สกุลเงินดิจิตอล หรือ Cryptocurrency มีสกุลใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ อันเดิม ๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงก็อยู่ได้ไม่นาน ก็จะล้มหายตายจากออกไปจากตลาด ถ้าให้นับจนถึงวันที่อัพเดตบทความนี้ (ปี 2021) ผมเห็นเงินดิจิตอลในตลาดราว ๆ 3-4 พันสกุลเลยทีเดียว
การเกิดใหม่ของสกุลเงินคริปโตแต่ละตัว จะมีขั้นตอนแตกต่างกัน เท่าที่สรุปได้จากประสบการณ์จะมีประมาณนี้
- พัฒนาจาก Source Code เดิม โดยเอาสกุลเงินเดิมมาพัฒนาเพิ่มในแนวทางของตัวเอง แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นเหรียญใหม่ นับใหม่จากศูนย์
- Hard fork
- Soft fork
ในบทความนี้เราจะไปทำความรู้จักกันนิดหน่อยเกี่ยวกับ Hard fork และ Soft fork

Hard Fork
“Hard Fork” คือการสร้างระบบใหม่ที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบเก่าได้ แต่มูลค่าเงินที่เคยมีจากระบบเดิมก็จะยังคงอยู่
ตัวอย่าง
- Ethereum ที่เคยโดนแฮ๊คระบบไปช่วงเริ่มต้นได้ไม่นาน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทีมงานได้แก้ไขโดยการทำ Hard Fork โดยการพัฒนา Source Code ใหม่ ปรับปรุงช่องโหว่ให้ดีขึ้น และเอาข้อมูลการเงินเดิมที่เคยมีมาใช้งานต่อ สุดท้ายแล้วผลลัพท์จากการ Hard fork ครั้งนั้นก็คือ ผู้ใช้งานก็ยังคงมีเงินเหลือเหมือนเดิม แต่ระบบข้างหลังเป็นของใหม่แล้ว
** หลังจากที่การทำ Hard Fork ของ Ethereum ผ่านไปได้ด้วยดี มีนักพัฒนาบางกลุ่มแตกตัวออกมาพัฒนา Ethereum Classic (ETC) ซึ่งเอาข้อมูลเดิมมาใช้งานต่อนั่นแหละ ในตอนนั้นจึงทำให้มีข้อมูล 2 ชุด ใครที่มี ETH เดิมก่อนหน้า ก็จะมี ETH ในระบบใหม่ด้วย และ มีใน ETC ด้วย **
- Ethereum (ETH) : คือ สกุลเงิน Ethereum ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้ว
- Ethereum Classic (ETC) : คือ สกุลเงิน Ethereum แบบดั้งเดิม สำหรับคนที่ยังหลงไหล Ethereum แบบเดิม
วิธีการ Hard Fork ก็คือการเข้าไปแก้ Source Code ของระบบเก่าที่มีอยู่แล้ว ในส่วนของข้อกำหนดความเข้ากันได้ เพื่อให้เกิดระบบใหม่แยกออกมา จากนั้นก็ตั้งชื่อคอยน์ แล้วเปิดรันระบบ กลายเป็นคอยน์ตัวใหม่
Soft Fork
Soft Fork จะว่าไปมันก็คล้าย ๆ กับ Hard Fork แต่มันเบากว่านิดนึงคือ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เคยใช้งานใน Blockchain เดิม เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เจอในระบบ เช่น เพิ่มขนาด Block หรือเปลี่ยน Protocol ใหม่ เป็นต้น ซึ่ง Block เดิมก็ยังคงใช้งานได้เหมือนเดิม
Soft Fork vs Hard Fork
