่ะ เดี๋ยว Search Engine จะมองเป็นสแปมไปอีก การทำวันละนิดวันละหน่อย ช่วยเพิ่มคะแนนด้านบวกของ SEO ได้อย่างดี

13. เขียนบทความอัพเดตเว็บไซต์อยู่เสมอ

สุดท้าย … สำคัญมากที่สุดในการทำเว็บไซต์เลยแหละ นั่นคือเนื้อหาภายในเว็บของเรา ไม่ว่าจะเป็นบทความทั่วไป หรือรายละเอียดสินค้า ให้หมั่นอัพเดตเสมอ เขียนขึ้นมาใหม่ไม่ก๊อปปี้ใครมาจะดีที่สุด ถ้าเป็นรายละเอียดสินค้าก็เขียนให้ละเอียด บอกให้ลูกค้าทราบทุกแง่มุม ไม่ต้องปิดบังอะไร หารูปภาพประกอบด้วยในเนื้อหา ไม่ใช่มีแต่ตัวหนังสือยาวพรืดไปหมด

กูเกิ้ลจะให้ความสำคัญกับเนื้อหาเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ถ้าบทความมีคุณภาพ เขียนขึ้นมาเองไม่ไปก๊อปปี้ใครมาไม่นานนักเว็บไซต์ก็จะเริ่มค่อย ๆ ติดอันดับการค้นหา นอกจากจะทำให้อันดับดีขึ้นแล้ว ถ้าเนื้อหาน่าสนใจ ก็จะมีคนอ่านเยอะทำให้เวลาในการใช้งานเว็บไซต์ของเรานานขึ้นด้วย


ก็เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่สามารถทำได้โดยมีต้นทุนน้อยที่สุด ในการโปรโมทเว็บไซต์นั้นยังคงมีเทคนิคและวิธีการโปรโมทอีกหลายช่องทางมาก ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ในบทความนี้ก็แนะนำไปตามที่นึกออก รวมกันหมดทั้งโปรโมทแบบออนไลน์และออฟไลน์ แต่อย่าดูแคลนการโปรโมทแบบออฟไลน์เชียวนะ ถึงแม้ว่าจะวัดผลยาก แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันเลย


ภาพประกอบบทความ : https://www.freepik.com

ออกกำลังกายก็ได้ เรื่องกินก็ด้วย ขอแนะนำอาหารดี ๆ ที่ช่วยให้มีซิกแพคสวยงาม

0
ผักผลไม้สีต่าง ๆ

หลาย ๆ คนที่ออกกำลังกายต่างมีความหวังว่านอกจากจะมีสุขภาพดี แข็งแรง ก็ต้องอยากหน้าท้องลดพุงหายไป และมีซิกแพคขึ้นบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าซิกแพคจะขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจ เพราะขึ้นอยู่กับว่าออกกำลังกายแบบใด รวมไปถึงประเภทอาหารที่รับประทานก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการมีลายกล้ามเนื้อสวยๆ อีกด้วย สำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย อาหารที่รับประทานควรเพิ่มพลังงาน สร้างกล้ามเนื้อแต่ว่าไม่เพิ่มไขมันให้ร่างกายโดยเฉพาะช่วงหน้าท้อง ดังนั้นมาดูกันว่าอาหารอะไรบ้างที่ควรทานสำหรับผู้ที่อยากมีกล้ามเนื้อหรือซิกแพค ทานอาหารที่แนะนำไปด้วย เล่น livecasinohouse ไปด้วยแบบเพลิน ๆ ก็ไม่รู้สึกผิดอะไร ๆ เพราะของที่กินไปมันดีนั้นเอง

โยเกิร์ตกรีก

โยเกิร์ต

เพราะว่าโยเกิรต์กรีก 1 ถ้วย ประกอบไปด้วยโปรตีนสูงถึง 23 g. ยังมีแคลเซียม และโปรไบโอติกส์ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ตามท้องตลาดนั้นมีโยเกิรต์หลากหลายแบบ แต่ถ้าต้องการทานโยเกิรต์เพื่อกล้ามเนื้อหน้าท้อง ต้องเลือกโยเกิรต์ประเภทที่มีจุลินทรีย์มีชีวิตเท่านั้นหรือมีป้ายติดว่า ‘live and active cultures’ เลือกรสธรรมชาติหรือเลือกแบบไร้น้ำตาลดีที่สุด หลีกเลี่ยงการแต่งรส เพราะน้ำตาลที่เพิ่มลงไปในโยเกิรต์อาจไปกระตุ้นให้เกิดการเก็บไขมันและของเหลวบริเวณหน้าท้อง

เวย์โปรตีน

เวย์โปรตีน

บรรดาคนเล่นกล้ามคงรู้จักเวย์โปรตีนกันอยู่แล้ว เพราะเป็นแหล่งของโปรตีนที่ดีต่อการสร้างกล้ามเนื้อ มีสารอาหารสำคัญ คือ Branch chain amino acids (BCAAs) ช่วยบรรเทาการบาดเจ็บ ฟื้นฟู และเพิ่มกำลังให้กล้ามเนื้อ โดยมีการทดสอบแล้วว่าผู้ที่เพิ่มปริมาณการบริโภคโปรตีนให้เป็น 2 เท่าจากปกติ (ไม่ใช่แค่จากเวย์โปรตีน) มีปริมาณไขมันลดลง แต่ยังคงกล้ามเนื้อมากกว่าผู้ที่บริโภคโปรตีนระดับปกติ สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้โปรตีนอาจสงสัยว่ารับประทานเวย์โปรตีนได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แต่แนะนำให้เลือกเวย์โปรตีนแบบไอโซเลต เพราะไม่ทำให้ท้องอืด ปวดท้องหรือแก็สในกระเพาะนั้นเอง

ธัญพืชโฮลเกรน/ธัญพืชเต็มเมล็ด

อาหารธัญพืช

เพิ่มพลังด้วยธัญพืชโฮลเกรนหรือธัญพืชเต็มเมล็ด เพราะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex carbohydrate) ซึ่งดีต่อร่างกาย เมื่อรับประทานแล้ว ร่างกายจะค่อยๆ ดูดซึม ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดแบบรวดเร็ว ทั้งยังมีไฟเบอร์หรือใยอาหารช่วยลดปริมาณไขมันบริเวณหน้าท้อง และเพิ่มปริมาณฮอร์โมนที่ช่วยให้ไม่หิวอาหารมากมากนักด้วย

อัลมอนด์

อัลมอนด์

ประโยชน์ของอัลมอนด์มีหลากหลาน อาทิ ช่วยระบบทางเดินอาหารทำงานปกติ ป้องกันท้องผูกหรือท้องอืด และยังสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ พร้อมกับควบคุมความอยากอาหาร ตอนปี 2015 มีการศึกษาซึ่งได้ตีพิมพ์ใน Journal of the American Heart Association พบว่า การทานอัลมอนด์ 30-35 เม็ด/วัน ช่วยลดปริมาณไขมันช่วงลำตัวได้ เพราะอัลมอนด์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีไฟเบอร์มากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

ชาเขียว

ชาเขียว

เป็นที่ทราบกันดีว่า ชาเขียวมีคาเฟอีนก็จริง แต่ก็ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทั้งคาเฟอีนและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดไขมันได้ แต่ได้ผลก็ต่อเมื่อออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย การดื่นชาเขียนจะช่วยให้ร่างกายตื่น สดชื่นพร้อมออกกำลังกายหนักและนานมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า EGCG ที่ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในร่างกาย ผลที่ได้คือออกกำลังกายหนักขึ้น นานขึ้น ทนขึ้น และได้ผลมากขึ้นนั้นเอง


ภาพประกอบบทความจาก : https://www.freepik.com

5 เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนคริปโต

0
5 เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่

การลงทุนแทบจะทุกอย่างมาพร้อมกับความเสี่ยง แต่จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับประเภทของการลงทุน ทางออกที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงลงก็คือ ลงทุนหลายช่องทาง หนึ่งในนั้นที่น่าสนใจก็คือการลงทุนในตลาด คริปโตเคอเรนซี่ (cryptocurrency) แต่การลงทุนในตลาดเงินคริปโตจะมีความซับซ้อนมากกว่าการลงทุนตลาดหุ้นแบบทั่วไปบ้างนิดหน่อย เพราะมีเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ที่สำคัญคือไม่มีคุณสมบัติทางกายภาพที่สามารถจับต้องได้เลย มูลค่าของเงินคริปโตล้วนมาจากองค์ประกอบทาง Demand และ Supply ทั้งสิ้น นักลงทุนที่กำลังจะกระโดดเข้าสู่วงการเงินคริปโตควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเริ่มลงทุน ซึ่ง 5 ข้อควรรู้เกี่ยวกับ คริปโตเคอเรนซี่มีอะไรบ้างไปอ่านกันครับ

1. ความหมายของคริปโตเคอเรนซี่ (Cryptocurrency)

คริปโตเคอเรนซี่ Cryptocurrency เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ออกแบบมาให้มีมูลค่าเหมือนกับเงินทั่วไป สามารถใช้จับจ่ายใช้สอยได้ในชีวิตประจำวันทั่วไป สกุลเงินดิจิตอลที่เป็นที่คุ้นเคยมากที่สุดคือ “บิทคอยน์” ซึ่งเป็นคริปโตเคอเรนซี่แรก ๆ ที่เกิดขึ้นมาในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง มีฐานข้อมูลทั้งหมดอยู่บน เทคโนโลยีบล๊อคเชน ไม่มีรัฐบาลใดหรือใคร ๆ สามารถควบคุมได้ รายการที่เกิดขึ้นไม่สามารถยกเลิกได้ การทำรายการแต่ละรายการของคริปโตเคอเรนซี่จะได้รับยืนยันจากผู้ใช้งานด้วยกัน หรือที่เรียกว่านักขุดเหรียญ ซึ่งแตกต่างจากสกุลเงินทั่วไปที่มักจะควบคุมรายการต่าง ๆ โดยธนาคาร เราจะไม่สามารถเห็นรายการของผู้อื่นได้เลย ต่างกับคริปโตเคอเรนซี่ที่สามารถเห็นข้อมูลการทำรายการแต่ละอันได้

เงินคริปโตส่วนมากสร้างขึ้นมาโดยมีจำนวนที่จำกัด ตัวอย่างเช่น บิทคอยน์ที่ออกแบบมาให้มีจำนวนเพียง 21 ล้านบิทคอยน์เท่านั้น นับตั้งแต่วันที่บิทคอยน์เกิดขึ้นมาจนถึงวันนี้มีบิทคอยน์หมุนเวียนและถูกขุดแล้วมากกว่า 80% และจำนวนบิทคอยน์ที่จะถูกขุดได้หลัง ๆ นี้จะขุดได้ยากขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้บิทคอยน์หายากกว่าเดิม มูลค่าของบิทคอยน์จึงสูงขึ้น เป็นไปตามกฎเศรษฐ์ศาสตร์ง่าย ๆ ที่เรียกว่า Demand กับ Supply นั่นเอง

คริปโตเคอเรนซี่ไม่ได้มีแค่บิทคอยน์

บิทคอยน์ ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของคริปโตเคอเรนซี่และการนำเทคโนโลยีบล๊อคเชนมาใช้งาน ทำให้มือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการนี้มีความสับสนของสองอย่างนี้ นิยามความหมายและข้อแตกต่างของทั้งสองสิ่งนี้ ขออธิบายสั้น ๆ ดังนี้

  • บล๊อคเชน คือ เทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูล หรือ ฐานข้อมูล
  • บิทคอยน์ คือ สกุลเงินดิจิตอลที่ทำงานอยู่บนบล๊อคเชนอีกทีหนึ่ง

นอกจากจะมีความสับสนระหว่างบิทคอยน์และบล๊อคเชนแล้ว ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่ามีเงินดิจิตอลสกุลอื่นอีกมากมายในโลกนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่บิทคอยน์เท่านั้น เมื่อนับถึงวันนี้ที่เขียนบทความนี้อยู่ (ปี 2562 – 2018) ก็มีสกุลเงินดิจิตอลรวมแล้วมากกว่า 2,000 กว่าสกุลเงิน แต่ละสกุลเงินที่ออกมาใหม่ก็พยายามหาจุดขายของตัวเองให้แตกต่างไปจากเดิม แก้ไขจุดบกพร่องที่พบของเงินคริปโตเดิม ๆ แต่ทั้งหมดก็ทำงานอยู่บนพื้นฐานของบล๊อคเชนทั้งสิ้น จะมีก็เพียงบางสกุลเงินเท่านั้นที่ใช้เป็น Private Blockchain (ใช้บล๊อคเชนในการเก็บข้อมูลเหมือนกัน แต่ว่ายังคงควบคุมและพัฒนาโดยองค์กรใดองค์กรหนึ่งเหมือนเดิม) เงินดิจิตอลเหล่านี้เรียกรวม ๆ ว่า “altcoin” หรือ “alternative coin” มีอะไรบ้าง ไปทำความรู้จักกันหน่อยดีกว่า

  • Ethereum (ETH) คือ เงินดิจิตอลที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับที่ 2 ข้อโดดเด่นของ Ethereum ก็คือ “Smart Contracts” หรือการเปิดให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาเหรียญของตัวเองโดยใช้เทคโนโลยีของ Ethereum เป็นพื้นฐาน ทำให้ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์แถมไม่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากนัก ในโลกของเงินดิจิตอลนั้น เปรียบเทียบบิทคอยน์ว่าเป็นทองในโลกออนไลน์ ส่วน Ethereum ก็เปรียบเป็นน้ำมันในโลกออนไลน์
  • Bitcoin Cash (BCH) เป็นสกุลเงินที่แยกตัวออกมาจากบิทคอยน์ (Fork) โดยเพิ่มฟีเจอร์ทางเทคนิคขึ้นทำให้สามารถโอนเงินหากันได้รวดเร็วขึ้น และค่าธรรมเนียมถูกลง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากบิทคอยน์
  • Litecoin (LTC) ไลท์คอยน์ เกิดจากการแยกตัวออกมาจากบิทคอยน์เช่นกัน แต่ว่าไม่ได้ก๊อปปี้บิทคอยน์ออกมาทั้งกระบิ แต่ได้มีการพัฒนาอัลกอริทึมในการขุดเหรียญใหม่ ผลลัพท์ที่ได้จากการพัฒนาของ Litecoin ก็คือทำให้ได้เงินดิจิตอลที่ทำงานได้เร็วกว่ามาก
  • Ripple(XRP) เป็นเงินดิจิตอลที่ได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินทั่วโลกมากที่สุด แน่นอนล่ะเพราะจุดประสงค์ตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนาก็คือเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก สำหรับ Ripple เป็นเหรียญที่ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล๊อคเชนแบบ Private ทำให้ไม่สามารถขุดเหรียญนี้ได้โดยบุคคลทั่วไป หากต้องการมี Ripple ไว้ในครอบครองทำได้เพียงซื้อขายเท่านั้น
  • Monero (XMR) เป็นอีกหนึ่งเงินดิจิตอลที่ฮิตติดอันดับ Top ten สิ่งที่ทำให้ Monero แตกต่างจากเงินคริปโตชนิดอื่น มีสองข้อหลัก ๆ คือ ไม่สามารถติดตามถึงต้นตอธุรกรรมได้ (Untracable) เพราะต่อให้มีหมายเลขบัญชีของ Monero แล้วนำไปตรวจสอบก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ที่ถือครองหมายเลขนี้คือใคร ทำให้ Monero เป็นที่นิยมของเหล่า Dark web อีกข้อเด่นก็คือ Asic Resistant คือ บอกลาคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อขุดเหรียญได้เลย เพราะ Monero ต้องการให้คงจุดมุ่งหมายเดิมตรงที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ทำให้ใครก็ได้สามารถเข้ามาขุดเหรียญ Monero ใช้เพียงคอมพิวเตอร์ทั่วไปไม่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม

2. การขุดเหรียญคืออะไร

การขุดเหรียญ หรือ การขุดเงินดิจิตอล คือการนำคอมพิวเตอร์มาเปิดไว้ตลอดเวลาแล้วลงโปรแกรมสำหรับการขุดของแต่ละเหรียญเอาไว้ หลังจากนั้นโปรแกรมจะคอยทำการตรวจสอบธุรกรรมการโอนเงินไปมาของแต่ละเหรียญ และทำการยืนยันรายการเหล่านั้นว่าถูกต้องจริงแล้วก็จ่ายเป็นค่าตอบแทนกลับมาเป็นสัดส่วนของเหรียญที่เราทำการขุด

ฟังดูเหมือนง่ายแต่ว่าคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ขุดเหรียญจะต้องมีประสิทธิภาพสูงมาก บางเหรียญก็มีเครื่องสำหรับขุดเหรียญออกมาขายโดยเฉพาะหรือที่เรียกว่า Asic เช่น บิทคอยน์ เพราะคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานตามบ้านทั่วไปนั้นประสิทธิภาพในการถอดรหัสไม่สามารถนำมาใช้ในการยืนยันรายการต่าง ๆ ของบิทคอยน์ที่มีความซับซ้อนอีกแล้ว

ส่วนเหรียญดิจิตอลอื่นก็มักจะใช้การ์ดจอ VGA ในการขุด เพราะ GPU ที่เป็นองค์ประกอบหลักของการ์ดจอนั้นมีความสามารถในการทำงานกับอัลกอริทึ่มที่ซับซ้อนได้มากกว่า CPU ทั่วไปในคอมพิวเตอร์ จะมีเพียงบางเหรียญที่ออกแบบมาให้ใช้กับ CPU ได้ เช่น Monero

การทำเหมืองขุดเงินดิจิตอลนั้น จะเปลืองค่าไฟเป็นอย่างมาก มีหลายคนที่สูญเสียเงินก้อนโตในช่วงที่ราคาของเงินดิจิตอลพุ่งสูง ๆ เพราะคิดว่าราคาจะคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่พอราคาของเงินดิจิตอลทุกชนิดทั่วโลก ดิ่งลงเหวแบบจมดินแต่จำนวนของเหรียญที่ขุดได้กลับเท่าเดิมและทุกเหรียญก็ออกแบบให้ขุดยากขึ้น ทำให้ไม่คุ้มที่จะเปิดเครื่องขุดเอาไว้อีกต่อไป

3. เทคโนโลยีบล๊อคเชน

บล๊อคเชน เป็นเทคโนโลยีที่เกิดมาพร้อมกับบิทคอยน์ ออกแบบมาใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดของ Cryptocurrency โปรแกรมจำพวกเก็บฐานข้อมูลแบบเดิมถ้ามองเป็นภาพจะเก็บทุกอย่างเอาไว้เป็นก้อน แต่บล๊อคเชนจะเก็บเป็นบล๊อค (หรือสี่เหลี่ยม) หลายอันเอามาต่อกัน ซึ่งแต่ละบล๊อคจะมีการแสตมป์ค่าบางอย่างเอาไว้ตรวจสอบเอาไว้เป็นรอยต่อสำหรับบล๊อคต่อไปลักษณะจะคล้ายโซ่ ทำให้เรียกว่า “บล๊อคเชน” นั่นเอง

บล๊อคเชน ถูกออกแบบให้กระจายไปเก็บเอาไว้ที่เครื่องขุดในเครือข่ายทั้งหมด ทำให้ทุกเครื่องมีข้อมูลเหมือนกัน ข้อมูลที่เกิดขึ้นบนบล๊อคเชนเมื่อเกิดแล้ว จะไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ นั่นหมายความว่าเมื่อเราโอนเงินดิจิตอลให้ใครไปแล้วเราจะไม่สามารถยกเลิกหรือลบรายการเหล่านั้นได้เลย ถ้าโอนเงินผิดให้ก็เสียแล้วเสียเลย และนี่เองก็คือจุดแข็งของบล๊อคเชน โอกาสที่จะโดนแฮ่กเกิดขึ้นได้ยากหรือแทบจะไม่มีเลย … ลองคิดดูสิครับ ถ้าเราจะไปแอบแก้ไขข้อมูลในบล๊อคเชนเพื่อเพิ่มเงิน หรือยกเลิกรายการสักอย่าง … เราจะต้องไปแก้ไขที่คอมพิวเตอร์ทั่วโลกได้ยังงัย?

จากจุดแข็งข้างต้นทำให้เทคโนโลยีบล๊อคเชนเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของสกุลเงินดิจิตอลได้ด้วย ทำให้ราคาของแต่ละเหรียญเพิ่มขึ้น มีหลักสูตรเกี่ยวกับบล๊อคเชนบรรจุลงไปหลายมหาวิทยาลัยรวมถึงในประเทศไทย และมีการนำบล๊อคเชนไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจประเภทอื่นอย่างแพร่หลายมากขึ้นด้วย

บล๊อคเชนแบ่งประเภทออกตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภทคือ

  • Centralized – ระบบการรวบรวมข้อมูลโดยธนาคารกลางที่ใช้กับสกุลเงินในปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบความโปร่งใสได้ 100% หากมีคนตรงกลางโกง หรือระบบกลางล่มขึ้นมาทุกอย่างก็จบ สกุลเงินที่เป็นระบบ centralized เช่น Ripple
  • Decentralized – Blockchain คือระบบเก็บข้อมูลรายการทำธุรกรรมสาธารณะ ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลการทำรายการได้ โดยทุกคนมีระบบจัดเก็บข้อมูลของตนเองที่เรียกว่า “Node” ซึ่งจะเริ่มใช้งานเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ สิ่งนี้ป้องกันการถูกควบคุมเครือข่ายทั้งหมดจากใครคนใดคนหนึ่งรวมถึงการถูกปลอมแปลงจากภายนอกด้วย

4. ICO เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency อย่างไร

การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของคริปโตเคอเรนซี่ ทำให้เกิดการระดมทุนชนิดใหม่ขึ้นมา เรียกว่า ICO หรือ Initial Coin Offering ซึ่งมักจะเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด และต้องการเงินทุนในการพัฒนา จึงได้ทำการออกสกุลเงินดิจิตอลของตัวเองขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปใช้เป็นหุ้นที่จะจ่ายให้นักลงทุนที่จ่ายเงินให้ตามสัดส่วนที่ลงทุนมา ICO นั้นจะเหมือนกับการระดมทุนแบบดั้งเดิมในตลาดหุ้นที่เรียกว่า IPO นั่นเอง

ที่ผ่านมามีสตาร์ทอัพหลายรายที่ระดมทุนด้วย ICO แล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ได้ตามที่ได้ประกาศออกไป อีกจำนวนไม่น้อยที่เป็นพวกหลวงลวง เนื่องจากจุดอ่อนของ ICO คือยังไม่มีรัฐบาลในสามารถควบคุมการลงทุนได้ นักลงทุนจำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงเอาเอง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก … เสียแล้วเสียเลย หากไปเจอสตาร์ทอัพหลอกลวงระดมทุนขึ้นมา เงินที่เสียไปไม่สามารถเรียกร้องคืนจากใครได้นะครับ …

5. สิ่งที่ต้องเข้าใจและยอมรับให้ได้ในตลาดคริปโตเคอเรนซี่

เมื่อรู้จักความหมายและเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี่ในเบื้องต้นแล้วนั้น สิ่งที่ต้องเข้าใจในตัวของคริปโตเคอเรนซี่เองก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน

รูปแบบการลงทุนคริปโตเคอเรนซี่

  • การลงทุนระยะสั้น – Cryptocurrency มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถคาดการณ์ได้ ดังนั้นนักลงทุนจะต้องศึกษาให้ดี โดยเฉพาะใครที่สามารถวิเคราะห์หรือคาดคะเนทิศทางของตลาดได้จะสามารถทำกำไรได้เป็นจำนวนมากโดยการ Buy low และ Sell high
  • การลงทุนระยะยาว – นักลงทุนที่เชื่อในอนาคตของเหรียญที่จะซื้อและต้องการถือไว้ในระยะยาว เพื่อหวังว่ามูลค่าของการลงทุนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

เข้าใจและยอมรับในความเสี่ยงของคริปโตเคอเรนซี่

การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงไม่เว้นแม้แต่กับสกุลเงินคริปโต โดยคุณจะต้องเข้าใจก่อนว่าอิสระในการเทรดนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของธนาคารและรัฐบาล ดังนั้นก่อนตัดสินใจใดๆ จะต้องคิดอย่างรอบคอบ และถ้าหากสกุลเงินดิจิทัลของคุณเกิดสูญหายหรือถูกขโมยก็ไม่สามารถไปแจ้งความเรียกคืนได้ ซึ่งเรามีทิปดี ๆ มาฝากกันดังนี้ :

  • Exchange ที่คุณเทรดนั้นมีความน่าเชื่อถือ คุณต้องมั่นใจว่าเว็บไซต์แลกเปลี่ยนที่คุณใช้บริการนั้นมีความปลอดภัยสูง เพราะมีข่าวเกิดขึ้นหลายครั้งว่าเว็บไซต์เหล่านี้ถูกแฮ็ค ซึ่งก็มีโอกาสว่าเหรียญที่คุณเก็บไว้บนเว็บไซต์เหล่านี้จะหายไปด้วย
  • ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า Wallet Address เชื่อถือได้จริงก่อนจะส่งเหรียญให้กับใคร
  • หากรายการธุรกรรมบน Blockchain ยังไม่ได้รับการยืนยันก็ไม่ควรที่จะส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ก่อน
  • ต้องมั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ที่เก็บรักษาข้อมูล Wallet ของคุณปราศจากไวรัสและมัลแวร์
  • ห้ามทำรหัสผ่าน Wallet หายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นคุณอาจจะต้องเสียเหรียญ Crypto ทั้งหมดที่มีไป

เข้าใจว่าคริปโตเคอเรนซี่มีความผันผวนสูงมาก

Bitcoin และ Crytocurrency อื่นๆ มีความผันผวนสูงมาก เมื่อคุณซื้อเหรียญดิจิตอล คุณควรรู้ไว้เสมอว่ามูลค่าของเหรียญที่ถืออยู่นั้นอาจจะตกลงได้ทุกเมื่อ เนื่องจากตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งนักลงทุนอาจได้กำไร แต่อีกวันกลับขาดทุนมหาศาล ซึ่งเป้นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดา สำหรับคนที่เล่นเพื่อเก็งกำไร ไม่ควรถือเอาไว้นานจนเกินไป แต่สำหรับใครที่มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวควรใจนิ่งๆ และเมื่อราคาลงก็ควรที่จะมีสติและไม่ตัดสินใจขายไปในทันที


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่า สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาและใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

เรียบเรียงข้อมูลจากต้นฉบับบทความ : https://www.peerpower.co.th/blog/invest/5-things-to-know-cryptocurrency/

ภาพประกอบบทความ : https://www.freepik.com

5 เหรียญคริปโต ถือเอาไว้เฉย ๆ ก็มีรายได้แบบ Passive Income (ตอน 1/2)

0
รายชื่อเงินคริปโต สำหรับ Passive Income

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตเป็นตลาดที่ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ยังเป็นที่ดึงดูดของนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย แถมกระจายไปยังบุคคลทั่ว ๆ ไปด้วย เพราะถึงแม้ความเสี่ยงจะสูงมากก็ตามแต่บางทีอยู่ ๆ ก็กลับให้ผลตอบแทนสูงหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียงแค่ข้ามคืนเท่านั้นเอง

รายชื่อเงินคริปโต สำหรับ Passive Income

ในบรรดาเงินคริปโตใหม่ ๆ ที่ออกมา มักจะมีฟีเจอร์ Proof of Stake เข้ามา ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาของเหรียญคริปโตแบบเดิมที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่กินไฟมหาศาลในการขุดเหรียญ

** หมายเหตุ : การลงทุนในตลาดเงินคริปโต เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก บทความนี้เป็นเพียงการแนะนำเพื่อให้ความรู้และตัดสินใจเท่านั้น ไม่ได้เชิญชวนให้ลงทุน พึงหาข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อใช้ในการตัดสินใจ **

Passive Income and Staking

Proof of stake เป็นฟีเจอร์ที่มากับเงินคริปโตที่ออกใหม่ เพื่ออุดช่องโหว่ของเงินคริปโตแบบเดิมที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีพลังในการประมวลผลมหาศาลในการยืนยันรายการ (Proof of work) อาจจะเป็นเครื่อง ASIC หรือคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่ต้องใช้การ์ดจอแพง ๆ หลาย ๆ ตัวมาต่อกัน (RIG) ซึ่งกินพลังงานมหาศาลมาก ถ้าช่วงไหนที่ราคาเงินคริปโตลดดิ่งลงเหว ก็ไม่คุ้มที่จะขุดเงินคริปโตต่อ เครื่องเหล่านั้นก็ต้องวางทิ้งไว้เอาไปทำอย่างอื่นแทบจะไม่ได้ ยกเว้น rig ที่ดีหน่อยตรงที่มีตัวเลือกสามารถมาชำแหละการ์ดจอออกไปขายได้

สำหรับ Proof of stake จะใช้คอมพิวเตอร์ธรรมดาทั่วไปเพียงตัวเดียวเท่านั้น เมื่อเรามีเงินคริปโตในมือเท่ากับความต้องการขั้นต่ำของแต่ละเหรียญ (แต่ละเหรียญต้องการจำนวนขั้นต่ำในการทำ Proof of stake ไม่เท่านั้น) หลังจากนั้นก็ทำการติดตั้งและคอนฟิคโปรแกรมบ้างนิดหน่อย ที่เหลือก็ปล่อยให้ระบบที่ได้ออกแบบมาทำงานของมันไป โดยที่เราก็ไม่ต้องไปรู้เรื่องเทคนิคอะไรมากมายนัก เมื่อมีการโอนเงินคริปโตดังกล่าวกันในระบบ เราก็จะได้ส่วนแบ่งกลับมาเป็นอัตราส่วนที่มากหรือน้อยก็จะขึ้นอยู่กับจำนวนเหรียญที่เราถือเอาไว้นั่นเอง ซึ่งถ้าราคาของเงินคริปโตสูงขึ้นก็จะทำให้ได้รับรายได้มากขึ้นตามจำนวนเหรียญที่เพิ่มขึ้น โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยเมื่อมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องก็จะเข้าตำราของ Passive Income นั่นเอง

** Proof of stake จำเป็นต้องเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งเอาไว้เหมือนกันนะ และเงินคริปโตบางตัวก็ต้องการให้เป็น VPS มี Public IP ด้วย **

การเลือกเหรียญสำหรับทำ Proof of stake

การเลือกเหรียญสำหรับ Proof of stake เป็นส่วนที่ยากไม่น้อย ไม่ต่างกับการเลือกหุ้นดี ๆ มาลงทุน บางเหรียญต้องการจำนวนขั้นต่ำของระบบเยอะ แต่ราคาเหรียญไม่แพง ส่วนบางเหรียญที่มีมานานมีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่งอาจจะต้องการเหรียญขั้นต่ำน้อย แต่ราคาเหรียญแพง ทำให้ต้นทุนสูงตามไปด้วย แต่เทคนิคเบื้องต้นในการลดความเสี่ยงลงก็มีเหมือนกัน ทำเป็นเช็คลิสต์เอาไว้ก็ได้ หากเกิดภาวะติดดอยกันขึ้นมาจะได้ไม่บาดเจ็บกันมาก

  • เลือกเหรียญที่อยู่ในตลาดคริปโตมานานแล้วอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป
  • ศึกษาแผนการพัฒนาของเหรียญดังกล่าว (Roadmap) ดูว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
  • ดูสถิติย้อนหลังของเหรียญจากเว็บ Coin Market Cap ว่าสถิติราคาย้อนหลังเป็นอย่างไรบ้าง และเข้าไปอ่านในเว็บบอร์ดว่าเหรียญที่เราสนใจมีการพูดถึงทั้งแง่บวกและแง่ลบมากขนาดไหน
  • ทีมพัฒนาเงินคริปโตที่เราสนใจมีตัวตนจริง ลองพิสูจน์ได้จากหน้าแฟนเพจและโซเชี่ยลที่เหรียญแต่ละเหรียญมี ลองทำการติดต่อหรือพูดคุยเข้าไป ว่ามีการตอบกลับรวดเร็วและตรงตามที่ถามหรือไม่

ก็เป็นคำแนะนำเบื้องต้นในการเลือกเงินคริปโต จริง ๆ แล้วก็มีตัวแปรและเทคนิคในการเลือกอีกมากแล้วแต่ว่าใครจะเอาประเด็นไหนมาเป็นตัวเลือก สำหรับผมนั้นถ้าที่พูดไปเบื้องต้นไม่ผ่านก็จะตัดทิ้งทันที

อ่านเพิ่มเติม : Proof of Work คืออะไร

5 รายชื่อเงินคริปโตน่าลงทุน

จากเงื่อนไขในการเลือกเหรียญลงทุน Proof of stake ที่ได้บอกไปเบื้องต้นนั้น รายชื่อต่อไปนี้จะคัดมา 12 รายชื่อที่มีอนาคตน่าลงทุนพอสมควร เอาไว้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการสร้าง Passive Income ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่ง ราคาเหรียญที่เราถือเอาไว้ อาจจะพุ่งทะลุเพดานขึ้นไป ถึงตอนนั้นอาจจะกลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืนก็ได้

1. NavCoin (NAV)

Nav Coin

NavCoin เป็นเหรียญที่ Fork ออกมาจาก  Bitcoin เมื่อปี 2557 และเป็นเหรียญแรก ๆ ที่มีฟีเจอร์ Proof of stake ถ้านับจากวันแรกที่เปิดตัวก็มีอายุอานาม 4 ขวบแล้ว ถึงแม้ว่าราคาจะมีความผันผวนขึ้นลงตลอดเวลา แต่ก็เป็นไปตามตลาดเงินคริปโต

การเริ่มต้น Stake เหรียญ NAV นั้น ให้ทำการติดตั้ง Wallet เอาไว้แล้วโอนเหรียญ NAV ที่มีเข้าไปใน Wallet แล้วก็เริ่มรับรายได้เลย แต่อย่าลืมเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ตลอดนะครับ ข้อดีอีกอย่างของ Nav coin คือ Wallet มีขนาดที่เล็กและกินทรัพยากรเครื่องน้อยมาก ถ้าใครที่มีความรู้ทางด้านอีเล็กทรอนิคส์หน่อย สามารถเอา Software ไปยัดไว้ใน Mainboard Raspberry Pi ได้เลยนะ เปิดทิ้งไว้เดือนนึงกินไฟถึงห้าบาทรึเปล่าก็ไม่รู้

Nav Coin

ผลตอบแทนของ NAV Coin โดยประมาณก็ปีละ 5% คำนวณง่าย ๆ เลยถ้ามีอยู่ 100 เหรียญ พอครบ 365 วันก็จะกลายเป็น 105 เหรียญนั่นเอง แต่อย่าเพิ่งดูแคลนไปนะว่าได้น้อยจัง เพราะสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดจริง ๆ ก็คือมูลค่าของเหรียญ Nav Coin ต่างหาก ตั้งแต่วันแรกที่เหรียญคลอดออกมา ตอนนี้มูลค่าสูงขึ้น   2,000% กว่า ๆ แล้วนะ

เว็บไซต์ : https://navcoin.org/en

2. NEO

Neo Coin

NEO Coin ได้ชื่อว่าเป็น Ethereum ของประเทศจีน เพราะการทำงานและฟีเจอร์พื้นฐานที่เหมือน Ethereum เป้ะ ๆ แต่ทางผู้พัฒนาของ Neo บอกว่ามีการปรับปรุงข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่มีใน Ethereum ออกไปเสียสิ้น

Neo Coin

Neo เริ่มพัฒนาครั้งแรกเมื่อปี 2014 และเป็นรูปเป็นร่างเมื่อปี 2016 นักพัฒนาสามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นอยู่บนพื้นฐานการทำงานของ Neo ได้เหมือน Ethereum

เว็บไซต์ : https://neo.org/

3. Lisk (LSK)

Lisk Coin

Lisk เป็นอีกเหรียญที่เกิดในช่วงคริปโตบูม ๆ คือช่วงปี 2016 แต่เหรียญ Lisk สร้างโดยคนสวิตเซอร์แลนด์ ชื่อ Max Kordek และ Oliver Beddow มีจุดประสงค์อยากจะสร้างเงินคริปโตที่เข้าถึงผู้ใช้งานได้มากและใช้งานง่ายที่สุด เหรียญ Lisk นั้นพัฒนาด้วย Java Script แต่มีการอ้างอิงการทำงานหลาย ๆ อย่างจาก Ethereum

Lisk Coin

ผลตอบแทนของ Lisk นั้นจ่ายทุกเดือน แต่จากสถิติของผู้ที่ Staking เหรียญ Lisk จะสรุปได้ว่าผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ผู้ที่จะ Stake เหรียญ Lisk ต้องมีจำนวนเหรียญอย่างน้อย 400LSK

เว็บไซต์ : https://lisk.io/

4. ARK

Ark จะมีความใกล้เคียงกับ Lisk ตรงที่มีการใช้ฟีเจอร์ Delegated Proof of Stake (DPos) ซึ่งข้อดีของ Ark ก็คือไม่จำเป็นต้องเปิดคอมพิวเตอร์เอาไว้ตลอดเวลา การ Stake เหรียญ Ark จะทำโดยฟังก์ชั่นโหวต คือแค่ส่งจำนวนในการโหวตเข้าไปในระบบของ Ark แค่นี้ก็รอรับผลตอบแทนกลับมาแล้วล่ะ

ark-coin

การจ่ายผลตอบแทนค่อนข้างแปรผันตามจำนวนของโหวตที่ส่งไป แต่โดยเฉลี่ยแล้วก็อยู่ที่ประมาณ 10-12%

เว็บไซต์ : https://ark.io/

5. Reddcoin (RDD)

Reddcoin

เงินคริปโตตัวสุดท้ายที่อยากแนะนำสำหรับบทความซีรี่ส์นี้ชื่อว่า Reddcoin (RDD) ซึ่งเป็นเหรียญที่ทีมพัฒนาได้ยามตัวเองว่าเป็น Social Currency

สามารถเริ่ม Stake เหรียญ Reddcoin ได้โดยการติดตั้ง Wallet และส่งเงิน Reddcoin ไปไว้ที่ Wallet ของเรา หลังจากนั้นต้องเปิดโปรแกรมให้ทำงานเอาไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ถึงจะเข้าข่ายสามารถเริ่มรับผลตอบแทนได้ แต่ช่วงเริ่มต้นอาจจะต้องโหลดข้อมูล Blockchain นานเอาการเหมือนกัน ผลตอบแทนโดยประมาณอยู่ที่ 5% ต่อปี

เว็บไซต์ : https://reddcoin.com/


เงินคริปโตที่มีฟีเจอร์ Proof of stake นั้นมีจำนวนที่มากมายมหาศาลมาก ในบทความนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเลือกเงินคริปโตบางสกุลเอามาแนะนำก่อน ให้ผู้อ่านได้เริ่มศึกษาและหารายได้ไปกับเหรียญดังกล่าว แต่ซีรี่ส์นี้จะแบ่งไปเป็นสองส่วน ซึ่งอีกส่วนก็จะแนะนำเหรียญคริปโตที่สามารถสร้างรายได้เป็น Passive Income อีก 5 รายชื่อ


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่า สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาและใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

ภาพประกอบ : https://www.freepik.com