#ทีมอเมริกา #AuPairs
สวัสดีคะเราชื่ออุ้มหมีคะ สิงอยู่ในกลุ่มนี้มาสักพักละแหละ และเราก็คิดอยากย้ายไปเริ่มต้นใหม่ที่เมืองนอกเช่นกัน เราคิดมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเราอยากมีสามีฝรั่งและมีชีวิตที่ต่างประเทศ (แม้จะไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ ฉันก็จะไป) อ่านมาหลาย ๆ คนไม่รู้จะไปเริ่มจากตรงไหนสำหรับคนที่อยากไปเมกา แล้วไม่มั่นใจว่าตัวเองจะใช้ชีวิตที่เมกา (หรือต่างประเทศ) รอดไหม มันต้องใช้เงินมากแน่ๆเลยในการบินไปใช้ชีวิตที่นู้น เราขอแนะนำสำหรับคนอยากลองเปิดโลกให้ตัวเองก่อน ที่ใช้เงินไม่มาก และได้ connection ด้วยนะคะ
โครงการ Au Pair in America
Au Pair เป็นภาษาฝรั่งเศสคะ และเริ่มต้นมาจากทางยุโรป แปลว่า “ผู้ให้” (จากที่เราเรียน Au Pair class มานะคะ) เราคือ Nanny-live in ที่มีฐานะเป็นสมาชิในครอบครัว ดูแลลูกให้โฮสแฟมมิลี่ ทำหน้าที่เกี่ยวกับเด็กเท่านั้น ไม่รวมงานบ้านหรือใช้แรงงานหนัก ชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 45 ชม./สัปดาห์ ค่าแรงรายสัปดาห์ $195.75 ก่อนหักภาษี (เราต้องหักเก็บเองไปจ่ายปลายปี 15% ปลายปี ไม่มีส่วนลดใด ๆ ร้องไห้)
ต้องได้หยุดติดกันสองวันต่อสัปดาห์ ทำงานไม่เกิน 10 ชม./วัน และเราจะมี area director ของเอเจนซี่ดูแลให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือ (ซึ่งบางทีเค้าก็ไม่ได้ช่วย) จัดกิจกรรมมิตติ้งให้เจอกับออแพร์คนอื่น ๆ ที่มาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ได้มารู้จักกัน แลกเปลี่ยนภาษา วัฒนธรรมกัน บางคนได้เพื่อนสนิทมาก ๆ มาด้วยทั้ง ๆ ที่พูดต่างภาษากันเลย (เราก็มีเพื่อนสนิทเป็นโคลอมเบีย)
คุณสมบัติ(Au Pair in America)
- จะเป็นเพศไหนก็ได้
- อายุ 19-27 ปี (วันก่อนบิน)
- การศึกษาขั้นต่ำมอปลาย
- ไม่เป็นผู้มีคดีใด ๆ ติดตัว ความประพฤติดี
- สื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันพื้นฐานได้ ไม่ต้องเก่งมากแต่ฟังรู้เรื่องและสื่อสารในชีวิตประจำวันได้
ไปยังไง?
โครงการนี้มีทั้งในแถบยุโรป NZ AU ค่าแรง, ชั่วโมงการทำงานในแต่ละทวีปก็จะต่างกันไป สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AuPairWorld คะ แต่เราจะพูดถึงของเมกาอย่างเดียวนะคะ ข้อกำหนดมีดังนี้
- เราจะได้ Visa J1 ไป อยู่ได้สูงสุด 2 ปี
- ต้องเรียนให้ได้ 60 ชม./ปี และโฮสจะเป็นคน support ค่าใช้จ่ายให้เรา $500 ต่อปี จะลงเรียนอะไรก็ได้ ถ้าค่าเรียนมากกว่านั้นจ่ายเอง และต้องไม่กระทบกับตารางงานหรือความเป็นอยู่กับคนในบ้านด้วย เพราะเราไปทำงานให้เค้านะจ๊ะ ซึ่งที่เรียนอาจจะเป็น community collage, university หรือ Au Pair class สำหรับบ้านที่ตารางงานโฮสยุ่งมากแล้วเราออกไปเรียนไม่ได้ หรือบ้านอยู่นอกเมืองแถวบ้านไม่มีที่ให้เรียน ก็ลงเรียนอันนี้ไปแล้วได้หน่วยกิจครบเลยและใช้เวลา 4-6 วันเท่านั้น จบคะนอกนั้นก็ไปเที่ยว
- ต้องมากับ Agency เท่านั้น เราไม่สามารถไปหาโฮสเองได้นะคะ
ขั้นตอน
- หา Agency ที่ทางเมการับรองก่อน เช่นกันหาข้อมูลเพิ่มได้ที่ AuPairWorld ลองหาดูว่าที่ไหนมีสาขาในประเทศไทยบ้าง และค่าสมัครเท่าไหร่ อะไรที่เราต้องจ่ายเองและเอเจนจ่ายให้ เราไปกับ AuPairCare (นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ และไม่ได้บอกว่าเป็นเอเจนที่ดีที่สุดนะคะ)
- เราต้องไปเก็บชั่วโมงการเลี้ยงเด็กให้ได้หลากหลายช่วงอายุคะไม่ว่าจะเป็นหลานๆเด็กๆในบ้าน สถานรับเลี้ยงเด็ก Daycare โรงเรียน เราจำขั้นต่ำไม่ได้ว่ากี่ชั่วโมงนะคะ แต่หลักร้อยอยู่แต่ไม่ถึง 300 เพราะเราไปเลี้ยงเด็กคะ เค้าจะไม่มาสอนว่าเลี้ยงลูกเค้ายังไง เค้าจะแค่บอกตารางเราว่าเริ่มงานกี่โมง/เลิกงาน ลูกเค้าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน และสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังคืออะไร และเค้าโอเคกับการเลี้ยงลูกแบบไหน ลูกเค้าจัดการในรูปแบบไหนได้บ้างถ้าน้องดื้อหรือไม่ฟัง(แต่ห้ามตี หยิกนะคะ ผิดกฎหมาย) น้องกินอะไรได้บ้าง แพ้อะไร และปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- เก็บชั่วโมงเสร็จแล้วก็มาลองหัดสัมภาษณ์เป็นภาษอังกฤษคะ และทำ profile เหมือนสมัครงานเลยคะ ต้องมีรูป วิดีโอแนะนำตัวสั้น ๆ ไม่เกิน 3-5 นาที อันนี้ละคะสำคัญเพราะเค้าไม่เคยเห็นเรามาก่อนเลย เราจะต้องแสดงความเป็นตัวตน จุดเด่นของเราออกมาให้มากที่สุดคะ อันนี้พี่ๆที่เอเจนก็จะช่วยด้วย แต่ทั้งหมดหน่ะคือเราต้องทำเอง
- ตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
- ส่งข้อมูลเราทั้งหมดให้ทางเอเจนฝั่งเมกาตรวจสอบและบอกว่าโอเคเราเป็นคนดีนะ คุณสมบัติเราครบ ทำงานได้ ทีนี้ละคะมันคือการสมัครงานและนั่งลุ้นว่าจะมี Host family มารีวิวมั้ย
- Online เอกสารคะ และสัมภาษณ์กับ Host family เราไม่สามารถเลือกรัฐได้นะคะอันนี้ต้องทำใจ บางทีบ้านดีๆก็ไม่ได้อยู่ในเมือง แต่บ้านที่อยู่ในเมืองก็จะทำให้เราลำบากใจ พอเราตกลงกับโฮสแล้วว่าโอเคเรารับเธอมาอยู่กับเรานะ จากนี้ก็ไปสัมภษณ์วีซ่าที่ American Embassy คะ จุดนี้ละคะ ทำบุญเยอะ ๆ ภาษาต้องฟังให้ออกว่าเค้าถามอะไร อันนี้ตอนสัมภาษณ์วีซ่านั้นตื่นเต้น หูดับ ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่า “เธอต้องไปปรับปรุงภาษานะ” โอเคเราก็ได้วีซ่ามา เย้! พร้อมกำหนดวันบินคะ อันนี้เราต้องคุยกับโฮสด้วยนะว่าเราสะดวกช่วงไหนแล้วโฮสต้องการคนช่วงไหน เพราะบางทีเราต้องมาต่อกับคนที่อยู่มาก่อนเราด้วยเพื่อส่งต่องานกันและปรับตัวในบ้าน
- ได้วีซ่ามาแล้ว เก็บกระเป๋าพร้อมสำหรับ 1 ปี และของฝากให้โฮส ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ไม่ต้องห่วงคะ เอเจนออกให้ได้ชั้น Economy นะคะ ตอนนั้นเราบินไปกับ JAL ประทับใจไม่รู้ลืม สัญญาว่าจะไปกับ JAL อีก
สงสัยเรื่องค่าใช้จ่ายสินะได้คะ ขอบอกคร่าว ๆ แบบไม่ละเอียดนะคะ เพราะจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ไม่เจ็บเท่าไหร่ - ค่าโครงการประมาณ 35,000 บาท ไม่รวมค่าทำเรื่องขอวีซ่าที่ปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลาและค่าเงิน USD ตอนนั้น และมีเงินในบัญชีเกือบๆแตะแสนบาท แต่เราเตรียมไปแสนนึง หลังจากนั้นก็คืนพ่อคืนบัตรเครดิตไป และเหลือติดตัวมา $500 ให้พอได้ซื้อเสื้อกันหนาวหรือฉุกเฉินตอนเดินทาง ที่จ่ายเองก็เกือบแสนเหมือนกัน ถือว่าไม่แพงสำหรับเวลา 2 ปีที่ไปโบยบิน ไปใช้ชีวิต มี connection with host families ได้ภาษา ถึงไม่มีลูกเอง ไม่ได้มีครอบครัวเองแต่เข้าใจถึงความเป็นไปของครอบครัว ได้เห็นการเติบโตของเด็กในระยะเวลา 1-2 ปีที่ได้อยู่กับเค้าและเชื่อมั้ยว่าเด็กก็ทำให้เราโตไปกับเค้าด้วย(แต่โครงการกำหนดให้เราต้องอยู่ครบ 1 ปี นะคะถึงจะได้ใบประกาศ)
ข้อดีของการเป็น Au Pair
- แน่นอนว่าเราจะได้อยู่ในระแวกบ้านที่ปลอดภัย และคนที่เอเจนหรือด้านความปลอดภัยตรวจสอบ background check มาแล้วว่าเป็นคนไม่มีคดีหรือทำอะไรผิดกฎหมายหน่ะ (แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะไม่เอาเปรียบ และนิสัยดีนะ)
- บ้านไม่ต้องเช่าคะ เพราะอยู่กับโฮส และเอเจนกำหนดมาแล้วว่าเราต้องมีห้องส่วนตัวที่ปลอดภัยและเป็นสัดส่วนคะ ข้าวไม่ต้องซื้อ แต่อันนี้คุยกันดี ๆ นะคะ มีบางบ้านให้ซื้อเองจากเงินอันน้อยนิดของเรา
- มีรถขับคะ และมันจะทำให้เราต้องสอบใบขับขี่ที่นู้นคะ มันคือความภูมิใจของเราอันนี้ เพราะมันไม่ง่ายเหมือนไทย มีเรื่องมาโม้ตอนกลับบ้านด้วย เราจะได้นิสัยดี ๆ ในการขับรถมา (อันนี้ขึ้นอยู่กับบ้านนะคะว่าเค้า provide ให้เรามั้ยเรื่องนี้ ถ้าไม่ก็ Uber/Lyft ไปนะคะ บางบ้านก็จ่ายให้เลยเป็นสัปดาห์ไป)
- อิสระดีคะ เราต้องตัดสินใจและกล้าที่จะพูดจะบอกกับโฮสว่าเราเจอปัญหาแบบนี้ เราคิดแบบนี้นะกับเรื่องเลี้ยงลูกเค้า เค้าสามารถช่วยอะไรเราได้บ้างและเราต้องกล้าที่จะแสดงความเห็นและวางแผนคะ
- ได้เรียนในวิชาที่ไม่เคยเรียนใน continuing school เธอ มีวิชาหัดพูดต่อหน้าคนหมู่มาก วิชาใช้มีดในครัว หางานที่ใช่กับชีวิตที่ชอบ (อันนี้ออกแนว mindfulness นิดนึง) เต้น Zumba (ใครจะไปเชื่อว่าเต้น Zumba ก็เก็บหน่วยกิจได้) อะไรแบบนี้ หรือวิชา Amish Country อ่ะเธอเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐ Philadelphia ที่แบบบ้านไม่ใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ และยังเดินทางด้วยรถม้าอ่ะ ใครจะไปเชื่อว่าในเมกายังมี อันนี้เปิดโลก
- USA ไม่ได้มีแค่ NYC, LA, SF นะจ๊ะ 5555 ข้างนอกเค้ามีป่าให้ไป Hiking มี National park ให้ไปดูสัตว์ หรือต้นไม้ หรือแค่ทะเลทรายอันเวิ้งว้างและมีป้ายบอกว่า “Do not die today” stay hydrate อะไรแบบนี้ เราค้นพบกิจกรรมยามว่างของเราใหม่ๆนอกจากการไปเดินห้าง ซื้อของ shopping
- จากที่ไม่เคยทำกับข้าวให้ใครทานได้ นี่คะหัดทำให้น้องตัวเล็กและเก่งมากขึ้นจนทำให้โฮสหรือญาติโฮสที่มาเยี่ยมบ้านได้ทาน ทุกคนชมและยังคิดถึงอาหารของดิฉัน และยังติดตัวกลับมาจนถึงไทยเราสามารถแบ่งเวลาทำอาหารกินที่บ้านเองได้ ไม่ต้องซื้อกินทุกมื้อ เพราะคนที่นู้นกินข้าวนอกบ้านทุกวันแพงคะอย่างน้อย $15-$30 แยกทิป 15% ไปอีก ไม่จ่ายมีโดนตามทวงนะคะ
ข้อเสีย
- เหงาคะ วัน ๆ คุยกับแต่เด็ก
- เดินวนในครัว ห้องซักผ้า ห้องนอนเด็กคะ
- ใครเคยทำงานแล้วเลี้ยงตัวเองมาตลอด และเวลาของของเราไม่ต้องไปขึ้นกับใคร คราวนี้ละคะตารางงานเราจะขึ้นอยู่กับตารางชีวิตของโฮสด้วยคะ ถ้าบ้านไหนมีพักร้อนเยอะก็ดีไปได้หยุดเยอะ แต่บ้านไหนขยันทำงานมาก ๆ เราก็จะเหนื่อยไปด้วยเพราะลูกเค้าส่วนใหญ่จะอยู่กับเราคะ
เมืองนอกมันไม่ได้สวยหรูแบบในหนัง ถ้าเราไปอยู่แล้ว และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราแล้วเราพยายามแก้แล้วมันก็ยังไม่ใช่ หรืออยู่แล้วไม่มีความสุข ก็แค่ “กลับบ้าน” คะถ้าพร้อมแล้ว แข็งแรงพอแล้วก็ออกไปใหม่ได้คะ ถ้าถามเราว่าทำไมไม่อยู่ต่อละดูมีความสุข ชีวิตก็ไม่ได้แย่เลยนะ ตอนนั้นตอบได้แค่ว่า “ฉันทำตามที่ฉันอยากทำหมดแล้ว และพ่อแม่เราเค้าคิดถึงเรามากแล้ว และเค้าต้องการให้เราอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เค้ายังไม่รู้เลยว่าเค้าจะผ่านการผ่าตัดที่เค้าไม่เคยผ่านมาเลยตลอดชีวิตได้มั้ย”
แล้วถ้าถามต่อว่าจะกลับออกไปโบยบินมีชีวิตเป็นของตัวเองอีกมั้ย “ไปคะ ถ้าได้ไปอีกครั้งจะไม่กลับมาอีกแล้ว และต้องไปในฐานะที่ดีกว่าเดิม และสามารถพาคนที่บ้านเราไปได้ด้วยถ้าเค้ายอม” ถ้าได้ออกไปให้ไปพบเจอผู้คนเยอะ ๆ คะ คุยกับเค้าเยอะ ๆ (พัฒนาทักษะการเข้าสังคม) ไปเที่ยวเยอะ ๆ ไปอ่านหนังสือเยอะ ๆ (ที่เมกาห้องสมุดคือดีมาก เราสามารถอยู่ในนั้นได้ทั้งวัน)
ตอนจะลาออกจากงานที่ไทย (เราเป็นพยาบาลคะ) ที่เงินเดือนมั่นคง เลี้ยงดูตัวเองและพ่อแม่ได้ ก็คิดหนักนะคะ แต่รู้แค่ว่าถ้าไม่ทำตอนนี้ (ตอนอายุ 25) อายุมากกว่านี้พ่อแม่เราก็ต้องการเรามากขึ้นเพราะเค้าก็อายุมากขึ้น เค้าอยากให้เราอยู่ใกล้ ๆ เราจะมาลองผิดลองถูกไม่ได้แล้วนะ ยื่นใบลาออกคะ โอกาสดี ๆ เวลาดี ๆ ไม่ได้มีมาบ่อย กลับมาตอน 27 ก็ยังไม่แก่มากก็ยังกลับมาหางานทำต่อที่ไทยได้อีกนิดก่อนออกไปอีกครั้งแบบถาวร
ขอบคุณที่อ่านจนจบคะ ยาวมากเลย
ปล.เราไป Washington, California, New York คะ เที่ยวไป 5 รัฐ ใช้เวลาสองปีในการไร้สาระนี้ 55555 ตอนนี้กลับมาทำงานที่ไทยแล้วคะ เป็นพยาบาลอยู่ที่สมุย อย่างน้อยก็ยังได้ใช้ภาษาอังกฤาในการทำงานต่อ จะได้ไม่ลืมกัน