Sunday, October 26, 2025
Home Blog Page 19

ว่าด้วยเรื่องนิสัยคนไทยเมื่ออยู่ต่างประเทศ

0
ย้ายประเทศ

อยากถามพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศหน่อยค่ะ ในการทำงานที่ ตปท นิสัยอะไรบ้างที่มันโคตรไทย ที่มันติดตัวเราไป ที่เราเคยมองว่ามันปกติ แต่มันดันเป็น Thai Culture ที่ชาวต่างชาติต้องมองบนใส่

.

เช่น . . การมาสาย 5 นาที 10 นาที

แต่คนไทยรู้สึกเฉย ๆ (ก็แค่5นาทีเอง)

.

ช่วยเบิกเนตรหน่อยค่ะ นอกจาก Hard Skill แล้ว Soft Skill ก็อย่าได้แผ่ว จะเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ ซ้อมไว้ก่อน

#####################

ขออนุญาติสรุปให้ จากความคิดเห็นหลาย ๆ ท่าน ซึ่งเป็น #วัฒนธรรม จากหลาย ๆ ประเทศนะคะ บางท่านไม่ได้ระบุว่าประเทศไหน ดังนั้น โปรดศึกษาเพิ่มเติม และ ใช้วิจารณญาณเราจะ #ไม่เหมารวม เนอะ ว่า #คนประเทศไหนเป็นยังไง เน้นอ่านเพื่อนำมาปรับใช้นะคะ

.

#ย้ำว่าคือการสรุปนะคะ

.

ไม่ได้คิดเอง ไม่ได้พยายามจะสอนใคร ที่นั่งพิม ๆ นี่ก็เข้าตัวหลายข้อเลยเด้อ

#####################
  1. นิสัยขี้เกรงใจ อะไร ๆ ก็ yes sure ok ซึ่งจะทำให้เสียเปรียบได้ในบางสถานการณ์
  2. ยิ้มเก่ง สมมง thailand land of smile ยิ้มทุกสถานการณ์ จนดูเหมือนเสแสร้ง ไม่จริงใจ บางครั้งโดนตำหนิ ที่ทำงาน แล้ว ยิ้มแก้เก้อ ถือว่าไม่มีมารยาท ไม่จริงจัง และ ไม่รู้สึกผิด ยิ้มเยอะเกินไป ฝั่งตรงข้ามรู้สึกว่าเราเยาะเย้ยและยังดูไม่โปร ดูอ่อนแอ
  3. การเอาความคิดตัวเองไปยัดเยียดให้คนอื่น เช่น ผัดไทยอร่อยนะ กินสิ พอคนอื่นเค้าว่าไม่อร่อยก็ไปหาว่าเค้าแปลก เป็นต้น . .
  4. เวลาฝรั่งพูดแล้วเราฟังไม่ทัน แต่เราทำเหมือนเป็นเข้าใจ Yes Yes ให้มันผ่านไป เวลาเค้ามารู้ที่หลัง เราจะคือไม่จริงใจ ทันทีเด้อ ไม่เข้าใจต้องบอกว่าไม่เข้าใจ แล้วขอให้เค้าพูดให้ช้าลงหน่อยแทน
  5. เวลา Hang Out การก้มเล่นมือถือนาน ๆ เราอาจจะถูกมองว่าเป็นคนน่าเบื่อ ฝรั่งจะเน้นพูดคุย แลกเปลี่ยนกันมากกว่า ก้มเล่นโทรศัพท์
  6. เวลาคุยด้วยต้องสบตา คู่สนทนา คนไทย ไม่กล้าสบตา โดยเฉพาะ กับผู้ใหญ่ หรือ หัวหน้า เพราะจะดูเหมือน ก้าวร้าว แต่ฝรั่ง ถ้าเราหลบตา ก้มหน้า จะแสดงถึงความไม่จริงใจ
  7. การทำงานต้อง ขี้สงสัย กล้าถาม ต้องเรียนรู้งานเอง ไม่มีระบบพี่เลี้ยง ตำแหน่งต่ำกว่า ออกความคิดเห็นได้ ถ้าอยู่แบบเงียบ ๆ จะดูเป็นคนไม่มีไอเดียทันที
  8. เวลาประชุม ฟาดกัน ก็ฟาดกันหนัก ๆ แต่ก็จบในที่กระชุม มีอะไรคุยตรง ๆ ไม่มีไปล็อบบี้ทีหลัง ไม่มีนอกรอบ
  9. ยอมรับผิดขอผิดพลาดตัวเอง ไม่พยายามโบ้ยคนอื่น และซีเรียสกับข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อยของตัวเอง ไม่ใช่ชิว ๆ ยิ้มแก้เขิล
  10. ไม่ดูดบุหรี่ในบ้าน และ แยกขยะแบบจริงจัง
  11. การใช้เท้าเขี่ยของ หรือ ชี้สิ่งที่อยู่ด้านล่างคือเรื่องปกติ
  12. พูดจากับหัวหน้า หรือ คนอายุมากกว่า ไม่ต้องก้ม ต้องย่อ หรือทำนอบน้อม ฝรั่งจะดูเราว่าเป็นคนไม่มีความมั่นใจ
  13. ฝรั่งไม่กินขนม ชา กาแฟ ของดอง เม็ดก๋วยจี๋ อาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดบนโต๊ะทำงาน
    Edit : แต่!! มีหลายเสียงบอกว่าฝรั่งออฟฟิสตัวเองก็กินกันปกติ
  14. พูดถึงบุคคลอื่นโดยการบอก ตำแหน่ง แทน รูปลักษณ์ เช่น
    คนไทย : ป้าคนอ้วน ๆ ลุงคนเตี้ย ๆ น้องคนดำ ๆ
    ฝรั่งๆ : คนที่นั่งด้านขวา คนที่ใส่เสื้อแดง คนที่นั่งหัวโต๊ะ
  15. ปฏิเสธ เห็นต่าง ตรง ๆได้ ไม่มีใครมองว่า ไร้มารยาท หรือ ก้าวร้าว
  16. อย่าดูถูกคนไทยด้วยกันเอง
  17. ไม่มีการประจบ เหน็บแนม แซะ นินทา
    Edit : แต่ !!! บางคนบอก ไม่เกี่ยว สรุปเป็นทั้งโลก 55
  18. การที่เราทำหน้าที่เราเสร็จ ไปช่วยงานคนอื่นต่อ แปลว่า “เสือก” หน้าที่ใคร หน้าที่มัน
    Edit : ปล.ขึ้นอยู่กับบางสายงาน และ ประเทศ สามารถถามไถ่เป็นน้ำใจได้ แต่ไม่ควรก้าวก่าย
  19. ไม่มีอิสระในการ Custom อาหาร กระเพราหมูสับไม่เอาหอมใหญ่ ไข่ดาวกรอบ ๆ คือหมดสิทธิ์ ทำอะไรมา ก็กินอันนั้น นอกจากแพ้อาหาร
  20. การคุยเสียงดังในที่สาธารณะ
  21. ฝรั่งเวลาทักทาย จะชอบชม ชมผม ชมเสื้อ ชมแม่งทุกอย่าง ถึงแม้จะตามมารยาท แต่มันก็รู้สึก positive ตัดภาพมาที่เวลาคนไทยทักทายกัน
  22. มาตรงเวลา คือมาสาย ต้องมาก่อนเวลา
  23. คนไทยชอบถามหาน้ำใจ
  24. ไม่ค่อยเคารพกฏ ชอบแหกกฏ
  25. เลิกงานแล้วรีบกลับคนไทยว่าร้าย ฝรั่งชมเชยว่า manage เวลากับงาน ได้ดี แต่ธรรมเนียมญี่ปุ่นก็จะเป็นอีกแบบ OT เก่ง
  26. ทำไม่ดี ด่าต่อหน้า ทำดี ชมต่อหน้า Fair Game
    คุณโดนหัวหน้าที่ไทยชมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
  27. ไม่มีการจ้าง 100 เล่นล้าน
    เกินเวลา = จ่าย OT
    ทำงานนอกเหนือที่จ้างมา = จ่ายเพิ่ม
  28. ไม่มีหยวน หรือ นิดหน่อยเอง ไม่เป็นไร มีแค่สิทธิ์ของฉัน หรือ สิทธิ์ของเธอ
  29. ฝรั่งส่วนใหญ่ ไม่สนใจเรื่องสำเนียง หรือ ไวยกรณ์ จงมั่นใจที่จะพูด เท่าที่เราเข้าใจ เชิ่ดดด!!

เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

จากครูอัตราจ้างสู่เมือง Perth ออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย พักเบรคกาแฟจากคอล์สที่เรียนอยู่ ขอมาโพสต์สร้างขวัญกำลังใจให้พี่ ๆ น้อง ๆ

นี่มาออสซี่ด้วยวีซ่านักเรียน เมื่อปี 2009 ตอนนั้นกำลังเรียนครูอยู่แต่ด้วยความบัดซบทั้งหลาย (แฟนเก่าตบตีแล้วกฏหมายไม่ช่วยเรา, รายได้เดือนละ 4000 บาทจากการเป็นครูอัตราจ้าง, ยาเสพติดในครอบครัว, heetad ต่างๆ อีกมายมาก) จึงตัดสินใจขายบ้าน ขายรถ ดรอปเรียน ทุบหม้อข้าวตัวเองแล้วแพคกระเป๋ามากับแม่สองคน (แม่วีท่องเที่ยว ส่วนนี่ถือวีนักเรียน)

เมื่อสายการบินไทยรักคุณเท่าฟ้า (ถุย!) ลงจอดที่สนามบินเมือง Perth กลิ่นไอแรกแห่งการเริ่มต้นใหม่และผัวใหม่ก็ได้เกิดขึ้น…

1 เดือนแรก เรียนภาษาไปด้วย ทำงานไปด้วยอาทิตย์ละสามวัน หักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือเงินเก็บหลายหมื่นบาท จึงตั้งใจเต็มที่ กูไม่กลับค่ะ! กลับไปก็มีแต่อดตาย ยังไงก็ต้องอยู่ต่อให้ได้… ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องด้วยคาถา…

2 เดือนผ่านไป เอาวะ! ภาษากูได้ละ (มั่นหน้า) ลงเว็บหาเพื่อน สร้างแอคเคาท์หลายสิบอันบนเว็บไซต์ ทั้งหาคู่ หาเพื่อน หางาน หาหมา หาแมว …เอามันทุกอย่าง ดูซิว่าเราจะไปได้จนถึงจุดไหน

3 เดือนผ่านไป มีฝรั่งมาติดก็หลายคน แต่ผู้เข้ารอบสุดท้ายคือ หนุ่มทหารเรือ เรื่องของเรื่องคือ ฮีขอแต่งงานไง ก็นะ เอาเหอะ แต่งก็แต่ง!

พอแต่งงาน ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน เงินเก็บสะสมที่เราทำงานหามาช่วงสามเดือนก่อน หมดค่ะ ! หมดไปกับค่ามัดจำบ้าน ค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าวีซ่าแต่งงาน …ตกใจเหมือนกันนะ ทำงาน part time มาไม่กี่เดือนแต่เรามีปัญญาจ่ายถึงขนาดนี้ ถ้าอยู่ไทยคือกูตายหยังเขียดอ่ะ!

ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่ living expenses สูงเป็นประเทศต้น ๆ ของโลก ภาษีไม่ต้องพูดถึง…ยิ่งรายได้สูง ภาษีที่ต้องจ่ายก็สูงขึ้นตาม แต่ก็ไม่ค่อยมีคนบ่นกัน คุณภาพชีวิตของเรา ของครอบครัวก็สูงขึ้นตาม… เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะระบบการจัดการรัฐบาลของเขาโปร่งใส ตรวจสอบได้ไง

ช่วงสองสามเดือนก่อน ผู้บริหารของไปรษณีย์ประจำชาติ Auspost ซื้อนาฬิกาแจกกันเป็นของขวัญ ว้ายยย โดนลากออกมาจกตาแตก …ว่าแล้วก็หันกลับไปดูประเทศไทย… นาฬิกาเรือนนั้น ทุกวันนี้ได้แต่รอให้เจ้าของมันตาย

ตอนนี้ปี 2021 มีลูก 3 คน แมวอีก 1 อยู่ออสเตรเลียมา 11 ปี สองปีก่อนเคยลงรีวิวใช้ชีวิตต่างประเทศและสามีฝรั่ง ครึ่งนึงของคนไทยบอก อยากเป็นอย่างเจ้ค่ะ ส่วนอีกครึ่งหาว่าเราชังชาติ หลงหำฝรั่ง ….(เออ กูยอมรับว่าหลง)

ดีใจด้วยนะคะทุกคน… ถ้าคุณเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ แสดงว่าคุณได้ไปต่อ ถ้าคุณคือหนึ่งในครึ่งที่เคยด่าเรา ไม่เป็นไรนะ ขอหยิก hee ที แล้วเราจะยกโทษให้ (อ่ะ ล้อเล่น)

PS ; ถ้าจะถามเรื่องซีเรียสอย่างวีซ่า เรียนต่อ หางาน หาผัวฝรั่งอะไรพวกนี้ ช่วยถามใน messenger นะคะ เม้นรันเร็วมาก ตอบไม่ทันในนี้


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

เป็นเจ้าของกิจการที่เมือง Orange NSW

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย

เราเป็นเจ้าของกิจการ อยู่เมือง Orange NSW เมืองที่มีชื่อว่าส้ม แต่ไม่ปลูกส้ม ปลูกแต่ แอปเปิ้ล เชอรี่ และมีไวน์ ที่ขึ้นชื่อ ชาวออสเตรเลีย หรือชาวออสซี่ จะเรียกเมืองเราว่า Food and Wine regional town เมืองเรา located on 254 km ตะวันตกของ Sydney ประชากร อยู่ที่ประมาณ 40,000 คน เป็นเมืองอันดับที่ติดอันดับ 13th most populous Place ของ NSW. เมืองเราได้ชื่อว่า Colour city เพราะว่าช่วง Autumn สวยมาก ช่วง winter เมืองเรามี หิมะด้วยค่ะ หนาวมาก ๆ ค่ะ

..

ที่บอกไว้ว่า ถ้าใครได้ย้ายมาแล้ว สนใจหางานที่เมือง Orange เราช่วยได้ค่ะ แต่ถ้ายังไม่ได้มา เราช่วยไม่ได้จริง ๆ เราไม่อยากแนะนำอะไรที่เราไม่ได้ เป็น Expert และประเทศออสเตรเลีย เปลี่ยนกฏ เกี่ยวกับวีซ่าอย่างต่อเนื่อง เราแนะนำว่า ติดต่อ Agent ที่เป็น Migration agent ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ออสเตรเลียนะคะ

..

ไม่ต้องแอดเพื่อนกันมา ก็ได้นะคะ กดติดตามไว้ เรากดรับเพื่อนไม่ทันแล้ว

รีวิวเรื่องงานที่เรามี

  1. เรามีร้าน Subway 2 ร้านที่เมือง ค่ะ พนักงานที่จะรับได้ คือ ต้องฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษ อยู่ที่ดี ค่ะ เพราะลูกค้า ทั้งหมด คือฝรั่ง มีหลายคนถามว่าต้องจบอะไรมาถึงจะมาทำได้ ขอแค่ปริญญาชีวิตค่ะ มาด้วย Right attitude ตั้งใจทำงาน เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ ไม่เอาเปรียบ แค่นี้เอง เรื่องค่าตอบแทน เราจ่ายถูกต้องตาม กฏหมายของออสเตรเลีย
  2. เรามีร้าน ชานมไข่มุก The Alley หรือ ชานมเขากวางที่คนไทยรู้จัก พนักงานที่รับ เหมือนเดิมที่ ต้องฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษ อยู่ที่ดี ค่ะ เพราะลูกค้า ส่วนใหญ่ เป็นคนต่างชาติ (ออสซี่, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม และ ฯลฯ ) มาทำ เราก็สอนงานให้ทุกอย่างค่ะ
  3. งานฟาร์ม เรามีเพื่อน เป็นออสซี่ เกิดและโต ที่เมือง Orange เค้าทำงาน เกี่ยวกับ agriculture เลยมีงาน ทั้งฟาร์มองุ่น ฟาร์มแอปเปิ้ล ฟาร์มเชอรี่ ค่ะ ทำงานฟาร์ม ต้องมีความอดทนค่ะ ภาษาใช้ ไม่มาก แต่ความอดทนต้องมีมาก ต้องยอมรับฟังและพยายามทำตามคำสั่งค่ะ รายได้ดีมากค่ะ ไม่แพ้งานนั่งโต๊ะเลย

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ต้องมีวีซ่าถูกต้อง ต้องมี Work right นะคะ ย้ำนะคะเราไม่สามารถช่วยให้มาได้ แต่เราช่วยหางานได้ค่ะ ใครอ่านมาถึงตรงนี้ เราขอเป็นกำลังใจ ให้นะคะ ขอให้หลุดพ้นผ่านมาให้ได้นะคะ เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ

เรารักเมืองไทยนะคะ แต่ไม่ขอกลับไปอยู่ค่ะ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

รีวิวเมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย

สวัสดีค่า ทุกคนขอมารีวิว ชีวิตที่ Melbourne เกี่ยวกับตัวเมือง งาน ผู้คนสั้น ๆ ให้ฟังนะคะ ขอเเนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อเล่นชื่อฟ้า เเต่ชื่อในวงการชื่อ ฟาร่านะคะ 5555 คือเริ่มต้นมาออสตอนปี 2017 เพราะมาเรียนต่อโทสาขา communication ที่ RMIT นะคะ หลังจากเรียนโทจบสองปีเราก็ได้ต่อวีซ่า post grad อีกสองปีซึ่งเป็นวีซ่าที่รัฐบาลออสให้คนที่มาเรียนต่อโทสามารถอยู่ทำงานได้อีกสองปี

..

ก่อนพูดถึงชีวิตในการหางาน จะขอพูดถึงเมืองเมลเบิร์นก่อนว่า มันเป็นเมืองที่มีความชิวมากกกกทุกคน ตอนเเรกเรามาคือเหงานะเพราะว่ามาคนเดียว มันค่อนข้างเงียบกว่ากรุงเทพเยอะ เเต่พออยู่ไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ย่างเข้าปีที่ 5 คือเรารักเมืองนี้มาก คือ อากาศดีมาก ว่าง ๆ เราก็ออกไปสวนสาธารณะ พาน้องหมาไปเดินเล่น จากที่เคยเป็นภูมิเเพ้หนัก ๆ ตอนอยู่ไทยอยู่ที่นี่ไม่เป็นเลย ยกเว้นช่วง spring เพราะละอองดอกไม้เยอะ

นอกจากอากาศการเดินทางก็สะดวกมากทั้ง รถราง รถไฟ ไปส่วนต่าง ๆ ของเมืองเเละนอกเมืองได้ง่าย ๆ เลย อาหารก็หาทานง่ายเเละมีเกือบทุกชนชาติให้เลือก คนที่เมลเบิร์นค่อนข้าง friendly มาก ๆ เเละความปลอดภัยค่อนข้างสูงไม่ต้องระวังตัวมากเท่าไทยเวลาเดินทางคนเดียว

..

อะเราวกกลับมาเรื่องงานหลังจากได้ post grad ถามว่าเป็นโอกาสที่ดีมั้ย เป็นโอกาสที่ดีมากเเต่ว่าการสมัครงานเเละหางานก็ไม่ง่ายเช่นกัน พูดถึงเรื่องการหางานที่เมลเบิร์นก็ถือว่าหาแอบยากนะคะทุกคน ขึ้นอยู่กับว่างานประเภทไหน ถ้าเป็นงานออฟฟิศก็จะหายากกว่างานคาเฟ่ หรือ ร้านอาหาร เพราะว่านายจ้างส่วนใหญ่ที่นี่ เค้าไม่ค่อยอยากจ้างงานคนที่มีวีซ่าที่ไม่ใช่ PR หรือไม่ใช่คนของที่นี่ เพราะว่ามันค่อนข้างเสี่ยงกับนายจ้างเรื่องของเวลาเเละค่าลงทุนในการ training เเละส่วนใหญ่เค้าเลือกคนของเค้าก่อน international students or immigrants

..

เราเลยอยากมาเเนะนำเพื่อน ๆ ว่าถ้าไม่ได้ mind เรื่องที่ต้องทำงานออฟฟิศ เราก็สามารถหางานตามความชอบหรือความถนัดของเราก็ดีมากเช่นกัน เพราะค่าเเรงที่นี่ก็ดี เพราะงั้นก่อนมาออส เราควรได้ภาษาในระดับนึงเเล้วถ้าคนไหนที่มีงานอดิเรกที่ชอบอยู่เเล้วอย่างเช่น ชงกาเเฟ เเต่งหน้า ต่อขนตา ทำเล็บ เเละอื่น ๆ เราเเนะนำให้ฝึกจนค่อนข้างชำนาญ เเละเเนะนำให้มาเรียนคอสที่นี่เพื่อให้ได้ cert เพราะว่างานที่ต้องใช้ skills

ส่วนใหญ่เค้าอยากได้ cert (ยกเว้นว่าถ้ามีประสบการณ์ในออสเยอะเเล้วอาจจะเป็นข้อยกเว้น) เเละหลังจากได้ cert ก็สามารถนำมาใช้หางานได้เมลเบิร์นหรือออสได้เลย เพื่อนเราส่วนใหญ่ก็ทำงานร้านคาเฟ่ เป็นช่างทำเล็บ เป็นเชฟ เเล้วรายได้ก็ค่อนข้างดีมาก ๆ

..

ส่วนตัวตอนนี้เราทำงานให้กับบริษัท Orapin Property ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของคนไทยในเมลเบิร์น เเล้วก็เพิ่งเริ่มทำ youtube ช่อง A day with farah (เดี๋ยวใส่ลิ้งให้ข้างล่างนะคะ) ที่เป็น vlog ไปดูอสังหาเเล้วก็ lifestyle ที่เมลเบิร์น

ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอยากมาเมลเบิร์นเเล้วหาบ้านเช่าหรือจะซื้ออสังหาก็สามารถทักเรามาได้เลย หรือ ต่อให้ไม่หาบ้านเช่าเเต่อยากมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเรียนเเล้วก็การใช้ชีวิตที่เมลเบิร์นก็สามารถทักมาคุยกันได้เลย ยินดีตอบคำถามมาก ๆ

เเต่ถ้าเป็นคำถามเรื่องการสมัครเรียนสามารถถามรุ่นน้องเราได้เลย เป็นเอเจนซี่ เก่งมาก Deerdeer Pinyapat สุดท้ายขอให้ทุกคนที่อยากมาออสโชคดีนะเเล้วถ้ามาเมลเบิร์นเราอาจจะมีโอกาสได้เจอกัน


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ทำงานเกษตรกรรมที่ออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย #ทีมแนะนำงาน

หลายคน inbox มาถามสนใจเรื่องงานฟาร์ม ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ตอบ inbox นะคะ ขอสรุปให้ตรงนี้

** เราไม่สามารถช่วยเรื่องข้ามประเทศได้ ให้คำแนะนำไม่ได้ เพราะผิดกฎหมายของที่ออสเตรเลีย เราไม่มี licence ในการให้การแนะนำ ในการขอวีซ่า

** ดังนั้นถามมาเราก็ให้คำตอบไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ **

*** ขอเตือน เรื่อง เอเจนซี่ที่เมืองไทย ที่บอกว่า ทำวีซ่าท่องเที่ยวมาก่อน แล้วหัวหน้างานที่นี่จะยื่นวีซ่าทำงานให้ ค่าใช้จ่าย 40,000-100,000 บาท มันไม่มีจริงนะคะ เค้าหลอก ***

เริ่มเลยเมืองเรา Orange NSW เป็นเมือง Agricultural เมืองการเกษตร และเหมืองทอง ( Cadia gold mine ) วันนี้ เราจะมาเล่าเกี่ยวกับเรื่องการเกษตร ที่เมืองนะคะ คนถามเยอะมาก ประเทศออสเตรเลีย มี ทั้งหมด 4 ฤดู Winter, Spring, Summer and Autumn ดังนั้น ในการทำเกษตรกรรม ก็จะหมุนเวียนไปตามฤดูค่ะ

การจ้างงาน เกี่ยวกับเกษตรกรรม จะมีด้วยกัน 2 แบบ แล้วแต่งาน ที่ทำค่ะ 1 จ่ายแบบรายชั่วโมง 2 จ่ายแบบงานเหมา งานเหมาคือ เราทำได้มากเท่าไหร่ เราก็เงินมากเท่านั้น ค่าแรงขั้นต่ำ รายชั่วโมง ก็อยู่ที่ ประมาณ $20/ชั่วโมง งานเหมานี่ขึ้นอยู่กับชนิดของงานค่ะ ตัวอย่างเช่น การเก็บเชอรี่ ได้ กิโลกรัมละ $1 ในถัง ที่เก็บเป็น ถังละ 10 กิโลกรัม วันนึง บางคนได้มาก็ถึง 50 ถังต่อวัน ก็ได้ $500/วัน ในช่วง Peak season อันนี้คราว ๆ เรื่องค่าตอบแทนนะคะ

เราขอเล่าเรื่องว่าเมืองเรา มีงานฟาร์มอะไรบ้างต่อ เราขอเริ่มจากแอปเปิ้ลก่อน การทำงานของฟาร์มแอปเปิ้ล จะมีทำการ ตัดแต่งกิ่งให้ลูกแอปเปิ้ลได้แสง มีการ thinning คือการเด็ดลูกทิ้ง เพื่อให้ลูกที่เหลือโต และสุดท้าย การเก็บที่ต้องใช้ความระมัดระวัง และความไว ช่วงระยะเวลาการทำงาน ก็อยู่ที่ 3-5 เดือน/ปี

งานเก็บเชอรี่ งานเก็บเชอรี่เป็นช่วงสั้น ๆ ของปีค่ะ มีแค่ช่วง ปลายเดือนพฤศจิกายน ถึงต้นเดือนมกราคม งานเก็บเชอรี่ต้องใช้ความอดทนค่ะ ต้องปีนบันได ต้องใช้ความเร็ว เพราะทำงานได้แค่ ช่วงเช้าถึงบ่าย ๆ ถ้าอากาศร้อนเกินไป ก็เก็บไม่ได้ค่ะ ช่วงระยะเวลาการ ทำงาน ก็อยู่ที่ 1-2 เดือน/ปี

งานไร่องุ่นไวน์ จะมีแบ่งงานออกเป็นหลาย ๆ อย่างค่ะ เริ่มจากงานตัวลูกองุ่น เพื่อนำมาทำไวน์ งานตัดแต่งกิ่ง งานตัดต่อกิ่ง งานปลูก ช่วงระยะเวลาการ ทำงาน ก็อยู่ที่ 6-8 เดือน/ปี

จากการที่เมืองเรามี ฟาร์มหลายรูปแบบ ทำให้เมืองเรา มีงานฟาร์มตลอดปีค่ะ หน้าร้อน ก็เก็บเชอรี่ ปลายร้อนต้น Autumn ก็ทำงานแอปเปิ้ล แอปเปิ้ลเสร็จ ก็ทำงานไร่องุ่นต่อ

งานฟาร์ม ไม่ได้ต้องการคนที่มีความรู้อะไรมาก แค่มีความอดทน และเข้าใจในระบบค่ะ

** ไม่หลังไมค์มาถามเรื่องการขอวีซ่า นะคะ ตอบไม่ได้ **


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

รีวิว Tasmania

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#รีวิวประเทศ แวะมาขายของอีกแล้วค่ะ อยากชวนคนมาเรียนและมาใช้ชีวิตกันที่รัฐ Tasmania เยอะ ๆ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก รัฐนี้เป็นรัฐบนเกาะทางตอนใต้ของออสเตรเลียค่ะ มีเมืองใหญ่คือ Hobart, Launceston และ Devonport เป็นเมืองที่ธรรมชาติสมบูรณ์มาก ๆ ออกจากนอกเมืองไปนิดเดียวก็จะเจอน้อง ๆ สัตว์เดินบนถนน

เป็นเมืองที่เงียบสงบ อากาศเย็น (ถึงหนาว) เกือบทั้งปี มีหิมะตามพื้นที่ระดับภูเขา อากาศบริสุทธิ์ หายใจได้เต็มปอด เป็นเมืองที่พบเจอน้องจิงโจ้ น้องวัลลาบี น้องวอมแบท น้องเพนกวิน น้องเป็ด และน้องอุ๋งได้ทั่วไป แล้วยังมีน้องอัลปาก้าตามสวนสัตว์และบ้านคนที่อยากเซลฟี่กับเราตลอดเวลา

เมืองในรัฐนี้ก็สวยมาก ๆ สวยแบบยังตะลึงทุกครั้งที่ได้เห็น ออกไป supermarket นอกเมืองยังตื่นเต้นเลยค่ะ อัตราการก่ออาชญากรรมก็น้อยมาก ๆ การจัดการของรัฐก็ค่อนข้างดีและไว ที่นี่ปลอดโควิดมานานมากแล้ว ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เคยต้องใส่หน้ากากอนามัยเลยค่ะ

มีคนเคยถามมาเยอะมากว่า Tasmania มีอะไรให้เที่ยว ตอบได้แค่ว่ามีเยอะมากกกก เอิ๊ตเองก็ยังเที่ยวไม่หมดค่ะ มีทั้งภูเขา ทะเล หิมะ ทะเลสาบ (มีทะเลสาบสีฟ้าจัดแบบในรูปเลย อันนั้นไม่ได้แต่งสีใด ๆ ตอนเห็นคืออ้าปากค้างมาก ๆ) ทุ่งลาเวนเดอร์ ทุ่งทิวลิป สำหรับใครที่ชอบเดินป่า เดินเขา เที่ยวธรรมชาติต้องหลงรักที่นี่แน่นอน

อีกอย่างที่เป็นไฮไลท์คือที่นี่สามารถมองเห็นแสงใต้ได้อยู่เรื่อย ๆ เลยค่ะ ส่วนตัวยังตามล่าไม่ทันซักที ส่วนชีวิตที่นี่ก็ค่อนข้างเงียบสงบ กิจกรรมยามว่างคือการเดินตลาดนัด ชงกาแฟบนชายหาด ปิคนิค นั่งดูพระอาทิตย์ตก พายเรือ เดินป่า และอื่นๆ อีกมากมายค่า

ใครสนใจชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่ ไม่ต้องแอดมานะค้า ไปกดฟอลเพจ ตามน้ำ Follow Naam Australia เลย พี่เค้าอยู่ Tasmania เหมือนกัน พี่เค้าเป็นไอดอลในการยื่นวีซ่าสำหรับเอิ๊ตเลย หาข้อมูลเองทุกอย่าง (ข้อมูลแน่นมากกกก) และเตรียมเอกสารเองทุกอย่างเลยค่ะ ย้ายมา Tasmania ได้สองปี ตอนนี้ได้พีอาร์ไปเรียบร้อย #ทีมออสเตรเลีย และ #ทีมTasmania อยากให้ไปตามกันนะคะ ส่วนใครมีข้อสงสัยอื่นๆ inbox มาถามกันได้ค่า อยากมีเพื่อนมาอยู่ด้วยเยอะ ๆ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

6 ปีที่เมลเบิร์น ออสเตรเลียกับงาน Developer

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

6 ปี Melbourne #ทีมออสเตรเลีย

  • เริ่มจาก web developer/front-end developer ที่ไทยประมาณ 4 ปี
  • อยากไปเรียนต่างประเทศ แต่ไม่มีเงิน
  • เจอโครงการ work and holiday ก็เก็บเงิน+ติวสอบ ielts (เป็นเวลา4เดือน)
  • หลังกดได้ ดันไปได้งานที่บริษัทดัง คิดหนักว่าจะทิ้งวีซ่า
  • สุดท้ายเปลี่ยนใจเพราะท้ายที่สุดถ้าอยากเงินเดือนสูงในบริษัทต่างชาติ ต้องเก่งภาษา
  • My ielts score is overall 4.5 in general english
  • ปี 2015 มา work and holiday เจอ native English speaker ในสนามจริง บอกเลยจับใจความแทบไม่ได้
  • แชร์บ้านกับคนเกาหลี สุดท้ายก็พูดได้แค่ภาษาอังกฤษ
  • ทำงานทุกอย่างทั้ง ทำร้านอาหาร คาเฟ่, เด็กเก็บแก้วเบียร์ในบาร์ ไม่เคยมีเพื่อนร่วมงานเป็นคนไทย ก็ต้องพูดแต่ภาษาอังกฤษ
  • 3 เดือนผ่านไป ได้ไปสัมภาษณ์งาน as front-end developer. The interview takes a hour long. สุดท้ายได้สัญญาจ้างมา 3 เดือน
  • ย้ายบริษัทได้สัญญา 6เดือน it is a work and holiday condition that no work longer than 6 months per one employer.
  • ปี2016 กลับไทยไป6เดือน อยู่ไม่ได้ละต้องกลับออส, สอบไอเอล
  • ผลสอบ Academic module 5.5 แต่เขียนได้ 3.5 ตัดสินใจลงเรียนภาษา 1 ปี
  • ปลายปี 2016 กลับมาด้วยวีซ่านักเรียน
  • ปี 2018 ต่อวีซ่านักเรียน 2.5ปี diploma of software development and advance diploma of software development ผลสอบ Academic module 6.5 เขียนได้ 5.5
  • เพิ่งจะต่อวีซ่าเจอผู้คนอังกฤษ ผู้ให้วีซ่า เลยย้ายมาเป็น second applicant of work sponsor
  • เรียนไปด้วยรอวีซ่าไปด้วยฝึกงานไปด้วย
  • กลางปี 2019 เรียนดิปจบพอดีเปลี่ยนเป็น วีซ่าทำงาน subclass 482 ได้งานทำไปครึ่งปีบริษัทล้มละลาย
  • ตกงานสิ้นปีปิดxmas and new year
  • ต้นปี 2020 ได้ permanent role as web developer and I am still on this role
  • เพิ่งยื่นPR ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นกี่ปีได้

—- เพิ่มเติม —-

สาย front-end – html, css, jquery, joomla, wordpress, react, ux

สาย web dev

– c# งานเยอะที่สุด
– php หนัก linux, laraval, magento, joomla, wordpress, rest api, mysql

*ถ้า back-end เทพ js คุณจะเป็น strong candidate ทันที

seek.com.au งานผ่าน recruitment เยอะ au.indeed.com

———————

ฟังมาดูชีวิตดี๊ดี เสียน้ำตาและคิดจะถอนใจกลับไทยหลายรอบมาก มีบ้าง

  • ทำงานร้านอาหารโดยบอสด่าว่าโง่ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก
  • ลูกค้าร้านอาหารด่าต่าง ๆ นา ๆ
  • sexual harassment at work เพราะเค้าดูถูกผู้หญิงไทย
  • ต้องประหยัดเงินโดยการทำกับข้าวกินเอง
  • หน้าหนาวสว่างช้า มึดเร็ว ฝนตกเก่ง
  • หน้าร้อนแมลงวันเยอะมาก วันไหนร้อนจัด 40 องศา+
  • โรงรถโดนงัดเก่ง (บ้านไหนมีคนทำงานสายก่อสร้าง โจรมันก็จะมาจุ๊บ tools)

อยู่เมืองนอกต้องแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วไม่กลับไทย ค่าแรงสูงมากกกกก คุณภาพชีวิตดี it always rainbow after rain ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ เป็นกำลังใจให้ทุกคน


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ทำงาน Skin Health ที่ออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย #อย่าหยุดฝันและกล้าที่จะทำตามฝัน #ขอให้ความหวังและแรงผลักดันกับทุกคนในกลุ่มนี้อีกแรงค่ะ #เราจะสู้ไปด้วยกัน

เราทำงานให้กับบริษัทในออสเตรเลียกับคนออสเตรเลีย Skin Health Pty,ltd ( Melbourne) มาสิบกว่าปี

  • ประเทศออสเตรเลียน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก มีวินัย มีเสรีภาพทางความคิด มีความเท่าเทียมในเชื้อชาติ ศาสนา
  • สภาพภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ สภาพอากาศของออสเตรเลียคล้ายกับประเทศไทย ทางเหนือหลายรัฐก็ปลูกพืชได้คล้ายๆไทยนะคะ เช่น ต้นอ้อย สัปรด มะม่วง ต่างๆ อาจจะเหมาะกับเราไม่น้อย ลำใยก็แอบเห็นค่ะ
  • อาหารมีความหลากหลาย อาหารไทย อาหารเอเชียนก็เยอะ คนไทยอาศัยอยู่เยอะประมานนึงในตัวเมืองใหญ่ ๆ ต่าง ๆ ไม่แน่ใจว่าคิดเป็นกี่ % ของประชากรทั้งหมด แต่จำนวนประชากรหลากหลายสัญชาติมีทั้งหมด 30% เยอะและเหมาะกับคนไทยที่ตั้งใจจะย้ายถิ่นฐานนะคะ
  • ค่าแรงไม่ต้องพูดถึงนะคะ ขั้นต่ำของเขาก็คือเราอยู่ได้สบาย ถ้าขยัน รายรับดีแน่นอนค่ะ
  • เมื่อปีที่แล้วเจ้านายเราบอกว่า ออสเตรเลียมีแพลนที่จะเพิ่มจำนวนประชากรที่มีความหลากหลาย เพิ่มรัฐทางตอนเหนือ เพิ่มจำนวนเมือง เราได้แต่หวังว่าพวกเรา % ในกลุ่มนี้จะตั้งเป้าหมาย เปิดประเทศและเริ่มขบวนการย้ายกันค่ะ!
  • จริงจังแค่ใหน ต้องถามใจเราดูก่อน และความมุ่งมั่นของเรา
  • มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ แต่!!! ความสำเร็จถ้าเราได้มันมาแล้ว มันจะคุ้มค่าและมีความหมายมาก

เตรียมภาษาให้พร้อม หมั่นฝึกฝนการอ่าน ทักษะ การเตรียมสอบต่าง ๆ ที่จำเป็นไว้ ในเพจก็มีหลายคนที่จะให้ข้อมูล ในเตรียมสอบต่าง ๆ ได้นะคะ ต่อจากนี้เก็บเงิน อดออมสักก้อนเพื่อที่จะส่งเราออกไปจากที่นี่นะคะ ( เงินคือตัวแปรสำคัญ )

ศึกษาหาข้อมูล มีหลากหลายช่องทาง หลากหลายวีซ่าที่จะเดินทางเข้าไปและตั้งรกรากที่ออสเตรเลียค่ะ รอเปิดประเทศเมื่อไหร่ เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางกันค่ะทุกคน อดทน รอ และต้องสู้ ก้าวไปบนเส้นทางใหม่ของพวกเรา!!!!

#เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ จริง ๆ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

อยู่รอดปลอดภัยในออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย ชอบที่นี่อย่างนึงคือ ไม่มีใครมาสนใจว่าจบโรงเรียนอะไรมา จบมหาลัยอะไรมา พ่อแม่ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ ฯลฯ อย่างที่คนบ้านเราสนใจใส่ใจกันมากมาย จากประสบการณ์ของตัวเอง คือมาที่นี่เพื่อมาเริ่มต้นใหม่หลังจากชีวิตพังย่อยยับจากความรักที่ผิดหวัง

ใบปริญญาที่มี การศึกษาและประสบการณ์การทำงานที่เคยทำมา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ห้าปีแรก ทำงานร้านอาหาร คาเฟ่ แรงงานล้วน ๆ เหนื่อยสายตัวแทบขาด เก็บเกี่ยวประสบการณ์กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น manager/supervisor เพื่อให้ได้เงินต่อชั่วโมงที่มากขึ้น แต่งานที่นี่ก็นะ ตำแหน่งยิ่งสูง ความรับผิดชอบยิ่งเยอะ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร

หลังจากแต่งงานกับคนที่นี่ เค้าทำให้เราเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งกฎหมายแรงงานว่าคุ้มครองเรายังงัยและเรามีสิทธิ์อะไรบ้าง หลังจากที่ได้วีซ่าคู่ครองที่อนุญาติให้เราได้ทำงาน Full time สามีก็แนะนำให้เปลี่ยนจากงานแรงงานมาเป็นงานออฟฟิตที่เกี่ยวกับ IT ซึ่งตอนแรกเราก็กลัวว่าคงไม่ได้หรอก เราไม่ได้เรียนทางนี้มาเลย ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีใบจบ ไม่มีใบ certificate เลย สามีบอกว่า ไม่จำเป็น งานบางอย่าง ไม่ต้องใช้ใบ certificate ขอแค่มีใจอยากเรียนรู้ และมี passion ในงานที่ทำ บางบริษัทเค้าก็รับ และเค้าจะช่วยให้เราได้เรียนเพิ่มเอง และงานบางที่ก็เรียนรู้จากงานที่ทำนั่นแหล่ะ

สามีเราสอนเราจากที่บ้าน เป็น home schooling สอนทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ และส่งใบสมัครไปหลาย ๆ ที่ในตำแหน่ง Junior ซึ่งส่วนใหญ่รับคนที่เพิ่งจบ และไม่มีประสบการณ์ ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อหรอกว่าเราจะได้งาน เพราะก็มีหลายที่ที่ปฎิเสธเรา และแล้วก็มีที่ที่เราทำงานอยู่ปัจจุบัน ยอมรับเราเข้าทำงาน เราบอกเค้าทุกอย่างว่าเราไม่มีใบ cer นะ เราเรียนรู้จากที่บ้านนะ เค้าบอกเราว่า ไม่เป็นไร เค้าจะสอนให้ และเราจะได้เรียนรู้จากงานที่เราทำจริง เราทำงานที่นี่มาเกือบจะ 3 ปีแล้ว เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ทุกวัน และสกิลก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงแรกมันก็จะยากหน่อย แค่ต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น ๆ เงินเดือนก็อาจจะได้ไม่มากนัก แต่ก็ได้สิทธิ์เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ทั่วไป

ไม่มีใครที่นี่เคยถามเลยว่าจบจากไหนมา ไม่มีใครเปรียบเทียบโรงเรียนที่เรียนมา ไม่มีใครเปรียบเทียบฐานเงินเดือน หรือแบ่งชนชั้นเลย ทุกคนช่วยเหลือกันหมด คนไม่รู้ก็ช่วยสอนให้รู้ นี่แหล่ะคือสิ่งที่เราชอบ และรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ทำให้เราเป็นตัวเรามากขึ้น คนรอบข้างยอมรับในความคิดเห็นและสิ่งที่ตัวเราเป็นอย่างที่เราเป็น

อยู่ต่างบ้านต่างเมือง มันไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย ต้องใช้ความอดทนและความเข้าใจในความเป็นบ้านเมืองของเค้าอย่างมาก ต้องเคารพกฎหมาย กฎเกณฑ์บ้านเมือง และสังคม ถ้าเราทำได้ ก็จะอยู่ได้อย่างสบาย บ้านเมืองที่นี่สวยงาม อากาศดี ถ้ามีโอกาสได้มา มากันนะคะ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

Option ในการย้ายไปออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

วันนี้จะมาพูดถึงออฟชั่นในการย้ายมาออสเตรเลีย #ทีมออสเตรเลีย

1. Work and holiday visa

สำหรับใครที่อายุไม่เกิน 30 ออฟชั่นนี้ไม่ยากค่ะ สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เพจ Thaiwahclub เขารวมข้อมูลไว้ให้หมดแล้วจริง ๆ ว่าต้องทำอะไรบ้าง ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างไปตามอ่านเอาได้เลย วีซ่าตัวนี้อยู่ได้ 1-3 ปี

2. Student visa

มีให้เลือกเรียนตั้งแต่ระดับสายอาชีพ และระดับมหาวิทยาลัย แนะนำให้เลือกเรียนสายอาชีพที่ขาดแคลนของออส และเลือกเรียนในเขตชนบท (reginal area) เพราะหลังจากนั้นสามารถขอ temporary visa ต่อและยื่นขอ permanent resident ต่อได้

3. Partner visa

วีซ่าตัวนี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่คุณต้องหาแฟนเป็นชาวออสเตรเลีย คบกันอย่างน้อย 1 ปี มีการแชร์ที่อยู่ และเงินในบัญชีร่วมกัน (แนะนำให้มาด้วยวีซ่าอื่นก่อน แล้วมาหาแฟนเอาที่นี้ 55555)

ส่วนตัวเรามาด้วยวีซ่า work and holiday ไปทำงานฟาร์ม แล้วได้วีซ่าอีก 1 ปี ต่อด้วยวีซ่านักเรียน 2ปีที่ Tasmania ในสายอาชีพ accountant ตอนนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาขอวีซ่าหลังเรียนจบซึ่งจะมีอายุวีซ่าอีก 2 ปี และต่อจากนี้ก็แผลนที่จะยื่นขอ permanent resident ต่อไป อยู่กันยาวๆไปเลยค่ะ ไม่เคยคิดจะกลับบ้านเลย

ใครมีคำถามโพสถามได้เลย อยากให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ประสบการณ์ 6 ปีที่เมลเบิร์น

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

Non bias review ประสบการณ์ 6+ ปี Super Insight #ทีมออสเตรเลีย Melbourne

Background เบื้องต้น (ผมว่าสำคัญนะ มันไว้บอกว่า circumstance ของผมเป็นยังไง เผื่อเอาไปเปรียบเทียบ)

  • เกิดต่างจังหวัด
  • พ่อแม่เป็นมนุษย์เงินเดือน (ฐานะปานกลางไปทางดี อารมณ์แบบคนพื้นที่เก่าแก่ต่างจังหวัด ไม่รวยเงินแต่รวยอสังฯ รวยของเก่าเก็บ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ของบรรพบุรุษ) ตอนนี้ใกล้เกษียณกันทั้งคู่
  • เรียนโรงเรียนต่างจังหวัดจนจบ ม.6 (ช่วงเรียนมัธยมมีโอกาสไปต่างประเทศบ้าง)
  • สอบได้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนไป เมกาฯ ตอน ม.4 ไปปีนึงกลับมาเรียนที่เดิม
  • มาเรียนมหาลัยที่กรุงเทพฯ เรียนวิศวะฯ
  • มาต่อคอร์สมหาลัยเมืองนอก Transfer มาตอนปี 3 (กู้เงินมาเรียน ขายที่ ขายของ พ่อแม่เป็นหนี้)
  • เดินทางต่างประเทศมาหลายที่พอสมควร รวมๆประมาณ 10-15 ประเทศ เกือบทุกทวีป
  • ภาษาอังกฤษใช้คำว่าพอตัว เพราะฝึกเยอะ ไม่ใช่แค่เอาไปสอบแต่ใช้จริง พูดจริง ได้จากที่ทำงาน (ฟัง Eng สำเนียง African, India, Chinese ออก ielts academics ผมอยู่ราวๆ 7.5-8.5 overall แล้วแต่ครั้ง)
  • ปัจจุบันเรียน ป เอก เป็นอาจารย์ฝึกสอน/นักวิจัยฝึกหัด ทำงาน part time เป็นเชฟ ร้านไทย ร้านฝรั่ง เรื่อยเปื่อย ตามโอกาส ตามสถานการณ์

***ไม่เคยคิดอยากอยู่ไทย ไม่ใช่เพราะเกลียดเมืองไทย แต่รู้สึกว่าอะไรหลาย ๆ อย่างทำให้ผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับการอยู่ในสังคมไทย เลยตัดสินใจหาทางมาต่างประเทศถาวร เป็นความฝันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว***

จากประสบการณ์ทั้งหมดที่เคยเดินทางมา ส่วนตัวผมว่าออสเตรเลียเป็นประเทศที่น่าย้ายมาอยู่มากที่สุดประเทศนึงในมุมมองของหลายๆอย่าง เรื่องพวกนี้ผมว่ามันสำคัญสำหรับคนที่มาอยู่เมืองนอกคนเดียว อารมณ์แบบความหวังครอบครัว ความหวังพ่อแม่ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

***โปรดเสพ review นี้โดยสุภาพ ขอบคุณครับ***

สิ่งที่ออสเตรเลียได้เปรียบประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอื่น ๆ คือ

ข้อดี

1. ใกล้บ้าน:

ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันสำคัญนะ แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้ามีอะไรเร่งด่วน อยู่ออสเตรเลียสามารถกลับไทยได้ง่ายมาก (ไม่นับตอน covid นะ) มีเที่ยวบินมาจากเอเชียเยอะมาก นั่งเครื่องบินก็ไม่ได้นานขนาดนั้น ทั้ง jetstar และการบินไทย (ไม่นานแบบไปฝั่ง north America หรือว่า Europe) สมมุติถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ไทย คุณสามารถที่จะไปโผล่ไทยได้ภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมงถ้าคุณอยู่ในย่านชุมชน

แต่มันก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ ด้วยเหตุที่มันใกล้ Asia มาก ทำให้คนเอเชียเยอะไปหมด เอาว่าถ้ามาเดิน Sydney หรือว่า Melbourne ก็ไม่ต่างอะไรกับเดิน เมืองการค้าใหญ่ ๆ อื่น ๆ ของ Asia จะเรียกว่า Singapore สาขาสองก็ไม่ผิด แต่ด้วยความที่มันมี Asia เยอะนี่แหละ มันทำให้การ start up ชีวิตมันง่าย เพราะมีตัวอย่างให้ดูเยอะ จะส่งอะไรมาก็ง่าย ส่งกลับก็ง่าย ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ผมเคยอยู่มา

2. มาง่าย/ต่อวีซ่าง่าย:

ตั้งแต่ช่วง 2010 เป็นต้นมา ออสเตรเลียเริ่มเป็นที่สนใจของ ASEAN อย่างมาก หลาย ๆ คนช่วงนั้นเริ่มจากมาเรียนภาษา มา work holiday แล้วก็ติดใจ ขออยู่ต่อกัน พอมาช่วง 2020 ผมรู้สึกเลยว่าคนไทยเยอะกว่าเดิมขึ้นเยอะมากๆๆ ในโซน cbd และโซนท่องเที่ยว บวกกับนโยบายภาครัฐที่เปิดให้มีเด็กต่างชาติเข้ามาอีก มาง่ายไปใหญ่เลย แถมมีโอกาสได้อยู่ยาว ๆ ง่ายเช่นกัน

ถ้าอยากมาลองดูว่าชอบมั้ย ลงเรียนภาษาผ่านเอเจ้น เดินเรื่องไม่ถึงเดือนผมก็ว่าเสร็จนะ ถ้าทุกอย่างพร้อม ไม่มีติดขัดอะไร รัฐเค้าสนับสนุนการมาเรียนอย่างมาก

3. หรูหราหมาเห่า/ชีวิตอู้ฟู่ ที่เป็นไปได้:

ประเทศออสเตรเลียมีอัตราค่าแรงขั้นต่ำสูงมากที่สุดในโลกประเทศนึงเลย บวกกับเป็นศูนย์กลางของโลก capitalism ยุคใหม่ ไม่แปลกที่จะเห็นคนชั้นแรงงานถอยรถหรูมาขับกัน มีอะไรออกใหม่ก็ได้ก่อน playstation 5, iphone ก็วางขายก่อน ก่อนหน้าหลายๆประเทศ มี cafe ให้นั่งไม่ซ้ำ มี club ให้ไปทุกวันหยุด มี event ระดับโลกมากมาย ทั้ง Australian Open, Grand Prix, concert ศิลปินระดับโลกก็มาทุกปี ทุกอย่างสามารถ enjoy ได้ด้วยการทำงานแบบคนธรรมดา

เอาจริง ๆ นะ ถ้าคุณขยัน มานะ อดทน คุณสามารถที่จะถอย Muscle car มาขับทั้งๆที่คุณทำงานเป็นแม่บ้าน cleaner เป็นคนเก็บขยะ เป็นคนทำสวน (เคยเห็นจริงๆนะ เป็นคนเก็บขยะตอนกลางคืนกลางวันขับ M5cs/ E63/ F type)ในขณะที่เมืองไทยหมอยังต้องผ่อน civic/accord กันอยู่เลย ผมทำงานมา 5 ปีก็ซื้อ brand name เก็บได้เป็นตู้เหมือนกัน ไม่ต้องเป็นเศรษฐีก็ใส่ gucci ได้ มันเอื้อมถึง

ขอบคุณความสูงลิบลิ่วของค่าแรงขั้นต่ำ ส่วนใครที่อยากเก็บเงิน ผมพูดตรง ๆ ออสเตรเลียอ่ะ งานเยอะมาก ถ้าไม่เลือกงาน ภาษาได้ระดับนึง ไม่กลัวการเจอคนแปลกหน้า งาน service นี่อย่างกะเหมืองทองเลย อยากได้เท่าไหร่ก็ทำไป ถ้าคุณมาอยู่ออส การทำงาน 10+ ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องแปลก เค้าไม่ได้มาทำงาน เค้ามาขุดทองกัน ขุดเท่าไหร่ได้เท่านั้น มีแรงทำมั้ยหล่ะ เค้ามีเงินจ้างอยู่แล้ว

4. Pathway ที่ทำที่ไทยยาก:

ผมไม่ได้ stereotype นะ แต่ผมอยากจะบอกว่า คนออสอ่ะ ไม่ค่อยเรียนหนังสือสูง ไม่เรียนในที่นี้คือเค้าไม่ได้เรียนสูง เหมือนบ้านเราที่ทุกคนจบ ป ตรี กันหมด เพราะเค้าไม่ต้องดิ้นรนไง คุณสามารถ enjoy ชีวิตได้ด้วยการจบ ปวช ปวส แล้วออกมาหางานทำ คุณจบ high school อายุ 17-18 เรียน diploma อีกสองปี ก็มาทำงาน enjoy งาน $30+ ต่อชั่วโมงได้แล้ว จะไปเรียน ป ตรีให้เหนื่อยทำไม กว่าเราจะเรียน ป ตรี อายุก็เสียไป แถมยังต้องลงทุนกับค่าเรียนอีก กว่าจะ break even ก็อายุ 30++ ไปแล้ว สู้ออกมาใช้ชีวิตเลยดีกว่า

เรื่องพวกนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในไทย ด้วยค่าแรงขั้นต่ำที่น้อยนิด แต่ถ้าคุณจบ ป ตรี เงินคุณจะพุ่งขึ้นไปอีก มันสูงจริง ๆ นะ เอาว่าถ้าจบหมอ คุณสามารถทำเงิน $500,000+ ต่อปีได้สบายๆ มันอยู่ที่ว่า คุณจะ set goal ไว้ตรงไหน ไม่ต้องได้มากมายขนาดนั้นก็ได้ แต่แค่จะบอกว่า มันเป็นไปได้ ง่ายกว่าไทยเยอะ โอกาสตกมาถึงคนเอเชีย ที่อาศัยลูกอึด ทำให้คนเอเชียเป็นที่ชื่นชอบของฝรั่ง เพราะฆ่าไม่ตาย ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่บ่น ไม่พูดเยอะ

ข้อเสีย

1. เรื่องของ individualism/ self independent:

ในประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น คน ๆ นึงสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมาก มากกว่าที่คุณคิดเยอะ คำถามคือ คุณรู้รึเปล่าว่าคน ๆ นึงทำอะไรได้บ้าง มันเยอะจนกระทั่งทำให้หลาย ๆ คนเกิดอาการ decision Fatique คือแบบ เบื่อที่จะต้องรับผิดชอบ เบื่อที่จะต้องเดินเอกสาร เบื่อที่จะศึกษาข้อมูล ล้วงดู terms and conditions ทั้งหลาย จนกระทั่งจบด้วยการ “จ้าง” ให้คนอื่นทำ ผมเข้าใจว่าหลาย ๆ คนจะบอกว่าเราไม่มีความรู้เรื่องนู่นนี่

ตัวอย่างง่าย ๆ เลยคือเรื่องการทำ visa โดยปกติแล้วเราสามารถทำได้ด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด แต่เรากลัวว่าเราไม่รู้ เรากลัวว่าเราทำผิด กลายเป็นว่าก็ไปจ้างคนอื่นเค้าทำ ครั้งแรกไม่เป็นไร ครั้งต่อไปก็ทำอีก ทำอีก ทำไปเรื่อย ๆ อย่าลืมว่าอะไรก็ตามที่ใช้คนอ่ะ มันคือ services นะ เราต้องจ่ายเงิน คำว่าค่าแรงขั้นต่ำมันจะกลับมาแว้งกัดเราตอนนี้เนี่ยแหละ ตอนที่เราต้องเป็นคนใช้บริการบ้าง บางทีไปซ่อมรถ ค่าอะไหล่ $50 แต่ค่าแรง $200 ถ้าเราดูหนังฝรั่งบ่อย ๆ

เราจะเห็นว่าฝรั่งจะทำเองเกือบทุกอย่าง ทาสี ซ่อมรถ เดินไฟ ซ่อมท่อน้ำ บลา ๆ เพราะค่าแรงมันแพงงงงงงงงงงงงงงงงงงง มันจะเปลี่ยนทำให้เราต้องกลายเป็นคนรอบรู้ และต้องขยันที่จะแก้ไขปัญหา ยิ่งรู้เยอะยิ่งประหยัดมาก ตอนผมมาใหม่ๆ จ้างอย่างเดียว สรุปเงินหมดเพราะจ้างนี่แหละ จนต้องฝึกทำเอง ทำให้มากที่สุด มันจะทำให้เราแกร่งไปเอง หรือว่าคุณจะกลายเป็นคนที่เหนื่อยกับการใช้ชีวิตไปเลย

2. สังคมในอุดมคติ:

ในออสเตรเลียดูเหมือนทุกคนจะเป็นคนรวย แต่มันมีนะ พวกที่รวยจริง แบบ ของจริง ลูกหลานไฮโซระดับโลก ก็มี ใช้ชีวิตแบบยิ่งกว่ารวย รวยแบบใช้ปืน supreme ยิงเงินจริงได้เลย รวยแบบน่ากลัว จนทำให้คุณรู้สึกว่า ไม่ได้ดิ เรามาอยู่ที่นี่ ทุกคนเท่ากัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ สุดท้าย ชีวิตคุณหมดเงินไปกับการตาม reference จาก influencer ที่ชื่นชอบ หมดไปกับ brand name ที่ออกใหม่ทุก season จนคุณไม่เหลืออะไรนอกจากวัตถุ คุณกำลังถูกโลก capitalism กลืนกินไปทีละน้อย มันอยู่ที่ว่าใครถลำลึกไปมากกว่ากัน และใครที่รู้ตัวก่อนกัน

ออสเตรเลียอ่ะ คนเค้ารวยระดับโลกนะ ไม่ใช่รวยปลอม ชีวิต high life ที่เราพยายามวิ่งตาม จนเกินตัว มันทำให้เราไม่หยุดทำงาน เหนื่อย ผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมา กว่าจะได้สติก็เสียเงินเสียเวลาไปเยอะ พอคุณออกมาได้แล้วมองกลับไป แม่งรัฐบาลเค้าฉลาดนะ พาคนหนุ่มสาว วัยกำลังเรียน กำลังทำงาน ให้มาอยู่ในสังคมที่หรูหราอย่างกับจินตนาการ ความวู่วามทำให้เราจับจ่ายแบบไม่คิดตริตรองให้ดี สุดท้ายคนที่ได้มากที่สุดคือ รัฐ เพราะเค้าเก็บภาษี ทุก transaction ทุกรายรับรายจ่าย แบบว่า big brain สุด ๆ ไปเลย หากินกับเด็กและเยาวชนภายใต้คราบของการขายการศึกษา

3. สังคมที่ไม่เคยแก่:

ถ้าคุณมาออส คุณจะเห็นว่าคนส่วนใหญ่อายุราว ๆ 20-35 ทั้งนั้นเลย ซึ่งจริง ๆ มันไม่แปลกหรอกนะ เค้าเลือกมาแล้ว คนอายุนี้กำลังอยู่ในวัยคึกคะนอง วัยที่กำลังล่อซื้อได้ง่าย อุปทานหมู่ ตามกระแส เป็นผู้ใหญ่พอที่จะ spend เงิน แต่เด็กเกินกว่าที่จะ manage เงินได้ คนเหล่านี้พออายุเกินก็จะเริ่มขอ visa ยาก เริ่มมีข้อกำหนดเยอะ จนสุดท้ายก็ต้องกลับประเทศเพราะว่าทนอยู่ไม่ไหว ไม่ใช่เพราะหาเงินไม่ได้อย่างเดียว แต่ว่าคนใหม่ที่มา หนุ่มกว่า สาวกว่า สวยกว่า เค้ามาแทนที่คนรุ่นเก่าที่ไม่มีคุณภาพ

คนรุ่นเก่าที่เหลืออยู่ในออส (10+ ปี ส่วนใหญ่ก็จะเก๋าเกม กร้านโลกกันหมดแล้ว ไม่เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็มีงาน full time เป็น citizen กันไปหมดแล้ว) ก็กลายเป็นพลเมืองคุณภาพ สร้างรายได้ให้รัฐมหาศาล คนพวกนี้มีภูมิคุ้มกันดี เพราะผ่านโลกมาเยอะ พูดภาษาได้เอาตัวรอดได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะหลีกเลี่ยงการมาใช้ชีวิตกับนักเรียน คนที่ยังไม่รู้อะไรเลย เพราะเค้ารู้ว่า นั่นไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง มันคือสิ่งที่ออสเตรเลียเค้าสร้างมาเพื่อคัดกรองคน นอกจากด้านการศึกษาที่มี entry requirement แล้ว ด้านสังคมเค้าก็ออกแบบวิธีการคัดคนมาแล้ว คนที่ถูกเลือกจากกลุ่มคนพวกนี้เท่านั้นที่จะได้ไปต่อ


ส่วนตัวผมว่าเรื่องพวกนี้มันควรรู้นะ ก่อนเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ เราไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติ ไม่มีใครคอยให้คำปรึกษา การเตรียมพร้อมที่ดีที่สุดอีกอย่างนอกจากเรื่องความรู้ คือความมีสติ แน่วแน่กับความฝันของตัวเอง เรื่องของการขอ visa PR และเรื่องการทำ citizen มีคน post มากมายอยู่แล้ว แต่ผมมองว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นด่านแรกที่เราจะเจอทันทีก่อนที่คุณจะคุยกันเรื่อง PR ด้วยซ้ำ คือการ westernise ตัวเอง ทั้งร่างกายและจิดใจ เพื่อทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี สร้าง soft skills ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่รอดในต่างแดน สุดท้าย awareness ที่ดีจะทำให้คุณไปถึง PR ได้ง่าย

ขอให้ทุกคนโชคดี ได้ย้ายไปทุกที่อย่างที่ใจหวัง ผมแค่มาแนะนำทุกคนในฐานะคนมาก่อน จะได้ไม่เสียเวลา


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ฉันจะไม่ยอมเป็นผีน้อยที่ออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

หลังจากที่เราได้ปรึกษากับเพื่อน ก็ตัดสินใจว่าคงต้องกลับไทย แต่ไหน ๆ มาถึงแล้ว ก็อยู่เที่ยวสักนิดนึง ก่อนกลับ เพราะค่าบ้านก็จ่ายไปแล้ว 4 วีค ส่วนเราก็ได้แฟนส่งเงินมาพอสำหรับค่าเปลี่ยนตั๋ว 8000 บาท และกินใช้นิดหน่อย จนกว่าจะถึงวันกลับ ตอนนั้นเราเฟลมาก สิ่งที่ตั้งใจว่าจะมาหาเงินกลับไปจ่ายค่าเทอม คืนค่าตั๋วเครื่องบินให้น้า ตอนนี้พังหมด

..

พี่เจ้าของบ้านแนะนำว่า ระหว่างนี้ให้ลองไปหางานที่รับเงินสดทำ เผื่อเก็บตังได้นิด ๆ หน่อย ๆ แต่มันไม่ง่าย มันหาไม่ได้ มันไม่มีงานไหนที่จะทำได้สำหรับคนที่มาแบบไม่ถูกต้อง มันอันตราย ถ้าอิมมิเกรชั่นลงตรวจ จะถูกส่งกลับ และเสียประวัติ ไม่สามารถขอวีซ่าเข้าออสเตรเลียได้อีกต่อไป และมีผลกับการขอวีซ่าไปประเทศอื่น ๆ ด้วย ที่ออสเตรเลีย มีหลายคนที่หลบเป็นผีน้อย แต่ชีวิตต้องอยู่แบบหลบซ่อน ป่วยไม่สบายจะหาหมอยังยากเลย บางคนถูกกดค่าแรงและไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะตัวเองมาแบบผิดกฏหมาย

..

ระหว่างที่เราทนใช้ชีวิตแบบรอวันกลับบ้าน เราก็ช่วยงานพี่เจ้าของบ้าน เราทำการบ้านให้พี่เจ้าของบ้าน ตอนนั้นพี่เจ้าของบ้านลงเรียน บัญชี (พี่เค้าเป็นซิติเซ่นแล้วนะคะ) แล้วทำงานไปด้วย พี่เจ้าของบ้าน เป็นผู้จัดการซุปเปอร์มาเก็ต และเป็นบาริสต้าด้วย ตอนนั้นพี่เค้าทำงานหนัก ก็เลยให้เราช่วยทำการบ้าน ก็พวก พิมพ์รายงาน เย็บเล่ม ตรวจคำผิด อะไรประมาณนี้ แล้วก็ให้ค่าขนมเรา

ส่วนพี่เจ้าของบ้านอีกคน (มีเจ้าของบ้านสามคน เค้าเป็นพี่น้องกัน) ก็จะชอบให้เราทำกับข้าวให้ เพราะเค้าทำกับข้าวไม่เป็น เราที่มียายเป็นแม่ค้าขายอาหาร และอย่างที่เคยเล่าปูเรื่องไปใน เดอะซี่รี่เธอเป็นออสซี่ได้ยังไง ว่าเราชอบทำอาหาร และอยากเป็นเชฟ เราจึงทำอาหารได้หลากหลายแล้วก็ถูกปากพี่ ๆ เจ้าของบ้าน จนเค้าเอ่ยปากว่า ฝีมือแก อร่อยกว่าร้านไทยในซิดนีย์หลายร้านเลย แต่ด้วยความจน ทำให้ต้องเรียนวิศวะ เพื่อยกระดับฐานะครอบครัว

..

พี่เจ้าของบ้านจะแบ่งอาหารให้เรากับเพื่อนตลอดทำให้ประหยัดเงินไปได้มาก และให้ค่าขนมที่ช่วยทำอาหารให้เค้า หรือบางที่ก็ไม่รับเงินทอนจากการใช้เราไปซื้อกับข้าว ส่วนพี่เจ้าของบ้านคนที่ 3 ก็จะชอบให้เราแต่งหน้าให้ เพราะอย่างที่เคยเล่าไป เราวาดรูปเก่ง ก็เลยพอมีฝีมือแต่งหน้าอยู่บ้าง เวลาพี่เค้าจะไปออกเดท ก็จะมาให้เราแต่งหน้าให้ แล้วก็ให้ค่าขนมตอบแทนเราที่ช่วยแต่งหน้าให้พี่เค้า และด้วยที่เราเรียนวิศวะมา เวลาที่ในบ้านมีปัญหา เราก็มักจะช่วยซ่อมให้พี่ ๆ เค้า เช่น อ่างล้างจานตัน เปลี่ยนก๊อกน้ำ เราแทบไม่ได้ใช้เงินเลย ก็มีเงินที่แฟนส่งมาให้ กับเงินที่เก็บเล็กผสมน้อยจากการช่วยงานพี่ ๆ เจ้าของบ้าน

..

เหลือเวลาอีกไม่กี่วันที่เรากับเพื่อนจะต้องกลับไทย ด้วยความผูกพันกับพี่ ๆ ที่ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่เป็นช่วงที่ลำบากที่สุดในชีวิต พี่ ๆ ที่เอ็นดูและสงสารในชะตากรรมของเรา วันนั้นพี่ ๆ ซื้อของมาเยอะมาก ให้เราทำกับข้าว กินเลี้ยงกันก่อนที่เราจะกลับ เราทำอาหารหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือ ไข่พะโล้ เราทำไข่พะโล้สูตรที่ยายเราสอน พี่เจ้าของบ้านกินเข้าไปแล้วบอกว่า ไอ้พัด ทำไมแกทำอร่อยขนาดนี้วะ แกนี่แม่งมีพรสวรรค์มากนะ เราเลยเริ่มเล่าเรื่องของเรา

..

ความฝันของเราที่อยากเป็นเชฟ แต่ต้องเลือกที่จะเรียนวิศวะ เพราะฐานะทางบ้าน เราบอก ถ้าเราเลือกได้ เราก็อยากอยู่ที่นี่นะ เพราะจากที่เราเห็นพวกพี่ ๆ และคนอื่น ทุกอาชีพที่ออสเตรเลีย มีความมั่นคง และเท่าเทียมกัน พี่เจ้าของบ้านคนนึง พูดขึ้นว่า “ไอ้พัด แกอยากเป็นเชฟ ก็เป็นสิวะ ที่นี่ออสเตรเลีย แกเป็นได้ทุกอย่างที่อยากเป็น” พรุ่งนี้ไปคุยกับเอเจนซี่ แล้วแกมีเงินเท่าไหร่ ขาดเท่าไหร่มาบอกพี่ พี่ออกให้ก่อน แล้วพอได้วีซ่านักเรียน ทำงานแล้วค่อยหามาคืน คนอย่างเอ็ง หนักเอาเบาสู้ มีความสามารถ มีพรสวรรค์ พี่เสียดาย ไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ อยู่เรียนมันที่นี่แหละ!!!!

..

เราตอนนั้น สับสนมาก พี่เค้าพูดจริงหรอวะ เราที่พล่ามบอกคนทั้งครอบครัวมาตลอดว่าอยากเป็นเชฟ แต่ทุกคนต่างคิดไปทางเดียวกันว่ามันทำไม่ได้ บ้านเราจน เราต้องเรียนอาชีพที่มั่นคง เพื่อยกฐานะครอบครัว แต่วันนี้ ที่นี่ออสเตรเลีย มีคนได้ยินเสียงเรา ได้ยินความฝันของเรา แล้วบอกเราให้ทำในสิ่งที่เป็นตัวเอง เราเลยถามย้ำพี่เค้า ว่าพี่พูดจริงหรอ พี่เค้าก็ตอบ เออจริง พรุ่งนี้ไปคุยกับเอเจนเลย ชีวิตแก อยากเป็นอะไรเป็น ทำให้สุด ทำให้แม่เห็นว่าเราทำได้ พี่รู้จักแกไม่นาน แต่พี่ว่าพี่ดูคนไม่ผิด เรานี่น้ำตาไหลเลย ยกมือไหว้พี่เค้าท่วมหัว

..

คืนนั้นเรานอนคิดทั้งคืน ว่าเราจะอยู่ต่อ หรือจะกลับไปเรียนวิศวะต่อให้จบ เพราะใกล้จะจบแล้ว ไหนจะแฟนที่รอเราอยู่อีก แล้วเราก็ยังไม่ได้บอกแม่เลย เราคิดทั้งคืน ก่อนจะตัดสินใจโทรไปคุยกับแฟนเรา เราเล่าเรื่องทั้งหมดให้แฟนเราฟัง แฟนเราพูดคำเดียว นี่มันฝันของพัดนะ พัดทำเลย พี่จะรอ เรียนเชฟจบแล้วค่อยกลับมาแต่งงานกัน พัดอยากเป็นเชฟมาตลอด พัดรักการทำอาหาร พี่จะเอาเหตุผลแค่พี่รักพัด แล้วรั้งพัดไว้ไม่ให้ไปตามฝันของตัวเองได้ยังไง ทำเลยทำให้สำเร็จนะ เรานี่ปล่อยโฮเลย มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งสับสน ทั้งตื้นตัน ทั้งกลัวว่าจะตัดสินใจผิด มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่มีวันลืม

เราจะมาเล่าต่อใน ep หน้า กับการหาเอเจนซี่ทำวีซ่านักเรียน และเราก็เจอแจ๊คพอต อีกแล้ว วีซ่านักเรียนถูกปฏิเสธ เพราะเอเจนซี่ ยื่นวีซ่าผิดประเภทให้เรา จนเราต้องขึ้นศาล ร้องขอความเป็นธรรม!!
เรื่องของเราในความโชคร้ายยังมีความโชคดี มีคนเมตตา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเจอคนดีแบบที่เราเจอ เพราะฉะนั้นไตร่ตรองให้ดี ตรวจสอบให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจเดินทาง การทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดี และปลอดภัยที่สุด


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

แชร์เทคนิคพัฒนาทักษะก่อนย้ายไปออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

ใครกำลังจะไปเรียนต่อ & ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ต่างประเทศ และอยากพัฒนาทักษะการฟังของตัวเอง มาทางนี้เลยค่าา

#ทีมออสเตรเลีย #แชร์ความรู้

ชื่อลีลานะคะ เป็นติวเตอร์สอนIELTS อาศัอยู่ที่ Sydney, Australia ค่า ตัวครูเองเปิดเพจชื่อ “IELTS Centre ติวไอเอ้ลส์” เป็นเพจให้ความรู้เน้นติวสอบ IELTS สำหรับคนไทยที่สนใจเรียนต่อ หรือย้ายถิ่นฐาน มาต่างประเทศ

..

เพจความรู้ IELTS https://www.facebook.com/IELTSLiveKruLeela/

ตัวครูเอง ได้คะแนน Listening เต็ม9.0 บ่อยครั้ง (ล่าสุด L 9.0 Jan 2021 แบบComputer-based) เลยอยากจะมากระซิบบอก แหล่งความรู้ที่ครูเอาไว้เพิ่มทักษะการฟังจ้ะ เริ่ดนะ บอกเลย

1. BBC 6 minute English

เนื่อหาสาระ หลากหลาย เช่น technology to health, science ความยาว6นาที คนพูด2-3 คน พูดไม่เร็วมาก เข้าใจง่าย ดังนั้น มือใหม่หัดฟังจะไม่รู้สึกว่า ยากเกินไป ครูชอบตรงมีscriptให้ดูด้วย จะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆง่ายขึ้น

http://www.bbc.co.uk/…/english/features/6-minute-english

2. British council Podcasts

อันนี้ดีค่ะ แต่ก่อนครูฟังตอนขึ้นทำงาน มีหลายlevel นะ แบบช้า แบบเร็ว เลือกได้

https://learnenglish.britishcouncil.org/…/professionals…

http://www.mediafire.com/…/BRITISH+COUNCIL+LISTENING.rar

3. The Guardian Long read

อันนี้ เหมาะกับคนที่ฟังเก่งแล้ว ประมาณIELTS Listeningระดับ6.0 อยากเพิ่ม คำศัพท์แบบ academic, ฝึกการอ่านไปด้วย และ การฟังแบบเร็ว จะฟังonline หรือ จะโหลดมาฟังก็ได้ ฟังครั้งนึงก็ใช้เวลา 20-40นาที ถ้าฟังครั้งแรก ไม่เข้าใจ ฟังใหม่นะ พยายามจับidea จับสาระเพิ่ม ถ้ารู้ศัพท์ ฟังใหม่จะเข้าใจมากขึ้นค่ะ

4. esl-lab

เว็บนี้ดีค่ะ มีQuizหลังฟังเสร็จเพื่อทดสอบว่าความเข้าใจของเรา แต่เสียอย่างเดียว ไฟล์เสียง downloadไม่ได้ค่ะ

Randall’s ESL Cyber Listening Lab

5. รวม 50 podcasts น่าสนใจปี2017

https://www.theatlantic.com/…/the-50-best…/548165/

6. Netflix

ซีรีส์ Netflix ดูไว้ฝึกภาษาอังกฤษ สนุกและได้ความรู้ด้วย ครูขอแนะนำ 10 ซีรีส์ทาง Netflix ที่ดูไว้ นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นอีกด้วยนะคะ

Kru Leela’s Favourites

  • Firefly Lane
  • Ginny & Georgia
  • Ozark
  • Emily in Paris
  • New Amsterdam
  • Selling Sunset
  • Stranger Things
  • The Black Lists
  • Gotham
  • True Detective
  • Cold Case Files
  • The Haunting House of Bly Manor

แล้วแต่เลยนะว่าใครชอบดูหนัง หรือ series แบบไหน ส่วนตัวครูแล้วชอบ thriller หรือ สืบสวน สอบสวนไรงี้ ครูชอบดูหนัง ดูseries เพราะนอกจากได้ฝึกการฟัง ได้เรียนรู้คำศัพท์ และยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมอีกด้วยค่ะ

สำหรับเทคนิคการฝึกภาษาอังกฤษผ่าน Netflix ครูแนะนำ…ฟังภาษาอังกฤษ+เปิด Subtitle เป็นภาษาอังกฤษ วิธีนี้จะได้ผลมาก ๆ ในการฝึกภาษาอังกฤษ เพราะทำให้เรารู้คำศัพท์ การออกเสียง (Pronunciation) สำเนียง (Accent) ตลอดจนรูปแบบการใช้ประโยคคำนั้น ๆ กับสถานการณ์ต่าง ๆ และยังได้ในเรื่องการเขียนและการสะกดคำ (Writing and Spelling) อีกด้วย


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่ายสะโพกโยกย้าย

ทำงาน Bar&Gaming ที่ซิดนีย์

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

สวัสดีค่ะ จะมาแชร์ปสก การทำงานที่ซิดนีย์ค่ะ #ทีมออสเตรเลีย คิดอยู่นานว่าจะโพสดีมั้ยเพราะงานที่เราทำที่ออสเตรเลียคือเรื่องปกติมากกกก แต่ด้วยความที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ (ว่าซั่น) ก็เลยจะเกริ่นไว้ก่อนว่า โพสนี้มีจุดประสงค์เพื่อแชร์ปสกการทำงาน+แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อที่จะชักจูงหรือเชิญชวนให้ทำกิจกรรมที่จะกล่าวในส่วนถัดไปใดใดทั้งสิ้น

*WARNING*

การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย (ที่ไทย) แต่ที่นี้ทุกอย่างคือถูกกฏหมายรัฐเก็บภาษีได้เต็ม ๆ เพราะฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ

..

เราทำงานเป็น Bar&Gaming Staff ในผับแห่งหนึ่งในซิดนีย์ คำว่าผับในที่นี้คือ venue ที่สามารถเสิร์ฟอาหาร+เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นะคะไม่ใช่ผับเต้นตื๊ด ๆ แบบที่เราคุ้น ๆ กัน อันนั้นจะเป็นคลับ ไม่เหมือนกันนะคะ
ที่เราอยากแชร์อาชีพนี้เพราะคิดว่ามันไม่มีที่ไทยอาจจะเป็นแนวทางให้คนที่มีโอกาสมาออสเตรเลียได้ลองทำดู เอาไว้เป็นทางเลือก งานนี้คนที่ถือวีซ่านร.ทำเยอะมากชม.ทำงานก็จะทำตามกฏหมายที่กำหนดคือ 40ชม/ 2 วีค จ่าย tax ถูกต้องตามกฎหมาย

รายได้ต่อชมจะได้เท่ากับหรือสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ(ในเรทcasual) เราทำตอนนี้ได้ชม.ละประมาณ 27$ อันนี้คือค่าแรงตอนที่ยังไม่บวกค่าล่วงเวลานะคะ ถ้าทำงานนอกชม.การทำงานแบบปกติอย่างไนท์ชิฟก็จะมีค่าล่วงเวลาเพิ่มให้นิดหน่อย โดยเฉลี่ยเราได้เงินจากงานนี้วีคละประมาณ 5xx$ (ทำ3วัน) แต่ถ้าเราอยู่ในช่วง school holiday วีซ่านักเรียนสามารถทำงานได้ไม่จำกัดชม. เราเคยได้มากสุดที่ประมาณวีคละ 9xx$

..

หน้าที่ที่เราต้องทำก็คือเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์+ดูแลลูกค้าที่เข้ามาเล่นเครื่องโป๊กเกอร์+ซ่อมเครื่องโป๊กเกอร์ในขั้นพื้นฐาน ทำความสะอาดดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ในชิฟการทำงาน การที่จะทำงานนี้ได้เราต้องไปอบรมเพิ่มเติมเพื่อที่จะเอาใบอนุญาตการทำงาน 2 ใบ ก็คือ ใบแรกเป็นใบอนุญาตในการเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Responsible Service of Alcohol (RSA) และใบที่สองเป็น ใบอนุญาตการทำงานในสถานที่ประกอบการที่มีการพนัน Responsible Gambling Services (RCG) ใบอนุญาตสองตัวนี้สำคัญมาก เสียค่าสอบตัวละประมาณ1xx$ แต่อยู่ได้ถึง 5 ปี และสามารถต่อได้เรื่อย ๆ

*กฏหมายที่นี้แรงมากนะคะ พนักงานสามารถปฏิเสธการเสิร์ฟเครื่องดื่มได้หากพิจารณาแล้วว่าลูกค้าเริ่มมีข้อบ่งชี้ว่าเริ่มมีอาการมึนเมา ถ้าลูกค้าขัดขืนเรามีสิทธิ์สามารถไล่ลูกค้าออกจากร้าน+ลูกค้าสามารถูกแบนออกจากเวนิวได้ กลับกันถ้าเราเสิร์ฟจนลูกค้าเมาแล้วไปโป๊ะมีเรื่องหรือมีเหตุอะไรเกิดขึ้นภายหลังแล้วถึงมือตำรวจ ผับจะโดนปรับแล้วเราสามารถโดนยึดใบอนุญาตเราได้ ไม่คุ้มกันนะคะสำคัญมากๆ*

งานนี้เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานทางภาษา ยิ่งมากยิ่งดีเพราะว่าเราทำงานกับคนต่างชาติโดยตรง ทั้งเพื่อนร่วมงานและลูกค้า ไหนจะต้องจดจำชนิดของแอลกอฮอล์ต่าง ๆ เพราะฉะนั้นภาษาสำคัญมากค่ะ คนที่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องของแอลกอฮอล์ก็จะช่วยได้เยอะ หรือใครที่สนใจในเรื่องนี้ งานนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้นะคะ

..

ข้อเสียของงานคือผับส่วนใหญ่ที่นี้เปิดดึกมาก ต้องมีโอกาสได้ทำไนท์ชิฟ เวลาก็จะสวิงนิดนึง ร่างกายก็จะอ๊อง ๆ เป็นเรื่องปกติ แต่ถือว่าเป็นงานที่สนุก ได้เจอคนได้เจออะไรใหม่ ๆ เยอะดี งานนี้ต้องดีลกับลูกค้ามากหน้าหลายตาทั้งเมาทั้งไม่เมาเพราะฉันนั้นกายพร้อมใจต้องพร้อมนะคะ วุฒิการศึกษาไม่สำคัญทักษะภาษาอังกฤษและคอมมอนเซนส์ในการทำงานสำคัญกว่า ถ้ามีอะไรนึกได้เพิ่มเติมจะเพิ่มไว้ให้ในคอมเมนท์นะคะ

ปล.ไม่ชักชวนให้เล่นการพนันนะคะ ไม่มีใครรวยจากการพนันอันนี้ก็ยังเป็น fact ที่ใช้ได้เสมอ ที่นี้ถ้าใครมีปัญหาเรื่องการพนันจะมีหน่วยงานรัฐที่คอยให้ความช่วยเหลือค่ะ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

ประสบการณ์อยู่ Perth 7 ปี

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

สวัสดีค่ะ อยู่เพิร์ธ ออสเตรเลียตะวันตก นะคะ ขอมาแชร์ประสบการณ์ ย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อประมาณเกือบ 7 ปีที่แล้ว ตอนนี้ได้สัญชาติเป็นคนออสเตรเลียแล้วค่ะ ขอเล่าในส่วนที่ย้ายมาแบบมีสามี หรือ spouse นะคะ #ทีมออสเตรเลีย

.

เราเรียนจบป.ตรี ภาษาอังกฤษสื่อสารธุรกิจ ที่เมืองไทย ประสบการณ์แอดมินในบริษัทต่างชาติ 2 ปี สามีเป็นคนบราซิล เรียนจบป.ตรี เศรษฐศาสตร์ เป็น Financial Analyst ประสบการณ์ทำงาน 6 ปี

ตอนเราย้ายมา อายุ 29 ปี สามีอายุเท่ากัน เราสมัครเรียนปริญญาโท ยื่นผล Academic IELTS ขั้นต่ำ overall 6.5 และจ่ายค่าเทอมเทอมแรกก่อนมาเรียน ตอนยื่นวีซ่า ให้สามียื่นเป็นผู้ติดตาม เมื่อทางมหาวิทยาลัยรับเข้าเรียน มีจม.ออกมา นำไปยื่นวีซ่า พร้อมแจงเงินในบช. คือขั้นตอนปกติทั่วไป ผ่านเรียบร้อยค่ะ

.

เมื่อมาถึง ผู้ที่ถือวีซ่านักเรียน ชนิด higher education คือระดับปริญญาขึ้นไป ผู้ติดตาม คือ สามี หรือ partner จะสามารถทำงานได้เทียบเท่ากับคนที่นี่ คือ full-time อาทิตย์ละ 37.5 ชม. แต่ตัวผู้ถือวีซ่านักเรียน ทำงานได้ อาทิตย์ละ 20ชม. และช่วงปิดเทอมทำงานได้เต็มเวลา

3 อาทิตย์แรกหลังจากมาถึง เราได้งานเสิร์ฟร้านอาหารไทย โดยการหางานในเว็บ gumtree เริ่มชม. ละ 15$ ทำกลางคืน และได้งานร้านคาเฟ่ เริ่ม 17$ ช่วงกลางวัน ในวันที่ไม่มีเรียน เราทำตามกำหนดชม. ที่ทำได้ ส่วนทางสามี พยายามสมัครงานทุกวัน ใช้เวลา 2เดือนกว่า ถึงได้งาน เงินเดือนเริ่มต้น 90,000$ ต่อปี ก่อนจ่ายภาษี

.

ผ่านมา 2ปี เราเรียนจบ และวีซ่าจะครบกำหนด สามีเราแจ้งนายจ้างว่า วีซ่าจะหมดเพราะภรรยาเรียนจบแล้ว นายจ้างสามีอยากได้เขาให้ทำงานต่อ จึงทำเรื่องขอวีซ่าสปอนเซอร์ให้ อายุวีซ่า 4 ปี เราเปลี่ยนมาถือวีซ่าผู้ติดตามสามี ทำงาน full-time ได้

ผ่านมาจะครบ 5ปี เราและสามีสามารถยื่นสมัครขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรได้ หรือ Permanent Resident ผ่านทางที่ทำงานขอสามี โดยมีคะแนนต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบ เช่น ผลสอบวัดภาษา อายุคนสมัคร และประสบการณ์ทำงาน ยื่นสมัครไปตามขั้นตอน หลังจากนั้นจึงได้ PR

ถือ PR ผ่านมา 1 ปี สามารถยื่นสมัครขอสัญชาติออสเตรเลียได้ เราก็ทำตามขั้นตอนค่ะ

.

ปัจจุบันเราและสามีมีพาสปอร์ตออสเตรเลีย สามีทำงาน รายได้ราว 150,000$ ต่อปีก่อนหักภาษี เราทำงานรายได้ราว 57,000$ ต่อปี ก่อนหักภาษีค่ะ

อย่างไรก็ตาม กฎ และข้อจำกัดในเรื่องวีซ่าทุกชนิด จะมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เราควรศึกษา และปรึกษาเอเจ้นที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถให้คำแนะนำเราได้ ก่อนที่เราจะตัดสินใจมา

เราใช้เอเจ้นแค่ตอนยื่นวีซ่ามาเรียนป.โท และตอนตอนสามีเปลี่ยนได้สปอนเซอร์ และขอPR ทางที่ทำงานสามีจัดการให้เบื้องต้นค่ะ ตอนสมัครขอสัญชาติ เราทำเองตามกฎ และกระบวนการที่ทางรัฐบาลแจ้งไว้ในเว็บไซด์
ใด ๆ ก็คือ เพื่อน ๆ ควรเตรียมความพร้อมด้านภาษาไว้ให้ดี เพราะเมื่อโอกาสมาถึง เราจะได้คว้าไว้ได้เลย


เราและสามีรักเมืองไทยมาก และเห็นตรงกันว่าอยากกลับไปใช้ชีวิตเกษียญที่นั่น แต่ด้วยสถานการณ์เมืองไทยในปัจจุบัน การอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีการจัดการที่ดี ทำให้เราและสามี มีโอกาสได้มีชีวิตที่ห่างจากความลำบาก และได้ช่วยเหลือครอบครัวที่เมืองไทย

ถ้าเพื่อน ๆ มีอะไรสงสัยอยากถาม ถามได้นะคะ ถ้ารู้จะมาตอบให้ค่ะ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

ประสบการณ์ทำงาน Retail ที่ออสเตรเลีย 1 ปี

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

สวัสดีค่า เราเพิ่งเข้ามาไม่กี่วัน เราเลยอยากเล่าประสบการณ์ การทำงาน Retail และชีวิตที่ออสเตรเลีย ตลอดระยะเวลา 1 ปี (ทำงาน 6 เดือน อีก 6 เดือนไม่ได้ทำงาน กิน เที่ยวเล่นไปทุกที่) เราไปแบบวัดดวงล้วนๆ และไปถูกกฏหมายค่ะ

.

#ทีมออสเตรเลีย

.

เหตุเกิดจากที่เราเบื่อการทำงานที่นี่ค่ะ เราจึงหาข้อมูล Working and Holiday ที่ Aus (ตอนนี้รับปีละ 2,000คนค่ะ ปีเรารับ 500 คน)

#เรื่องภาษา

ภาษาเราก็อยู่ในขั้น งง กับทุกแกรมม่า มั่วซั่วไปหมด ท้ง เท้น อะไร จำไม่ได้ค่ะ google translate คือเพื่อนรัก ก่อนสอบ ielts ไม่ได้ไปเรียน เราก็ไปสอบทั้ง ๆ ที่หัวมีแค่นั้นอะค่ะ แต่ดันบังเอิญสอบผ่านค่ะ
การฝึกของเราก็ ฟังเพลง ดูหนัง พูดกับตัวเองไปเรื่อย และบังเอิญช่วงนั้นเราก็บ้า Ice Hockey ค่ะ เราเลยได้ดูการแข่งขันเยอะ มันมีแต่ภาษาอังกฤษ ไม่มีซัพ เลยต้องพยายามฟังให้เข้าใจว่า เค้าพูดอะไร
เพื่อน ๆ ที่ออส ก็เข้าใจในสิ่งเราพูดนะคะ อาจจะมีงงบ้างบางครั้ง แต่เราก็พยายามอธิบายจนเค้าใจ

อยู่ไปเดือนนึง ก็อยู่ตัวแล้ว พูดได้เยอะ คล่อง เข้าใจศัพท์แสลงที่มากมายของออส แต่ยังไม่เก็ทมุขฝรั่งอยู่ดี 555 ใครไม่ได้ภาษา ช่วงนี้ WFH เราแนะนำเลย ฝึกไปเยอะๆค่ะ เราฝึกได้ คุณก็ฝึกได้ มันไม่ได้ยากอย่างที่คิดค่ะ

#เรื่องการทำงาน

เราอยู่ Uniqlo ประเทศไทยมาก่อน และหลังจากเราได้วีซ่า เราก็ลาออก ไปสมัคร Uniqlo Australia (ไม่ได้ขอย้ายแต่อย่างใดค่ะ) ไปทำทั้งหมด 6 เดือนค่ะ ในตำแหน่ง Full time SA (พนักงานขาย)

  • ทำงาน 5 วัน หยุด 2 วัน ตารางงานคือ Fix ไว้แล้วค่ะ ทำงานที่นี่ชิลมากค่ะ สำหรับเรา และไม่ค่อยมีโอที ทำงานวนไปค่ะ พยายามทำให้เสร็จค่ะ หมดเวลา ยังไม่เสร็จก็วางมือ กลับบ้านจ้า
  • เรทเงินเดือน แต่ละตำแหน่งคือ คนละเรท แต่เค้ามีเรทพิเศษสำหรับทำงานวันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุด หรือแม้แต่ทำงานกะบ่ายที่เลิกค่ำ ๆ
  • Tax ที่ต้องจ่ายก็ราว ๆ 30% ค่ะ บ้างก็ได้คืน บ้างก็จ่ายเพิ่มค่ะ
  • สวัสดิการมี Super เหมือนประกันสังคมค่ะ เค้าจะจ่าย super ให้เราไว้ที่บัญชี super ค่ะ พอเราออกจากประเทศเค้าอย่างถาวร ถึงขอคืนได้ค่ะ (อันนี้เราได้กลับมาหลายร้อยดอลอยู่ค่ะ)
  • วันลาพักร้อน ที่ไทย ปีละ 7 วัน เลือกไม่ถูก ไม่รู้จะลาไปไหนเลย ส่วนที่ออส 30วันค่ะ 5555 ต่างมะ? ไม่ใช้ ได้เงินคืนด้วยนะ ไม่ใช่สูญเปล่านะ

#เรื่องของขนส่งสาธารณะ

ขนส่งเค้าคือดีมากค่ะ บัตรใบนึง จ่ายทุกอย่าง tram bus train 7-11 ฯลฯ ค่าขนส่ง จ่ายวันนึง limit ที่ $14 มั้ง? หลังจากนั้น ก็ขึ้นลงไปเลย มัน max แล้ว หลังจากนั้นฟรี แต่ต้องแตะบัตรนะ รถเค้ามาเป็นเวลา ไม่มีเลท เจ้าหน้าที่ทุกคน น่ารักมากกกกกก ช่วยเหลือหมด ถามอะไร ยิ้มตอบหมด บางที พาไปส่งด้วยนะ (ที่ไทยนี่ ถามที คือจะแดกหัวกุอยู่ละ) แถมยังมี Free Tram Zone ให้เราอีก ขึ้นฟรีในเขตเมือง สบาย ๆ

#อาหารหารกิน

ไม่ต้องกลัวอดตายค่ะ ร้านเอเชีย ตลาดไท มีขายทุกอย่างค่ะ ไม้จิ้มฟัน ยันเตาหมูกะทะ ผงวิเศษ อาหารไทย ข้าวสาร ยาสระผมไทย ๆ สบู่ไทย ๆ น้ำพริก ฯลฯ พวกตลาดสด คือ สะอาดมากกกก แบ่งโซนไปเลย ของสด คืออยู่ในโซนตึกนึง ผักหญ้า อยู่อีกโซนนึง

ซื้อของเท่าที่เราจะกินได้ ไม่โดนด่า วันนี้อยากกินแอปเปิ้ลลูกเดียว ก็ซื้อได้ เค้าไม่ว่า Supermarket คือระบบดีมาก มีโซน self check ให้จ่ายเงินเองจ้า โกงก็ไม่ได้นะ เค้ามีคนตรวจค่ะ แต่คนบ้านเค้าไม่มีโกงกันอะ (ที่ไทยเห็นทำแล้วนะ แต่มันดูวุ่นวาย ดูระบบงง ๆ พนง งง ๆ)

#เรื่องการหาแฟน (เพิ่มเติม เห็นใครหลายคนลงว่าอยากไปหาแฟน เผื่อได้อยู่ต่อยาว ๆ)

ไม่ต้องคิดเยอะค่ะ Tinder ไปเลยค่ะ ก่อนไป ก็ไปสมัคร tinder แพคเกจสูง ๆ ไว้ค่ะ ที่มัน move location ได้อะค่ะ 555 ตอนก่อนไป เราก็ทำแบบนั้นแหละค่ะ พอไปถึง เราก็ยังเล่นอยู่ค่ะ 555 (แต่ตอนนี้ไม่ได้เล่นแล้วค่ะ)
แต่ดวงไม่น่าจะมีคู่ที่นั่นค่ะ ได้เพื่อนมาเยอะเลย เราไม่เคยเจอคนไม่ดีใน tinder เลยนะ เจอแต่คนดี ๆ หน้าที่การงานดี

ทุกวันนี้เวลาพวกเค้ามาเที่ยวเมืองไทย เค้ายังส่งข้อความมาหา พากันไปเที่ยว กินข้าว กันอยู่เลยค่ะ

——-
จากทั้งหมดที่ได้ไปอยู่ 365 วัน ณ ต่างแดน ทำให้เรามีความไฝ่ฝันว่า วันหนึ่ง หากเรามีโอกาสที่จะได้กลับไป เราจะไปแน่นอน ไปอยู่ยาว ๆ ไม่อยากกลับมาไทยเลย คุณภาพชีวิตเราที่นั่น คือ ดีมากก แบบ ดีจริง ๆ ไม่มีความเครียดใด ๆ

ใครอยากจะไปต่างประเทศนะคะ เราแนะนำว่า ลองเลือกประเทศที่ชอบ จิ้มไปเลยค่ะ แล้วลองไปใช้ชีวิตอยู่ระยะนึง หากชอบ หรือติดใจ ลองหาลู่ทางที่จะอยู่ต่อ หากไม่ชอบ ก็กลับมาตั้งหลักก่อน
ใครชอบ aus nz ก็แนะนำให้ลองวีซ่าเรานี่แหละ

ใครอยากรู้อะไร ถามได้นะ อะไรที่เราตอบได้ เราจะตอบให้ค่ะ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย