เมื่อวานมีพี่คนนึงพูดถึง #ทีมออสเตรเลีย ว่ามาวีซ่านักเรียน แล้วได้แต่งงานอยู่ที่นี่ เพื่อนเลยยุให้มาแชร์บ้างค่ะ ตอนเรามาก็วีซ่านักเรียนเช่นกัน (แต่โพสต์นี้เป็นเรื่องเล่าของเราที่โพสต์ไว้ในกรุ้ป หาสามีแล้วย้ายประเทศกันเถอะ topic เกี่ยวกับ dating app ค่ะ )
เอาล่ะค่ะ เริ่ม!
วันนี้จะมาพูดถึง dating app ที่ไม่ใช่ Tinder ค่ะ ขอเกริ่นก่อนว่า เรา #ทีมออสเตรเลีย นะคะ ตอนนี้เป็น PR อยู่ออสเตรเลียจากวีซ่า Partner ค่ะ
2013
เริ่มต้นมาจากว่า เรียนจบป.ตรี ศึกษาศาสตร์ พอใกล้จะจบก็ยังเคว้งคว้างอยู่ค่ะว่าจะทำอะไรดี เป็นช่วงรอสอบบรรจุด้วยระหว่างนั้นก็ได้ไปลงเรียนภาษาอังกฤษที่ British Council ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมค่ะ ซึ่งทางบริทิชก็จะมีคอร์สที่แบบว่าเรียนทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ วันละ 3-4ชั่วโมง พอเรียนบริทิชไปเดือนนึงรู้สึกชอบมาก enjoy มาก (สมัยม.ปลายเวลาไปเรียนติวเตอร์มักจะขี้เกียจ โดดไปเดินเล่น แต่นี่ไม่เลยค่ะ ไปทุกวัน ไม่โดดเลย)
พอได้เรียนได้ฝึกทุกวัน มันต่อเนื่องดีมาก ๆ มั่นใจในสกิลภาษาตัวเองขึ้นมาในระดับที่ว่าอยากจะเดินเข้าไปหาฝรั่งที่กำลังดูแผนที่ แล้วช่วยบอกทางให้ แต่พอมาคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ก็แพงใช้ได้เลยค่ะ ประกอบกับว่าตอนนั้นมีเพื่อนไปเรียนภาษาอยู่อเมริกา 1 คน อยู่ออสเตรเลีย 1 คน เลยพอจะมีข้อมูลค่าที่จะเอามาเปรียบเทียบกัน จำไม่ได้แล้วว่าที่บริทิชราคาเท่าไหร่ แต่รู้ว่าออสเตรเลียค่าเรียนสัปดาห์ละ $250 ในตอนนั้น ดอลละ 30 บาท
พอมาเทียบกับบริทิชแล้วคือที่ออสแพงกว่าประมาณเดือนละ 7-8 พัน แต่พอเลิกเรียนแล้วก็จะต้องแวดล้อมอยู่กับสถานการณ์การใช้ภาษาจริง ได้ใช้ทักษะที่เรียนมาจริง ๆ
เลยเอาข้อนี้ไปบอกพ่อค่ะ ตอนนั้นพ่อก็เห็นว่าภาษาอังกฤษสำคัญ ประกอบกับมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่แล้ว1คน ทางบ้านจะได้ไม่ต้องห่วงมาก เพื่อนช่วยหาห้องให้ แล้วก็ย้ายมาแชร์ห้องอยู่ด้วยกัน พ่อก็อนุมัติแบบงง ๆ ค่ะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
จ่ายเงิน ขอวีซ่า บิน
AUG/2013
มาถึงออสเตรเลียด้วยความมั่นใจว่าภาษาอังกฤษชั้นดีในระดับนึงแหละนะ พอมาเจอพี่แท็กซี่ เป็นอินเดีย จอดเลยค่ะ 555555 ยื่นมือถือให้ดู map แล้วบอกไปที่เนี่ย จบ … ตอนนั้นแม่มาส่ง ก็เที่ยวก่อนค่ะ ช่วงแรก ๆ
พอเริ่มเรียน เริ่มหางานทำ ก็ไม่มีอะไรหวือหวามาก ตอนนั้นกะมาแค่ 6 เดือนค่ะ มาถึงเดือนแรก เลิกกับแฟนที่ไทย บายยยย ร้องไห้อยู่แป้บนึงพอเป็นพิธีว่าคบกันมาสามสี่ปี จากนั้นก็ enjoy life เลยค่ะ 555555 มีแฟนคนแรกเป็นฝรั่งเศส รวบรัดตัดความก็คือนางมาเรียนโทแล้วต้องกลับไปทำเรื่องจบกับมหาลัยที่ฝรั่งเศส เลยขอวีซ่าอยู่ต่อไม่ได้ long distance กันอยู่เป็นปี สรุปไม่รอด เค้าไม่มา และไม่คิดจะเอาเราไป ก็เลยต้องจบค่ะ
จากนั้นก็หลั่นล้าอยู่พักนึง
จนวีซ่าจะหมด แต่ยังไม่อยากกลับ
2014
ก็เลยขอวีซ่าลงเรียนต่อ เรียนเกี่ยวกับ early childhood education ค่ะ เพราะจบครูมา จนกระทั่งวีซ่าจะหมดอีกรอบ คราวนี้กะจะกลับไทยละค่ะ เบื่อ ทำงานเป็นแรงงานต่างด้าว จ่ายค่าเช่า ค่าเทอม ค่ากินค่าใช้สารพัด
ไม่มีอะไรจะเสียละ ก็เลยลองโหลดแอพมาเล่นดูค่ะ
ตอนนั้นกะเก็บเงินซักนิดก่อนกลับ เลยทำงานหนักมาก ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ไม่ค่อยเจอผู้คน ส่วนตัวคิดว่าคนเรามันจะไปเจอใครที่ไหนได้ยังไงวะ ถ้าแบบไม่มีเพื่อนแนะนำ เดินสวนกันในห้างแล้วเข้าไปขอเบอร์งี้หรอ 55555
คือมันต้องมีคนแบบเราบ้างแหละ ในแอพอ่ะ สรุปว่ามันมีจริง ๆ ค่ะตอนนั้นวางแผนว่าจะกลับช่วงพฤศจิกายน เจอหลัวตอนสิงหาค่ะ
2015
มาถึงแอพที่ว่านี่ 55555 ชื่อ Happn ค่ะ มันจะใช้โลเคชั่นเราเลือกคนที่ขึ้นมาให้เราปัดค่ะ คือสมมติว่า เรายืนอยู่ที่สถานีรถไฟ แล้วผู้ที่เล่นแอพนี้เหมือนกันอยู่บนรถไฟที่จอดฝั่งตรงข้าม มันก็จะขึ้นมาให้เราปัด
ตอนนั้นรู้สึกว่าดีกว่า Tinder นิดนึง Tinder นี่จะนัดเย~อย่างเดียวเลยค่ะ
edit :
เพิ่มเติมค่ะ แอพ happn เนี่ย พอเริ่มคุยกันมันจะบอกด้วยนะคะว่าเราเคยสวนกันที่ไหน ของเราเจอกันที่ใต้สะพานทางด่วนแถว South Melbourne ค่ะ คือเรากำลังเดินไปห้าง แล้วแฟนกำลังขับรถไปทำงานอยู่บนทางด่วน 555555555
—————————————————————
ตอนนั้นก็อย่างที่บอกว่าทำงานหนักมาก กะจะกลับไทยละ โหลดมาก็สองวันออนที ไม่ค่อยเล่นจนผู้ต้องสะกิดมา 555555 สวยมากกกกก จนได้เริ่มคุยกันค่ะ คุยมาได้ประมาณ 3 เดือน กำลังดีมากกกก
ชิปหายละ!! วีซ่าจะหมด!!
เอาไงดีล่ะ เพิ่งจะคบกันแค่สามเดือนเอง เราก็เลยถามเค้าตรง ๆ ค่ะ ว่าจริงจังกับเรามั้ย เราควรจะต่อวีซ่ามั้ย (กุ high risk แล้วกุจะ high return มั้ย อันนี้คิดในใจ 5555555) นางบอกว่าอะไรจำไม่ได้ แต่สรุปว่า ต่อวีซ่าค่ะ คราวนี้เรียน early childhood education เหมือนเดิม แต่วุฒิสูงขึ้นเป็น Diploma เพราะคิดว่าถ้าอยู่ที่นี่จะได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว เข้างานเช้าเลิกงานเย็นเป็นเวลาเหมือนกัน (ร้านอาหารเข้างานเย็น เลิกดึกค่ะ จ่ายก็ไม่ค่อยดี)
2016
คุยกันได้ 6 เดือนก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ระหว่างทางก็เรื่อย ๆ เลยค่ะ ระหว่างที่คบกัน เราถามเค้าว่าเราเริ่มเก็บเอกสารดีมั้ย ถ้าเลิกกันมันก็เป็นแค่กระดาษ แต่ถ้าถึงเวลาที่จะทำวีซ่าจริง ๆ เราจะได้มีหลักฐานเตรียมไว้บ้าง
2017
แล้วก็มาถึงเรื่องการขอวีซ่า เราเคยแชร์บ้านอยู่กับคนรู้จักคนนึง ตอนนั้นนางกำลังทำวีซ่าเหมือนกัน นางเครียดมาก เหมือนจะเป็นบ้าเลยค่ะ เอกสารเยอะแยะมากมาย ปวดหัว บางอย่างในเว็บ immigration ก็จะบอกกว้าง ๆ ค่ะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เช่น financial บางคนก็บอก bank statement บางคนก็บอก บิลค่าใช้จ่าย
สุดท้ายแล้ว ตอนยื่นวีซ่า เราใช้เอเจ้นค่ะ
เอเจ้นจะส่ง checklist มาให้ ว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง เราก็แค่อัพโหลดไป แล้วเอเจ้นเอาไปเรียบเรียงให้เองค่ะ ค่าวีซ่า $8000 + ค่าเอเจ้น $2,500
2018
พอทำวีซ่าแล้ว มันก็เขยิบมาเรื่อย ๆ ค่ะ 5555555 เราก็ถามเค้าอีกว่า หมั้นมั้ยเราอยู่นี่คนเดียว ตัวคนเดียว เราอยากมั่นใจ เราอยาก feel secure นะ วาเลนไทน์ก็เลยพาไปซื้อแหวนค่ะ (ไม่ต้องเซอร์ไพรส์นะ อยากได้คาร์เทียร์555555555) เป็นคล้าย ๆ promise ring ค่ะ แต่มันก็กลายเป็นการหมั้นไปโดยปริยาย พอหมั้นปุ้บ งานแต่งงานมันก็เริ่มเข้ามาในหัว
2019
วีซ่าออก ผ่านค่ะ รอมา 11 เดือน เราจดทะเบียนที่นี่ในวันครบรอบที่เจอกันวันแรกค่ะ Anniversary จะได้เป็นวันเดียวกัน สิ้นปีก็ไปจัดงานที่ไทย
2020
ซื้อบ้าน ท้อง มีลูก
2021
To be continued ค่ะ
สำหรับใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ จงจำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน แต่ High risk ก็ High return นะคะ 5555555555
edit :
เผื่อใครสนใจมาลงทุนที่นี่ ตอนเรามา ค่าใช้จ่ายประมานสองแสนห้าค่ะ ตอนนั้นดอลละ 30 บาท มีค่าเรียนภาษา 6 เดือน ค่าวีซ่า ค่าตรวจสุขภาพ ค่าประกันสุขภาพ ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเช่าบ้านเดือนแรก ค่ากินอีกนิดหน่อย (หลังจากนั้นก็ทำงานเก็บเงินต่อวีซ่า จ่ายค่าเรียนเองค่ะ) แต่ตอนนี้ค่าเงินลงมาอยู่ที่ดอลละ ยี่สิบกว่า ๆ 22~25 ก็น่าจะถูกลงไปอีกค่ะ
ประกอบกับมีโรงเรียนใหม่ ๆ เยอะแยะ ราคาก็จะต่างกันไป ตอนมาเราใช้เอเจ้น IDP ค่ะ เค้าไม่ได้คิดตังเพิ่ม เพราะเค้าได้ส่วนแบ่งจากทางโรงเรียนแล้ว ตอนนี้เอเจ้นก็มีมากมายอีกเช่นกันค่ะ แนะนำใช้เอเจ้นที่เชื่อถือได้นะคะ มีออฟฟิศ มีประสบการณ์ มีคนพูดถึงค่ะ
นอกจากหาหลัวแล้ว พอมาถึงที่นี่ มันก็มีวิธีอื่น ๆ ที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกค่ะ ยากหน่อย แต่เชื่อว่าถ้าพยายาม ทุกคนทำได้ เพราะตอนแรกเราก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน เรามีเพื่อนที่เคยเรียนที่เดียวกัน อยู่ที่นี่หลายคนแล้วค่ะ
คร่าว ๆ คือ
- เรียนเชฟ : หาร้านอาหารสปอนเซอร์
- เรียน early childhood education แบบเรา : หาที่ทำงานในชนบท (rural area) ให้ที่ทำงานสปอนเซอร์ อยู่กับที่ทำงานนั้นประมาณ2-3ปีก็จะได้ PR ค่ะ
- เรียนต่อในระดับที่ปริญญาตรี/โท/เอก : สามารถขอวีซ่าถาวรได้ในสาขาที่ขาดแคลน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว กฏของวีซ่ามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาค่ะ ขึ้นอยู่กับดวงด้วยส่วนนึงว่าเรียนจบสาขาที่ว่าแล้ว จะสามารถหาสปอนเซอร์หรือยื่นวีซ่าในสาขานั้น ๆ ได้หรือไม่
ขอให้ทุกคนโชคดี
เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย