Friday, October 24, 2025
Home Blog Page 26

10 ท่าบริหารหลัง ลดอาการปวด และทำให้แผ่นหลังสวย

0
ออกกำลังกาย บริหารหลัง ลดอาการปวดหลัง

กลับมาเรื่องเกี่ยวกับหลังกันอีก หลีกหนีไม่พ้นจริง ๆ เพราะมีอาการปวดหลังอยู่เนือง ๆ สาเหตุหลักที่ทำให้ปวดก็คือนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน วันนึงก็ 8-9 ชั่วโมง แทบจะไม่ลุกไหนเลย จากที่ปวดนิดเดียวก็ปล่อยไปจนเลยเถิด ทีนี้ก็ปวดแทบจะตลอดเวลา ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารหลังสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเกิดอาการเหล่านี้แล้วก็ได้หาข้อมูลเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ ไม่อยากพึ่งหมอเพียงอย่างเดียว เพราะสุดท้ายแล้วก็จบที่การกินยา ซึ่งการกินยามาก ๆ ก็อาจจะส่งผลกับตับหรือไตในระยะยาวได้ เหตุนี้เองทำให้พยายามหาทางบริหารแผ่นหลัง ป้องกันการเจ็บปวดแผ่นหลัง โดยต้องเป็นวิธีที่ปลอดภัย และพึ่งพาการรับประทานยาให้น้อยที่สุด

10 ท่าบริหารหลังที่จะเล่าให้ฟังในบทความนี้ ผมได้ทดลองทำตามแล้วได้ผลลัพท์ที่ดีเลยทีเดียว อาการปวดหลังที่มีอยู่ บรรเทาลงทีละนิดจนตอนนี้ไม่รู้สึกปวดหลังอีกเลย พอไม่ปวดหลังก็ออกกำลังกายประเภทอื่นได้นานขึ้น อาการบาดเจ็บก็น้อยลงไปด้วย

อุปกรณ์ที่ควรมี

  • เสื่อออกกำลังกาย หรือ เสื่อโยคะ
  • ดัมเบลล์
  • รองเท้าและชุดเล่นกีฬา หรือชุดอื่น ๆ ที่ใส่แล้วกระชับ

พร้อมรึยังครับ?? ถ้าพร้อมแล้วเตรียมลุยกันเลย ท่าบริหารหลังต่อไปนี้จะช่วยบริหารแผ่นหลังโดยเฉพาะแผ่นหลังด้านบน ทำให้แผ่นหลังหลัง และช่วยป้องกันอาการปวดได้ด้วย

“ในแต่ละท่าบริหารหลังนั้น ให้ทำต่อเนื่อง 3-4 เซ็ต ในแต่ละเซ็ต ให้ทำ 8-12 ครั้ง”

10 ท่าบริหารแผ่นหลัง

1. Swimmers

ท่า Swimmers หรือ ท่าว่ายน้ำ ดูเผิน ๆ เหมือนจะง่าย แต่ก็ง่ายเฉพาะสำหรับผู้ที่ฝึกฝนเป็นประจำนะ (บอกไว้ก่อน) เพราะคนที่เริ่มเล่นใหม่ ๆ ร่างกาย กล้ามเนื้อ รวมถึงเส้นต่าง ๆ ในร่างกายยังตึง จะรู้สึกหนักตัวมากตอนที่ทำ ประเด็นหลักของท่านี้ให้ยกหน้าอกและต้นขาเอาไว้ให้ได้

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง Swimmers : นอนคว่ำบนเสื่อโยคะ ปลายเท้าชิดกันแล้วก็วางราบลงไปกับพื้น ส่วนมือทั้งสองให้คว่ำลงแล้วก็ยืดไปให้สุด แล้วยกหน้าอกกับต้นขาขึ้นให้สูงที่สุด ขยับแขนและขาสลับขึ้นลง เหมือนกับเรากำลังว่ายน้ำ ค่อย ๆ ขยับจากช้าไปเร็ว จะช่วยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจดีขึ้น เรียกเหงื่อได้เยอะพอสมควรครับ

2. Bird Dog

ท่า Bird Dog จะช่วยปรับการทรงตัวของร่างกาย แถมได้สรีระตรงสะโพกกับต้นขาให้เข้ารูปมากขึ้น ใครที่ต้นขาหรือสะโพกไม่สมส่วน ใหญ่หรือเล็กเกินไป ลองทำท่านี้บ่อย ๆ มันช่วยได้จริงนะ

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง bird dogs : คว่ำหน้าบนเสื่อโยคะ ยกตัวขึ้นใช้หัวเข่าและมือ พยุงรับน้ำหนักร่างกายเอาไว้ เมื่อพร้อมแล้วเริ่มด้วยการยกมือขวาและหัวเข่าซ้ายเข้าหากัน โดยให้หัวเข่ากับข้อศอกเกือบชนกัน หรือให้ชนกันได้ก็ยิ่งดี แล้วก็ยกมือขวาและเท้าซ้ายขึ้นพร้อมกัน ให้อยู่ในระดับขนานกับพื้นเป็นอย่างต่ำ แล้วค่อยสลับทำกับข้างที่เหลือ

3. Supermans

ท่าบินแบบ Supermans ค่อนข้างง่ายแต่ว่าช่วยบริหารกล้ามเนื้อได้หลายส่วนเลยทีเดียว นอกจากหลังแล้วก็จะมีหน้าท้อง สะโพก ต้นขาทั้งด้านหลังและด้านหลัง ทำให้กล้ามเนื้อส่วนเหล่านี้กระชับ การเล่นท่านี้เทคนิคหลักคือ ให้พยายามกดหัวไหล่ลง ไม่ให้ลอยตามมือขึ้นไป

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง supermans : นอนคว่ำหน้า ยืดแขนและขาให้ตรง ห่างออกจากกันอยู่ระดับประมาณหัวไหล่ ทั้งมือและขา พร้อมแล้วให้ยกแขนและขาขึ้นพร้อมกัน ใช้หน้าท้องและต้นขาด้านหน้ารับน้ำหนักตัวเราเอาไว้ ระหว่างนี้ให้พยายามกดหัวไหล่ลง .. ท่านี้จะเหมือนกับ Superman กำลังบิน

4. Good Mornings

สวัสดีตอนเช้า … น่าจะเป็นท่าที่ง่ายที่สุดในบทความนี้แล้วล่ะ แต่ไม่ใช่จะทำได้แค่ตอนเช้าตื่นตอนนะครับ อยากทำตอนไหนก็ได้เหมือนกัน ชื่อเรียกของท่านี้มาจากไหนผมก็ไม่รู้ถึงที่มาเหมือนกัน เดาว่ามันคงเหมือนท่าโค้งสวัสดีกันล่ะ เลยเรียกว่า Good Morning ..

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง good mornings : ยืนตัวตรงบนพื้น แยกขาออกจากกันเล็กน้อยให้กว้างประมาณหัวไหล่ มือทั้งสองข้างยกมาจับไว้ที่ท้ายทอยแต่ละข้าง ยกข้อศอกให้ขนานกับพื้น พร้อมแล้วก็ก้มลงเหมือนคำนับหรือทักทายกัน พยายามให้หลังตรงและขนานไปกับพื้นประมาณ 90 องศา แล้วก็ค้างไว้สัก 3-4 วินาที

5. Bent-Over Row

ตั้งแต่ท่า Bent Over Row จนครบท่าสุดท้ายนี้เป็นต้นไป จะเริ่มใช้ดัมเบลล์เป็นตัวช่วยในการบริหารแผ่นหลัง เลือกดัมเบลล์น้ำหนักไม่ต้องเยอะมากนะ เอาแค่ให้เรายกด้วยมือได้โดยที่ไม่ต้องฝืนและใช้พลังมากในการยก ใครที่ยังไม่พร้อมหาดัมเบลล์ไม่ได้ ก็สามารถหาอุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีน้ำหนักและขนาดพอ ๆ กับดัมเบลล์มาใช้แทนก่อนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นแจกัน ก้อนหิน หรือลำโพงก็ยังได้

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง bent-over row : เริ่มต้นด้วยการยืนตรง ขาทั้งสองข้างแยกห่างออกจากกันประมาณหัวไหล่ ถือดัมเบลล์เอาไว้ทั้งสองข้าง ค่อย ๆ ก้มตัวลง ดันสะโพกด้านหลัง ระยะจากหัวเข่าถึงสะโพกงอประมาณ 45 องศา จากสะโพกขึ้นไปทั้งแผ่นหลัง ก็ก้มมาด้านหน้าประมาณ 45 องศา เกร็งแผ่นหลังเอาไว้ให้ตรง ปล่อยมือทั้งสองข้างลอยลงมาด้านหน้า ให้ดัมเบลล์ชนกันเอาไว้ พร้อมแล้วให้ยกดัมเบลล์มาชิดข้างลำตัวทีละข้าง แล้วค่อยปล่อยกลับมาไว้ที่ตำแหน่งเดิม ทำสลับไปเรื่อย ๆ เซ็ตเดียวก็เพียงพอละครับ

6. Reverse flys

ท่า Reverse flys นี้จะคล้าย ๆ กับที่ Bent over row แต่จะรู้สึกตึงแขนมากกว่าเพราะต้องยกแขนทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อที่ได้สำหรับท่านี้จะเป็นแผ่นหลังด้านบน แถมได้หัวไหล่สวย ๆ อีกด้วยแหละ ทริคตอนยกดัมเบลล์สำหรับท่านี้ให้ค่อย ๆ ยกขึ้นจะได้ผลมากกว่า ไม่ต้องรีบยกขึ้นแบบพรวดพราดเดี๋ยวจะบาดเจ็บเอาได้

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง reverse flys : เริ่มต้นด้วยการยืนตรง ขาทั้งสองข้างแยกห่างออกจากกันประมาณหัวไหล่ ถือดัมเบลล์เอาไว้ทั้งสองข้าง ค่อย ๆ ก้มตัวลง ดันสะโพกด้านหลัง ระยะจากหัวเข่าถึงสะโพกงอประมาณ 45 องศา จากสะโพกขึ้นไปทั้งแผ่นหลัง ก็ก้มมาด้านหน้าประมาณ 45 องศา เกร็งแผ่นหลังเอาไว้ให้ตรง ปล่อยมือทั้งสองข้างลอยลงมาด้านหน้า ให้ดัมเบลล์ชนกันเอาไว้ พร้อมแล้วให้ยกดัมเบลล์ขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง อย่างน้อยให้แขนทั้งสองข้างขนานไปกับพื้น ถ้าสามารถดังขึ้นได้อีกก็ให้ดึงขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ จะรู้สึกตึงที่หัวไหล่และหลังทั้งแผ่น ทำเซ็ตเดียวพอสำหรับท่านี้

7. Romanian Deadlift

บางคนอาจจะเรียกท่านี้ว่า Stiff Leg Deadlift ส่วนตัวผมชอบใช้บาร์เบลมากกว่า เพราะตอนยกมันถนัดมือมากกว่าใช้ดัมเบลล์ เทคนิคที่ได้ผลของท่านี้คือให้แผ่นหลังอยู่ในระดับขนานไปกับพื้น

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง Romanian deadlifts : ยืนตัวตรง แยกขาให้ห่างออกระดับไหล่ มือทั้งสองข้างถือดัมเบลล์เอาไว้ที่หน้าขา เมื่อพร้อมแล้วก้มตัวตรง ไถดัมเบลล์ลงไปตามหน้าขาเรื่อย ๆ ให้หลังขนานกับพื้น 90 องศา ดันก้นไปข้างหลัง ค้างไว้ 1-2 วินาทีแล้วก็ค่อย ๆ ยกตัวขึ้น ไถดัมเบลล์ขึ้นมาตามหน้าขาเรื่อย ๆ เหมือนเดิม แต่ตอนจบให้ดึงดัมเบลล์ไปข้างลำตัวแทน สำหรับใครที่ใช้บาร์เบลแทน ก็สามารถถือดัมเบลล์ค้างไว้ที่หน้าขาเหมือนเดิมก็ได้

8. High row

รู้สึกเมื่อยมือ หรือ ตึงที่แผ่นหลังกันรึยังครับ ผมนี่ตึงตั้งแต่ท่าที่ 5 แล้วล่ะ แต่อย่าเพิ่งหยุดนะเดินทางมาเกินครึ่งทางแล้ว เริ่มท่าถัดไปกันเลยดีกว่า

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง High row : เหมือนเดิมครับ ยืนตรง ให้ระยะห่างของเท้าทั้งสองข้างประมาณไหล่ ถือดัมเบลล์เอาไว้ทั้งสองข้างไว้ที่หน้าขา ค่อย ๆ ก้มลงให้หลังทำองศากับพื้นประมาณ 45 องศา แต่ให้เกร็งหลังเอาไว้ให้ตึง ดึงแขนทีละข้างเริ่มจากข้างไหนก่อนก็ได้ ยกขึ้นให้ข้อศอกขนานกับพื้น แล้วดัมเบลล์มาอยู่ที่ระดับหน้าอก สลับแขนทำซ้ำไปเรื่อย ๆ

9. Upright Row

ท่านี้มี 2 จังหวะในท่าเดียว คือการยกดัมเบลล์ขึ้น และหมุนหัวไหล่ นอกจากจะได้กล้ามเนื้อหลังด้านบนแล้ว จะมีหัวไหล่ที่ได้อานิสงฆ์เต็ม ๆ แถมช่วยให้ผ่อนคลายอาการตึงเครียดกล้ามเนื้อตรงหัวไหล่และต้นคอด้วย

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง upright row : ยืนตัวตรง แยกขาทั้งสองข้างออกจากกันห่างประมาณหัวไหล่ มือทั้งสอง ให้ถือดัมเบลล์เอาไว้แล้วปล่อยไว้ตรงหน้าขา ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน โดยให้ดัมเบลล์อยู่ประมาณราวนม แล้วหงายฝ่ามือและยกขึ้นพร้อม ๆ กันให้แขนตั้งฉากกับพื้น แล้วค่อยคว่ำมือลงมาไว้ตรงตำแหน่งราวนมเหมือนเดิม สุดท้ายค่อย ๆ ปล่อยมือลงไปอยู่ที่ตำแหน่งเริ่มต้น ทำ 1 เซ็ต

10. Push-Up With Renegade Rows

ท่าสุดท้ายจะค่อนข้างเหนื่อยหน่อย แต่จะได้กล้ามเนื้อหลัก ๆ ของร่างกายเกือบทั้งหมด ยิ่งหน้าท้องก็จะได้เยอะเลย หากจะเล่นเอาซิกแพคท่านี้ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย รวมถึงหัวไหล่ ต้นขาด้านหน้า และด้านหลัง

ขั้นตอนการเล่นท่าบริหารหลัง a push-up with renegade rows : เริ่มจากท่าแพลงค์แบบยกสูงให้หลังขนานกับพื้น มือทั้งสองข้างกำดัมเบลล์เอาไว้ วางดัมเบลล์โดยให้หันหัวดัมเบลล์ขนานไปทางเดียวกับลำตัว เมื่อพร้อมแล้วให้วิดพื้นลงไปหนึ่งทีแล้วยกตัวกลับมาที่ตำแหน่งเริ่มต้น หลังจากนั้นยกดัมเบลล์ขึ้น เริ่มจากมือขวาหรือมือซ้ายก่อนก็ได้ ยกขึ้นให้ดัมเบลล์แนบชิดที่เอว ดันศอกขึ้นให้ขนาดกับพื้น ทำ 1 เซ็ตหรือจะทำมากกว่านี้ก็ได้ เอาเท่านี้ร่างกายรับไหวนะครับ


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่า สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง


อ้างอิงบทความ

https://www.prevention.com/fitness/workouts/g28622686/best-back-exercises/

ภาพประกอบบทความ

https://www.freepik.com

7 ท่ายืดเหยียดช่วยลดอาการบาดเจ็บที่ หัวเข่า

0
7 ท่ายืดเหยียบลดอาการปวด หัวเข่า

อาการปวดที่หัวเข่าด้านนอก หรือ IT Band หรือ Iliotibial band syndrome (ITBS) เป็นอาการที่พบได้บ่อยมากในนักกีฬาที่ใช้ขาเป็นหลัก เช่น นักวิ่ง นักปั่น หรือ นักเดินทางไกล ซึ่งมักจะเป็น ๆ หาย ๆ และจะรู้สึกเจ็บมากขึ้นเมื่อวิ่งเป็นระยะเวลานาน

Iliotibial Band คืออะไร

Iliotibial Band ประกอบด้วย Ilio มาจาก Iliac เป็นกระดูกบริเวณเอว และ Tibial เป็นกระดูกขาท่องล่าง และ Band ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อพิเศษชนิดหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้ว IT Band คือ กล้ามเนื้อพิเศษที่เกาะจากกระดูกเอว ลงไปที่กระดูกต้นขา เกิดการอักเสบจากการเสียดสีกับกระดูกเวลาที่มีการเคลื่อนไหวของหัวเข่าด้านล่าง

อาการ

จะมีอาการเจ็บที่บริเวณหัวเข่าด้านนอก ยิ่งก้าวยาว ๆ หรือวิ่งลงเนิน ขึ้นเนิน ก็จะเจ็บชัดเจนมากขึ้นและจะเจ็บเพิ่มขึ้นเมื่อวิ่งเป็นระยะเวลานาน

การยืดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวดที่หัวเข่าด้านนอก (IT Band)

ท่ายืดกล้ามเนื้อที่จะแนะนำต่อไปนี้มีทั้งหมด 7 ท่า นอกจากจะช่วยลดอาการบาดเจ็บของหัวเข่าแล้ว ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายอีกด้วย แต่ละท่าควรทำค้างไว้ให้ถึง 10 วินาทีเป็นอย่างน้อย

1. Glutes stretch

Glutes stretch

นอนหงายโดยดันเข่าทั้งสองข้างขึ้น ปลายเท้าชิดกัน ควรนอนบนเสื่อโยคะ เมื่อพร้อมแล้วให้เริ่มโดยการยกขาซ้ายมาวางทับไว้ที่เข่าขวา เอาแขนซ้ายจับที่หัวเข่าด้านนอก มือขวาให้จับไว้ที่ปลายเท้าขวา แล้วดึงเข้าหาหน้าอกให้ได้มากที่สุด เสร็จแล้วทำซ้ำแบบเดียวกันกับขาอีกข้าง

2. Abductor stretch

Abductor stretch

นั่งตัวตรงบนเสื่อโยคะ งอเข่าทั้งสองข้างและให้ปลายเท้าชิดกัน ดึงขาเข้าหาลำตัวให้มากที่สุด มือทั้งสองข้างวางไว้หลังหน้าขา กดเข่าลงให้ถึงพื้นมากที่สุดเท่าที่จะกดได้ หรือจะนำมือมาช่วยกันลงก็ได้ แต่พยายามให้หลังตรงอย่าให้หลังค่อม ค้างไว้อย่างน้อย 10 วินาที จึงพัก แล้วก็ทำต่อเนื่องไปจนครบ 30 วินาที

3. Deep lumbar rotation

Deep lumbar rotation

ท่านี้จำเป็นต้องมีเชือกเป็นตัวช่วย ใช้เชือกไนลอนก็ได้ หรือถ้าให้ดีแนะนำให้ใช้เป็นเชือกโยคะจะจับได้ถนัดกว่า เริ่มต้นโดยการนอนหงาย ยกขาข้างที่ถนัดขึ้นมาก่อน มัดเชือกเอาไว้ตรงกลางฝ่าเท้าให้กระชับ ยืดขาตรงที่สุด แล้วดึงเชือกเข้าหาลำตัวให้รู้สึกตรงที่ขาและหัวเข่ามากที่สุดค้างไว้ประมาณ 2 วินาที ทำต่อเนื่องไปประมาณ 30 วินาที – 1 นาที แล้วค่อยสลับทำกับขาอีกข้าง

4. Quad Stretch

Quad Stretch

นอนตะแคงขวา ยกขาขวาขึ้นให้หัวเข่าตั้งฉากกับลำตัว แล้วเอาเท้าขวาไปวางไว้ที่ใต้ขาซ้าย ใช้มือซ้ายดึงที่ข้อเท้าข้างซ้ายให้แนบชิดลำตัว ให้รู้สึกตึงแผ่นหลังและต้นขวาด้านขวา ค้างไว้ที่ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยสลับไปทำกับขาอีกข้าง

5. Quad and hip wall stretch

Quad and hip wall stretch

สำหรับท่านี้จะยืดเหยียดโดยใช้กำแพงเป็นตัวช่วย เริ่มต้นด้วยการนั่งพิงกำแพงใช้หัวเข่ายกตัวขึ้นรับน้ำหนักร่างกายเอาไว้ก่อน ให้เข่าขวาวางที่พื้นแล้วยกปลายเท้าขวาขึ้นพิงกำแพง จนรู้สึกตึงหน้าขา ส่วนขาซ้ายให้ยกหน้าขาขึ้นตั้งฉากกับพื้น ปลายเท้าวางรับน้ำหนักลำตัว มือซ้ายวางไว้ที่ขาข้างซ้าย มือขวาปล่อยสบายไปข้างลำตัว ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วค่อยสลับทำแบบเดียวกันกับขาอีกข้าง

6. Quad stretch with yoga strap

Quad stretch with yoga strap

นั่งตัวตรงใช้หัวเข่าทั้งสองข้างรับน้ำหนักร่างกายเอาไว้ เมื่อพร้อมแล้วก้มตัวลงพร้อมกับยื่นขาซ้ายไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน โดยให้หน้าขาซ้ายขนานกับพื้นแล้วใช้เท้ารับน้ำหนัก ขณะเดียวกันก็ใช้เชือกมัดเท้าขวา แล้วใช้มือขวาดึงเข้าหาลำตัวโดยพาดผ่านหัวไหล่ด้านซ้าย ส่วนของมือซ้ายนั้นให้วางไปบนหน้าขาซ้าย หรือจะปล่อยสบาย ๆ ไปข้างลำตัวก็ได้ สำหรับท่านี้ให้ค้างไว้ประมาณ 30 วินาที แล้วค่อยสลับไปทำกับอีกข้าง

7. Spinal rotation

Spinal rotation

ท่าสุดท้ายนอกจากจะช่วยบริหารหัวเข่าแล้วจะช่วยยืดกระดูกหลัง ลดอาการปวดหลังได้อีกด้วย เริ่มด้วยการนั่งตัวตรง ยกหัวเข่าทั้งสองข้างขึ้นชิดกัน ประมาณ 45 องศา ยกแขนทั้งสองข้างมาข้างหน้าประมาณ 90 องศาให้ขนานไปกับพื้น เมื่อพร้อมแล้วให้ค่อย ๆ เหวี่ยงแขนไปข้างใดข้างหนึ่งก่อน โดยให้หัวเข่าชิดกันเหมือนเดิม จะรู้สึกตึงแผ่นหลังค้างไว้ข้างละ 10-15 วินาที แล้วสลับข้างทำแบบเดียวกัน ต่อเนื่องไปประมาณ 1 นาที


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่า สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง


อ้างอิงบทความ

ภาพประกอบบทความ

6 ท่า วอร์มอัพ ก่อนลงสนามวิ่ง หรือ ออกกำลังกาย

0
6 ท่า วอร์มอัพ ก่อนลงสนามวิ่ง หรือ ออกกำลังกาย

ตามทฤษฎีต่าง ๆ ที่เคยได้ยินมามักจะบอกว่าให้วอร์มอัพร่างกายก่อนออกกำลังกายเป็นเวลาประมาณ 20 นาที ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อตื่นตัว เมื่อออกกำลังกายจริงจะช่วยลดอาการบาดเจ็บได้ แต่ในความเป็นจริงมีนักกีฬาจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้วอร์มอัพร่างกายเลยสักนาทีเดียว ส่วนตัวผมเองก็คิดว่า 20 นาทีมันเป็นเวลาที่นานพอสมควร

มีงานวิจัยอ้างอิงจากนิตยสารต่างประเทศชื่อ “Human Kinetics” ได้ทำการทดลองจากอาสาสมัครที่เป็นนักกีฬามือสมัครเล่นจำนวน 36 คนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มวอร์มอัพร่างกายก่อนออกกำลังกาย 20 นาที โดยการปั่นจักรยานเบา ๆ เพียงอย่างเดียว
  • กลุ่มคูลดาวน์ร่างกายหลังออกกำลังกาย
  • และสุดท้าย กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลย … ออกกำลังกายอย่างเดียว

ผลลัพท์จากการวิจัยพบว่าอาสาสมัครทั้งหมดมีอาการปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ หลังจากออกกำลังกายไปแล้วประมาณ 2 วัน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ กลุ่มวอร์มอัพร่างกายก่อน 20 นาทีกลายเป็นกลุ่มที่มีอาการปวดเมื่อยมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ

จริง ๆ ผลลัพท์ที่ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการวิจัยได้ให้นักกีฬาวอร์มอัพร่างกายด้วยการปั่นจักรยานเพียงอย่างเดียว มันจึงเป็นการใช้งานกล้ามเนื้อส่วนเดียวเป็นระยะเวลาที่นานกว่าส่วนอื่น ๆ ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการวอร์มอัพโดยอ้างอิงจากข้อมูลวิจัยดังกล่าว คือ ใช้เวลาวอร์มอัพเพียง 5-10 นาทีก็เพียงพอให้ร่างกายเตรียมความพร้อมแล้ว แต่ต้องวอร์มอัพหลายท่า เพื่อให้ถึงกล้ามเนื้อทุกส่วน

ในบทความนี้มีท่าวอร์มอัพทั้งหมด 6 ท่าแนะนำ เมื่อทำต่อเนื่องครบทั้ง 6 ท่า จะใช้เวลาในการวอร์มอัพเพียง 5 นาทีโดยประมาณ มีอะไรบ้างไปอ่านต่อกันได้เลยครับ

1. Quad + Piriformis Walk

กล้ามเนื้อที่ได้ : Quads (ต้นขา), สะโพกด้านหลังและด้านข้าง

เริ่มต้นที่ท่ายืนแล้วยกขาซ้ายขึ้นด้านหลัง ใช้มื้อซ้ายดึงขึ้นให้สุดจนรู้สึกตึง เสร็จแล้วปล่อยขาลงแล้วก้าวขาซ้ายมาข้างหน้า ให้ยกขาขวาขึ้นแล้วพับขาเข้ามาให้ปลายเท้าอยู่ที่ประมาณหว่างขา หัวเข่าตั้งฉากกับพื้น ใช้มือทั้งสองข้างดึงเข้าหาลำตัวให้รู้สึกตึงที่สุด ทำซ้ำ 30 วินาที เสร็จแล้วให้สลับทำกับขาอีกข้างอีก 30 วินาที.

2. Hip Opener

กล้ามเนื้อที่ได้ : Deep hip external rotators

เริ่มต้นที่ท่ายืนตรงแล้วให้ยกเข่าขวาขึ้น ใช้มือทั้งสองข้างดึงเข่าหาลำตัวให้ตึงที่สุด แล้วปล่อยมือซ้ายลงไว้ข้างลำตัว ส่วนมือขวาให้ดึงขาขวาแยกออกไปด้านข้างให้ตึงมากที่สุด หรือให้ตั้งฉากกับลำตัว (ประมาณ 90 องศา) ทำซ้ำไปจนครบ 30 วินาที แล้วสลับทำแบบเดียวกันกับข้างที่เหลือ 30 วินาที

3. Arm Circles

กล้ามเนื้อที่ได้ : หน้าอก, deltoids, หลังส่วนบน

ยืนตรงแยกขาออกจากกันเล็กน้อยให้กว้างประมาณระดับหัวไหล่ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นโดยคว่ำมือลง เมื่อพร้อมให้ใช้ใหล่เป็นตัวยกแขนทั้งสองข้างเป็นวงกลมเล็ก ๆ ทำซ้ำ 2 เซ็ต เซ็ตละ 30 วินาที ระหว่างเซ็ตให้หยุดพักไม่เกิน 15 วินาที

4. Frankenstein Walk

กล้ามเนื้อที่ได้ : ต้นขาด้านหลัง

ท่านี้ง่ายมาก ๆ ถ้าใครดูหนังเฟรงเกนสไตน์น่าจะพอนึกออก เป็นท่ายืนยกขาสูง ๆ เหมือนท่าเดิน ให้เริ่มต้นที่ท่ายืนยกขาข้างใดข้างหนึ่งก่อนก็ได้ให้สูงตั้งฉากกับพื้นหรือสูงที่สุดเท่าที่ยกได้ ระหว่างนั้นให้ยกแขนข้างตรงข้ามให้ตั้งฉากกับพื้นเช่นกัน ทำต่อเนื่องทั้งหมด 2 เซ็ต เซ็ตละ 30 วินาที

5. Leg Crossover + Scorpion

กล้ามเนื้อที่ได้ : หลังส่วนล่าง, ต้นหาด้านหลัง, hip flexors (ข้อต่อระหว่างขากับเอว)

ท่านี้จะประกอบด้วยท่าย่อย 2 ท่า ท่าแรกให้นอนหงายปลายเท้าชิดกันแขนทั้งสองข้างวางราบที่พื้น โดยให้องศาเกือบตั้งฉากกับลำตัว จะรู้สึกตึง ๆ เมื่อพร้อมให้เริ่มต้นจากยกเข่าขวาเข้าหาลำตัวแล้วใช้แขนซ้ายดึงลงมาให้ถึงพื้น ทำต่อเนื่องไปจนครบ 30 วินาทีแล้วจึงเปลี่ยนข้าง

เสร็จจากท่านอนหงายแล้วให้คว่ำหน้าลง แขนทั้งสองข้างวางราบไปกับพื้นให้อยู่ระดับตั้งฉากกับลำตัว เมื่อพร้อมแล้วให้ยกขาซ้ายขึ้นแล้วข้ามมาวางให้ถึงพื้นด้านขวา หรือถ้าไม่ถึงก็ให้ดึงให้ตึงมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ค้างไว้ประมาณ 1-2 วินาที ทำซ้ำไปจนครบ 30 วินาที แล้วค่อยเปลี่ยนไปทำอีกข้างเหมือนกัน

6. Inchworm

กล้ามเนื้อที่ได้ : Core, deltoids, hamstrings

ท่านี้ดูเหมือนง่ายแต่ใครที่กล้ามเนื้อตึงจะเล่นค่อนข้างยากหน่อย เริ่มต้นที่ท่ายืนแล้วก้มเอามือแตะพื้นให้ขาตึงมากที่สุดแล้วค่อย ๆ ไต่มือไปเรื่อย ๆ จนสุดลำตัวให้ลำตัวตึงเหมือนท่าแพลงค์แล้วค้างไว้ 1-2 วินาที เสร็จแล้วไต่กลับมาที่ที่ก้มแล้วก็ยกตัวขึ้นที่ท่ายืน ทำซ้ำไปจนครบ 1 นาที


อย่าลืมนะครับ ใช้เวลาก่อนเริ่มวิ่งหรือออกกำลังกายเพียง 5 นาทีในการวอร์มอัพร่างกายและกล้ามเนื้อ มันช่วยลดอาการบาดเจ็บได้จริง ๆ ลองสังเกตุความแตกต่างกันดูระหว่างวันที่ออกกำลังกายโดยไม่ได้วอร์มอัพ กับวอร์มอัพก่อน นอกจากนี้แล้วท่าวอร์มอัพที่แนะนำไปนั้นยังนำมาใช้ในการคูลดาวน์ร่วมกับ การเล่นสคว๊อต ได้อีกด้วย


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

ต้นฉบับและภาพประกอบ : https://www.runnersworld.com/training/a20865088/pre-run-warmup/

6 ท่าเล่น ดัมเบลล์ เพิ่มความแข็งแกร่ง และทำให้วิ่งเร็วขึ้น

0
6 ท่าเล่นดัมเบลล์เพิ่มความแข็งแกร่ง และทำให้วิ่งเร็วขึ้น

การเล่น ดัมเบลล์ นอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว จะช่วยทำให้วิ่งได้เร็วและนานขึ้นด้วย อีกทั้งช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งได้อีกด้วยนะ บทความนี้จะแนะนำการเล่นดัมเบลล์ทั้งหมด 6 ท่า สามารถทำตามได้เองไม่ต้องมีผู้ช่วย ซึ่งเป็นท่าง่าย ๆ ทั้งนั้น ไปดูกันครับว่าแต่ละท่าทำแบบไหนกันบ้าง

Dumbbell Deadlift

ยืนตัวตรง แยกขาออกจากกันเล็กน้อยเอาให้กว้างประมาณไหล ถือดัมเบลล์เอาไว้ข้างละอันอยู่ระดับหน้าขา ค่อย ๆ ก้มลงให้ดัมเบลล์ติดหน้าขา ไม่ต้องก้มลงสุดเอาแค่ประมาณหน้าแข้งก็เพียงพอ ทำแบบนี้ทั้งหมด 3 เซ็ต แบ่งเป็นเซ็ตละ 10 ครั้ง

Weighted Step-Up with Knee Drive

ท่านี้จำเป็นต้องมีกล่อง, ไม้, อิฐ หรืออะไรก็ได้ที่สามารถนำมาเป็นขั้นบันไดได้ 1 ขั้น เอาวางไว้ตรงหน้า ถือดัมเบลล์ไว้ที่มือทั้งสองข้าง แล้วปล่อยสบาย ๆ ข้างลำตัว เมื่อพร้อมแล้วให้ก้าวขึ้นบันไดตรงหน้าแล้วยกเข่าด้วยขาอีกข้างให้รู้สึกตึงหรือประมาณ 90 องศา แล้วขาที่ยกขึ้นนั้นให้ก้าวกลับลงไปที่พื้น สุดท้ายให้ดึงขาข้างที่อยู่บนบันไดกลับมาอยู่ที่ท่าเตรียม ทำทั้งหมด 3 เซ็ต แบ่งเป็นเซ็ตละ 8 ครั้ง เสร็จแล้วก็สลับทำแบบเดียวกันกับขาอีกข้างจำนวนเท่ากัน

Overhead Press

ยืนตัวตรงแยกขาทั้งสองข้างออกจากกันประมาณหัวไหล่ ยกดัมเบลล์เอาไว้ที่หัวไหล่ เมื่อพร้อมให้ยกดัมเบลล์ขึ้นผ่านศรีษะไปให้แขนตึง แล้วค่อยดึงดัมเบลล์กลับมาที่ท่าพร้อม ทำทั้งหมด 3 เซ็ต แบ่งเป็นเซ็ตละ 10 ครั้ง

Bent-Over Row

ยืนก้มหน้า ให้หัวเข่าโค้งเล็กน้อย ดันก้นไปด้านหลัง ขาแยกห่างออกจากกันประมาณไหล่ ถือดัมเบลล์เอาไว้ทั้งสองข้าง อยู่ที่ระดับเข่าให้แขนตึง เมื่อพร้อมให้ยกดัมเบลล์ขึ้นด้านข้าง ดันข้อศอกขึ้นให้ตึงที่สุดแล้วปล่อยกลับที่ท่าเตรียม ทำทั้งหมด 3 เซ็ต แบ่งเป็นเซ็ตละ 10 ครั้ง

Renegade Row

ท่านี้จะยากหน่อย อาจจะต้องเล่นท่าอื่น ๆ ไปสักระยะให้กล้ามเนื้อแข็งแรงกว่าเดิมก่อน ถึงจะเล่นท่านี้ได้ เริ่มต้นเหมือนท่าแพลงค์ แยกขาออกระดับไหล่ ทิ้งน้ำหนักเอาไว้ที่ปลายเท้า วางดัมเบลล์เอาไว้ที่พื้น มือทั้งสองข้างกำดัมเบลล์เอาไว้ เมื่อพร้อมแล้วให้ดึงข้อศอกขึ้นเหมือนกับท่า Bent over row ให้รู้สึกตึงแล้วจึงปล่อยดัมเบลล์กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม แล้วสลับทำกับแขนอีกข้าง ทำไปทั้งหมด 3 เซ็ต เซ็ตละ 16 ครั้ง

Weighted Glute Bridge

ปิดท้ายท่าง่าย ๆ ให้นอนหงาย แยกขาออกจากกันให้กว้างประมาณไหล่ ยกหัวเข่าขึ้น ถือดัมเบลล์ไว้ในมือทั้งสองข้างแล้ววางชนกันไว้ที่ท้องน้อย เมื่อพร้อมให้ยกสะโพกขึ้นให้รู้สึกตึงที่หน้าขาและแผ่นหลัง ทำทั้งหมด 3 เซ็ต เซ็ตละ 15 ครั้ง


เป็นท่าเล่น ดัมเบลล์ แบบง่าย ๆ แต่มีประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อ ถึงแม้จะไม่ใช่นักวิ่ง ก็สามารถเล่นท่าเหล่านี้ได้ ช่วยให้รูปร่างดีสมส่วน แถมเล่นได้เองที่บ้าน (ถ้าไม่ขี้เกียจ และมีวินัย) ไม่จำเป็นต้องจ้างเทรนเนอร์และสมัครฟิตเนสแพง ๆ ก็มีสุขภาพและรูปร่างที่ดีได้เหมือนกัน


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

การเลือกรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเข่า

0
การรับประทานอาหารบำรุงหัวเข่า

ผู้ที่มีอาการปวดหัวเข่า ที่เกิดจากข้อเข่าเสื่อม และสาเหตุอื่น ไม่ว่าจะเรื่องของน้ำหนักตัวที่มากเกินไป การบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้ถ้าปล่อยเอาไว้ไม่ดูแลเสียแต่เนิ่น ๆ จะยิ่งทำให้อาการลุกลามหรือหายช้า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การปรับการกิน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ช่วยในการรักษาโรคโดยตรง แต่ก็จะได้รับสารอาหารที่เหมาะสม อีกทั้งยังในการเสริมสร้างกระดูกและกล้ามหน้าให้แข็งแรง

การรับประทานอาหารบำรุงหัวเข่า

อาหารสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเข่าควรรับประทาน

  • อาหารจำพวกที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งจะพบได้มากในปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน สำหรับปลาน้ำจืดจำพวกปลาเนื้อขาวก็พบมากเช่นกัน โอเมก้า 3 จะช่วยเสริมสร้างกระดูให้แข็งแรง ลดอาการปวดและอักเสบสำหรับผู้ที่มีอาการปวดตามหัวเข่า อีกทั้งลดอาการแข็งตามข้อต่อต่าง ๆ
  • อาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระ จะพบในผักสีเขียวเยอะที่สุด เช่น บร๊อคโคลี่ ผักคะน้า ผักโยม ผักกระเฉด  นอกจากผักใบเขียวแล้วควรรับประทานผักสีอื่น ๆ ด้วย เพราะจะช่วยให้ได้รับวิตามินที่หลากหลายตามที่ร่างกายต้องการ แต่ในส่วนของผักใบเขียวนั้น จะมีวิตามินเคที่ช่วยในการบำรุงกระดูก
  • อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น อัลมอนด์ งาดำ นมและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ได้จากนม รวมถึงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากถั่วเหลือง ทั้งน้ำเต้าหู้ เต้าหู้หลอด โดยรับประทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ไข่ ปลาซาดีน เพราะวิตามินดีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
  • อาหารที่ให้วิตามินซี ซึ่งมักจะอยู่ในผลไม้ต่าง ๆ เช่น สับปะรด ส้ม มะละกอสุก ฝรั่ง เพราะจะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  • อาหารจำพวกที่มีสารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งจะมีอยู่ในผักและผลไม้ เช่น มะเขือเทศ หัวหอม ชาเขียว บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่ และ แอปเปิ้ล เพราะสารไบโอฟลาโวนอยด์จะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอยในร่างกายแข็งแรง รวมถึงถึงเนื้อเยื่อด้วย ลดโอกาสในการเกิดการฟกช้ำ หรือ บวม
  • ปรุงอาหารโดยการนึ่ง ต้ม หรือ ย่าง แทนการผัด ทอด เพื่อเป็นการควบคุมน้ำหนักตัว

“แม้อาหารจะไม่ใช่ยา แต่มีประโยชน์ต่อกระดูก”

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

การรับประทานอาหารบำรุงหัวเข่า

  • อาหารเสริมและวิตามินสำเร็จรูป จริง ๆ ก็สามารถรับประทานได้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรปรึกษาแพทย์ก่อน แพทย์จะได้กำหนดให้กินได้ในปริมาณที่เหมาะสม เท่าที่ร่างกายต้องการ เพราะหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป จะกลายเป็นโทษมากกว่าจะได้ประโยชน์ แถมต้องเสียเงินซื้อวิตามินราคาแพงโดยไม่จำเป็น
  • อาหารรสเค็มและอาหารทุกชนิดที่มีโซเดียมสูง เพราะอาหารเหล่านี้จะส่งผลให้เซลล์ในร่างกายกักเก็บน้ำไว้มากจนทำให้ร่างกายบวมน้ำได้ ตัวอย่างอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น เกลือ ซีอิ๊ว น้ำปลา ซอสปรุงรส อาหารแปรรูป หมัก ดอง ขนมกรุบกรอบ และอาหารเค็มแทบจะทุกชนิด
  • อาหารที่มีรสหวานและมีน้ำตาลมาก เพราะน้ำตาลจะทำให้ภูมิคุ้มกันภายในร่างกายตอบสนองได้น้อยลง ซึ่งก่อให้เกิดอาการอักเสบบริเวณหัวเข่าได้ง่ายขึ้น
  • อาหารทอดและอาหารที่มีไขมันเยอะ เพราะนอกจากจะสะสมในร่างกายทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเพิ่มการอักเสบได้
  • แป้งขัดขาว เช่น ขนมปังข้าว พาสต้า ซีเรียล ธัญพืชขัดขาว อาจกระตุ้นการอักเสบของข้อต่อกระดูก
  • เนื้อสัตว์ที่ปรุงด้วยอุณหภูมิสูงนาน ๆ นอกจากเสียคุณค่าทางอาหารแล้ว จะทำให้เกิดสาร AGEs (Advanced Glycation End Products) ที่อาจทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อต่าง ๆ
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจกระตุ้นอาการต่างๆ ให้รุนแรงขึ้น และอาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่กินอยู่ ทำให้ยาออกฤทธิ์ไม่ได้ผลเท่าที่ควร และส่งผลกระทบอื่น ๆ ตามมา
  • กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนจะทําให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะ จนอาจทำให้แคลเซียมในร่างกายเสียสมดุล หากได้รับในปริมาณมากๆ เป็นประจำอาจทำให้มวลกระดูกบางลงด้วย

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

วิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร ด้วยการซ้อมเพียง 3 วันต่อสัปดาห์ 

0
ฝึกวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน

แผนสำหรับฝึกซ้อม ฮาล์ฟมาราธอน โดยส่วนใหญ่มักจะต้องการให้ใช้เวลาฝึกซ้อมอย่างน้อยประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์ จะมีใครเหมือนผมบ้างที่คิดว่าไม่ต้องเริ่มก็แพ้เสียแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่ค้ำคอ ภาระทางครอบครัวและสังคมที่มีอยู่ มันทำให้ไม่สามารถจัดสรรเวลาได้ถึง 5 วันต่อสัปดาห์ได้จริง ๆ

แต่ด้วยความที่มือลั่นลงทะเบียนวิ่งฮาล์ฟ มาราธอนไปแล้ว จะไม่ซ้อมก็ไม่ได้ จึงเป็นที่มาของบทความนี้โดยจุดประสงค์คือ จะต้องวิ่งฮาล์ฟ มาราธอนให้ได้ โดยใช้เวลาซ้อม 3 วันต่อสัปดาห์ และแน่นอนต้องมีการจัดสรรเวลาสำหรับพักฟื้นด้วยเช่นกัน โดยแผนการฝึกซ้อมที่วางไว้ต่อไปนี้จะใช้ระยะเวลาทั้งหมด 16 สัปดาห์ หรือ ประมาณ 4 เดือน

ฝึกวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน

ทำไมต้อง 3 วัน?

ที่ผมวางแผนสำหรับการวิ่งรอบนี้ไว้ 3 วันต่อสัปดาห์ โดยยึดถือตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการวางแผนครับ 3 วันต่อสัปดาห์ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มากจนทำให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนเกินไป สามารถจัดสรรเวลาจากชีวิตประจำวันได้ และยังมีเวลาให้ร่างกายได้พักฟื้นอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม หลักการเหล่านี้ไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้ทุกคนเสมอไป เพราะร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางคนอาจจะวิ่งได้ทุกวัน บางคนวิ่งได้น้อยกว่านี้ .. ทั้งนี้ให้ยึดถือตัวเองเป็นหลัก ใครไหวแค่ไหนเอาแค่นั้น อย่าฝืนร่างกายมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้

จะเริ่มต้นอย่างไรสำหรับการวิ่ง 3 วันต่อสัปดาห์ 

ด้วยความที่เรามีเวลาน้อยในการฝึกซ้อม ดังนั้นเพื่อให้ถึงเป้าหมายสำหรับวิ่งฮาล์ฟมาราธอนให้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนก่อนลงฝีเท้าจริงอย่างรัดกุม และปฏิบัติตามอย่างมีวินัย ซึ่งก็ไม่ยากอะไรเพียงเริ่มต้นจากระยะทางน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เร็วเพื่อให้ได้เวลาที่ดี โดยบทความนี้ผมจะแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Easy Run, Treshold run และ Long run

ฝึกวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน

1. Easy Run : เป็นช่วงเริ่มต้นสำหรับการฝึกซ้อมของเรา การวิ่งแบบ Easy Run เป็นการวิ่งแบบช้า ๆ เอื่อย ๆ หรืออาจจะเป็นเดินการเร็วก็ได้ ระดับการวิ่งช่วงเริ่มต้นนี้ เราจะต้องสามารถพูดคุยกับผู้อื่นได้ตามปกติ ไม่มีอาการหอบ หรือเหนื่อยระหว่างคุย เป็นการเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อขาก่อนที่จะใช้งานหนัก แนะนำว่าควรจะวิ่งที่ระดับนี้อย่างน้อยสักประมาณ 40 นาที

2. Threshold run หรือ เป็นการวิ่งที่เริ่มทำลายข้อจำกัดทางกายภาพของตัวเรา เมื่อผ่านการวิ่งแบบง่าย ๆ ไปสักระยะหนึ่งแล้ว กล้ามเนื้อเรียนรู้ในระดับเดิมเราก็พร้อมที่จะวิ่งให้เร็วขึ้น โดยการวิ่งแบบ Threshold Run ก็จะแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี ใครชอบแบบไหนก็เลือกปฏิบัติได้ตามที่ชอบ ดังนี้

  • Speed work เป็นการวิ่งสุดแรงเท่าที่มี วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่ระยะทางประมาณ 400 – 800 เมตร วิธีการแบบนี้จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว แต่อย่าให้เร็วเกินไปนะครับ เดี๋ยวเกิดช๊อคก่อนไม่รู้ด้วยนะ ก่อนที่จะเริ่มวิ่งแบบนี้อย่าลืมวิ่งแบบช้า ๆ ตามระดับที่ 1 ก่อนสักประมาณ 20-30 นาที เป็นการวอร์มร่างกายและให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เสร็จแล้วค่อยวิ่งเร็ว ๆ แล้วก็พัก 10 นาที แล้วก็วิ่งเร็ว ๆ แล้วก็พัก … ทำวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ 3-4 รอบก็เพียงพอแล้ว
  • Tempo run เป็นการวิ่งที่ค่อนข้างแตกต่างกับ Speed work เพราะวิธีนี้ก็คือการเพิ่มความเร็วไปสู่เพซที่ดีขึ้นจากระดับที่ 1 เช่น จากเดิมวิ่งระดับที่ 1 อยู่ที่เพซ 9 เมื่อมาถึงระดับนี้ก็ควรจะเพิ่มความเร็วให้ได้สักเพซ 8.5 เป็นอย่างน้อย สำหรับตัวผมเอง ผมเพิ่มเพซขึ้นเดือนละ 0.5 ก็พอละครับ

3. Long run : นี่คือเป้าหมายสำคัญสำหรับการฝึกวิ่งของเราทั้งหมดที่ผ่านมา เมื่อเราเตรียมความพร้อมของร่างกายไปได้สักระยะ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะกินเวลาประมาณ 3 เดือนจากการฝึกซ้อม เมื่อเริ่มเข้าสู่เดือนที่ 4 แล้ว ก็จะเป็นช่วงที่สามารถวิ่งได้เร็วและไกลขึ้น โดยมีอาการเหนื่อยล้าน้อยลง

กุญแจสำคัญที่จะประสบความสำเร็จในการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนได้ สำหรับผู้เริ่มต้นนั้น ไม่ใช่ความเร็วในการวิ่ง ไม่ต้องจดจ่อว่าจะต้องวิ่งเร็ว ๆ และวิ่งได้ครบระยะ 21.1 กิโลเมตรได้โดยใช้เวลาน้อย อย่าเพิ่งไปตั้งเป้าในเรื่องของเวลาว่า เราจะต้องวิ่งได้กี่ชั่วโมง แต่ให้ระลึกไว้ว่าเราจะต้องวิ่งถึงฮาล์ฟ มาราธอนได้โดยที่ไม่มีอาการบาดเจ็บ และสนุกกับการวิ่งระยะนี้ 

ฝึกวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน

แล้ววันว่างที่เหลือทำอะไรดี

ถึงแม้เรามีเป้าหมายจะวิ่งอาล์ฟ มาราธอนให้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะจดจ่ออยู่กับการฝึกซ้อมเพียงอย่างเดียว วันอื่น ๆ ที่ว่างจากการฝึกซ้อม ก็เป็นวันแห่งการใช้ชีวิตตามปกติ และพักผ่อนกล้ามเนื้อขา ฟื้นฟูร่างกายเพื่อให้พร้อมสำหรับการฝึกซ้อมในวันถัดไป ถ้ามีเวลาว่างให้ลองไปออกกำลังกาย เล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อขามาก เช่น ว่ายน้ำ, โยคะ หรือ ปั่นจักรยาน เป็นต้น

แต่อย่าลืมนะ … ไม่ใช่ออกกำลังกาย 7 วันต่อสัปดาห์จนไม่มีเวลาพักผ่อนเลย .. คุณอาจจะคิดว่า “ไหว” แต่ร่างกายอาจจะตอบสนองสวนทางกับสิ่งที่ใจเราคิดนะครับ พักบ้างอย่าหักโหม ค่อยเป็นค่อยไป จะดีกว่า  

ขอให้มีความสุขและสนุกกับการวิ่งครับ


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

สคว๊อต (Squats) ลดอาการบาดเจ็บสำหรับนักวิ่ง

1
ท่าสคว๊อซ

ท่าสคว๊อต Squats หรือ ท่านั่งยอง ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นท่าที่ทำง่าย และไม่มีประโยชน์อะไรเอาเสียเลย แต่รู้มั้ยครับว่าความง่ายของสคว๊อต มีประโยชน์มากมายซ่อนอยู่ นักวิ่งเองก็ไม่ควรมองข้ามประโยชน์จากการสคว๊อต เพราะสามารถคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา ลดอาการบาดเจ็บ เพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อมากขึ้น นอกจากกล้ามเนื้อแล้วตามข้อต่อกระดูกก็ได้รับประโยชน์ตามไปด้วย

ประโยชน์จากการทำ สคว๊อต (Squats)

การเล่นท่าสคว๊อตมีประโยชน์หลายข้อ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเอ็นร้อยหวาย, สะโพก, กล้ามเนื้อตรงกระดูกต้นขา และ กลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณบั้นท้าย ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญอย่างมากในทุกย่างก้าวของการวิ่ง เมื่อกล้ามเนื้อเหล่านี้มีความแข็งแรง ก็มีโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บได้น้อย และช่วยทำให้วิ่งได้เร็วขึ้นด้วย นอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงแล้วการสคว๊อตก็ยังเป็นการยืดกล้ามเนื้อด้วยเหมือนกัน

การเล่นท่า สคว๊อต แบบมืออาชีพ

“การทำสคว๊อตทำง่ายมาก แต่ก็ต้องรู้เกี่ยวกับท่าทางในการเล่นด้วยเหมือนกัน ไม่งั้นแล้วอาจจะเกิดการบาดเจ็บได้ เริ่มต้นด้วยการยืนให้ระยะห่างเท้ากว้างกว่าสะโพกเล็กน้อย เอามือประสานกันที่ระดับหน้าอกเพื่อให้มีความสมดุล เริ่มเคลื่อนไหวโดยการส่งสะโพกนั่งลง ให้เข่างอต่ำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หน้าอกยืดตรง ลดระดับให้ต่ำลงอย่างให้คือต้นขาขนานกับพื้นจะให้ผลดีกว่า ให้ส้นเท้ารับน้ำหนักทั้งหมด ทำต่อไปเรื่อย ๆ สักประมาณ 10 – 15 ครั้งต่อเซ็ต”

สำหรับใครที่มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ หรือข้อต่อต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถเล่นสคว๊อตได้ ก็แนะนำให้ฝึกฝนท่าอื่นที่ใกล้เคียงกัน เพราะถ้าไม่ทำอะไรเลย กล้ามเนื้อส่วนที่จำเป็นในการวิ่งก็จะไม่แข็งแรงพอ ก็อาจจะเกิดการบาดเจ็บจากการวิ่งก็เป็นได้

สคว๊อตแบบไหนดีที่สุดสำหรับนักวิ่ง

การสคว๊อตสำหรับนักวิ่งนั้น เอาแค่ตามที่แนะนำไปเบื้องต้นก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าใครที่สคว๊อตจนเป็นกิจวัตรและไม่มีอาการบาดเจ็บส่วนใดแล้ว อยากจะสคว๊อตให้หนักขึ้น ก็อาจจะถือดัมเบลล์ หรือ บาร์เบล ไปด้วยก็ได้ เพื่อให้มีน้ำหนักมากขึ้น เวลาที่ทำการสคว๊อตก็จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้นไปอีก

หรือผสมผสานการสคว๊อตท่าอื่น ๆ ทั้ง Front Squat และ Overhead Squat จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้หลายส่วนมากขึ้น

แต่อย่าเล่นสคว๊อตจนหนักจนเกินไป ให้ตระหนักไว้เสมอนะครับว่าเราเป็นนักวิ่ง เราเล่นสคว๊อตเพียงแค่ให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่งพอสำหรับการวิ่ง ไม่ได้เล่นกล้ามหรือเพิ่มกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นแล้วไม่ควรสคว๊อตหนักจนเกินไป เดี๋ยวจะเกิดการบาดเจ็บแทนแข็งแรงเอาซะเปล่า ๆ

เราควรเล่นท่าสคว๊อตบ่อยแค่ไหน

การสคว๊อตให้ได้ผลดีที่สุด แนะนำว่าให้ทำหลังจากการวิ่งเสร็จ เพราะถือเป็นคูลดาวน์กล้ามเนื้อ ช่วยยืดหยุ่นกล้ามเนื้อหลายส่วน สำหรับนักวิ่งมือใหม่อย่าลืมข้อปฏิบัติเหล่านี้นะครับ จะได้ไม่เกิดการบาดเจ็บจนท้อแท้ สิ้นหวังต่อการวิ่งไปซะก่อน


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

ฝึกวิ่งฮาล์ฟมาราธอน ภายใน 10 สัปดาห์

1
ฝึกวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน

นักวิ่งมือใหม่หลายท่านที่วิ่งไประยะหนึ่งแล้ว จะมีความรู้สึกอยากท้าทายความสามารถทางกายของตัวเองมากขึ้นโดยการขยับระยะทางมากขึ้นไปอีก (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) เป้าหมายการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน ก็เป็นอีกเป้าหนึ่งที่อยากจะทำลายลงให้จงได้ ถึงแม้การจะไปถึงจุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่เราจะไปไม่ถึงมัน

การเรียนรู้พื้นฐานในการวิ่งที่ถูกต้อง รวมถึงการเตรียมความพร้อมทางใจ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นในการเริ่มต้น ในบทความนี้เราจะไปดูกันว่าก่อนเริ่มวิ่งเราควรเตรียมตัวอย่างไร ปิดท้ายด้วยโปรแกรมฝึกวิ่งให้ถึงฮาล์ฟมาราธอนภายใน 10 สัปดาห์ ไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง

เตรียมตัวก่อนลงสนามจริงสู้ ฮาล์ฟมาราธอน

สร้างแรงจูงใจ

สิ่งแรกที่จะต้องมีและขาดไม่ได้อย่างแน่นอนก็คือ “แรงจูงใจ” ถ้าขาดแรงจูงใจแล้วสิ่งอื่น ๆ ก็ไม่สามารถตามมาได้ เพราะมันจะคอยกระตุ้นให้มีความรู้สึกอยากวิ่ง อยากไปถึงจุดหมายให้จงได้ บางคนอยากผอม บางคนอยากหุ่นดี หรือบางคนก็อาจจะอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่าใครจะมีแรงจูงใจแบบไหน เป้าหมายก็คือสิ่งเดียวกัน

ตั้งเป้าหมาย

เป้าหมายของเราคือการวิ่งให้ได้ถึงฮาล์ฟมาราธอนภายในระยะเวลา 10 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย เพราะหลายคนที่พับเสื่อ ยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน จะประสบปัญหาระหว่างทางมากมาย ดังนั้นแล้วอย่าย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งทางกายและทางใจที่เราจะต้องเจอระหว่างทาง เมื่อเราผ่านจุดนั้นไปได้และไปจนถึงฮาล์ฟมาราธอนได้แล้ว การวิ่งฮาล์ฟมาราธอนก็อาจจะกลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไปเลยก็ได้

รองเท้าวิ่งต้องเหมาะสม

ฝึกวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน

อย่ามัวแต่ตั้งเป้าหมายจะวิ่งไปถึงฮาล์ฟมาราธอนอย่างเดียว จนลืมองค์ประกอบรอบข้าง อย่างรองเท้านะครับ บางคนอาจจะมีรองเท้าวิ่งดี ๆ มากกว่าหนึ่งคู่ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับการวิ่ง เท้าแต่ละคนก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเท้าเล็ก เท้าแบน ถ้าใส่ไม่เหมาะกับรูปร่างของเท้า จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บจนถอดใจกับการวิ่งก็ได้

โภชนาการ

พลังงานที่เพียงพอเป็นเรื่องที่จำเป็นในการวิ่ง โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรต แต่ละครั้งร่างกายจะเผลาผลาญแคลลอรี่ที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตไปถึง 65% โภชนาการที่ถูกต้องและเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายและกล้ามเนื้อฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว

พักผ่อนให้เพียงพอ

การซ้อมวิ่งบ่อย ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายฮาล์ฟมาราธอนได้อย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าการพักผ่อนอย่างเพียงพอก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน คุณไม่จำเป็นที่จะต้องซ้อมวิ่งทุกวัน เพราะร่างกายต้องการพักผ่อนและฟื้นฟูหลังจากการวิ่งแต่ละครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการวิ่งในครั้งต่อไป

การหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ

อาการบาดเจ็บมักจะเกิดขึ้นโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงหรือลดโอกาสในการบาดเจ็บได้เช่นกัน โดยในวันพักให้ใช้น้ำแข็งประคบกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะหัวเข่าและหน้าแข้ง ครั้งละ 15 – 20 นาทีโดยประมาณ ถ้าเป็นไปได้ก็ทำให้ได้ 4 ครั้งต่อวัน

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

เมื่อเริ่มวิ่งควรพกน้ำทุกครั้งและค่อย ๆ ดื่มในปริมาณน้อยทุก 20 – 30 นาที อย่าดื่มในปริมาณที่มากทีเดียว เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการจุกขึ้นได้ เมื่อวิ่งเสร็จควรดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยพลังงานที่สูญเสียไป บางคนมองข้ามคิดว่าร่างกายตัวเองรับไหว เป็นลมกลางอากาศไปก็มี

ตารางซ้อม ฮาล์ฟมาราธอน

ฝึกวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน

ก่อนจะไปถึงฮาล์ฟมาราธอนสิ่งที่อยากแนะนำคือ ควรวิ่งได้โดยไม่ต้องหยุดพักอย่างน้อย 30 นาที หรือประมาณ 5-6 กิโลเมตร ถ้าใครยังทำไม่ได้ก็ไม่ผิดอะไร เราสามารถเริ่มจากการเดินช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ จนคิดว่าสามารถวิ่งได้แล้ว ก็ค่อยเพิ่มความเร็วและระยะเวลาไปเรื่อย ๆ จนสามารถทำได้ถึง 30 นาที แล้วเราค่อยมาเริ่มวิ่งตามโปรแกรมก็ยังได้

ตารางฝึกวิ่งฮาล์ฟมาราธอน ใน 10 สัปดาห์

สัปดาห์ที่ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ รวม
1 3 พัก 3 3 พัก 4 พัก 13
2 3 พัก 4 3 พัก 5 พัก 15
3 3 พัก 4 3 พัก 6 พัก 16
4 3 พัก 5 3 พัก 8 พัก 19
5 3 พัก 5 3 พัก 10 พัก 21
6 4 พัก 5 4 พัก 11 พัก 24
7 4 พัก 6 4 พัก 12 พัก 26
8 4 พัก 5 4 พัก 9 พัก 22
9 3 พัก 4 3 พัก 8 พัก 18
10 3 พัก 3 เดิน 2 กม. พัก 13.1 พัก 21.1

** หน่วยเป็นกิโลเมตร **


ตามโปรแกรมฝึกวิ่งนี้เราจะเพิ่มระยะทางสัปดาห์ละ 10% โดยประมาณ โดยเริ่มจากการวิ่งระยะทางน้อย ๆ เพื่อให้ร่างกาย กล้ามเนื้อค่อย ๆ เรียนรู้และปรับตัว ไม่ให้เกิดการบาดเจ็บระหว่างการวิ่ง


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

โซเดียม คืออะไร?

0
โซเดียม คืออะไร

เคยได้ยินมั้ยครับว่า อันนี้โซเดียมสูงอย่ากินเยอะ … อันนั้นก็โซเดียมสูง อย่าไปกินเลย … ผมได้ยินประโยคนี้บ่อย ๆ แต่ก็ปล่อยผ่านไปหลายครั้งเช่นกัน เพราะไม่ได้สนใจว่าถ้าบริโภคโซเดียมในปริมาณที่สูงแล้วมันจะส่งผลอะไรต่อสุขภาพบ้าง แต่หลังจากเริ่มหันกลับมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดความสงสัยและอยากให้กระจ่างเกี่ยวกับโซเดียม จึงเป็นที่มาเกี่ยวกับโซเดียมในบทความนี้

โซเดียม เป็นสารอาหารจำพวกเกลือแร่ชนิดหนึ่ง ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะจะทำหน้าที่คอยควบคุมและปรับสมดุลของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่ปกติ ช่วยในการดูดซึมสารอาหารบางชนิดในไตและสำไล้เล็ก อีกทั้งช่วยในการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อ (กล้ามเนื้อหัวใจด้วยนะ)

ในชีวิตประจำวัน เราจะได้รับโซเดียมจากการบริโภคเกลือ น้ำปลา เครื่องปรุงรสและอาหารที่มีรสเค็ม สถิติจากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคเกลือเฉลี่ยวันละ 7 กรัม

อาหารที่มีโซเดียม

อาหารแปรรูป หรือ อาหารที่ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ อาหารกระป๋องทุกประเภท ทั้งปลากระป๋อง ผลไม้กระป่อง .. อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า อาหารเค็มทุกชนิด

อาหารตามธรรมชาติ จะเป็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่จะมีส่วนผสมของโซเดียมในปริมาณที่สูงอยู่แล้ว ส่วนอาหารตามธรรมชาติที่จะมีประมาณโซเดียมต่ำ คือ ผลไม้ทุกชนิด ผัก เนื้อปลา ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง

โซเดียมที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาตินั้นเพียงพอสำหรับร่างกายอยู่แล้ว โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มเครื่องปรุงรสใด ๆ เข้าไป

ผงชูรส ถึงแม้ว่าผงชูรสจะเป็นสารปรุงรสที่ไม่มีรสเค็ม แต่ก็มีส่วนประกอบของโซเดียมอยู่ประมาณร้อยละ 15 เรามักจะเห็นว่าอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูปต่าง ๆ ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด จะมีการเติมผงชูรสลงไปด้วยแทบจะทุกชนิด เพราะต้องการให้อาหารเหล่านั้นมีรสชาติที่ดีขึ้น แม้แต่ตามบ้านเองก็มีการเติมผงชูรสเช่นกัน

เครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น ซอสปรุงรสที่มีรสเค็ม ทั้งซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว กะปิ ปลาร้า เต้าหู้ยี้ ซอสหอยนางรม, ซอสปรุงรสที่ไม่มีรสเค็มหรือมีรสเค็มน้อย เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มต่าง ๆ, และแน่นอน เกลือ กับ น้ำปลา ซึ่งมีรสเค็มเป็นเครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูงที่สุด

อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น ข้าวต้ม ซุปต่าง ๆ ทั้งแบบก้อนและแบบซอง โจ๊ก บะหมี่ อาหารเหล่านี้มักจะเติมผงชูรสลงไปด้วย

ขนมทั่วไปที่มีการเติมผงฟู หรือ Baking Soda เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ ขนมปัง แพนเค้ก เพราะผงฟูที่ใช้ในการทำขนมเหล่านี้ จะมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย รวมไปถึงแป้งที่นำมาทำอาหารก็ได้ผสมผงฟูไว้อยู่แล้ว

น้ำและเครื่องดื่ม น้ำฝนเป็นน้ำที่ปราศจากโซเดียม แต่น้ำบาดาลและน้ำประปามีโซเดียมปนอยู่บ้าง ในจำนวนไม่มากนัก ส่วนเครื่องดื่มเกลือแร่ยี่ห้อต่างๆ มีการเติมสารประกอบของโซเดียมลงไปด้วย เพราะมีจุดประสงค์จะให้เป็นเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่สูญเสียเหงื่อมาก ส่วนน้ำผลไม้บรรจุกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ก็มักจะมีการเติมสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) ลงไปด้วย ทำให้น้ำผลไม้เหล่านี้ มีโซเดียมสูง วิธีหลีกเลี่ยงคือดื่ม น้ำผลไม้สดจะดีกว่า


จากข้อมูลข้างต้นจะสามารถสรุปได้ว่า โซเดียม มีมากในอาหารที่ผ่านการแปรรูปแทบทั้งสิ้น ยิ่งบริโภคอาหารสำเร็จรูปหรือแปรรูปมาก ก็ยิ่งจะได้รับโซเดียมส่วนเกินสะสมในร่างกาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วร่างกายต้องการโซเดียมในปริมาณเล็กน้อยให้เพียงพอสำหรับมาใช้งานเท่านั้น ซึ่งในระยะยาวอาจจะส่งผลในการทำงานของไตได้


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

ภาพประกอบ : freepik.com

ดูแลไตให้ดี ห่างไกลโรคภัย

0
ดูแล ไต ให้ดี รักษาโรคภัย

ไต เป็นอีกอวัยวะสำคัญในร่างกายที่ต้องให้ความสำคัญในการดูแล มีการศึกษาวิจัยจากสมาคมโรคไต พบว่าสถิติการเกิดโรคไตเรื้อรังในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้น ในตอนนี้สูงถึงหลักล้านคนแล้ว แต่ผู้ที่ทำการฟอกไตนั้นไม่ไม่ถึงแสน วันนี้เรามาดูวิธีการดูแลรักษา และป้องกันการเกิดโรคกับ “ไต”

หน้าที่ของไต

หน้าที่หลัก ๆ ของไตมี 3 อย่าง คือ

  1. ขับของเสียออกจากร่างกาย ขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะ
  2. ปรับสมดุลของเกลือแร่ และกรดด่าง ต่าง ๆ ในร่างกาย
  3. สังเคราะห์ฮอร์โมนจำพวกวิตามินต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ

หากเกิดภาวะไตเสื่อม ก็อาจจะมีอาการเลือดจาง ปัสสาวะบ่อย หรือ ขาดวิตามิน เป็นต้น

อาการของโรคไต

ผู้ที่มีอาการโรคไตเรื้อรัง มักจะไม่รู้ตัว เพราะโรคไตจะเป็นภัยเงียบ ค่อย ๆ แสดงอาการออกมาทีละนิด จนบางทีมันเหมือนเป็นเรื่องปกติ บางทีผู้ป่วยมาตรวจพบอีกทีก็ต่อเมื่อมีอาการผิดปกติที่แสดงออกมามากแล้ว โดยส่วนมากมักจะมีอาการดังต่อไปนี้

  1. มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
  2. บวมตามร่างกาย คล้าย ๆ คนบวมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณเท้าและหนังตา ยิ่งถ้าใครที่ไม่เคยมีอาการบวมแล้วมีอาการแบบนี้ ให้ถือว่าน่าสงสัยไว้ก่อน
  3. ผิดปกติเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น เข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ทั้งระหว่างวันและตอนนอน สีของปัสสาวะผิดปกติ มีฟองเยอะมากกว่าปกติ

การดูแลรักษาไต

เราช่วยเหลือไตได้ ไม่ให้ไตทำงานหนักและเพื่อให้กระบวนการกำจัดสารพิษทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยวิธีต่อไปนี้

1. เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

  • ผักและผลไม้สด
  • ธัญพืชเต็มเมล็ดแทนธัญพืชที่ผ่านการขัดสีแล้ว
  • อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง เช่น ถั่ว ปลาที่มีไขมันสูง
  • จำกัดการรับประทานเนื้อแดง และอาหารที่มีไขมันสูง
  • หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปประเภทเนื้อหมัก เนื้อกระป๋อง และมันฝรั่งทอด
  • เกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน และน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน

2. ดื่มน้ำให้มากขึ้น

  • ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน การดื่มน้ำช่วยสนับสนุนให้ระบบต่างๆ
  • ทำงานได้อย่างราบรื่น กรองสารพิษออกจากเลือดและขับสารพิษทางปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หรือบรรดา soft drink ทั้งหลาย

3. ไม่สูบบุหรี่

  • สารพิษที่อยู่ในบุหรี่จะเข้าไปในกระแสเลือด และส่งผลต่อหัวใจและไต คนสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะไตวายมากถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่สูบบุหรี่

4. หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดต้านการอักเสบ

  • โดยเฉพาะยาแก้ปวดต้านการอักเสบที่ต้องทานหลังอาหารทันทีมักมีพิษต่อไต และการทานยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะเร่งให้การทำงานของไตเสื่อมถอยลง

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • ช่วยทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  • กระตุ้นการกำจัดของเสียที่สะสมในเลือด
  • ช่วยควบคุมความดันโลหิต

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

อ้างอิง

1. ดูแลไตให้ดี ได้สุขภาพดี

2. 9 วิธีป้องกันโรคไต

3. ภาพประกอบบทความ freepik.com

การเซฟไฟล์จาก Youtube เป็น MP3

0
การดาวน์โหลดไฟล์จาก Youtube เป็น MP3

ใครชอบฟังเพลงจาก Youtube แล้วเจอปัญหาอินเตอร์เน็ตไม่พอ หรือ เน็ตช้าทำให้ฟังเพลงกระตุก สามารถแก้ไขปัญหาโดยการโหลดเพลงใน Youtube เอาไว้ฟังแบบไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็ได้นะครับ ขั้นตอนการทำตามนี้เลย

1. เพิ่มคำว่า “to” ต่อท้ายคำว่า youtube ใน url ของเพลงที่ต้องการ

การดาวน์โหลดไฟล์จาก Youtube เป็น MP3

2. เสร็จแล้วระบบจะวิ่งไปที่หน้าเว็บของ youtubeto ให้เลือกรูปแบบของไฟล์ที่ต้องการ เพียงเท่านี้ก็มีไฟล์ไว้ฟังโดยไม่ต้องใช้เน็ตแล้วครับ

การดาวน์โหลดไฟล์จาก Youtube เป็น MP3

มีเพลงฟังกันแล้ว ก็อย่าลืมอุดหนุนศิลปินกันด้วยนะครับ เค้าจะได้มีกำลังใจผลิตผลงานดี ๆ ให้เราได้รับฟังกันเรื่อย ๆ


ภาพประกอบบทความ : freepik.com

ทำความรู้จักกับ ข้าวไรซ์เบอร์รี่

0
ข้าวไรซ์เบอร์รี่ มีประโยชน์อะไรบ้าง

รู้มั้ยครับว่า ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นข้าวสายพันธุ์ที่พัฒนาโดยคนไทย เกิดจากการผสมระหว่างพันธุ์ข้าวหอมนิล กับ ข้าวดอกมะลิ 105 ซึ่งเป็นผลงานของศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ใช้เวลาในการศึกษาวิจัยนานถึง 4 ปี กว่าจะได้ออกมาเป็น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ อย่างที่เราเห็นกัน

รู้จักกับ ข้าวไรซ์เบอร์รี่

คุณค่าทางโภชนาการ

คุณค่าทางอาหารที่มีอยู่ใน ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่เด่นชัด คือ มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ดี มีโฟเลจในปริมาณที่สูง และยังมีสารอาหารอื่น ๆ อีกที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ แกมมาโอไรซานอล, เบต้าแคโรทีน, วิตามินเอ, วิตามินบี 1, ลูทีน, แทนนิน, สังกะสี, ธาตุเหล็ก, โพลีฟีนอล และ โอเมก้า 3 เป็นต้น สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพด้านต่าง ๆ ดังนี้

  1. บำรุงร่างกาย
  2. บำรุงสายตา
  3. ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง เนื่องจากมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระได้
  4. ลดระดับไขมันเลว และคอเรสเตอรอลในเส้นเลือด
  5. ช่วยสร้างคอลลาเจนในร่างกาย ชะลอความแก่
  6. อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ หลายโรค เช่น โรคโลหิตจาง โรคความดันโลหิตสูง โรงสมองเสื่อม โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน

รู้จักกับ ข้าวไรซ์เบอร์รี่

มีการศึกษาทางการแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ข้าวไรซ์เบอร์รี่ มีส่วนช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ไม่ให้สูงจนเกินระดับมาตรฐาน จึงถือได้ว่า ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริโภคเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ นอกจากคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ยังมีศักยภาพช่วยป้องกันการเสื่อมของระบบประสาท และ อาหารหลงลืม (อัลไซเมอร์) ได้อีกด้วย

สารอาหารใน ข้าวไรซ์เบอร์รี่

ในหน่วยบริโภคทุก ๆ 100 กรัมของข้าวไรซ์เบอร์รี่ จะมีสารอาหารที่ได้รับดังนี้

  • Protein: 8 g
  • Iron: 1.8 mg
  • Fat: 4 g
  • Folate: 48 mcg
  • Zinc: 3.2 mg
  • Sodium: 50 mg

ทำไม ข้าวไรซ์เบอร์รี่ จึงเป็นสีม่วง

สีม่วงที่เห็นในข้าวไรซ์เบอร์รี่ แตกต่างจากข้าวแดงทั่ว ๆ ไปที่คุ้นตากัน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็น “สารแอนโทไซยานิน” สามารถละลายน้ำได้ดี เราสามารถทดสอบได้โดยการเอาข้าวไรซ์เบอร์รี่ผสมกับข้าวขาวธรรมดาในอัตราส่วนประมาณ 4/1 (ข้าวขาว ภ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ 1) แล้วหุง เมื่อหุงเสร็จจะเห็นว่าข้าวสุกทั้งหม้อนั้น กลายเป็นสีม่วงทั้งหมด

รู้จักกับ ข้าวไรซ์เบอร์รี่

ซึ่งสารสีม่วงในข้าวไรซ์เบอร์รี่ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสาร “ต้านอนมูลอิสระ” หรือชื่อสาร ฟลาโวนอยด์


เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพนะครับ เพราะในแต่ละวันเราก็บริโภคข้าวเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว การเปลี่ยนมาบริโภค ข้าวไรซ์เบอร์รี่ แทนข้าวขาวทั่วไป ไม่ใช่เรื่องยากเลย ยิ่งข้าวไรซ์เบอร์รี่เองก็เป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาโดยคนไทยด้วยแล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะสนับสนุน ถึงแม้ราคาของข้าวไรซ์เบอร์รี่จะสูงกว่าข้าวขาวอยุ่บ้างก็ตาม แต่เราก็สามารถเลือกบริโภคด้วยการผสมกับข้าวขาวได้เช่นกัน


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

แกะสเปค Xiaomi Mi A3 Android One พร้อมกล้องหลัง 3 ตัว

0
Xiaomi Mi A3

หนึ่งในยี่ห้อโทรศัพท์ที่ใช้ OS : Android One และเป็นพันธมิตรอันดับต้น ๆ ของ Google ก็คือ Xiaomi ที่ตอนนี้ได้พัฒนาโทรศัพท์ที่ใช้งาน Android One มาจนถึงรุ่นที่ 3 หรือ Mi A3  ในรายละเอียดของโทรศัพท์รุ่นนี้ก็ได้ลงเอาไว้ว่ามาพร้อมด้วยชิพเช็ตรุ่นใหม่ พัฒนาคุณภาพของฮาร์ดแวร์ให้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ Android One รุ่นล่าสุด

Xiaomi Mi A3

ถ้าพูดถึง Andorid One ที่ได้จับใส่ใน Smart phone แต่ละยี่ห้อ แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เพราะจะโดนควบคุมคุณภาพและมาตรฐานจาก Google ห้ามทำอะไรนอกเหนือจากที่เค้ากำหนดไว้ Google เค้าต้องการให้ Android One เป็น OS ที่เบา ง่าย ดูสะอาด ๆ จากโรงงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพการใช้งานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า OS ที่ค่ายอื่น ๆ นำไปดัดแปลงกัน ในเรื่องของการอัพเดตอื่น ๆ Android One จะได้เปรียบตรงที่ จะได้รับการอัพเกรดรวดเร็วกว่าใครเพื่อน และได้รับประกันว่าจะได้อัพเกรดเวอร์ชั่นล่าสุดใหม่ 2 เวอร์ชั่นอย่างแน่นอน

Xiaomi Mi A3 Xiaomi Mi A3

สเปค Xiaomi Mi A3

  • CPU : Qualcomm Snapdragon 664
  • Memory : 4GB
  • Storage : สูงสุด 128 GB (UFS 2.1)
  • หน้าจอ : 6.088 นิ้ว (AMOLED) 720×1560
  • สามารถขยายหน่วยความจำได้สูงสุด 256 GB
  • กล้องหลัง : กล้องหลัก 48 MP, กล้องสำหรับถ่ายภาพแนวกว้าง 8 MP และ กล้องสำหรับถ่ายชัดลึก ชัดตื้น 8 MP
  • กล้องหน้า : 32 MP จะถูกฝังเอาไว้ที่รอยบากหน้าจอ
  • OS : Android One 9.0
  • แบตเตอรี่ : 4030 mAh รองรับการชาร์จเร็ว Quick Charge 3.0
  • รองรับ 2 Sim Card
  • USB Type-C

Xiaomi Mi A3

กำหนดการวางจำหน่ายของ Mi A3 คือ วันที่ 17 กรกฎาคม 2562 นี่แหละ แต่สำหรับเมืองไทยบ้านเราก็อดใจรอจากนี้ไม่นาน ในเรื่องของราคาก็คิดว่าไม่น่าจะเกินหมื่นตามสไตล์ของ XiaoMi เค้าแหละ


อาหารคลีน คืออะไร

0
ทำความรู้จักกับ อาหารคลีน

อาหารคลีน จะเป็นอาหารที่ยอดฮิตในกลุ่มผู้ดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา ผู้ที่กำลังควบคุมอาหาร หรือควบคุมน้ำหนัก เพราะการดูแลสุขภาพให้ได้ผลมากที่สุด มักจะมาควบคู่กับการออกกำลังกายและอาหาร

ถ้าพูดถึงตัวอย่างของ อาหารคลีน ในชีวิตประจำวัน สามารถตัดจำพวกอาหารแช่แข็งต่าง ๆ ออกไปได้เลย เพราะอาหารเหล่านั้นมักจะมีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้นาน รวมไปถึงขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ที่อยู่ตรงกันข้ามอาหารคลีนโดยสิ้นเชิง เพราะเต็มไปด้วยแป้งและผงชูรสยังไม่พอ.. ยังเต็มไปด้วยโซเดียมกับน้ำมัน บรรดาน้ำอัดลมหลากสีสันน่ารับประทานเหล่านั้นก็ไม่ใช่อาหารคลีนเช่นกัน

ทำไมเราต้องกินคลีน

ร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก พื้นฐานโครงสร้างแล้วได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับอาหารตามธรรมชาติ แต่ด้วยวิวัฒนาการที่ก้าวหน้าไม่หยุดหย่อน จึงเกิดอาหารแปรรูปหลากหลายชนิดขึ้นมา ในกระบวนการแปรรูปเหล่านี้ บางกระบวนการอาจจะทำให้สูญเสียสารอาหารบางอย่างไป เมื่อร่างกายเรารับอาหารเหล่านั้นไปมาก ๆ ก็จะปรับสภาพร่างกาย เพิ่มกลไกต่าง ๆ ในการย่อยสลายให้ซับซ้อนขึ้น .. หรือทำงานหนักขึ้นนั่นเอง

เพราะฉะนั้นการกินอาหารคลีนจะช่วยให้ร่างกายรับสารอาหารจากอาหารได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ลดการทำงานที่ซับซ้อนต่าง ๆ ในร่างกายออกไป เราลองเปรียบเทียบง่าย ๆ ระหว่างการกินกล้วยหอมกับการกินเค้กกล้วยหอม … จะเห็นว่าเมื่อเรากินกล้วยหอมร่างกายจะขับถ่ายออกมาได้รวดเร็วกว่า แต่ถ้าเป็นเค้กกล้วยหอม ยังไม่ทันจะย่อยและขับถ่ายออกมาเสร็จเลย ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องกินอาหารมื้อใหม่เข้าไปเพิ่มแล้ว

การกินอาหารคลีน

คนทั่ว ๆ ไปมักจะเข้าใจผิดว่า การกินอาหารคลีนคือ ต้องเป็นผักเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ แต่เป็นการกินอาหารให้ครบทุกหมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ซึ่งประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต และ โปรตีน ในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน การเลือกเนื้อสัตว์ก็ไม่ควรเลือกแบบสำเร็จรูปหรือผ่านการปรุงรสมาแล้ว

การปรุงอาหารคลีน ก็ให้เน้นไปที่การลวก ต้ม หรือ นึ่ง … แทนการทอด ซึ่งจะมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ … ข้อสำคัญสำหรับคนที่ต้องการเริ่มกินคลีน จะต้องมีวินัยในการกินเป็นอย่างมาก สามารถตัดขาดการยึดติดการกินแบบเดิม ๆ รสชาติอาหารแบบเดิม ๆ ออกไปได้ เพราะอาหารคลีนส่วนมากแล้ว จะรสชาติไม่จัดจ้าน และบางพื้นที่ก็จำเป็นต้องปรุงกินเอง เพราะหาซื้อกินได้ค่อนข้างยาก แถมราคาสูงอีกต่างหาก

อาหารคลีน

น้ำเปล่า … สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างสำหรับคนกิน อาหารคลีน

การดื่มน้ำสะอาดในแต่ละวันอย่างเพียงพอ จะช่วยชำระล้างของเสียในร่างกายออกมาได้แบบธรรมชาติอีกด้วยนะ ตามทฤษฎีแล้วก็ประมาณ 2 ลิตร แต่ร่างกายของคนเราก็ต้องการไม่เท่ากัน วิธีสังเกตุว่าร่างกายเราได้รับน้ำเปล่าเพียงพอรึยัง ให้สังเกตุจากสีของปัสสาวะ ให้ดูใสมากที่สุด

ประโยชน์ของ อาหารคลีน

รูปร่างดี

แน่นอนล่ะ อาหารคลีนจะประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในปริมาณเหมาะสมที่ร่างกายเราต้องการ ไม่มากและน้อยจนเกินไป แถมหลีกเลี่ยงไขมันอีกด้วย เมื่อกินคลีนไปสักระยะหนึ่งแล้วคนที่ผอมก็จะได้รับสารอาหารเพิ่มเติมทำให้มีกล้ามเนื้อมากขึ้น คนอ้วนก็ไขมันน้อยลง รูปร่างที่เสียไปก็กลับมาดูดีได้ด้วยอาหารคลีน

สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น

สารอาหารที่อยู่ในอาหารคลีนหลายชนิด มีส่วนช่วยในการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นการสร้างและผลิตสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ และเมื่อสิ่งเหล่านั้นผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้ระบบการทำงานที่ซับซ้อนในร่างกายของเราทำงานได้ดีขึ้น ลื่นไหลขึ้น อาการป่วยก็จะน้อยลง

ชะลอวัย

เมื่อสุขภาพร่างกายดีขึ้น ระบบการทำงานในร่างกายดีขึ้น ผลพลอยได้อีกอย่างที่ได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนก็คือ ร่างกายจะเสื่อมสภาพช้าลง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า แก่ช้าลงนั่นเอง บางคนผลลัพท์ดีไม่ได้เจอนาน ๆ พอกลับมาเจออีกที ก็ดูเด็กลงก็มี


ส่งท้ายก่อนจากกันไปในบทความนี้ … การเริ่มต้นกินคลีน เพื่อสุขภาพที่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารที่หรูหรา ราคาแพง เสมอไป แต่ให้ไปเน้นที่ความสด สะอาด และขั้นตอนการปรุงแต่งเป็นสำคัญ


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่า สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

ภาพประกอบบทความจาก : freepik.com

ผักผลไม้ 5 สี มีประโยชน์อะไรบ้าง

0
ประโยชน์ของผักผลไม้ 5 สี

หลังจากที่ช่วงอายุผมเริ่มเข้าผู้ใหญ่เต็มตัว ช่วงอายุ 30 กลาง ๆ มันเป็นช่วงที่เริ่มมีปัญหาทางด้านสุขภาพแบบจุกจิกน่ารำคาญ ไม่ว่าจะภูมิแพ้ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตามตัว นานวันเข้าอาการเหล่านี้ก็เริ่มรุนแรงขึ้น จากน้ำมูกไหลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลายเป็นจมูกเริ่มตัน หายใจไม่ได้ นอนไม่หลับ ปวดเนื้อตัวจนทำอะไรไม่ได้

เมื่อผมได้ทำการวิเคราะห์อาการขั้นต้นด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องถึงมือหมอ ผมสรุปว่าเป็น ออฟฟิซ ซินโดรม … โรคยอดฮิตของพนักงานออฟฟิซ ถ้าปล่อยไปนานมากกว่านี้ อาการต่าง ๆ มันจะต้องส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นแน่นอน ในที่สุดก็ได้ตัดสินใจมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ผนวกกับควบคุมการทานอาหารไปด้วย ผลลัพท์หลังจากทำต่อเนื่อง 2-3 เดือนนั้น เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก

  • น้ำหนักลง 8 กิโลกรัม
  • ดูเฟิร์มขึ้น ไขมันน้อยลง แต่มีกล้ามเนื้อเพิ่ม
  • อาการปวดเมื่อยตามร่างกายน้อยลง
  • อาการป่วยจุกจิกน่ารำคาญ ก็แทบจะไม่มีให้เห็น
  • อื่น ๆ อีกหลายอย่าง … รวม ๆ แล้วดีขึ้น

ผักผลไม้สีต่าง ๆ

หนึ่งในกิจกรรมที่ผมได้ทำก็คือ ลดปริมาณอาหารขยะลง เพิ่มปริมาณของผักและผลไม้ให้มากขึ้น แต่ปริมาณของอาหารโดยรวมก็ยังเท่าเดิมที่เคยรับประทาน ในแต่ละมื้อ .. ทุกคนก็คงจะทราบกันอยู่ดีแล้วนะครับ ว่าผักแต่ละสีก็จะมีประโยชน์ต่างกัน ทั้งแร่ธาตุ ไฟเบอร์ รวมถึงสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผมเองว่า อาหารคลีนที่กำลังรับประทานนั้น มันช่วยอะไรผมได้บ้าง จึงได้ไปหาข้อมูลของสิ่งที่กำลังรับประทาน เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงอยากจะพาทุกคนไปรู้กันว่า ผักและผลไม้แต่ละสีนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งหลัก ๆ จะมีอยู่ทั้งหมด 5 สีด้วยกัน

ผักผลไม้สีเขียว

ผักผลไม้สีเขียว จะช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ชะลอการเกิดริ้วรอย ต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง โดยสารสำคัญที่อยู่ในผักผลไม้สีเขียวนั้น คือ คลอโรฟีลล์, ลูทีน และ ซีแซนทีน

ตัวอย่างของผักผลไม้สีเขียว

คะน้า, กะหล่ำปลีสีเขียว, แตงกวา, บล๊อคโคลี่, องุ่นเขียว, แอปเปิ้ลสีเขียว, หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น

ผักผลไม้สีแดง

สารสำคัญที่มีอยู่ในผักผลไม้สีแดง คือ ไลโคปีน, เบตาไซซีน และแอนโทไซยานิน มีประโยชน์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด รวมไปถึงมะเร็งปากมดลูก ชะลอการเกิดโรคหัวใจหลอดเลือด ลดปริมาณไขมันไม่ดีในร่างกาย ลดริ้วรอยที่เกิดจากสิว

ตัวอย่างของผักผลไม้สีแดง

มะเขือเทศ, แตงโม, พริกแดง, ทับทิม, องุ่นแดง, ดอกกระเจี๊ยบ, เชอร์รี่, หอมแดง, แตงโม, สตอร์เบอร์รี่ และมะละกอ

ผักผลไม้สีม่วง

สีน้ำเงินและสีม่วงที่อยู่ในผักผลไม้ ช่วยลดความอยากอาหารลงได้เป็นอย่างดี ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าสีม่วงค่อนข้างจะมีแรงดึงดูดให้น่ารับประทานยิ่งขึ้นไปอีก สารที่อยู่ในผักผลไม้สีม่วง จะมีไฟโตนิวเทรียนท์ และ แอนโธไซยานิน ทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงเส้นผมให้เงางาม ป้องกันเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายจากการอักเสบ ต่อต้านการเกิดริ้วรอย ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ชะลอการเกิดภาวะอุดตันต่าง ๆ ในเส้นเลือด

ตัวอย่างของผักผลไม้สีม่วง

บลูเบอร์รี่, กะหล่ำปลีม่วง, มะเขือม่วง, ลูกพรุน และ มันเทศสีม่วง

ผักผลไม้สีเหลืองและสีส้ม

สารที่อยู่ในผักผลไม้สีเหลืองและสีส้ม คือ แคโรทีนอยด์ อัลฟาแคโรทีน เบต้าแคโรทีน และ วิตามินซี ซึ่งช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ อีกทั้งช่วยบำรุงสายตา (เหมาะมากสำหรับคนที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน) และช่วยบำรุงสุขภาพผิวให้เปร่งปรั่งอีกด้วย

ตัวอย่างของผักผลไม้สีเหลือง

ฟักทอง, พริกเหลือง, มะละกอสุก, ส้ม, สัปปะรด, แครอท

ผักผลไม้สีขาว

ผักผลไม้สีขาวและสีน้ำตาล อาจจะดูไม่แปลกตามากในบ้านเรา เพราะมีจำนวนมากและพบเห็นได้บ่อยที่สุด ทำให้มันดูไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าใดนัก แต่ถ้าจะกล่าวถึงประโยชน์ของมันแล้ว ไม่ได้แพ้สีอื่น ๆ เลย สารที่อยู่ในผักผลไม้สีนี้ เรียกว่า “แซนโทน” มีคุณสมบัติในการลดอาการอักเสบ รักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิด บำรุงกระดูกให้แข็งแรง

ตัวอย่างของผักผลไม้สีขาว

ดอกกะหล่ำ, กะปล่ำปลี, กระเทียม, หอมหัวใหญ่, ไชเท้า, แห้ว, ลูกเดือย


ประโยชน์ของผักผลไม้นั้นมีมากมายเลยมั้ยล่ะครับ สังเกตุมั้ยว่าสิ่งหนึ่งที่ผักผลไม้แต่ละสีมีคือ ความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็ง แต่อย่าลืมด้วยนะว่าการจะนำผักผลไม้มาปรุงเป็นอาหารนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือทำความสะอาดให้สะอาดจริง ๆ เพราะเราไม่ทราบแหล่งที่มาและขั้นตอนการผลิต สีสันสวยงามที่เราเห็นอาจจะเต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง … ถ้าเราได้รับในปริมาณมาก ๆ จะสะสมและส่งผลเสียกับร่างกายได้ และไม่ใช่ว่าเห็นประโยชน์แล้ว จะกินแต่ผักอย่างเดียวนะ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ คาร์โบไฮเดรตจากแป้ง ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย … ทานทั้งทีต้องให้ครบห้าหมู่

โอกาสถัดไปผมจะมาเล่าประโยชน์ของอาหารชนิดอื่น ๆ ให้ฟังกันอีกครับ


บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่า สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้โดยต้องอ้างอิงแหล่งที่มาคือบทความนี้ และใส่ลิงค์กลับมาที่บทความนี้ทุกครั้ง

ภาพประกอบหัวข้อบทความ : Freepik

การแก้ไขปัญหา Err Too Many Redirect ใน เวิร์ดเพรส

0
การแก้ไขปัญหา Err Too Many Redirect ใน เวิร์ดเพรส

ใครที่ทำเว็บด้วยเวิร์ดเพรสแล้วมีการแก้ไข url ให้เป็นแบบที่ Search Engine ชอบ และมีการลง Plugin อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการปรับแต่ง URL, Redirect หรือแม้แต่ Firewall ต่าง ๆ ที่จะมีการแก้ไขไฟล์ .htaccess นั้น .. เมื่อทำการปรับแต่ง แก้ไขเข้าไปหลาย ๆ ครั้ง อาจจะเจอปัญหาว่า กดเข้าไปหน้าเว็บย่อย ๆ ไม่ได้ จะขึ้น Error ว่า : Err Too Many Redirect

การแก้ไขปัญหา Err Too Many Redirect ใน เวิร์ดเพรส

วิธีแก้ไข

เนื่องจากว่าสาเหตุของปัญหานี้นั้นค่อนข้างจะกว้าง ดังนั้นการแก้ไขในบทความนี้อาจจะไม่สามารถเป็นทางออกได้สำหรับของทุกคน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะใกล้เคียงกัน ลองทดสอบด้วยวิธีดังต่อไปนี้ดูครับ

1. ลบไฟล์ .htaccess ทิ้ง

2. เข้าไปแก้ไข Permalink ให้เป็นแบบ Plain ก่อน

การแก้ไขปัญหา Err Too Many Redirect ใน เวิร์ดเพรส

3. Deactivate ปลั๊กอินต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จำพวก Redirect, Firewall เป็นต้น

4. Clear cache ของเว็บไซต์ทั้งหมด

5. กลับไปแก้ไข Permalink กลับไปเป็นแบบเดิม

6. ทยอยลงปลั๊กอินที่จำเป็นต้องใช้งานใหม่อีกครั้ง


เพียงเท่านี้แหละครับ หากใครลองทำการแก้ไขตามนี้แล้ว ส่วนมากมักจะใช้งานได้ตามปกติ (ย้ำว่าส่วนมากนะครับ) … แต่บางกรณีถ้ายังไม่ได้อีกคงต้องตรวจสอบเป็นกรณีไป