Saturday, October 25, 2025
Home Blog Page 24

หญ้าแฝก … หญ้าอัศจรรย์สำหรับเกษตรกร

0
หญ้าแฝก ... หญ้าอัศจรรย์สำหรับเกษตรกร
หญ้าแฝก ... หญ้าอัศจรรย์สำหรับเกษตรกร

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำริในการแก้ไขและป้องกันปัญหาหน้าดินที่พังทลายอันป็นสาเหตุให้สูญเสียพื้นที่หนดินและน้ำ จึงทรงเสนอแนะวิธีการธรรมชาติด้วยกำแพงที่มีชีวิต นั่นคือ “หญ้าแฝก”

เนื่องด้วยระบบรากของ “หญ้าแฝก” ที่ฝังลึกไปในดินตรง ๆ และแผ่กระจายเหมือนกำแพงจึงช่วยชะลอความเร็วของน้ำที่ไหลผ่านหน้าดิน ช่วยเก็บความชุ่มชื้นของดินไว้และป้องกันการพังหลาของหน้าดิน เป็นพืชที่มีอายุได้หลายปี ขึ้นเป็นกอแน่น สามารถขยายพันธุ์ได้ผลรวดเร็วโดยการแตกหน่อจากลำตันใต้ดิน ทั้งยังเจริญเติบโตได้ในสภาพดินที่มีโลหะหนัก

หญ้าแฝก ... หญ้าอัศจรรย์สำหรับเกษตรกร
หญ้าแฝก … หญ้าอัศจรรย์สำหรับเกษตรกร

จึงมีการนำไปใช้ประโยชนอการอนุรักษ์ดิน เช่น ปลูกตามพื้นที่ลาดชันหรือบริเวณเขื่อนเพื่อป้องกันการกัดชะของหน้าดิน ปรับปรุงดินที่เสื่อมโทรม และยังใช้ปลูกป้องกันสารพิษปนเปื้อนลงแหล่งน้ำ ปลูกเพื่อใช้บำบัดน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทและดูดชับโลหะหนักจากดิน เป็นต้น

เมื่อวันที่ 22 มิฤนายน พ.ศ. 2534 ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับหญ้าแฝกเป็นครั้งแรกกับ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการสำนักงาน กปร. ในขณะนั้นว่าให้ทำการศึกษาทดลองปลูกหญ้แฝกเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและอนุรักษ์ความชุมชื้นไว้ในดิน เพราะขั้นตอนการดำเนินงานเป็นวิธีการแบบง่าย ๆ ประหยัด และที่สำคัญคือเกษตรกรสามารถเนินการเองได้ โดยไม่ต้องให้การดูแลภายหลังการปลูกมากนัก และได้พระราชทานพระราชดำริอีกหลายครั้งเกี่ยวกับการนำหญ้าแฝกมาใช้ประโยชน์ในลักษณะต่าง ๆ การดำเนินโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ ทรงเน้นอยู่เสมอว่ากระบวนการพัฒนาที่ดินทั้งหมดนี้ จะต้องชี้แจงให้ราษฎรซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์มีส่วนร่วมและลงมือลงแรงด้วย

ตัวอย่างของการจัดการทรัพยากรดินด้วยการอนุรักษ์ดินและพื้นฟูพื้นที่เสื่อมสภาพ โดยการป้องกันการเสื่อมโทรมและการชะล้างพังทลายของดินด้วยการปลูก “หญ้าแฝก” พืชจากพระราชดำริที่ทำหน้าที่เป็นกำแพงที่มีชีวิตในการอนุรักษ์และคืนธรรมชาติสู่แผ่นดิน ได้แก่ โครงการพื้นฟูดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จังหวัดเพชรบุรี และได้มีการนำมรรควิธีนี้ไปศึกษาวิจัย และนำไปสาธิตในท้องที่ต่าง ๆ ที่มีศูนย์ศึกษาการพัฒนา ตั้งอยู่ รวมทั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอื่น ๆ เช่น โครงการพัฒนาหญ้าแฝกในโครงการพัฒนาคอยตุง เพื่อให้เกษตรกรได้รับทราบและนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผลดีแก่ตัวเกษตรกรเองและสังคมโดยรวม

ผลจากการดำเนินงานตามพระราชดำริในการศึกษาให้ทราบพันธุ์และหาวิธีปลูกหญ้าแฝก ที่เหมาะสมเพื่อเผยแพร่ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดิน ทำให้สมาคมควบคุมการกัดเซาะผิวดินนานาชาติ (International Erosion Control Association : IECA) มีมติถวายรางวัล The International Erosion Control Association’s International Merit Award แค่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำหญ้าแฝกมาใช้อนุรักษ์ดินและน้ำ และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำแห่งธนาคารโลก ได้นำคณะเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแผ่นเกียรติบัตรเป็นภาพรากหญ้าแฝกชุบสำริด ซึ่งเป็นรางวัลสดุดีพระเกียรติคุณในฐานที่ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้หญ้าแฝกในประเทศไทย

ลักษณะทั่วไปของหญ้าแฝก

หญ้าแฝก ... หญ้าอัศจรรย์สำหรับเกษตรกร
หญ้าแฝก … หญ้าอัศจรรย์สำหรับเกษตรกร

หญ้าแฝกเป็นหญ้าเขตร้อนที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ กระจัดกระจายทั่วไปในประเทศไทย จะพบหญ้าแฝกขึ้นอยู่ในพื้นที่ทั่วไปจากที่ลุ่มจนถึงที่ดอน สามารถขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิด ขึ้นเป็นคอหนาแน่น เจริญเติบโตโดยการเตกกออย่างรวดเร็ว ความสูงจากยอด 0.5-1.5 เมตร หากนำมาปลูกติดต่อกันเป็นแนวยาวขวงแนวลาดเทของพื้นที่ จะแตกคอติดต่อกันเหมือนรั้วที่มีชีวิต

สามารถกรองเศษพืชและตะกอนดิน ซึ่งถูกน้ำชะล้างพัดพามาตกทับถมติดอยู่กับกอหญ้าเกิดเป็นคันดินธรรมชาติได้

หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีระบบรากลึก เจริญเติบโตในแนวดิ่งมากกว่าออกด้านข้าง และมีจำนวนรากมาก จึงเป็นพืชทนแล้งได้ดี รากจะประสานติดต่อกันหนาแน่นเสมือนกำแพงใต้ดิน สามารถก็บกักน้ำและความชื้นได้ ระบบรากแผ่ขยายกว้างเพียง 50 เซนติเมตร โดยรอบกอท่านั้น จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อพืชที่ปลูกข้างเคียง จัดเป็นมาตรการอนุรัษ์ดินและน้ำวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะพื้นที่สองข้างทางของคลองชลประทาน อ่างเก็บน้ำ บ่อน้ำ ป้องกันขอบตลิ่ง คอสะพาน หรือไหล่ถนน ก็ล้วนสามารถนำวิธีการนี้ไปใช้ได้เป็นอย่างดี

การปลูกหญ้าแฝก

  1. ใช้กล้าหญ้าแฝกในถุงพลาสติกขนาดเล็ก การปลูกหญ้าแฝกที่ได้จากการขยายพันธุ์ในถุงขนาดเล็ก (ขนาด 2×6 นิ้ว) จะช่วยให้หญ้าแฝกรอดตายสูง มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอ เมื่อกล้าหญ้าแฝกในถุงมีอายุ 45-60 วัน ก็พร้อมที่จะนำไปปลูกได้ การปลูกควรใช้ระยะห่างระหว่างต้น 10 เซนติเมตร เมื่อปลูกหญ้าแฝกด้วยถุงเสร็จแล้ว ต้องรดน้ำต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าหญ้าแฝกจะตั้งตัวได้ โดยทั่วไปประมาณ 15 วัน หรือช่วงที่มีฝนตกติดต่อกัน 2 สัปดาห์เมื่อหญ้าแฝกตั้งตัวได้ ก็จะมีการปรับตัวข้ากับสภาพพื้นที่ต่อไป
  2. ใช้กล้าหญ้าแฝกแบบรากเปลือย การปลูกหญ้าแฝก โดยใช้กล้าแบบรากเปลือยจะทำให้การปลูกหญ้แฝกทำได้รวดเร็ว ขนส่งไปได้บริมาณมาก และสามารถปลูกได้ปริมาณมาก แต่จะมีความเสี่ยงในช่วงหลังจากปลูกสูง เนื่องจากกล้าอาจจะตายได้หากขาดน้ำ และกล้ารากเปลือยจะมีการแตกหน่อช้า ดังนั้น ผู้ปลูกควรจะให้ดวามระมัดระวังเป็นพิเศษ การเตรียมหน่อกล้ารากเปลือย ควรใช้หน่อพันธุ์อายุ ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป ตัดใบให้สั้นเหลือความยาว ประมาณ 20 เซนติเมตร และตัดรากให้สั้นที่สุด มัดหน่อหญ้าแฝกรวมกันเป็นมัด ๆ มัดละ 50 หรือ 100 หน่อ นำไปแช่ในน้ำหรือน้ำผสมฮอร์โมนเร่งราก หลังหญ้าแฝกตกรากใหม่ จำนวน 2-3 ราก จึงนำไปปลูก ช่วงต้นฤดูฝนที่มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง การปลูกควรใช้ระยะห่างระหว่างตัน 5 เซนติเมตร

วิธีปลูกหญ้าแฝกในพื้นที่ชลประทาน

  1. วิธีปลูกหญ้าแฝกบริเวณอ่างเก็บน้ำ ควรวางแนวปลูกหญ้าแฝก เป็นแถวตามแนวระดับรอบอ่างจำนวน 3 แถว แถวที่ 1 ปลูกที่ระดับเก็บกักน้ำรอบอ่าง แถวที่ 2 ปลูกที่ระดับสูงกว่าแถวที่ 1 ตามแนวดิ่ง 2 เซนติมตร รอบอ่าง แถวที่ 3 ปลูกที่ระดับต่ำกว่าแถวที่ 1 ตามแนวดิ่ง 20 เซนติเมตร รอบอ่าง
  2. วิธีปลูกหญ้าแฝกริมคลองส่งน้ำ คลองระบายน้ำ ให้ปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวตามแนวระดับขนานไปตามคลองส่งน้ำหรือคลองระบายน้ำ ห่างจากริมคลองส่งน้ำหรือคลองระบายน้ำ 30-50 เซนติเมตร ควรปลูกเพียง 1 แถว แต่กรณีคลองส่งน้ำหรือคลองระบายน้ำมีความลาดซันสูง ควรปลูกเป็นเเถวเพิ่มเป็น 3 แถว
  3. วิธีปลูกหญ้าแฝกสำหรับถนนหรือทางลำเลียง ให้ปลูกหญ้าแฝกบนไหล่ถนนหรือทางลำเลียงเพียงข้างละ 1 แถว
  4. วิธีปลูกหญ้าแฝกรอบขอบบ่อน้ำ สระน้ำ ควรวางแนวปลูกหญ้าแฝก เป็นแถวตามแนวระดับจำนวน 2 แถว คือที่ระดับห่างจากริมขอบบ่อประมาณ 50 เชนติเมตรและที่ระดับทางน้ำเข้าบ่อ

เวลาปลูกที่เหมาะสม

การปลูกหญ้าแฝกควรดำเนินการช่วงต้นฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายนในขณะที่ดินยังมีความชุมชื้นอยู่ โดยวางหน่อหญ้าแฝกไว้ในร่องที่เตรียมไว้ปลูกแถวเดียว

  • หากปลูกโดยใช้กล้าหญ้าแฝกรากเปลือย ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 5 เซนติเมตร
  • หากปลูกโดยใช้กล้าหญ้าแฝกพะชำในถุง ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 10 เซนติเมตร

หลังปลูกเสร็จกลบโคนให้แน่น จากนั้นควรตรวจและดูแลอย่างสม่ำเสมอและปลูกซ่อมต้นที่ตาย หลังปลูกประมาณ 3 เดือนควรทำการตัดใบเหลือความสูงระดับประมาณ 40-50 เซนติเมตร

การขอรับบริการกล้าหญ้าแฝก

หน่วยงานของกรมชลประทาน สามารถขอรับบริการกล้าหญ้าแฝก คำแนะนำ และเอกสารคู่มือการขยายพันธุ์และการปลูกได้ที่สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต หรือสถานีพัฒนาที่ดินจังหวัด กรมพัฒนาที่ดินในเวลาราชกร เนื่องจากในปัจจุบันหน่วยงานเหล่านี้มีโรงเรือนเพาะชำกล้าหญ้าแฝกอยู่ในบริเวณสำนักงาน นอกจากนี้ยังสามารถขอรับบริการจากเครือข่ายที่เป็นแหล่งผลิต และขยายพันธุ์หญ้าแฝกที่มีอยู่ในระดับตำบลทั่วประทศ ซึ่งเป็นที่ตั้งจุดการเรียนรู้หมอดินอาสาประจำตำบล

กลุ่มงานวัชพืช สำนักวิจัยและพัฒนา ร่วมกับกลุ่มกิจกรรมพิเศษ กรมชลประทาน


อ้างอิงบทความ

  • หนังสือเกษตรอ่านฟรีจากสำนักพิมพ์นาคาบุ๊คส์
  • ภาพประกอบจาก : Pixabay

การปลูกข้าว “พันธุ์ขาวดอกมะลิ”

0
การปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ
การปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ

พันธุ์ข้าวเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นปัจจัยสำคัญของการปลูกข้าวหรือทำนา แม้ว่าปัจจุบันจะมีพันธุ์ข้าวหลายสายพันธุ์ปลูกอย่างกว้างขวาง แต่เทคนิคการจัดการเพาะปลูกข้าว มีข้อแตกต่างกันออกไปแต่ละพันธุ์ ซึ่งเทคนิคเฉพาะพันธุ์นี้เองที่ชาวนายังไม่เข้าใจถึงองค์ความรู้วิธีการจัดการที่ถูกต้องนัก

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร
นาข้าวและการปลูกข้าว

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ดำเนินการค้นคว้า วิจัย และสาธิตการปลูกข้าว “พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105” มาเป็นระยะเวลานานจึงได้จัดทำเป็นเอกสาร “คู่มือการปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ โดยเฉพาะเทคนิคเฉพาะพันธุ์ข้าว เพื่อให้ชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำไปเป็นแนวทางเพาะปลูกได้ถูกต้อง

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร
นาข้าว

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชาวนา โดยเฉพาะชาวนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อจัดการเพาะปลูกให้ถูกวิธี ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเพิ่มผลผลิตข้าว และลดต้นทุนการผลิตในการทำนา

ประวัติความเป็นมาของข้าวขาวพันธุ์ดอกมะลิ 105

ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นพันธุ์ข้าวหอมที่ได้จากการนำข้าว พันธุ์พื้นเมืองจากนาเกษตรกร อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยนายสุนทร สีหะเนิน เป็นผู้รวบรวมในปี 2493-2494 จำนวน 199 รวง มาปลูกเพื่อศึกษาพันธุ์ ได้ข้าวรวงที่ 105 ที่มีลักษณะพิเศษ คือเมื่อนำมาหุงต้มมีกลิ่นหอม และเมล็ดอ่อนนุ่ม จึงนำไปคัดเลือกแบบคัดพันธุ์บริสุทธิ์ ในปี พ.ศ. 2498 ที่สถานีทดลองข้าวโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ในปี พ.ศ. 2500 นำเข้าแปลงเปรียบเทียบพันธุ์ท้องถิ่นในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี พ.ศ. 2502 ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์ให้ขยายพันธุ์ และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นพันธุ์ ข้าว
ขาวดอกมะลิ 105 เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2502

ลักษณะประจำพันธุ์

  1. เป็นข้าวเจ้าไวต่อช่วงแสง
  2. เป็นข้าวต้นสูงประมาณ 140-150 เซนติเมตร
  3. อายุดอกประมาณ วันที่ 20 ตุลาคม และสุกแก่เก็บเกี่ยวได้ ประมาณวันที่ 20 พฤศจิกายน
  4. ระยะพักตัวของเมล็ดประมาณ 8 สัปดาห์
  5. ขนาดเมล็ดข้าวกล้องยาว 7.5 มิลลิเมตร กว้าง 2.1 มิลลิเมตร หนา 1.8 มิลลิเมตร
  6. ลักษณะเมล็ดข้าวเปลือกสีฟาง เมล็ดเรียวยาว ก้นงอน

ข้อดี

  1. เมื่อนำมาหุงต้ม มีกลิ่นหอม เมล็ดอ่อนนุ่ม
  2. ทนต่อสภาพแล้ง ทนต่อดินเปรี้ยว และดินเค็ม
  3. คุณภาพการขัดสีดี เมล็ดข้าวสารใส แข็ง มีท้องไข่น้อย
  4. นวดง่าย เนื่องจากเมล็ดหลุดร่วงจากรวงได้ง่าย
  5. เป็นที่ต้องการของตลาด ขายได้ราคาดี

ข้อจำกัด

  1. ไม่ต้านทานโรคขอบใบแห้ง โรคใบสีส้ม โรคใบจุดสีน้ำตาล และโรคไหม้และโรคใบหงิก
  2. ไม่ต้านทานแมลงบั่ว และเพลี้ยกระโดดสีนํ้าตาล
  3. ต้นอ่อนล้มง่าย ถ้าปลูกในบริเวณที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง

ผลผลิต

ผลผลิตของข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ให้ผลผลิตข้าว โดยเฉลี่ย 481 กก./ไร่ (แปลงปุ๋ยสั่งตัดมาปี 2553)

พื้นที่แนะนำ

นาน้ำฝน นาชลประทาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคกลางบางจังหวัด

ฤดูปลูก

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร
นาขาวและการปลูกข้าว

การปลูก

การปลูกข้าวขาวพันธุ์ดอกมะลิ นาดำ
การปลูกข้าวขาวพันธุ์ดอกมะลิ นาดำ
การปลูกข้าวขาวพันธุ์ดอกมะลิ นาหว่านน้ำตม
การปลูกข้าวขาวพันธุ์ดอกมะลิ นาหว่านน้ำตม
  1. คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ให้บริสุทธิ์ ไม่ให้มีเมล็ดพันธุ์อื่นหรือสิ่งเจือปน เช่น เมล็ดวัชพืช และมีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
  2. เลือกวิธีการปลูกและช่วงเวลาที่เหมาะสม
    • ในเขตชลประทาน หรือนาน้ำฝนที่ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ ควรทำนาดำ หรือ นาหว่านน้ำตมแผนใหม่ โดยนาดำเริ่มตกกล้าต้นเดือนกรกฎาคม ปักดำต้นสิงหาคม แล้วข้าวจะออกดอกประมาณ ๒๐ ตุลาคม และเก็บเกี่ยวได้ ๒๐ พฤศจิกายน ส่วนนาหว่านน้ำตมแผนใหม่ หว่านประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ถึงปลายเดือนกรกฎาคมแล้วเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
    • ในพื้นที่ฝนตกน้อยหรือฝนล่า ควรทำนาหว่าน หรือ นาหยอด โดยช่วงเวลาปลูกที่เหมาะสม อยู่ระหว่างต้นเดือนกรกฎาคม ถึงปลายเดือนกรกฎาคมและข้าวจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน
  3. การเตรียมดินเพื่อปลูกข้าวขาวหอมมะลิ 105
    • นาดำ ไถดะทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน จึงไถแปร เพื่อกำจัดต้นอ่อนของวัชพืชที่งอกขึ้นมาใหม่ โดยคราดวัชพืชให้จมอยู่ใต้โคลน ในขณะเดียวกันก็เกลี่ยปรับระดับหน้าดิน จะทำให้ระดับน้ำในแปลงนาท่วมคลุมวัชพืชได้อย่างทั่วถึง
    • นาหว่านน้ำตมแผนใหม่ โดยเริ่มจากการไถดะทิ้งไว้ประมาณ 15 วันแล้ว ไถแปรทิ้งไว้ 7 วัน จากนั้นไถแปรอีกครั้ง แล้วคราดพร้อมเก็บเศษวัชพืชออกให้หมดหรือเหยียบเศษวัชพืชให้ลงไปอยู่ใต้โคลน แล้วจึงลูบเทือกให้เรียบสม่ำเสมอ แบ่งแปลงย่อยขนาดกว้าง 3-5 เมตร ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วจึงหว่านเมล็ดข้าวงอกอัตราเมล็ดพันธุ์ 7-12 กก./ไร่ หลังจากนั้น 5-10 วัน ให้ทยอยปล่อยน้ำเข้าท่วมหน้าดิน เพื่อคุมวัชพืชตามระดับน้ำจนถึงระดับประมาณ 5-10 เซนติเมตร ต้นข้าวเจริญเติบโตพอที่จะคลุมวัชพืชได้
    • นาหว่านข้าวแห้ง ในสภาพดินร่วนปนทราย และดินทรายปนดินร่วน จะเตรียมดินโดยการไถพรวนแล้วหว่านเมล็ดข้าวในอัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้นคราดกลบ ถ้ามีฟางคลุมจะช่วยลดปัญหาวัชพืช
    • นาหยอด เป็นวิธีที่ไม่นิยมปลูกมากนัก แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องปลูกด้วยวิธีนี้ในช่วงเตรียมดินจะต้องกำจัดวัชพืชออกให้หมด และหลังจากหยอดเมล็ดข้าวแล้วถ้ามีฟางข้าวคลุมดินจะช่วยลดปัญหาวัชพืช
  4. ใช้เมล็ดพันธุ์ในอัตราที่เหมาะสม กล่าวคือ วิธีปักดำ 3-5 กิโลกรัมต่อไร่นาหว่านน้ำตมแผนใหม่ 7-12 กิโลกรัมต่อไร่ นาหว่านข้าวแห้ง ควรใช้ในอัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ และวิธีหยอด 8-10 กิโลกรัมต่อไร่

การใส่ปุ๋ย

การใส่ปุ๋ยเคมี

ใส่ในอัตราที่เหมาะสมและถูกวิธีดังนี้ การใส่ปุ๋ยนาดำควรใส่ 2 ครั้ง คือ

  • ครั้งที่ 1 ใส่ก่อนปักดำไม่เกิน 1 วัน หรือหลังปักดำประมาณ 7-10 วัน หรือ หลังข้าวงอก 20-25 วัน ในนาหยอด และนาหว่าน โดยใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0, 20-20-0, 24-22-0 หรือ 18-46-0 ในดินเหนียว และสูตร 16-16-8 ในดินทราย อัตรา 20-25 กิโลกรัม/ไร่
  • ครั้งที่ 2 ใส่ก่อนข้าวออกดอกประมาณ 30 วัน (ประมาณวันที่ 20 กันยายนของทุกปี) โดยใช้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 ในอัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หรือปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 ในอัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่

ในการใส่ปุ๋ยเคมีทุกครั้งแปลงนาควรมีน้ำขังหรือดินมีความชื้น เพื่อข้าวสามารถใช้ปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ปุ๋ยอินทรีย์

  1. ไถกลบตอซังข้าวหลังเก็บเกี่ยว
  2. ไถพรวนแล้วหว่านเมล็ดพืชปุ๋ยสดด้วยโสนอัฟริกัน ถ้าเป็นสภาพนาลุ่ม และปอเทือง ถ้าเป็นสภาพนาดอน ในอัตรา 5-7 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบโสนอัฟริกันเมื่ออายุประมาณ 55 วัน หรือปอเทืองในระยะออกดอกและตัดฝักอ่อน และปล่อยให้เกิดการย่อยสลายประมาณ 2 สัปดาห์
  3. หว่านปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักใน อัตรา 500-1,000กิโลกรัม/ไร่ พร้อมไถกลบก่อนการปักดำ 15-20 วัน

การดูแลรักษา

โรคที่สำคัญ

โรคไหม้

เชื้อสาเหตุ : เชื้อรา Pyricularia grisea Sacc.

การป้องกันกำจัด :

  1. ไม่ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนในอัตราสูงเกินไป
  2. ในแหล่งที่เคยเป็นโรคใช้สารเคมีคลุกเมล็ดพันธุ์ เช่น ไตรไซคลาโซล คาร์เบนดาซิม โพรคลอราด ตามที่ระบุในฉลากยา และเมื่อพบแผลโรคไหม้ทั่วไป ๕ เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ใบฉีดพ่น สารป้องกันเชื้อรา คาซูกาไมซิน ไตรไซคลาโซล คาร์เบนดาซิม อิดิเฟนฟอส ตามอัตราที่ระบุ

โรคขอบใบแห้ง

เชื้อสาเหตุ : เชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas oryzae pv. oryzae (ex Ishiyama) Swings et. al.

การป้องกันกำจัด :

  1. ไม่ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูงเกินไปในดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว
  2. ไม่ควรระบายน้ำจากแปลงที่เป็นโรคไปสู่แปลงอื่น
  3. ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช เสตร็พโตมัยซินซัลเฟต + ออกซีเตทตราไซคลิน ไฮโดรคลอร์ไรด์ หรือคอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ หรือไอโซโพรไทโอเลน เมื่อเริ่มพบอาการของโรคบนใบข้าว

โรคใบจุดสีนํ้าตาล

เชื้อสาเหตุ : เชื้อรา Bipolaris oryzae (Helminthosporium oryzae Breda de Haan.)

การป้องกันกำจัด :

  1. คลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น แมนโคเซบ หรือ คาร์เบนดาซิม – แมนโคเซบ อัตรา 3 กรัม/เมล็ด 1 กิโลกรัม
  2. ใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ ช่วยให้ข้าวเป็นโรคน้อยลง
  3. กำจัดวัชพืชในนา ทำแปลงให้สะอาด และใส่ปุ๋ยในอัตราที่เหมาะสม
  4. ถ้าพบอาการของโรคใบจุดสีน้ำตาลรุนแรงทั่วไป 10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ใบในระยะข้าวแตกกอ หรือในระยะข้าวตั้งท้องใกล้ออกรวง เมื่อพบอาการใบจุดสีน้ำตาลที่ใบธงในสภาพฝนตกต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดโรคเมล็ดด่าง ควรพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น อีดิเฟนฟอส คาร์เบนดาซิม แมนโคเซบ หรือคาร์เบนดาซิม – แมนโคเซบตามอัตราที่ระบุ

แมลงที่สำคัญ

เพลี้ยกระโดดสีนํ้าตาล

การป้องกันกำจัด :

  1. ในแหล่งที่มีการระบาด และควบคุมระดับน้ำในนาได้ หลังปักดำ หรือหว่าน 2-3 สัปดาห์ จนถึงระยะตั้งท้องควบคุมน้ำในแปลงนาให้พอดินเปียก หรือมีน้ำเรี่ยผิวดินนาน 7-10 วัน แล้วปล่อยขังทิ้งไว้ให้แห้งเองสลับกันไป จะช่วยลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
  2. เมื่อตรวจพบสัดส่วนของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลตัวเต็มวัยต่อมวนเขียวดูดไข่ ระหว่าง 6:1-8:1 หรือตัวอ่อนวัยที่ 1-2 เมื่อข้าวอายุ 30-45 วัน จำนวนมากกว่า 10 ตัว/ต้นให้ใช้สารฆ่าแมลง บูโพรเฟซิน (แอปพลอด 10% ดับบลิวพี) อัตรา 25 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือใช้สาร อีโทเฟนพรอกซ์ (ทรีบอน 10% อีซี) อัตรา 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือ บูโพรเฟซิน/ไอโซโพรคาร์บ (แอปพลอด/มิพซิน 5%/20% ดับบลิวพี) อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร เมื่อพบแมลงส่วนใหญ่เป็นตัวเต็มวัย จำนวนมากกว่า 1 ตัวต่อ 1 ต้น และไม่พบหรือพบมวนเขียวดูดไข่น้อยมาก ให้ใช้สารอีโทเฟนพรอกซ์ (ทรีบอน 10% อีซี) อัตรา 20 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือสารคาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 20% อีซี) อัตรา 110 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือไอโซโพรคาร์บ (มิพซิน 50% ดับบลิวพี) อัตรา 60 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือสารฟีโนบูคาร์บ (บีพีเอ็มซี 50% อีซี) อัตรา 60 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร ในระยะข้าวตั้งท้องถึงออกรวง เมื่อพบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล 10 ตัว/กอ หรือ 1 ตัวต่อ 1 ต้น และพบมวนเขียวดูดไข่จำนวนน้อยมาก ให้ใช้สารไทอะมิโทแซม (แอคทารา 25% ดับบลิวพี) อัตรา 2 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือสารไดโนทีฟูเรน (สตาร์เกิล 10% ดับบลิวพี) อัตรา 15 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือโคลไทอะนิดิน (เด็นท๊อช 16% เอสจี) อัตรา 6-9 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรืออิทิโพรล (เคอร์บิกซ์ 10% เอสซี) อัตรา 40 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือสารคาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 20% อีซี) อัตรา 110 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตรตามอัตราที่ระบุ

หนอนกอ

การป้องกันกำจัด :

  1. เผาตอซังหลังการเก็บเกี่ยว ปล่อยน้ำท่วม และไถกลบดินเพื่อทำลายหนอนและดักแด้ของหนอนกอข้าวที่อยู่ตามตอซัง
  2. ปลูกพืชอื่นเพื่อตัดวงจรชีวิตของหนอนกอข้าว ปลูกพืชหมุนเวียน
  3. ไม่ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป ทำให้ใบข้าวงาม หนอนกอชอบวางไข่
  4. ใช้แสงไฟล่อตัวเต็มวัย และทำลาย เมื่อมีการระบาดรุนแรง
  5. ไม่ใช้สารฆ่าแมลงชนิดเม็ดในนาข้าว เพื่อช่วยให้ศัตรูธรรมชาติพวกแตนเบียนไข่ และแตนเบียนหนอนของหนอนกอข้าว สามารถควบคุมประชากรหนอนกอข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  6. เมื่อพบอาการข้าวยอดเหี่ยวในระยะข้าวอายุ 3-4 สัปดาห์ หลังหว่าน/ปักดำ ในระดับ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ให้ใช้สารชนิดพ่นน้ำ เช่น คลอร์ไพริฟอส (ลอร์สแบน 20% อีซี) อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วแปลงเพียงครั้งเดียว

สัตว์ศัตรูที่สำคัญ

หอยเชอรี่

หอยเชอรี่เป็นศัตรูสำคัญของข้าวในระยะกล้าจนถึงแตกกอโดยจะกัดกินลำต้นข้าวใต้ผิวน้ำสูงเหนือระดับโคนต้น ๐.๕ – ๑ นิ้ว และกินส่วนใบที่ลอยน้ำต่อไปจนหมดต้น พบระบาดมากในนาข้าวทั่วไป โดยเฉพาะนาข้าวที่มีน้ำขังพืชอาหาร ข้าว พืชน้ำต่าง ๆ เช่น สาหร่ายหางกระรอก บัว ฯลฯ

การป้องกันและกำจัด

  1. ใช้วัสดุกั้นทุกทางที่น้ำเข้าได้ด้วยเฝือก และตาข่าย
  2. เก็บตัวหอย และไข่นำไปทำลายทุกสัปดาห์ ตลอด 6 สัปดาห์หลังปล่อยน้ำเข้า แปลงนา
  3. ปล่อยให้เป็ดกินหลังเกี่ยวข้าว
  4. ใช้สารกำจัดหอย นิโคลซาไมด์ (ไบลูไซด์ 70% ดับบลิวพี) อัตรา 50 กรัม/ไร่ หรือ เมทัลดีไฮด์ (แองโกล-สลัก 5% หรือเดทมีล 4%) หว่านอัตรา 0.5-1.0 กิโลกรัม/ไร่ หรือเดทมีล 80% ชนิดผง อัตรา 100 กรัม/ไร่ หรือโปรเทก หว่านอัตรา 3 กิโลกรัม/ไร่
    หรือคอปเปอร์ซัลเฟต ละลายน้ำอัตรา 1 กิโลกรัม/ไร่ ทันทีหลังปักดำเสร็จ หรือ หลังจากหว่านข้าวและไขน้ำเข้านาแล้ว 1-2 ชั่วโมงโดยมีระดับน้ำในนาสูง 5 เซนติเมตร

การเก็บเกี่ยวและการนวด

การเก็บเกี่ยว

  1. เก็บเกี่ยวในระยะเวลาที่เหมาะสม คือ ระยะที่ข้าวออกดอกแล้วประมาณ 28-30 วัน รวงจะโน้มลง เมล็ดในรวงมีสีฟางหรือเหลือง โคนรวงมีเมล็ดเขียวบ้างเล็กน้อยซึ่งเรียกว่า “ระยะพลับพลึง” เป็นระยะที่เมล็ดข้าวสุกแก่พอเหมาะทำให้ได้นํ้าหนักเมล็ดสูง เปอร์เซ็นต์ข้าวเต็มเมล็ดดี ปริมาณมากและมีคุณภาพการสีดี
  2. วิธีการเก็บเกี่ยว ก่อนถึงระยะเก็บเกี่ยว 10 วัน ควรระบายนํ้าออกจากแปลงนาเพื่อให้ข้าวสุกแก่พร้อมกัน ส่วนวิธีการเก็บเกี่ยวนั้น สามารถทำได้ทั้งการเกี่ยวด้วยมือและใช้เครื่องมือเก็บเกี่ยว ซึ่งจะให้ข้าวที่มีคุณภาพไม่แตกต่างกันแต่ถ้ามีการปรับเครื่องจักรให้เหมาะสมกับการทำงาน อาจจะทำให้ข้าวร่วงหล่นหรือเมล็ดแตกหักได้เวลาเกี่ยวข้าว

การนวดข้าว

เป็นการทำให้เมล็ดข้าวหลุดจากรวง ซึ่งมีวิธีการปฏิบัติแตกต่างกันไปแต่ละท้องที่ เช่น การนวดด้วยเท้า การใช้วัวกระบือยํ่า นวดโดยการฟาด นวดโดยใช้รถแทรกเตอร์ยํ่า และนวดด้วยเครื่องนวดข้าว ซึ่งการนวดข้าวนั้นมีข้อควรคำนึง คือ ระมัดระวังการสูญเสียของข้าวเนื่องจากนวดไม่หมด หรือเมล็ดกระเด็นหายไปหรือถูกเครื่องนวดพ่นเอาเมล็ดออกไป เป็นต้น ซึ่งหากไม่ได้ใช้เครื่องนวดจะต้องมี
การทำความสะอาดเมล็ดข้าวเปลือกด้วย เพื่อลดสิ่งเจือปนที่ติดมากับข้าว

การตากข้าว

เป็นการลดความชื้นในเมล็ดข้าวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ ๑๒ – ๑๔ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อนำไปสีแล้วจะทำให้ได้คุณภาพการสีสูง และสามารถเก็บข้าวเปลือกไว้ได้นาน ซึ่งการตากข้าวมี ๒ วิธีคือ

  1. การตากข้าวก่อนนวด เป็นการตากข้าวในขณะที่เมล็ดอยู่ในรวง โดยการตากจะต้องคำนึงถึงคุณภาพข้าวที่ตากเป็นสำคัญ โดยทำให้ความชื้นพอเหมาะ และข้าวมีความสะอาด ซึ่งมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
    • ควรตากข้าวประมาณ 2-3 แดด
    • การกองข้าวควรกองให้สูงประมาณ 50 เซนติเมตร
    • หมั่นกลับกองข้าวเพื่อให้แห้งสมํ่าเสมอทั้งกอง
    • ในช่วงเวลากลางคืน ควรหาวัสดุปิดบังนํ้าค้าง หรือนํ้าฝน โดยเฉพาะกองข้าวที่กองสูงๆ หรือกองตากแดดทิ้งไว้นาน ๆ เพราะจะทำให้เมล็ดมีรอยร้าวและข้าวแตกหักมากเวลาสี วิธีการตากข้าวที่เหมาะสมที่สุด คือ ทำ ราวแขวนตาก เพราะจะทำให้ข้าวถูกแดดสมํ่าเสมอและไม่สกปรก
  2. การตากข้าวหลังนวด เป็นการตากข้าวที่นวดออกจากรวงแล้ว โดยตากบนลานตากหรือบนพื้นที่ที่มีวัสดุรองรับ การตากควรมีการกลับกองข้าวอย่างสมํ่าเสมอและในช่วงเวลากลางคืนควรโกยข้าวมากองรวมกันแล้วใช้ภาชนะปิดกันนํ้าค้าง และนํ้าฝนการตากวิธีนี้จะใช้เวลาในการตากประมาณ 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับปริมาณข้าว

การเก็บรักษา

มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้

  1. เมล็ดจะต้องสะอาดปราศจากสิ่งเจือปน ไม่เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค และแมลงศัตรู
  2. เมล็ดแห้ง มีความชื้นไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์
  3. ยุ้งฉางจะต้องสะอาด มีตาข่ายป้องกันนก หนู และศัตรูอื่น ๆ อากาศถ่ายเทได้สะดวก มีหลังคาปิดกันแดดและกันฝน
  4. ถ้าเก็บรักษาโดยการบรรจุกระสอบ ควรใช้ไม้รองกระสอบควรสูงจากพื้นประมาณ 5-6 นิ้ว เพื่อป้องกันความชื้นจากพื้นดินหรือซีเมนต์

การลงทุน

ต้นทุนการผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 คิดจากพื้นที่ จำนวน 1 ไร่

รายการ แรงงาน
ราคาต่อหน่วย นาดำ นาหว่าน น้ำตก
จำนวน หน่วย (บาท) (บาท) (บาท)
1 ไถดะ 1 คัน 250 250 250
2 ไถแปร + ทำเทือก 1 คัน 350 350 350
3 ค่าเมล็ดพันธุ์ (ปักดำ)

ค่าเมล็ดพันธุ์ (หว่าน)

5

15

กก.

กก.

23

23

115

345

4 ค่าจ้างไถเตรียมแปลงกล้า 1 งาน 300 300
5 ค่าจ้างถอนกล้า 100 มัด 3 300
6 ค่าจ้างปักดำ

ค่าจ้างหว่าน

4

2

คน

คน

3

200

300

200

7 ค่าปุ๋ยเคมี 16-16-8 25 กก. 17 425 425
8 ค่าปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 7 กก. 13 91 91
9 ค่าจ้างกำจัดวัชพืช 1 ไร่ 1,000 1,000
10 ค่าจ้างเก็บเกี่ยว 1 คน 500 500
11 ค่าจ้างมัด 350 มัด 3 1,050
12 ค่าจ้างนวด 350 มัด 3 1,050
13 ค่าจ้างเก็บเกี่ยว + นวด 1 ไร่ 700 700
รวมต้นทุนการผลิต 5,231 3,361
ผลผลิต (กิโลกรัม) 576 395
ราคากิโลกรัมละ 16 บาท 9,216 6,320
กำไร     3,945 2,959

หมายเหตุ : ข้อมูลปี พ.ศ. 2553


อ้างอิงบทความ

การปลูกข้าว “พันธุ์สกลนคร”

0
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร

พันธุ์ข้าวเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นปัจจัยสำคัญของการปลูกข้าวหรือทำนา แม้ว่าปัจจุบันจะมีพันธุ์ข้าวหลายสายพันธุ์ปลูกอย่างกว้างขวาง แต่เทคนิคการจัดการเพาะปลูกข้าว มีข้อแตกต่างกันออกไปแต่ละพันธุ์ ซึ่งเทคนิคเฉพาะพันธุ์นี้เองที่ชาวนายังไม่เข้าใจถึงองค์ความรู้วิธีการจัดการที่ถูกต้อง

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร ซึ่งได้ดำเนินการค้นคว้าวิจัยและสาธิตการปลูกข้าว “พันธุ์สกลนคร” มาเป็นระยะเวลานานจึงได้จัดทำเป็นเอกสาร “คู่มือการปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้โดยเฉพาะเทคนิคเฉพาะและพันธุ์ข้าว เพื่อให้ชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำไปใช้เป็นแนวทางเพาะปลูกข้าวได้

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชาวนา โดยเฉพาะชาวนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อจัดการเพาะปลูกให้ถูกวิธี ซึ่งจะเป็นแนวทางในการเพิ่มผลผลิตข้าว และลดต้นทุนการผลิตในการทำนา

ประวัติความเป็นมาของข้าวเหนียวพันธุ์สกลนคร

ข้าวพันธุ์สกลนคร เป็นข้าวเหนียว มีกลิ่นหอม ไม่ไวต่อช่วงแสง ผสมพันธุ์ระหว่างข้าวพันธุ์หอมอ้นเป็นพันธุ์แม่ กับพันธุ์กข10 เป็นพันธุ์พ่อ ที่สถานีทดลองข้าวขอนแก่น ในปี 2525 นำมาปลูกศึกษาที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ตั้งแต่ปี 2534 ในชื่อ “สกลนคร 69 หรือ SKN 69” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “หอมภูพาน” มีการขยายผลสู่เกษตรกรในจังหวัดสกลนครและใกล้เคียงทั้งแบบข้าวไร่และข้าวนาสวน

การรับรองพันธุ์

คณะกรรมการบริหารกรมวิชาการเกษตร มีมติให้เป็นพันธุ์แนะนำเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2543 ในชื่อพันธุ์ “สกลนคร”

ลักษณะประจำพันธุ์

  • เป็นข้าวเหนียวหอม มีต้นสูงประมาณ 123 – 146 เซนติเมตร
  • ไม่ไวต่อช่วงแสง
  • อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 120 – 128 วัน
  • ทรงกอตั้ง ปล้องและกาบใบสีเขียว มีขนบนใบ ใบธงตั้งตรง
  • การร่วงของเมล็ด ค่อนข้างยาก
  • เมล็ดข้าวเปลือกมีสีฟาง
  • ระยะพักตัวของเมล็ดประมาณ 3 สัปดาห์
  • ขนาดเมล็ดข้าวกล้อง กว้าง x ยาว x หนา = 2.2 x 3.8 x 1.8 มิลลิเมตร

ผลผลิต

ประมาณ 467 กิโลกรัม/ไร่

ลักษณะเด่น

  • เป็นข้าวที่ปรับตัวได้หลายสภาพ ปลูกได้ทั้งสภาพนาดอน นาชลประทานและสภาพไร่
  • คุณภาพการหุงต้ม ข้าวสุกเหนียว นุ่ม มีกลิ่นหอมใกล้เคียงพันธุ์ กข6

ข้อควรระวัง

  • ไม่ต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง
  • ไม่ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

พื้นที่แนะนำ

พื้นที่นาดอน นาชลประทาน และสภาพไร่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ฤดูปลูก

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร

ข้าวพันธุ์สกลนคร ปลูกได้ตลอดปี แต่ควรวางแผนการปลูกให้เหมาะสม คือให้ข้าวพันธุ์สกลนครออกรวงพร้อมกับข้าวที่ปลูกในพื้นที่เพื่อลดการทำลายของศัตรูข้าว เช่น นก หนู และแมลงศัตรูข้าว

  • สภาพไร่ ปลูกต้นฤดูฝน ปลายเมษายนถึงต้นพฤษภาคม
  • สภาพนาอาศัยน้ำฝน เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และวางแผนการปลูกให้ข้าวออกรวงพร้อมกับข้าวพันธุ์อื่น เพื่อลดการทำลายของศัตรูข้าว
  • สภาพนาชลประทาน ปลูกได้ตลอดปี

การปลูก

การปลูกโดยวิธีปักดำ

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร การทำนาดำ
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร การทำนาดำ
  1. การเตรียมเมล็ดพันธุ์ คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ มีความงอกสูงสะอาด ปราศจากเชื้อโรคและสิ่งเจือปน จะทำให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรง
  2. อัตราเมล็ดพันธุ์ อัตราเมล็ดพันธุ์ที่แนะนำให้ใช้ตกกล้าสำหรับปักดำในพื้นที่ 1 ไร่ คือ 5 กิโลกรัม โดยเมล็ดมีความงอกไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์
  3. การตกกล้า นำเมล็ดพันธุ์ที่เตรียมไว้บรรจุในถุงผ้าดิบ หรือ กระสอบป่าน แช่น้ำสะอาดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ ไปหุ้มในที่ร่ม วางบนพื้นที่น้ำไม่ขังและมีการถ่ายเทของอากาศดี คลุมด้วยกระสอบป่าน รดน้ำเช้าและเย็นเพื่อรักษาความชื้น หุ้มเมล็ดพันธุ์นาน 30-48 ชั่วโมง เมล็ดพันธุ์ข้าวจะงอก “ตุ่มตา” (มีราก และยอดเล็กน้อย) พร้อมที่จะนำไปหว่านได้
    • การหว่าน ควรหว่านเมล็ดข้าวงอกลงในแปลงที่มีการเตรียมดินดี โดยแบ่งแปลงกว้างประมาณ 1-1.5 เมตร ปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอ ถ้าดินอุดมสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องหว่านปุ๋ยเคมี ถ้าดินไม่อุดมสมบูรณ์ควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 สำหรับนาดินทรายหรือสูตร 16-20-0 สำหรับนาดินเหนียว อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ หว่านปุ๋ยก่อน แล้วหว่านข้าวงอกตาม โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ 50-60 กรัม/ตารางเมตร ดูแลแปลงกล้าอย่างสม่ำเสมอ รักษาระดับน้ำในแปลงกล้าให้สูงประมาณ 1 ใน 3 ของความสูงต้นกล้า จะช่วยให้ต้นกล้าแข็งแรง
  4. การเตรียมดิน ไถดะขณะดินชื้นหรือน้ำขัง ปล่อยให้เมล็ดวัชพืชงอก 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นไถแปร คราด หรือทำเทือกปรับระดับดินให้สม่ำเสมอมากที่สุด
  5. การปักดำ อายุกล้าที่เหมาะสมในการปักดำคือ 21-25 วัน ระยะปักดำ ระยะห่างระหว่างต้น และระหว่างแถวเท่ากับ 20 ซม. ใช้ต้นกล้า 3-5 ต้นต่อจับ
  6. การใส่ปุ๋ย ควรมีการใส่ปุ๋ยพืชสด เช่น ปอเทือง โสนอัฟริกัน พืชตระกูลถั่วอื่น ๆ หรือปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมีใส่ 2 ครั้ง ดังนี้
    • ครั้งที่ 1 (รองพื้น) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 สำหรับนาดินทราย สูตร 16-20-0 สำหรับนาดินเหนียว อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ก่อนปักดำ 1 วัน หรือ 5-7 วันหลังปักดำ
    • ครั้งที่ 2 (แต่งหน้า) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 21-0-0 อัตรา 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อข้าวกำเนิดช่อดอก

การปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร การปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร การปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม

ข้าวพันธุ์สกลนครสามารถปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตมได้ในสภาพนาชลประทาน ดังนี้

  1. การเตรียมดิน การทำนาหว่านน้ำตมให้ได้ผลดี ต้องมีการปรับพื้นที่ให้สม่ำเสมอมีคันนาล้อมรอบ สามารถควบคุมระดับน้ำได้การเตรียมดินปฏิบัติเช่นเดียวกับนาดำ หลังจากไถดะแล้วปล่อยน้ำเข้าพอดินชุ่มทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อให้เมล็ดวัชพืชงอกแล้วจึงไถแปร คราด 2-3 ครั้ง เพื่อกำจัดวัชพืช และปรับพื้นที่ แบ่งกระทงนาออกเป็นแปลงย่อยขนาดกว้าง 3-5 เมตร ยาวไปทางทิศทางลม ปรับเทือกให้สม่ำเสมอทิ้งไว้ 1 วันสำหรับดินเหนียว ส่วนดินทรายหว่านในวันเดียวกันกับที่เตรียมดิน
  2. อัตราเมล็ดพันธุ์ ใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีความงอกไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซนต์ อัตรา 10-15 กิโลกรัม/ไร่ แช่เมล็ดพันธุ์ที่บรรจุในถุงผ้าดิบหรือกระสอบป่านในน้ำสะอาด 24-48 ชั่วโมง แล้วนำไปหุ้มในที่ร่ม วางบนพื้นที่ไม่มีน้ำขังมีอากาศถ่ายเท รดน้ำเช้าเย็น หุ้มเมล็ดนาน 30-48 ชั่วโมง เมล็ดข้าวจะงอกเป็นตุ่มตาสามารถใช้หว่านได้
  3. การใส่ปุ๋ย
    • ครั้งที่ 1 (รองพื้น) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 สำหรับนาดินทราย สูตร 16-20-0 สำหรับนาดินเหนียว อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อข้าวอายุ 20-25 วัน
    • ครั้งที่ 2 (แต่งหน้า) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 21-0-0 อัตรา 10-20 กิโลกรัม/ไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อข้าวกำเนิดช่อดอก

การปลูกสภาพไร่

การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร การปลูกสภาพไร่
การปลูกข้าวพันธุ์สกลนคร การปลูกสภาพไร่

ข้าวพันธุ์สกลนคร นอกจากปลูกโดยวิธีปักดำและหว่านน้ำตมแล้ว ยังสามารถปลูกแบบสภาพไร่ เป็นข้าวไร่ได้ดี

  1. การเตรียมดิน ในสภาพไร่ เตรียมดินตั้งแต่ต้นฤดูฝน ไถดะ ตากดิน และให้เมล็ดวัชพืชงอก 5-10 วัน ไถแปรและคราดให้ดินเรียบสม่ำเสมอ
  2. อัตราเมล็ดพันธุ์ ใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีความงอกไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ การปลูกในสภาพไร่ ปลูกได้หลายวิธีที่แนะนำคือ ปลูกโดยหยอดเป็นหลุมใช้ไม้กระทุ้งเป็นหลุมลึกประมาณ 3 เซนติเมตร ระยะระหว่างแถวและหลุม 25 เซนติเมตร หยอดเมล็ดลงในหลุม 3-5 เมล็ด/หลุม จะใช้เมล็ดพันธุ์ 5-8 กิโลกรัม/ไร่ หรือใช้เครื่องหยอด เช่น เครื่องหยอดข้าวไร่แบบล้อจิก ปรับระยะระหว่างหลุมและระหว่างแถว 25 เซนติเมตร ใช้เมล็ดพันธุ์ 5-8 กิโลกรัม/ไร่
  3. การใส่ปุ๋ย ในสภาพไร่ใส่ปุ๋ย 2 ครั้งดังนี้
    • ครั้งที่ 1 (รองพื้น) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-8 อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อข้าวอายุ 20-25 วัน
    • ครั้งที่ 2 (แต่งหน้า) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 21-0-0 อัตรา 10-20 กิโลกรัม/ไร่ หรือสูตร 46-0-0 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อข้าวกำเนิดช่อดอกก่อนการใส่ปุ๋ยทั้ง 2 ครั้ง ควรกำจัดวัชพืชก่อนและดินควรมีความชื้น

การดูแลรักษา

  1. การควบคุมระดับน้ำในนา ในนาปักดำ ระดับน้ำในนาที่เหมาะสมคือ ระดับความสูง 5-10 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 20 เซนติเมตร ถ้าระดับน้ำสูงมาก ทำให้ต้นข้าวแตกกอน้อย เกิดโรคและแมลงเข้ามาทำลายได้ง่าย มีผลต่อผลผลิต
    ในนาหว่านน้ำตม ขณะกล้ายังเล็กให้คุมระดับน้ำ 1 ใน 3 ของต้นข้าว เมื่อข้าวสูงขึ้น คุมระดับน้ำที่ 5-10 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 20 เซนติเมตร ระดับน้ำสูงเกินไปทำให้ต้นข้าวอ่อนแอ ล้มง่าย
  2. การควบคุมวัชพืช การใช้เมล็ดพันธุ์ที่สะอาดปราศจากเมล็ดวัชพืชปะปน มีการเตรียมดินที่ดี ระยะปักดำเหมาะสม ใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ตามคำแนะนำ และมีการควบคุมระดับน้ำในนา จะช่วยลดปริมาณวัชพืชได้มาก ส่วนในสภาพไร่ การกำจัดวัชพืช
    ครั้งแรกที่อายุ 20-25 วัน มีความจำเป็นมาก
  3. การป้องกันกำจัดโรค แมลง และสัตว์ศัตรู ข้าวพันธุ์สกลนครไม่ต้านทานต่อโรคไหม้และขอบใบแห้ง ไม่ต้านทาน เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล นอกจากนั้นมักพบแมลงสิงเข้าทำลาย ในสภาพไร่มีนก หนูทำลาย ถ้ามีการปลูกข้าวเป็นพื้นที่น้อยในบริเวณนั้น หรือช่วงเวลาปลูกเร็วเกินไป ทำให้ข้าวออกดอกก่อนข้าวทั่วไป เกษตรกรควรวางแผนการปลูกให้เหมาะสมและ หมั่นตรวจแปลงข้าว ในกรณีมีศัตรูข้าวระบาดให้ใช้วิธีป้องกันกำจัดตามคำแนะนำการป้องกันกำจัดโรค แมลงศัตรูข้าวทั่วไป

การเก็บเกี่ยวและการนวด

ในระยะข้าวตั้งท้องและเริ่มออกรวง ระวังอย่าให้ข้าวขาดน้ำ เพราะจะทำให้การสร้างเมล็ดไม่สมบูรณ์เมล็ดลีบ ก่อนข้าวสุกแก่ 7-10 วัน ควรระบายน้ำออกจากแปลงนา เพื่อให้ข้าวสุกแก่พร้อมกันและดินแห้ง สะดวกในการเก็บเกี่ยว ทำให้ข้าวคุณภาพดี

การเก็บเกี่ยว ควรเก็บเกี่ยวข้าวพันธุ์สกลนคร เมื่ออายุ 24-28 วันหลังออกดอก แล้วนวด ไม่ควรตากฟ่อนข้าว

หลังจากนวดให้ตากเมล็ดจนแห้งและทำความสะอาดเมล็ดก่อนเก็บรักษาเช่นเดียวกับข้าวทั่วไป การเก็บเกี่ยวข้าวพันธุ์สกลนครที่อายุเกิน 30 วัน ทำให้นวดยากและเกิดการสูญเสียผลิตผล

การลงทุน

ต้นทุนและรายได้จากการปลูกข้าวเหนียวพันธุ์สกลนครในพื้นที่ 1 ไร่

ลำดับ รายการ นาดำ (บาท) นาหว่าน (บาท) นาโยน (บาท)
1 ค่าเมล็ดพันธุ์ (กก.ละ 23 บาท) 115 276 115
2 ค่าไถดะ 250 250 250
3 ค่าตกกล้า + ถอนกล้า 450 664
4 ค่าถอนกล้า (120 มัด/ไร่) 360
5 ค่าไถแปร + คราด 350 350 350
6 ค่าปุ๋ย 591 591 591
7 ค่าปักดำ (วันละ 200 บาท) 800 200 200
8 ค่าสารกำจัดวัชพืช 350
9 ค่าเก็บเกี่ยว 400 600 400
รวมต้นทุนการผลิต 3,316 2,617 2,570
ผลผลิต (กิโลกรัม) 536 378 598
ราคากิโลกรัมละ 12 บาท 9,792 6,426 10,166
กำไร 6,476 3,809 7,596

หมายเหตุ : ข้อมูลปี พ.ศ. 2554


อ้างอิงบทความ

เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า

0
เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า
เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า

หลักการดังที่กล่าวมาแล้วเมื่อบทความ “เกษตรทฤษฎีใหม่คืออะไร” เป็นทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง เมื่อเกษตรกรเข้าใจหลักการและได้ลงมือปฏิบัติตามขั้นที่หนึ่งในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว เกษตรกรก็สามารถพัฒนาตนเองไปสู่ขั้นพออยู่พอกิน และตัดค่าใช้จ่ายลงเกือบทั้งหมด มีอิสระจากสภาพปัจจัยภายนอกแล้วและเพื่อให้มีผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงควรที่จะต้องดำเนินการตามขั้นที่สองและสามอย่างต่อเนื่อง

เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า
เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า

เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง

“เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติที่ดินของตนเองจนได้ผลแล้วก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือ ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่ม หรือสหกรณ์ร่วมแรงในการผลิตการตลาด การเป็นอยู่ สวัสดิการ การศึกษา สังคม และศรัทธาเพื่อให้พอมีกินมีใช้ ช่วยให้สังคมดีขึ้นพร้อม ๆ กันไม่รวยคนเดียว”

(พระราชดำรัสรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538)

การดำเนินการตามเกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง

เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า
เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า
  1. การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ) เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดการน้ำ และอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก
  2. การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต) เมื่อมีผลผลิตแล้วจะต้องเตรียมการต่าง ๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการร่วมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดี และลดค่าใช้จ่ายลง
  3. การเป็นอยู่ (กะปิ น้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น อาหารการกินต่าง ๆ กะปิ น้ำปลา เสื้อผ้าที่พอเพียง
  4. สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้) แต่ละชุมชนมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้ หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
  5. การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา) ชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียนให้แก่เยาวชนของชุมชน
  6. สังคมและศาสนา (ชุมชน วัด) ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการ องค์กรเอกชน ตลอดจนสมาชิกชุมชนเป็นสำคัญ

เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม

“เมื่อดำเนินการขั้นตอนที่สองแล้ว เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือ ร่วมมือกับแหล่งเงินและแหล่งพลังงาน ตั้งและบริการโรงสี ตั้งและบริการร้านสหกรณ์ ช่วยกันลงทุน ช่วยกันพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชนบทซึ่งไม่ได้ทำอาชีพเกษตรอย่างเดียว”

(พระราชดำรัสรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538)

ทั้งนี้ ฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ

  • เกษตรกรขายข้าวได้ราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา)
  • ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)
  • เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคในราคาต่ำ เนื่องจากรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)
  • ธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของเกษตรทฤษฎีใหม่

เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า
เกษตรทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า

จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ นั้น พอสรุปถึงประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ได้ดังนี้

  1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัดไม่อดอยากและเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
  2. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผัก เลี้ยงปลา หรือทำอะไรอื่น ๆ ก็ได้แม้แต่ข้าวก็ยังปลูกได้ ไม่ต้องเบียดเบียนชลประทานระบบใหญ่เพราะมีของตนเอง
  3. ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้ก็สามารถสร้างรายได้ให้ร่ำรวยขึ้นได้ ในกรณีที่เกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการไม่ต้องช่วยเหลือมากเกินไป อันเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย

อ้างอิงเนื้อหา

  • เอกสารเผยแพร่ “คู่มือที่ 12 : เกษตรทฤษฎีใหม่” กลุ่มงานขยายผล ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  • ภาพประกอบ : www.freepik.com

ทำความรู้จักกับเกษตรทฤษฎีใหม่

0
เกษตรทฤษฎีใหม่คืออะไร
เกษตรทฤษฎีใหม่คืออะไร

ปัญหาหลักของเกษตรกรที่สำคัญทุกยุคประการหนึ่ง คือ การขาดแคลนนํ้าเพื่อเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่อาศัยนํ้าฝน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศและส่วนมากเป็นนาข้าวและพืชไร่ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงกับความแปรปรวนของสภาพดิน ฟ้า อากาศ และฝนทิ้งช่วง แม้ว่าจะมีการขุดบ่อหรือสระเก็บนํ้าไว้ใช้บ้างแต่ก็ไม่มีขนาดแน่นอน หรือ มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาให้มีนํ้าใช้ไม่เพียงพอ รวมทั้งระบบการปลูกพืชไม่มีหลักเกณฑ์ใด ๆ และส่วนใหญ่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว

เกษตรทฤษฎีใหม่

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงได้พระราชทานพระราชดำริเพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบความยากลำบากดังกล่าวให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติโดยเฉพาะการขาดแคลนนํ้าได้โดยไม่เดือดร้อนและยากลำบากนัก พระราชดำรินี้ ทรงเรียกว่า “ทฤษฎีใหม่” อันเป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารจัดการที่ดี

ทฤษฎีใหม่ : ทำไมใหม่

  1. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็กออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน
  2. มีการคำนวณโดยหลักวิชาการ เกี่ยวกับปริมาณนํ้าที่จะกักเก็บให้พอเพียงต่อการเพาะปลูกได้ตลอดปี
  3. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ สำหรับเกษตรกรรายย่อย โดยมีถึง 3 ขั้นตอน

ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น หรือเรียกว่า “ทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง”

การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน

ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ตามอัตราส่วน 30:30:30:10 ซึ่งหมายถึง

เกษตรทฤษฎีใหม่

พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ให้ขุดสระเก็บกักนํ้าเพื่อใช้เก็บกักนํ้าฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์นํ้า และพืชนํ้าต่าง ๆ

เกษตรทฤษฎีใหม่
ไร่นา

พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน สำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้

เกษตรทฤษฎีใหม่
สวนสตอเบอร์รี่

พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ให้ปลูกไม้ผล – ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย

เกษตรทฤษฎีใหม่

พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์และโรงเรือนอื่น ๆ

หลักการและแนวทางสำคัญ

  1. เป็นระบบการผลิตแบบพอเพียง ที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำนองเดียวกับการ “ลงแขก” แบบดั้งเดิม เพื่อลดค่าใช้จ่าย
  2. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัวหนึ่งทำนา 5 ไร่ จะทำให้มีข้าวพอกินตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาในราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้อย่างมีอิสรภาพ
  3. ต้องมีนํ้าเพื่อการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือ ระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระนํ้า โดยมีหลักว่าต้องมีนํ้าเพียงพอที่จะทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า

ต้องมีนํ้า 1,000 ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก 1 ไร่ โดยประมาณ ฉะนั้น เมื่อทำนา 5 ไร่ ทำพืชไร่หรือไม้ผลอีก 5 ไร่ (รวมเป็น 10 ไร่) จะต้องมีนํ้า 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ดังนั้น หากมีพื้นที่ 15 ไร่ จึงมีสูตรคร่าว ๆ ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย

    • นา 5 ไร่
    • พืชไร่พืชสวน 5 ไร่
    • สระนํ้า 3 ไร่ ลึก 4 เมตร จุประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอสำรองไว้ใช้ในยามฤดูแล้ง
    • ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ 2 ไร่

รวมทั้งหมด 15 ไร่

แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บกักนํ้าขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม ดังนี้

    • ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรอาศัยนํ้าฝน สระนํ้าควรมีลักษณะเพื่อป้องกันไม่ให้นํ้าระเหยได้มากเกินไปซึ่งจะทำให้มีนํ้าใช้ตลอดทั้งปี
    • ถ้าเป็นพื้นที่ทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระนํ้าอาจมีลักษณะลึกหรือตื้นและแคบหรือกว้างก็ได้โดยพิจารณาตามความเหมาะสมเพราะสามารถมีนํ้ามาเติมอยู่เรื่อย ๆ

การมีสระเก็บกักนํ้านั้นเพื่อเกษตรกรได้มีนํ้าใช้อย่างสมํ่าเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึง การควบคุมให้ดีมีระบบนํ้าหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่าเกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรัง เพราะหากนํ้าในสระเก็บกักไม่พอ ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียงก็อาจจะต้องสูบนํ้ามาจากเขื่อน ซึ่งจะทำให้นํ้าในเขื่อนหมดได้แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ให้เกษตรกรใช้นํ้าที่ได้เก็บตุนนั้นให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เช่น

    • หน้าฝน จะมีนํ้ามากพอที่จะปลูกข้าวและพืชชนิดอื่น ๆ ได้
    • หน้าแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ควรปลูกพืชที่ใช้นํ้าน้อย เช่น ถั่วต่าง ๆ
  1. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงคำนวณและคำนึงจากอัตรา ถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ 15 ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครองน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ ก็สามารถใช้อัตราส่วน 30:30:30:10 ไปเป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ
    • 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแรก ขุดสระนํ้า (สามารถเลี้ยงปลาปลูกพืชนํ้า เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ฯลฯ ได้ด้วย)
    • 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่สอง ทำนา
    • 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล – ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผักสมุนไพร เป็นต้น)
    • 30 เปอร์เซ็นต์ สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ (ถนน คันดิน กองฟาง ลานตากกองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอกไม้ประดับ พืชผักสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตรหรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมโดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ คุณสมบัติของดินปริมาณนํ้าฝนและสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุกกว่าภาคอื่น หรือหากพื้นที่ที่มีแหล่งนํ้ามาเติมสระได้ต่อเนื่องก็อาจลดขนาดของบ่อหรือสระนํ้าให้เล็กลง เพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโยชน์อื่นต่อไปได้


แหล่งอ้างอิง

  • เอกสารเผยแพร่ “จอมปราชญ์แห่งการพัฒนา” สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  • ภาพประกอบ : www.freepik.com

10 ข้อคิดก่อนตัดสินใจเป็นเกษตรกร

0
10 ข้อคิดก่อนตัดสินใจเป็นเกษตรกร
10 ข้อคิดก่อนตัดสินใจเป็นเกษตรกร

หลายคนที่วางแผนเกษียณและไปใช้ชีวิตบั้นปลายตามต่างจังหวัด โดยคิดว่าปลูกผักปลูกหญ้ากินในสวนเล็ก ๆ หรืออาจจะอยากลาออกจากงานประจำเพราะเบื่อ ไปทำการเกษตรดีกว่า … ก่อนที่จะผันตัวเป็นเกษตรกรเต็มตัว ผมมีข้อคิดที่น่าสนใจจากปรมาจารย์อีกท่านในวงการเกษตร อาจารย์โจด จันใด มาให้เป็นข้อมูล ซึ่งบอกกันตรง ๆ ทั้งข้อดีข้อเสีย มีอะไรบ้างไปดูกัน

10 ข้อคิดก่อนตัดสินใจเป็นเกษตรกร
Agriculture Hand Plant
  1. หลายคนมักจะ “ฝันหวาน” ว่า ถ้ามาทำเกษตรเราจะ “รวย”, เราจะมีเงินใช้สอยมากขึ้น เพราะเห็นว่าสินค้าออร์แกนิคในตลาดราคาแพงมาก ถ้าเรามาทำ จะสร้างรายได้มหาศาล
  2. ถ้าหวัง “รวย” อย่ามาทำเกษตร เพราะมันเป็นจริงไม่ได้ การเกษตรไม่เคยทำให้ใครรวย การเกษตรถูกสาปมายาวนานมาก ว่า “ห้ามรวย” ฉะนั้นถ้าอยากรวย อย่ามาทำเกษตร เพราะจะทำให้ท่านผิดหวังกลับไป อุตส่าห์ลาออกจากงาน มาทำเกษตรอินทรีย์ มาลงทุนสูง สุดท้ายก็สูญเงินทุนทั้งหมด
  3. เกษตรกรรมเป็นอาชีพที่สร้างความร่ำรวยไม่ได้ ถ้าอยากจะรวย ต้องหากินกับเกษตรกร มาขายเมล็ดพันธุ์ ขายปุ๋ย ขายยา เครื่องมือทำการเกษตร หรือไม่ก็ รับผลผลิตของเกษตรกรไปขายต่อ อันนี้ก็มีสิทธิ์จะรวยได้
  4. อาชีพเกษตรกรเป็นอาชีพที่ถูกสาป ถ้าทำเกษตร ปลูกมัน ปลูกอ้อย ปลูกข้าวโพด เวลาขาย ต้องขายตามที่ราคาตามที่ตลาดกำหนด แต่เป็นราคาที่เกษตรกรอยู่ไม่ได้เสมอ
  5. สินค้าทุกอย่างขึ้นราคาได้หมด ยกเว้นผลผลิตของเกษตรกร ขึ้นราคาไม่ได้ การทำเกษตรในปัจจุบัน ลงทุนสูงขึ้น ต้องใช้เครื่องจักร ใช้น้ำมัน เมล็ดพันธุ์ซื้อในราคาที่แพง ปุ๋ย ยาเคมี ฮอร์โมน ก็ต้องจ่ายแพงขึ้น แต่ผลผลิตของเกษตรกร ราคาลดลง ทำให้จำนวนประชากรของเกษตรกรลดลงอย่างฮวบฮาบทุกปี ไม่อยากมีใครให้ลูกหลานไปเป็นเกษตรกร
  6. เกษตรกรรมทำให้คนรวยไม่ได้ แต่อาชีพเกษตรกรรมทำให้เรา “มั่นคงในชีวิต” มากกว่าทุกอาชีพบนโลกใบนี้ เพราะเกษตรกรรมคืออาชีพเดียว ที่กำอาหารไว้ในมือ อาหารคือความมั่นคง ฉะนั้น ถ้าเรามีอาหารอยู่ในมือ เรามีความมั่นคงกว่า คนที่มีเงินกำไว้ในมือ
  7. เกษตรกร คือ คนที่ปลูกเพื่อให้ตัวเองมีกินเป็นหลัก เราจะไม่ทำเยอะ แต่จะเพาะปลูกที่หลากหลาย ปลูกไม่น้อยกว่า 30 ชนิดขึ้นไป หรือได้ 50 ชนิดยิ่งดี ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีแรงทำได้ โดยไม่เน้นการลงทุนด้วย เน้นการใช้แรง ลงแรง ได้แรง และได้เงินด้วย ได้กินด้วย, แต่ลงทุนทางการเกษตร จะเสียแรง เสียทุน และไม่มีอะไรกิน แต่จะมีหนี้มากขึ้น
  8. การเกษตรอย่าทำมาก ทำน้อย ๆ เท่าที่เรามีแรง แต่ให้ปลูกพืชหลากหลายชนิด เพื่อให้มีความหลากหลาย แต่ละมื้อ เราต้องกินอาหารที่แตกต่างกันได้ เราจะไม่เบื่อ
  9. ปลูกหลายชนิด ปลูกเยอะ เหลือกิน เราแจก เราได้ทำบุญทำทาน เก็บไว้ในยามฉุกเฉิน เหลือกมากค่อยขาย
  10. การออกแบบชีวิตแบบนี้ จะทำให้การเกษตรเป็นเรื่องที่ง่าย การเกษตรไม่ใช่อาชีพ การเกษตรคือวิถีชีวิตที่เราทำประจำ มันจะทำให้เรามีความมั่นคงอย่างแท้จริง มั่นคงกว่าการมีเงินฝากในธนาคารอย่างเยอะ ๆ

5 วิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กมีผู้เข้าชมมากขึ้น

0
5 วิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กมีผู้เข้าชมมากขึ้น

วิธีการสร้างเว็บไซต์ใครหลายคนสามารถที่จะทำเองได้ง่าย ๆ แต่การที่จะสร้างแล้วให้คนแวะเข้ามาเยี่ยมชมบ่อย ๆ หลักพันคนจนไปถึงหลักหมื่นคนต่อวันนี่สิยากยิ่งกว่า โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่เพียงแค่ต้องการผู้เข้าชมที่มากขึ้นแต่ยังต้องการโอกาสทางธุรกิจให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย แต่จะมีวิธีการอย่างไรที่จะช่วยดึงคนเข้าเยี่ยมชมและอยู่ในเว็บของคุณได้นาน ๆ นั้นไปดูกันเลย

1. Content is the King  

5 วิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กมีผู้เข้าชมมากขึ้น

ข้อมูลและสินค้าที่คุณจะขายหรือบทความให้ความรู้จะต้องน่าสนใจและตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด ทั้งรูปภาพประกอบและสื่อวีดีโอจำเป็นอย่างยิ่งที่จะสื่อให้ผู้เข้าชมได้รับความตื่นตาตื่นใจและใช้เวลาภายในเว็บไซต์ให้นานขึ้น

2. Social media is everything

5 วิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กมีผู้เข้าชมมากขึ้น

ไม่ว่าจะชิม ช้อป แช๊ะ ทุกวันนี้ต่างแสดงออกผ่านการแชร์ข้อมูลผ่านโลกออนไลน์กันมากขึ้น ทั้ง Facebook, IG, Youtube ที่เหล่าบรรดานักธุรกิจทั้งน้อยใหญ่ต่างใช้ โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แค่ขยันโพสและแชร์ข้อมูลที่ดีมีประโยชน์หรือข้อความโดน ๆ รับรองได้เลยว่ามียอดคนกดไลค์และติดตามมากขึ้นแน่

3. Responsive Web Design

5 วิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กมีผู้เข้าชมมากขึ้น

สมาร์ทโฟนถือเป็นสิ่งสำคัญที่คนยุคใหม่ขาดไม่ได้ ดังนั้น การออกแบบเว็บไซต์จึงจำเป็นที่จะต้องให้ตอบสนองต่อการใช้งานผ่านระบบสมาร์ทโฟนทั้ง iOS และ Andriod รวมถึง OS อื่น ๆ ในอนาคต

4. Think Different

5 วิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กมีผู้เข้าชมมากขึ้น

ต้องกล้าที่จะแตกต่าง หลายต่อหลายเว็บที่ทำออกมามักจะมีรูปแบบและดีไซน์คล้าย ๆ กัน อาจเพราะมีการใช้เป็นแนวทางในการทำเว็บส่งผลให้เหมือนเว็บทั่ว ๆ ในขณะที่คุณกล้าที่จะคิดต่างและแสดงความเป็นตัวตนของคุณแล้วไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน

5. Invest

เทคนิคการลงทุนให้เห็นกำไรอย่างแท้จริง และไม่ต้องเสี่ยงขาดทุน

กล้าที่จะลงทุนในการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Adwords, SEO สิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญให้กับเว็บไซต์ธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการยอดผู้เข้าชมได้มากหรือ แม้แต่บทความออนไลน์ที่อาจต้องใช้บริการมืออาชีพในการช่วยเขียนคอนเทนด์ดี ๆ เพื่อช่วยให้คนได้เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้นนั่นเอง


ใครที่ทำเว็บไซต์แล้วประสบปัญหายอดขายไม่ดี คนเข้าชมน้อยลองนำ 5 วิธีข้างต้นไปปรับใช้และศึกษาทบทวนดูใหม่ว่าเว็บไซต์ที่ทำอยู่นี้ดีที่สุดหรือยังถ้ายังจงปรับและแก้ไข เพื่อยอดไลค์ ยอดคนติดตามจะได้เยอะและเพิ่มยอดขายให้ในที่สุด


บทความโฆษณาเผยแพร่ครั้งแรกที่เว็บไซต์ กาเหว่าดอทคอม

ภาพประกอบ : freepik.com

10 แนวทางสร้าง Passive Income ด้วยคริปโตในปี 2020

0
ไม่พยายามก็ไม่มี Passive Income

เรื่องจริงที่ทุกคนยอมรับกันโดยไม่มีเงื่อนไขถ้าต้องการผลตอบแทนอะไรสักอย่าง เราจำเป็นต้องมีการลงทุนก่อนถึงจะได้ผลตอบแทนกลับมา ในวงการ บล๊อคเชน ก็เงื่อนไขไม่ต่างกัน แต่ว่ามันอาจจะมีความพิเศษบางอย่างของบล๊อคเชนที่ช่วยให้เราเริ่มสร้างรายได้ไปกับมันได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไรที่เป็นตัวเงิน แต่ก็อาจจะต้องใช้เป็นแรงงาน เวลา และความสามารถแทน

ถ้าเราลองดูสถิติการค้นหาใน Google Trend จะเห็นคำว่า “หาเงินออนไลน์” “รายได้เสริม” “ทำเงินออนไลน์” ติดอยู่ในอันดับต้น ๆ อยู่เป็นประจำ และเมื่อพูดถึง คริปโตเคอเรนซี่ ก็เป็นอีกสกุลเงินออนไลน์ที่สามารถทำเงินออนไลน์ได้เหมือนกัน ในบทความนี้จะแนะนำ 10 แนวทางในการสร้าง Passive Income ด้วยเงินคริปโต กันครับ

การสร้างรายได้ด้วยคริปโตเคอเรนซี่ ในปี 2020

** บางวิธีจะใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษไปเลยนะครับ เพราะเมื่อลองใช้เป็นภาษาไทยแล้ว มันเข้าใจยาก **

1. ทำเว็บไซต์หรือเขียนบล๊อคเกี่ยวกับบล๊อคเชน และ คริปโตเคอเรนซี่

วิธีนี้ง่ายและตรงประเด็นสุด ๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบเล่าเรื่องด้วยการเขียน เลือกแพลตฟอร์มสัก 1 อย่างสำหรับสร้างบล๊อคของเรา แล้วก็เขียนบทความที่เกี่ยวกับบล๊อคเชนและคริปโตเคอเรนซี่ ไม่ว่าจะเป็นบทความเชิงเทคนิค ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ ได้หมดทุกอย่าง ไม่มีข้อจำกัดครับ

รายได้ที่จะได้จากการทำบล๊อคแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการเขียนบล๊อคทั่วไป แต่ว่ามันอาจจะเห็นเม็ดเงินช้าหน่อยถ้าเราไม่มีความพยายาม และขยันพอที่จะอัพเดตเว็บไซต์ให้มีเนื้อหาที่ใหม่อยู่สม่ำเสมอ รายได้หลัก ๆ ที่เป็นที่นิยมจากการทำบล๊อคก็คือ การลง Adsense ถ้าบทความของเราสด ใหม่ ไม่ก๊อปปี้ใครมา และมีการอัพเดตอยู่เรื่อย ๆ เมื่อทำไปได้สัก 3 เดือน ก็ลองสมัคร Adsense แล้วนำโฆษณามาลง จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ถ้าเนื้อหาไม่ก๊อปปี้ใครมาแล้ว สมัครผ่านง่ายมากครับ

2. ให้มีตัวเลือกชำระเงินด้วยคริปโตเคอเรนซี่ สำหรับคนที่ขายสินค้าอยู่แล้ว

ใครที่มีเว็บไซต์หรือบล๊อคส่วนตัวแนวอีคอมเมิร์ซในสามารถทำการชำระเงินได้บนเว็บของตัวเอง นี่ก็เป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้ เพียงเพิ่มตัวเลือกในการรับชำระเงินให้สามารถชำระด้วยสกุลเงินคริปโตได้ เดี๋ยวนี้ก็ทำไม่อยากยิ่งถ้าทำเว็บไซต์ด้วย CMS ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย อย่าง WordPress, Magento ก็หาปลั๊กอินมาติดตั้ง แทบจะไม่ต้องมีความรู้ทางด้านโปรแกรมมิ่งเลย บางเหรียญเมื่อชำระมาแล้วก็จะแปลงค่าเงินเป็นสกุลเงินทั่ว ๆ ไปให้ทันที แต่บางเหรียญก็อาจจะต้องเก็บไว้เป็นสกุลเงินนั้น ถ้าราคาพุ่งเราก็จะได้กำไรจากส่วนต่างเพิ่มขึ้นมาอีก

3. Crypto Freelance Platform

อย่าเพิ่งตกใจกับหัวข้อนี้กันไปไกลนะครับ ในต่างประเทศนั้นมีเว็บไซต์หางานสำหรับฟรีแลนซ์จำนวนมากที่เป็นสื่อกลางระหว่างคนหางาน และ คนหาคนทำงาน แต่เปลี่ยนการจ่ายเงินทั่ว ๆ ไป เป็นการจ่ายด้วยเงินคริปโตแทน ไม่ว่าจะมีความรู้ทางด้านไหน เช่น นักเขียน, นักตัดต่อวีดีโอ, ตากล้อง ฯลฯ ก็สามารถมาโพสต์หางานได้ในนี้ ลองเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมจากรายชื่อเว็บไซต์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ

4. เทรดดิ้ง

การหารายได้ด้วยเงินคริปโตนั้น มีอีกทางหนึ่งที่ได้เปรียบสำหรับคนที่เคยเล่นหุ้นมาแล้ว รู้วิธีการดูกราฟ การเก็งกำไร ช่วงไหนควรเข้า ช่วงไหนควรเทขาย ส่วนตัวผมนั้นไม่เก่งทางด้านนี้ รู้เพียงคร่าว ๆ ส่วนมากแล้วก็จะเป็นการถือเอาไว้ยาว ๆ หลักการก็ไม่มีอะไรมากเลย ซื้อราคาที่ถูก > ขายราคาที่แพง แต่ในการปฏิบัติจริง ๆ ไม่ได้ง่ายเหมือนหลักการที่บอกมา ต้องอาศัยประสบการณ์ส่วนตัวสูง บางคนอ่านหนังสืออย่างเดียว ต่อให้อ่านเป็นร้อยเล่ม แต่ถ้าไม่ลงมือทำสุดท้ายก็จะกลายเป็นแมงเม่าได้

เว็บไซต์ที่ให้บริการเทรดดิ้งเมืองไทยที่เป็นที่รู้จัก รองรับการชำระเงินด้วยเงินบาท ในตอนนี้ก็มีสองเว็บไซต์ข้างล่างนี้ที่น่าเชื่อถือ มีตัวตนและดำเนินงานภายใต้กฎหมายของประเทศไทยเรา

5. Mining ทำเหมืองขุดเงินคริปโต

การทำเหมืองหรือการขุดเหรียญคริปโต เป็นวิธีดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่บิทคอยน์เริ่มแรก ๆ โดยสรุปก็คือ เราต้องมีคอมพิวเตอร์ หรือ เครื่องขุดเหรียญ หรือ คอมพิวเตอร์ที่การ์ดจอดี ๆ > ติดตั้งโปรแกรมสำหรับขุดเหรียญแต่ละเหรียญ > เปิดโปรแกรมเอาไว้แล้วปล่อยให้โปรแกรมทำงาน > เมื่อขุดได้แล้วเราก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นเหรียญที่เราขุด

อ่านเพิ่มเติม : การขุดเหรียญคืออะไร

ช่วงเริ่มต้นนั้นก็อาศัยเพียงแค่คอมพิวเตอร์ทั่วไปนี่แหละ นำมาขุดเหรียญ ถัดมาเมื่อถึงข้อกำหนดบางเหรียญก็จะไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปได้แล้ว เพราะมีความยากในการขุดมากขึ้น ก็ต้องใช้เครื่องที่การ์ดจอดี ๆ เพราะการ์ดจอมีความสามารถในการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อนได้ดีกว่า แต่บางเหรียญอย่างบิทคอยน์ก็ไม่สามารถใช้ได้ทั้งคอมพิวเตอร์และการ์ดจออีกต่อไป ต้องใช้เครื่องที่ออกแบบมาสำหรับการขุดโดยเฉพาะ หรือ ตัวย่อ ASIC

ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เราได้กำไรหรือขาดทุนจากการขุด ก็คือมูลค่าของเหรียญถ้าตกต่ำมาก ๆ ก็จะไม่คุ้มกับการขุด เพราะต้นทุนในการขุดก็คือค่าไฟมหาศาล สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นการขุด ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากลิงค์นี้ : Minergate

6. Masternodes มาสเตอร์โหนด

คอนเซ็พของมาสเตอร์โหนดนั้นคล้าย ๆ กับการทำเหมือง แต่เป็นการอัพเกรดขึ้นไปอีกขั้นเพื่ออุดรูโหว่ของการขุด ที่กินทรัพยากรพลังงานมากมายมหาศาล เพราะเราสามารถใช้เพียงคอมพิวเตอร์กาก ๆ เครื่องเดียวในการทำ Masternode แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ เราจำเป็นต้องถือครองเงินคริปโตที่รองรับ Masternode เอาไว้ขั้นต่ำตามจำนวนที่เหรียญนั้นกำหนด เมื่อมีครบตามกำหนดแล้วก็ทำการติดตั้ง Software ที่จะทำงานร่วมกับ Masternode ตัวอื่น ๆ ได้ พร้อมแล้วก็เปิดเครื่องทิ้งไว้ตามเคย เมื่อระบบมันทำงานแล้วเครื่อง Masternode ของเราสามารถยืนยันการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของเหรียญคริปโตได้ เราก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นเหรียญคริปโตเช่นกัน ข้อดีของ Masternode ก็คือกินทรัพยากรพลังงานน้อยมาก เพราะใช้เพียงคอมพิวเตอร์ตัวเดียว เปิดทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงก็เสียเงินไม่ถึงร้อยบาทในแต่ละเดือน แต่สิ่งที่เป็นข้อจำกัดก็คือ เหรียญคริปโตเก่า ๆ ที่มีมูลค่าแพง ถ้าเราจะตั้ง Masternode จะต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อเหรียญเหล่านั้นให้ได้ตามจำนวนขั้นต่ำ บางเหรียญราคารวมเป็นล้าน ๆ บาท คนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยก็หมดสิทธิ์ไปโดยปริยาย

7. Staking

การทำงานของ Staking นั้นเหมือน ๆ กับ Masternode แต่ไม่ใช่ซะทีเดียว .. งงมั้ย? ถ้างงอ่านต่อนะ Staking นั้นเหมือนกับมองเห็นข้อจำกัดในการทำ Masternode ตรงที่บางเหรียญต้องใช้จำนวนมากถึงจะทำ Masternode ได้ แต่การ Stake นั้นต้องการน้อยลงกว่ามาก บางเหรียญใช้เริ่มต้นเพียง 1 เหรียญก็สามารถ Stake ได้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าต้องเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ตลอดเวลา และก็จะได้รับผลตอบแทนกลับมาเป็นเหรียญคริปโตเช่นเคย การทำ Stake ยิ่งมีเหรียญเยอะ ก็จะได้ผลตอบแทนกลับมาเยอะ โดยส่วนมากแล้วเฉลี่ย ๆ ก็จะได้ประมาณ 10% ต่อปี (แต่เราจะได้ผลตอบแทนกลับมาเกือบทุกวันนะ) ส่วนตัวผมตอนนี้ก็ Stake ไว้ในมือหลายสกุลเหมือนกัน ถ้าใครที่สนใจ Stake ก็ลองศึกษาเหรียญตัวนี้ดูเป็นการเริ่มต้นก็ได้ครับ bitg.org

8. Crypto Faucets

เหรียญคริปโตที่ออกใหม่จะมีการแจกจ่ายเหรียญด้วยวิธีการที่เรียกว่า Faucets ซึ่งเหมือนกับการเอาเหรียญมาแจก เช่น ทำ Survey, เล่นเกมส์, โพสต์ลง Facebook หรือ กดรับฟรีเลยก็มี ส่วนมากก็จะแจกจำนวนที่ไม่เยอะ หลักทศนิยมเท่านั้น แล้วก็จะแจกอยู่เพียงช่วงเริ่มต้นไม่นาน เพื่อเป็นการโปรโมทเหรียญไปในตัวน่ะแหละ บางเหรียญช่วงเริ่มต้น ผมก็ได้เหรียญมาครอบครองด้วยวิธีนี้เกือบ ๆ ร้อยเลยก็มี ใครที่สนใจวิธีนี้ก็ลองค้นหาเหรียญใหม่ ๆ ที่กำลังจะมีแล้วก็ดูว่าเหรียญไหนที่แจก แล้วก็ทำตามขั้นตอนที่เค้าบอก ผมจะคอยดูเหรียญจากเว็บ www.coinmarketcap.com เป็นหลัก เมื่อเข้าไปในเว็บแล้วเมื่อเรากดไปดูรายละเอียดเหรียญสักตัวหนึ่ง เว็บก็จะแนะนำเหรียญที่ทำงานใกล้เคียงกันขึ้นมาให้ดู ก็กดเข้าไปดูรายละเอียด, เว็บบอร์ด แล้วก็เลือกเลยครับว่าอยากได้ตัวไหน

9. HODL

HODL เป็นการถือเหรียญเอาไว้เฉย ๆ เหมือนถือหุ้นเอาไว้สักตัวเลยครับ สำหรับคนมีเงินเย็น ๆ ไม่รีบร้อน รอราคาขึ้นค่อยขาย ประมาณนี้เลย ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้มั้ง ใครที่รีบร้อนหรือต้องการความตื่นเต้นในการเทรดคงไม่เหมาะกับวิธีนี้เท่าไหร่ แต่การถือเหรียญเอาไว้ผมแนะนำให้มี Digital Wallet ลงเก็บไว้ที่เครื่องเอง ไม่ควรเก็บเงินเอาไว้ตามเว็บสำหรับแลกเปลี่ยน เพราะมีโอกาสโดนโกงได้สูงมาก ดูได้จากประวัติของเว็บเทรดหลาย ๆ เว็บที่ผ่านมา บางเว็บก็บอกว่าโดนแฮก (จริงรึเปล่าไม่รู้) บางเว็บก็ปิดตัวหนีเอาไปซะดื้อ ๆ

10. Airdrops

อีกวิธีที่เหรียญเกิดใหม่มักจะใช้เป็นการโปรโมทให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเรียกว่า Airdrop มันเป็นการแจกเหรียญให้ฟรี ๆ น่ะแหละ โดยมักจะมีเงื่อนไขประมาณนี้ แชร์โพสต์ลงเฟซบุ๊ค หรือ โซเชี่ยลอื่น ๆ, เข้าร่วมกลุ่มใน Social ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้, กรอกข้อมูลทำแบบสอบถาม, หรือเข้าร่วมสัมมนาต่าง ๆ ซึ่งแต่ละเหรียญก็จะมีช่วงเวลาในการแจกไม่เหมือนกัน เท่าที่เห็นส่วนมากก็ประมาณ 1 สัปดาห์ – 1 เดือน เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่อยากมีคริปโตเคอเรนซี่ไว้ในครอบครองแต่ไม่อยากลงทุน แต่ก็ต้องมีเวลาในการค้นหาข้อมูลว่าเหรียญตัวไหนเกิดใหม่ และกำลังจะทำการแจกเหรียญด้วยนะครับ ไว้มีโอกาสจะมาเขียนบทความขยายความเรื่อง Airdrop กันอีกที


สรุป 10 วิธีการหารายได้ด้วยคริปโตเคอเรนซี่

10 วิธีข้างต้นที่ผมได้แนะนำไปเป็นเพียงบางส่วนที่เราจะมีเงินคริปโตมาครอบครองนะครับ ความจริงแล้วมีอีกหลายวิธีมากที่จะหารายได้ไปกับมัน แต่วิธีที่บอกไปก็ไม่ยุ่งยากเริ่มต้นกันได้ไม่ยากสักเท่าไหร่ ส่วนตัวผมนั้นลองมาหมดทุกวิธีแล้วเห็นว่าได้จริง บางตัวได้มากได้น้อยก็ยังถือว่าได้ หลายสกุลเงินตอนนี้ที่ผมถือเอาไว้ บางตัวติดดอยก็มี ความเสี่ยงมีทุกวงการเหมือนการลงทุนในหุ้น ในทองคำทั่ว ๆ ไปเลย ตอนนี้ก็รอวันที่เหรียญคริปโตจะพุ่งปรี๊ดทะลุเพดานไปเหมือนช่วงปี 2015 – 2016 อีกครั้ง


อ้างอิงบทความ

  • https://www.investinblockchain.com/how-to-earn-cryptocurrency/
  • ภาพประกอบ : https://www.freepik.com

วิธีเก็บออมด้วยการฝากเงินให้เหมาะสมกับตนเอง

0
วิธีเก็บออมด้วยการฝากเงิน ให้เหมาะสมกับตนเอง

ความใฝ่ฝันของคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ ที่ต้องนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ ดังนั้นแล้วการมีเงินเยอะๆเพื่อที่จะสามารถซื้อสิ่งของต่างๆได้ตามที่ตนเองต้องการ รวมไปถึงเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตในยามบั้นปลาย เป็นสิ่งที่เราปรารถนากันอย่างมาก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ดังนั้นแล้วถ้าหากว่าอยากจะมีเงินก้อน คุณสามารถทำให้มันเป็นจริงได้แม้ว่าจะไม่ได้มีต้นทุนมากมาย อาจเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปก็ตาม หัวใจหลักสำคัญนั่นก็คือ ต้องเก็บออมด้วยการฝากเงิน ถือว่าเป็นก้าวแรกที่จะทำให้เรามีเงินก้อนโตได้ งั้นต้องลองไปทำความรู้จักกันซะแล้วล่ะ ว่าวิธีเก็บออมเงินด้วยการฝากเงิน มีกี่ประเภทกันนะ? เพื่อที่คุณได้เลือกสิ่งที่ดีและเหมาะสมให้กับตนเอง

ออมเงินในบัญชีออมทรัพย์

การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ ถือว่าเป็นประเภทการฝากเงินที่ทุกคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว และเชื่อว่าต้องเคยเป็นเจ้าของบัญชีประเภทนี้กันแล้วทั้งนั้น ซึ่งเราสามารถฝากและถอนเงินได้ไม่จำกัดครั้งและจำนวน ทั้งนี้แต่ละธนาคารผู้ให้บริการ จะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กับเจ้าของบัญชีออมทรัพย์ ส่วนใหญ่แล้วจะให้อัตราดอกเบี้ย 0.5-1.5% ถึงแม้ว่าจะให้ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการออม และไม่มีความเสี่ยงที่เงินออมจะสูญหาย

ออมเงินในบัญชีฝากประจำ

อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ นั่นก็คือการออมเงินในบัญชีฝากประจำ ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่าบัญชีออมทรัพย์ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งบัญชีฝากประจำจะช่วยฝึกวินัยในการออมให้คุณได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะมีข้อกำหนดว่าจะต้องนำเงินจำนวนเท่า ๆ กันมาฝากในบัญชีนี้ทุก ๆ เดือน จนว่าจะครบระยะเวลาที่กำหนด โดยปกติแล้วจะมีระยะการฝากตั้งแต่ 3 เดือน,12 เดือน, 24 เดือน ไปจนถึง 5 ปี หลังจากนั้นแล้วก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5- 1.8% เรียกได้ว่าบัญชีฝากประจำจะช่วยสร้างวินัยการออมที่ดี และนอกจากนี้ยังเป็นการสร้างเครดิตให้สามารถกู้สินเชื่อประเภทต่าง ๆ ได้ในอนาคต

ออมเงินฝากประจำปลอดภาษี

ส่วนใหญ่แล้วการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร มักจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่บางคนไม่ค่อยจะปลื้มสักเท่าไหร่นัก แต่เราก็มีข้อเสนอดี ๆ ที่น่าสนใจซึ่งอาจจะถูกใจคุณ นั่นก็คือ การฝากเงินในบัญชีประจำแบบปลอดภาษี  ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ แต่ก็มีข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตาม นั่นก็คือ ต้องฝากเงินทุกเดือนในจำนวนที่เท่า ๆ กัน ไม่น้อยกว่า 24 เดือนเป็นขั้นต่ำ ซึ่งในระยะเวลาของการฝากเงินจะไม่สามารถถอนเงินออมออกมาใช้ได้ จึงจะได้รับการยกเว้นภาษี นอกจากนี้แล้วยังได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ 1.80 – 2.75% แต่ถ้าหากว่ามีการถอนเงินและขาดส่งเกิน 2 ครั้ง ก็จะไม่ได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษี

ฝากเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์

การออมเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์ ก็ถือว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อยเลย เพราะนอกจากผลตอบแทนเป็นตัวเงินแล้ว ยังให้สิทธิประโยชน์ต่อสมาชิกอีกหลายอย่าง แต่จะมีข้อจำกัดตรงที่เราจะต้องเป็นสมาชิกของสหกรณ์แห่งนั้น ๆเสียก่อน ซึ่งแต่ละสหกรณ์ออมทรัพย์ก็กำหนดคุณสมบัติของสมาชิกไว้แตกต่างกัน  อย่างไรก็ตามเมื่อได้ลงทุน/ฝากเงินกับสหกรณ์ออมทรัพย์แล้ว คุณจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของ ดอกเบี้ยเงินฝาก และ เงินปันผล ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงมากกว่าธนาคารทั่วไป อย่างไรก็ตามควรเลือกสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อ และมีความโปร่งใส และมีผลการดำเนินงานที่สามารถตรวจสอบได้ เพราะหากเลือกสหกรณ์ที่ไม่โปร่งใส อาจมีความเสี่ยงที่จะโกงสมาชิกได้

ออมเงินด้วยการซื้อสลาก

อีกหนึ่งวิธีการออมเงิน ที่นอกจากจะให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ไม่มีความเสี่ยงที่เงินต้นจะสูญหาย และยังได้ลุ้นรางวัลในทุกงวด นั่นก็คือการซื้อสลาก ซึ่งปัจจุบันนี้มีจำหน่ายสลากในธนาคารออมสินและธกส.เท่านั้น ซึ่งมีเงื่อนไขสบาย ๆ คือคุณสามารถซื้อสลากจำนวนกี่บาท และเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ใจต้องการ โดยปกติแล้วจะต้องถือสลากให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น 3 ปี, 5 ปี เมื่อครบกำหนดก็จะได้รับผลตอบแทนตามที่กำหนด และที่พิเศษนั่นก็คือระหว่างที่ถือสลาก เรายังสามารถลุ้นรางวัลได้ทุกเดือน ซึ่งรางวัลถูกสลากเริ่มต้นตั้งแต่ 150 ไปจนถึงรางวัลที่หนึ่งนั่นก็คือ สิบล้านบาทเลยทีเดียว จึงไม่แปลกใจที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ หันมาซื้อสลากกันมากยิ่งขึ้น เพราะมีแต่คุ้มกับคุ้ม


สรุป

ประเภทการออมเงินที่เราได้นำมาฝากกันนี้ ถือว่าเป็นทางเลือกในการออมที่จะไม่ทำให้เงินฝากของคุณสูญหายไปได้ง่าย ๆ โดยที่ได้รับผลตอบแทนตามที่สถาบันการเงินนั้น ๆ กำหนด ซึ่งมันคงดีกว่าการเก็บเงินไว้กับตัวไว้เฉย ๆ ดังนั้นแล้วการออมเงินที่ได้มาพร้อมกับดอกเบี้ย จะช่วยทำให้คุณมีเงินงอกเงยได้มากยิ่งขึ้น ลองศึกษาข้อมูลแต่ละประเภทกัน เพื่อเลือกการออมเงินที่ตรงกับความพร้อมด้านการเงิน และตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง แล้วจะทำให้คุณสนุกสนานและไม่เครียด ให้การออมเงินเป็นเรื่องสนุกและเข้าใจง่าย หากว่าคุณเริ่มต้นออมซะตั้งแต่วันนี้ก็สามารถมีเงินก้อนใหญ่กับตัวเองได้


อ้างอิงเนื้อหาในบทความ

  • https://www.checkraka.com/knowledge/saving-2-68/7-ประเภทการออมอย่างชาญฉลาด-ที่ไม่ต้องเสียภาษี!-1638436/
  • ภาพประกอบ : https://www.freepik.com

เทคนิคบริหารหนี้สิน ให้หมดไปจากชีวิต

0
เทคนิคบริหารหนี้สิน ให้หมดไปจากชีวิต

คำกล่าวที่ว่า การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นประโยคคลาสสิกที่นำมาใช้ได้ทุกยุค โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ที่มีสิ่งเร้าเยอะ ของสวย ๆ งาม ๆ ล่อหน้าล่อตาทำให้คนเราเกิดกิเลสมากยิ่งขึ้น และเมื่อได้เข้าสู่วัยทำงาน หรือมีรายได้เป็นของตัวเอง ทำให้ในบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะให้รางวัลกับตัวเองด้วยการช้อปปิ้งซื้อของใช้ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะจำเป็นบ้างหรือไม่จำเป็นบ้าง ถ้าหากว่ามีการผ่อนจ่ายและพอกพูนหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยแล้วละก็ รับรองเลยล่ะว่าจะทำให้คุณจมอยู่กับหนี้สินจนแทบเอาตัวไม่รอดอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าหากว่าคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ไม่อยากมีหนี้สินอีกแล้ว ก็ต้องนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กัน ว่าแต่จะมีอะไรบ้างนั้นก็ไปดูกันเลย

แจกแจงหนี้ของตนเอง

ถ้าหากว่าคุณมีหนี้สินเพียงแค่อย่างเดียว ก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะโฟกัสไปเพียงแค่การรีบจ่ายหนี้ก้อนนั้น ๆ ให้หมดไปซะ แต่ถ้าหากว่าดันมีหนี้สินหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าไหนก็ต้องจ่ายกันทั้งนั้น แน่นอนว่าคงทำให้ปวดหัวมากเลยใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งสำคัญที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรกหากต้องการสะสางหนี้สินให้หมดไป นั่นก็คือ ให้แจกแจงหนี้ของตนเองเสียก่อน ว่ามีหนี้สินกับเจ้าหนี้รายใดบ้าง ทั้งนี้ควรจะรีบจ่ายหนี้ที่ปล่อยดอกเบี้ยสูงเพราะถ้าหากว่าปล่อยไว้นาน ๆ จะยิ่งทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้นจนคุณไม่สามารถปิดจ๊อบได้ จากนั้นแล้วจึงค่อยจ่ายหนี้ก้อนอื่น ๆ ให้หมดไป โดยเรียงตามลำดับความสำคัญ

เจรจากับเจ้าหนี้

เมื่อมีหนี้ต้องเผชิญหน้ากับมัน อย่าหนีปัญหาและอย่าหนีหนี้เป็นอันขาด เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเหตุการณ์อาจบานปลายจนเกิดการฟ้องร้องเป็นเรื่องเป็นราวจากเจ้าหนี้ได้เลยนะ ถ้าหากรู้สึกว่าหนี้ที่มีอยู่มันช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน และคงไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามวันและเวลาที่กำหนด หนทางที่ดีที่สุดนั่นก็คือ ควรไปเจรจากับเจ้าหนี้และขอคำปรึกษาเพื่อหาทางออกร่วมกัน ทั้งนี้ควรเตรียมตัวให้พร้อมและศึกษาข้อมูลการประนอมหนี้ เพื่อที่จะได้สามารถต่อรองการชำระหนี้จากเจ้าหนี้ได้มากยิ่งขึ้น  ซึ่งเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ย่อมเข้าใจปัญหาเหล่านี้ดี  และในบางกรณีอาจขอเจรจาให้ปรับดอกเบี้ยสูงให้เบาลงกลายเป็นดอกเบี้ยต่ำได้ แน่นอนว่าเจ้าหนี้ย่อมอยากให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมักจะให้คำปรึกษาและเสนอทางเลือกที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย

ทำความเข้าใจกับหนี้ที่ดีและไม่ดี

ถึงแม้จะถูกเรียกว่าเป็น หนี้สิน แต่ก็ต้องบอกก่อนเลยว่า มีทั้งหนี้ดีและหนี้ไม่ดี ยกตัวอย่าง เช่น การผ่อนชำระบ้าน การลงทุนในธุรกิจ เป็นต้น ถือว่าเป็นหนี้ดี เพราะเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของตนเอง ส่วนหนี้ที่มาจาก การผ่อนชำระสินค้า หนี้บัตรกดเงินสด เป็นต้น ถือว่าเป็นหนี้ไม่ดีสักเท่าไหร่นัก เพราะคนส่วนใหญ่มักซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นต่อการใช้งานจริง ๆ ซึ่งถ้าหากว่าคุณมีหนี้ไม่ดีอยู่แล้วละก็ ควรจะรีบกำจัดมันให้หมดไป

หยุดนิสัยฟุ่มเฟือย

พฤติกรรมที่ควรระวังและไม่ควรเกิดขึ้นบ่อยนัก นั่นก็คือนิสัยฟุ่มเฟือย เพราะสิ่งนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งยุคนี้มีโปรโมชั่นผ่อนสินค้า ลดแลกแจกแถมกันตรึม แม้หลายคนจะมองว่าดีแต่หารู้ไม่ว่าหากเราผ่อนสินค้าหลายๆชิ้นมากเข้า ก็จะทำให้ติดอยู่ในบ่วงของหนี้สิน เพราะฉะนั้นจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ไม่ควรช็อปปิ้งสิ่งของที่ไม่จำเป็น แต่ถ้าอยากได้ของชิ้นนั้นจริง ๆ ก็ควรหยอดกระปุกออมเงิน แล้วค่อยนำเงินก้อนนี้ไปซื้อก็จะทำให้ได้ของชิ้นที่ต้องการ โดยไม่ต้องเป็นหนี้เลยนะ

หารายได้เพิ่ม

ถึงแม้ว่าจะปรับพฤติกรรมการใช้เงิน และเจรจาขอปรับลดดอกเบี้ยจากเจ้าหนี้แล้วละก็ตาม แต่ยังไม่มีทีท่าว่าหนี้สินจะหมดลงไปง่าย ๆ ถ้าหากว่าอยากจะกำจัดหนี้สินให้หมดไปจากชีวิตเร็ว ๆ ก็ต้องมีเงินมาจ่ายหนี้ให้เยอะขึ้น หนทางที่คุณสามารถทำได้นั่นก็คือการหารายได้เพิ่ม เชื่อหรือไม่ล่ะว่าเงินเพิ่มส่วนนี้จะทำให้หนี้หมดลงไปเร็วขึ้นจริง ๆ แต่คุณต้องมีความมุ่งมั่นที่จะนำเวลาว่างมาหารายได้เพิ่ม และมีวินัยในการชำระหนี้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้หนทางในการหารายได้เพิ่มมีมากมาย โดยการนำความรู้และความสามารถของตัวเองมาหาเงิน ยกตัวอย่างที่ได้รับความนิยม เช่น ขายของออนไลน์, การเป็นบล็อกเกอร์, เขียนบทความ-Ebook, ยูทูบเบอร์, เล่นหุ้น, ค้าขาย เป็นต้น เรียกได้ว่ามีเยอะมากถ้าหากว่าถนัดด้านไหนก็ทำด้านนั้นไปเลย


สรุป

ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะมีหนี้สิน แต่ ถ้าหากว่าเรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะชำระหนี้ ปัญหาเหล่านี้ก็สามารถหมดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้เสียหรือหนี้ที่ไม่ดี  ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ควรจะเคลียร์ให้หมดก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นแล้วจึงค่อยเคลียร์หนี้ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ เมื่อหมดหนี้แล้วเชื่อได้เลยว่าจะทำให้เราโล่งใจและสบายใจได้อย่างบอกไม่ถูก และนอกจากนี้แล้วก็ควรนำบทเรียนของการเป็นหนี้มาเตือนใจตัวเองไว้ด้วย เพื่อที่จะได้ไม่เกิดกรณีแบบนี้ขึ้นอีกครั้ง


อ้างอิงเนื้อหาบทความ

  • https://taokaemai.com/%E0%B9%8910-step-to-clear-debt/
  • https://www.krungsri.com/bank/th/plearn-plearn/free-yourself-from-debt.html

มัดรวม 5 ถามตอบ น่าสนใจเกี่ยวกับ Libra

0
โปรเจคส์ Libra ของ Facebook

ถ้าย้อนกลับไปปี 2008 ตั้งแต่เกิด บิทคอยน์ ขึ้นมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงในวงการฟินเทคกันยกใหญ่ สกุลเงินคริปโตจำนวนมากเกิดขึ้นตามมาเป็นรายวันกันเลยทีเดียว มีทั้งที่สร้างขึ้นมาเพื่อปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมความสามารถของบิทคอยน์ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่เป็นเหรียญแบบหลอกลวง ออกมาตามกระแส หลอกเงินจากนักลงทุน ไม่นานก็ปิดตัวหนีไป แต่ก็ไม่มีเงินคริปโตตัวไหนที่สามารถไต่ขึ้นอันดับ 1 แทนที่บิทคอยน์ได้อยู่ดี

https://youtu.be/4zw-jpVFKMY

วีดีโอแนะนำ Libra จาก libra.org

นั่นมันคือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต แต่ในวันนี้ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook เริ่มขยับตัว ลงมาเล่นโดยการประกาศพัฒนาเงินดิจิตอลของตัวเองชื่อ Libra แถมพ่วงมาด้วยพันธมิตรรายใหญ่มากมาย ย่อมต้องเป็นที่ฮือฮาเรียกความสนใจอย่างแน่นอน

รวม 5 ถามตอบที่น่าในเกี่ยวกับโปรเจคส์ Libra

1. จุดประสงค์หลักของ Libra คืออะไร

ถ้าเข้าไปที่เว็บไซต์ https://libra.org จะเห็นวิสัยทัศน์ที่ขึ้นหน้าแรกตัวเบ้อเร่อเลย คือ

A simple global currency and financial infrastructure that empowers billions of people.

นั่นหมายความว่า Libra พัฒนาขึ้นมาเพื่อที่จะใช้เป็นสกุลเงินกลางของทั้งโลก จากข้อมูลช่วงแรกที่ค้นหาได้นั้นทาง Facebook ได้บอกว่า จะใช้ในการชำระเงินและทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในธุรกิจในเครือของ Facebook เช่น การเติมเงินเกมส์, ซื้อสินค้าออนไลน์ บนเว็บไซต์ Facebook, Instagram และ WhatsApp เป็นต้น แต่เว็บไซต์ซื้อขายอื่น ๆ ก็สามารถนำ Libra ไปใช้งานได้เช่นกัน

แต่ถ้าสรุปจากวิสัยทัศน์ที่ผมได้ใส่ไว้ข้างต้น มีหรือที่ Facebook จะคิดเอาไว้เล็ก ๆ แค่นั้น มันจะต้องใหญ่ระดับโลกถึงจะสมราคา Facebook  โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธนาคาร Libra อาจจะเป็นประโยชน์ในการจัดเก็บและโอนเงิน โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สูง เมื่อเทียบกับสกุลเงินที่แต่ละประเทศใช้งานอยู่

2. Libra แตกต่างหรือเหมือนกับ Bitcoin อย่างไรบ้าง

ในแง่ของเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาของ Libra จะไม่แตกต่างจาก Bitcoin เพราะ Libra ได้หยิบเอาเทคโนโลยีบล๊อคเชนมาใช้งาน การโอนเงินหรือธุรกรรมต่าง ๆ ของ Libra ก็จะมีการจัดเก็บเหมือนกับ Bitcoin เพียงแต่เป็นข้อมูลคนละชุดกัน แต่คาดว่า Libra ไม่น่าจะเปิดให้เป็นคริปโตที่ขุดได้เหมือนบิทคอยน์ เพื่อที่จะให้สามารถควบคุมการดำเนินงานหลาย ๆ อย่างได้ Libra ต้องทำงานอยู่บน Private Blockchain ข้อแตกต่างอีกอย่างของ Libra ก็คือ ราคาที่มีเสถียรภาพมากกว่า เนื่องจากมีองค์กรที่สนับสนุนเงินทุนต่าง ๆ ในการพัฒนา และการรับประกัน ส่วนบิทคอยน์นั้นมูลค่าขึ้นอยู่กับความต้องการในตลาดล้วน ๆ

3. ความเป็นส่วนตัวของ Libra เป็นอย่างไรบ้าง Facebook จะรู้มั้ยว่าเราทำอะไรบ้าง

เรื่องความเป็นส่วนตัวของ Libra พูดกันตรง ๆ เมื่อเปิดใช้งานจริง Facebook น่าจะสามารถเข้าถึงรายการการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของเราได้ เปรียบเสมือนธนาคารน่ะแหละ แต่เดาว่าคงไม่สามารถมีสิทธิ์เข้าถึงขนาดที่จะโอนเงินของเราได้ เพราะว่า Facebook พัฒนา Libra บนเงื่อนไขของกฎหมาย ดังนั้นมันจะต้องมีการป้องกัน และมีนโยบายเริ่มต้นอยู่แล้ว เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ไม่ถูกต้อง เหมือนคริปโตเคอเรนซี่บางตัวในตลาดตอนนี้ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในตลาดมือ เช่น Monero

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม คริปโตเคอเรนซี่ ก็จะยังคงความเป็นส่วนตัวที่สูงและปลอดภัยมากอยู่ดี …

4. Libra มีมูลค่าเท่าไหร่

ในตอนนี้นั้นมูลค่าของ Libra ยังไม่ได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ถึงวันที่จะมีการใช้งานจริงแล้ว ทาง Facebook และพันธมิตรที่ร่วมพัฒนาน่าจะประกาศราคาออกมาเพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าไปจับจอง หลังจากนั้นแล้วมูลค่าก็จะขึ้นลงตามความต้องการ เสมือนกับหุ้นทั่ว ๆ ไป และแนวโน้มของ Libra ก็น่าจะเป็นเสมือนกับสกุลเงินอีกสกุลหนึ่งที่สามารถนำไปซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน สินค้าได้ เราอาจจะได้เห็นบัตรเครดิตที่มูลค่าในบัตรเป็นสกุลเงิน Libra หรือ อาจจะเห็นเค้าเตอร์รับแลกเปลี่ยนเงิน ที่มีสกุลเงิน Libra เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในนั้นด้วย

5. จะเป็นเจ้าของ Libra ได้อย่างไร

ตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถซื้อหรือมี Libra ไว้ครอบครองได้ จนกว่าวันที่ Facebook จะประกาศให้มีการซื้อขายได้น่ะแหละ เดา ๆ ว่าคงกลางปี 2020 ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น เราก็ต้องมีกระเป๋าสตางค์แบบดิจิตอล (Digital Wallet) ชื่อว่า Calibra เอาไว้ ซึ่งมันทำหน้าที่เหมือนบัญชีธนาคาร เอาไว้เก็บเงิน Libra นั่นเอง

ในช่วงแรกนั้นกระเป๋าเงินที่ใช้งาน Libra ได้ อาจจะมีแค่ Calibra เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ต้องห่วงเลย ไม่นานนักจะต้องมียี่ห้ออื่น ๆ ออกมาให้เลือกใช้กันหู ตา ลายเลยทีเดียว


สรุป

ก็คงต้องรอกันต่อไปจนถึงกลาง ๆ ปี 2020 เป็นอย่างเร็วถึงจะมีการเปิดตัว Libra กันอย่างเป็นทางการ แต่จนถึงตอนนี้ (2019) ก็ทำได้แค่คอยติดตามข่าวสารกันต่อไป เพราะมีการพยายามเตะสกัดขา Libra กันอย่างตัวโก่งเลยทีเดียว


แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

  • อ้างอิงบทความ : https://fortune.com/2019/06/18/facebook-project-libra-crypto-coin-cryptocurrency-how-it-works/
  • เว็บไซต์ทางการของ Libra : https://www.libra.org

วิเคราะห์อนาคตของ Libra กันหลังจากพันธมิตรทยอยถอนตัว

0
โปรเจคส์ Libra ของ Facebook

มีกระแสข่าวมาอย่างต่อเนื่องสำหรับสกุลเงินดิจิตอลจากทาง Facebook ที่ตั้งชื่อไว้ว่า “Libra” มีความพยายามจากทางรัฐบาลสหรัฐที่จะพยายามสกัดการเกิดของสกุลเงิน Libra ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนในที่สุดทาง Facebook ก็ต้องชะลอการเปิดตัวออกไป นอกจากนั้นยังไม่พอหลังจากที่โดนสกัดขาไปหนึ่งดอกแล้ว บริษัทพันธมิตรใหญ่ ๆ หลายจ้าวก็ทยอยถอนตัวออกจากโปรเจคส์กันถ้วนหน้า เช่น PayPal, Visa, MasterCard, EBay และ Stripe เป็นต้น

การถอนตัวของพันธมิตรส่งผลอะไรต่อโปรเจคส์ Libra บ้าง

แต่ถามว่าการถอนตัวเหล่านั้นจะทำให้โปรเจคส์นี้สะดุดมั้ย? เมื่อดูจากขนาดองค์กรของ Facebook แล้ว น่าจะมีศักยภาพพอที่จะเปิดตัว Libra ด้วยตัวเอง แล้วจะแคร์บริษัทเหล่านั้นทำไม ในเมื่อฐานผู้ใช้งานของ Facebook ตอนนี้มีอยู่มากถึง 1.59 พันล้าน (Active User ต่อวัน) แถมไม่ต้องแบ่งเค้กให้ใครอีกต่างหาก กินคนเดียวรวบ จะดีกว่ามั้ย?

มันอาจจะไม่ง่ายอย่างงั้นเพราะนวัตกรรมของบล๊อคเชนนั้นออกแบบมาเพื่อต้องการความโปร่งใส เมื่อ Facebook เปิดตัว Libra เอง อาจจะต้องเจอสถานการณ์ 2 อย่างนี้

  1. อาจจะถูกเรียกร้อง ให้ Block chain ของ Libra ทำงานแบบเปิด (Decentralize) เหมือนกับที่บิทคอยน์เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ผมคิดว่า Facebook ไม่น่าจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ อุตส่าห์ออกสกุลเงินของตัวเองมาทั้งทีแล้ว คงไม่ต้องการที่จะเสียอำนาจควบคุมไปให้สาธารณะง่าย ๆ
  2. ถ้า Facebook ไม่เปิดการทำงานของ Libra เป็นสาธารณะ อาจจะมีกลุ่มคนหรือกลุ่มธุรกิจที่มีอำนาจทางการเงินสูง ถือครอง Libra เป็นจำนวนมากจนสามารถที่จะกำหนดทิศทางของสกุลเงิน Libra ได้ ไม่ต่างจากธุรกิจทั่วไปที่ผู้ถือหุ้นเยอะ ก็มีสิทธิ์ในการออกเสียงมากกว่าคนอื่น ๆ

เมื่อมองย้อนกลับไป บรรดาพันธมิตรที่ตบเท้าพากันลาออกจากโปรเจคส์ Libra นั้น จะเห็นว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ดำเนินงานเกี่ยวกับทางด้านการเงินซะเป็นส่วนใหญ่ และมันน่าจะต้องมีนอกมีใน มีการฮั้วกันระหว่างบริษัทเหล่านั้นแน่ ๆ ถึงได้ลาออกพร้อม ๆ กัน ผมคิดว่าคงมีการพูดคุยกันมานาน คงเห็นพ้องต้องกันว่าถ้า Libra ประสบความสำเร็จกว่าที่คิดเอาไว้ Libra อาจจะเป็นภัยคุกคามแก่ธุรกิจเดิมของพวกเค้าได้ ก็ไม่มีใครรู้ แต่เพื่อความปลอดภัยจึงต้องมีการพยายามหยุดยั้งการเกิดของ Libra เอาไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

ถึงแม้จะมีพันธมิตรรายใหญ่ลาออกจากโปรเจคส์เป็นจำนวนมาก แต่ Facebook ก็ประกาศสวนทันทีว่า ไม่กระทบต่อการพัฒนาโปรเจคส์ Libra เลยแม้แต่นิด ยังมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการนี้อีกมากกว่า 1,500 หน่วยงาน และทาง Facebook เองก็มีแนวโน้มสูงที่จะออกแบบบล๊อคเชนให้เป็นแบบ Decentralize และสิ่งนี้เองจะช่วยลดความกังวลให้เหล่าพันธมิตรได้บ้าง เพราะ Facebook จะได้ไม่มีอำนาจในการควบคุม Libra มากจนเกินไป

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป

สิ่งที่ทำให้โปรเจคส์ Libra ของ Facebook มีอุปสรรคในการเปิดตัวอย่างมาก เพราะศักยภาพของ Facebook และจำนวนผู้ใช้งานที่มีอยู่ในมือ เป็นข้อกังวลเป็นอย่างมากของรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะกระทบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐ และในกรณีที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจจะกลายเป็นสกุลเงินหลักทั่วโลกก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการพยายามทุกช่องทางที่เป็นไปได้ที่จะหยุดยั้งการเกิดของ Libra ให้ได้  ซึ่งประเด็นหลักที่ทางการสหรัฐนำออกมาเล่นงาน Facebook ก็คือ ประเด็นทางด้านกฎหมาย


สรุป

ก็คงต้องคอยติดตามความคืบหน้ากันต่อไปนะครับ สำหรับโครงการ Libra นี้ว่าจะเกิดขึ้นมาได้หรือไม่ เพราะตัว Facebook พยายามที่จะดันโปรเจคส์นี้เป็น Global Payment System แล้วมันก็เป็นประเด็นที่ทางการสหรัฐกลัว ผมเองก็คิดว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่เหมือนกันนะ ถ้าหาก Facebook สามารถสร้างสกุลเงินและควบคุมมูลค่าเงินได้ทั้งโลกขึ้นมา หากมีความคืบหน้าใด ๆ ที่น่าสนใจจะรีบนำมาแจ้งให้ทราบโดยพลัน


แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

ใครคือ ซาโตชิ นากาโมโต

0
ใครคือ ซาโตชิ นากาโมโต

จนถึงวันที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ (ปี 2019) ตัวตนของซาโตชิที่แท้จริงก็ยังไม่สามารถที่จะระบุลงไปได้ มีเพียงการกล่าวอ้างถึงคนนู้น คนนี้ เราจะมาสรุปกันดูว่าที่ผ่านมานั้นใครบ้างที่ถูกอ้างว่าคือ ซาโตชิ นากาโมโตะ ตัวจริง

รู้จักกับเทคโนโลยีบล๊อคเชน

ในวงการคริปโตเคอเรนซี่นั้นเป็นที่รู้กันว่าผู้ที่ออกแบบและสร้างบล๊อคเชนขึ้นมาชื่อ ซาโตชิ นากาโมโต ซึ่งชื่อนี้เริ่มมีตัวตนในช่วงปี ค.ศ. 2008 เมื่อเค้าเริ่มเผยแพร่พิมพ์เขียวโปรเจคส์บล๊อคเชนออกสู่สาธารณะ ซาโตชิ มีบทบาทและมีตัวตนในโลกออนไลน์อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ประมาณช่วงปี 2008 จนถึงปี 2011 จนเมื่อโปรเจคส์บล๊อคเชนและบิทคอยน์เริ่มเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ตัวเค้าเองก็หายออกไปจากโลกออนไลน์ ไม่แสดงตัวตนออกมาอีกและไม่สามารถติดตามตัวได้ ถึงแม้ว่าทีมงานที่ช่วยพัฒนาโปรเจคส์จะพยายามติดต่อ หรือค้นหาตัวตนของซาโตชิ แต่ก็ไม่เป็นผล ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่าตัวตนที่แท้จริงของ ซาโตชิ นากิโมโตะ คือใคร ทิ้งทายแต่เพียงว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผมจะอุทิศตัวเองให้กับโปรเจคส์อื่น ๆ ต่อ”

ซาโตชิ นากาโมโต ใช่คนญี่ปุ่นหรือไม่

ฉุกคิดไม่ได้อย่างแน่นอนว่าซาโตชิ น่าจะเป็นคนญี่ปุ่น เพราะทั้งชื่อและนามสกุลออกไปแนวภาษาญี่ปุ่นซะขนาดนั้น แต่อย่าเพิ่งตัดสินเพียงเพราะชื่อ เพราะผมคิดว่าอย่างซาโตชิที่พยายามปิดบังตัวเองมาตลอดว่าเป็นใคร คงไม่พลาดขนาดให้คนเดาได้อย่างแน่นอน ถ้าวิเคราะห์ชื่อเจาะจงลงไปอีกนั้น ทั้งชื่อและนามสกุลของ ซาโตชิ นากิมาโตะ มีความหมายทุกคำ ไม่ใช่ชื่อที่ตั้งมาลอย ๆ

  • ซาโตชิ หมายถึง ชัดเจน
  • นากา หมายถึง ความสัมพันธุ์
  • โมโตะ หมายถึง ต้นกำเนิด

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าชื่อของซาโตชิ นากาโมโตะ มันมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ในนั้น และ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่สร้างตัวตนของซาโตชิขึ้นมา เพราะเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมานั้นมันเป็นไปได้ยากมากที่จะเป็นบุคคลเดียวคิดขึ้นมา

ใครรู้จักซาโตชิรึเปล่า

ตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลยว่า “ไม่มีใครรู้จัก” และจะยังคงปริศนาที่ดำมืดต่อไป ได้แต่เดาและวิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถตอบได้อยู่ดีว่า ซาโตชิ คือใคร และนี่คือรายชื่อในวงการคริปโตที่มีความเป็นไปได้ว่าคือ ซาโตชิ นากาโมโตะ

Vili Lehdonvirta

Vili Lehdonvirta เป็นอาจารย์ชาวฟินแลนด์อายุ 38 ปี สอนอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งเฮลซิงกิ ซึ่งเป็นการพยายามครั้งแรกที่จะเปิดเผยตัวตนของซาโตชิ โดยนักข่าวชาวนิวยอร์คที่ชื่อ Joshua Davis ในระหว่างที่เค้าค้นหาผู้สร้างบิทคอยน์โดยได้สัมภาษณ์นักศึกษาปริญญาโทสาขาวิทยาการ Cryptography ที่วิทยาลัยทรินิตี้ ชื่อ Michael Clear แต่สุดท้ายแล้ว Michael Clear ก็ปฏิเสธว่าเค้าคือผู้สร้างบิทคอยน์ และได้เสนอชื่อมาว่าคนที่สร้างจริง ๆ คือ Vili Lehdonvirta นั่นเอง ซึ่ง Vili Lehdonvirta เคยเป็นโปรแกรมเมอร์ในการเขียนเกมส์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิตอล จนแล้วจนรอดเมื่อนักข่าวได้สอบถามเรื่องนี้ Vili Lehdonvirta ก็ได้ปฏิเสธว่าเป็น ซาโตชิ นากาโมโตะ แต่กลับบอกนักข่าวว่ามีกลุ่มคนหลายคนที่สร้างบิทคอยน์ขึ้นมา แต่ตัวเค้าไม่ได้หนึ่งในนั้นแน่นอน

Shinichi Mochizuki

เป็นนักคณิตศาสตร์อายุ 49 ปีที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เป็นการกล่าวอ้างของ เท็ด เนลสัน เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2013 ว่า Shinichi Mochizuki คือ ซาโตชิ นากาโมโตะ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ออกมาปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่ซาโตชิ

Dorian Nakamoto

ชายอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นอายุ 68 ปีที่ทำงานให้กับบริษัทใหญ่ ๆ และเป็นทหารสหรัฐฯ มีการตีพิมพ์บทความลงหนังสือ Newsweek เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2014 โดยนักข่าวชื่อว่า Leah McGrath Goodman ซึ่งในบทความนั้น Goodman ได้ระบุว่า Dorian Nakamoto คือ ซาโตชิ โดยอ้างว่า Dorian ทำงานเป็นวิศวกรระบบเกี่ยวกับโครงสร้างและความปลอดภัย ในบริษัทที่ให้บริการทางด้านเทคโนโลยีและการเงิน โดย Goodman อ้างว่า นากาโมโตะได้บอกกับ Goodman ว่าเป็นผู้ก่อตั้งบิทคอยน์ ในระหว่างที่เค้าได้สัมภาษณ์ Dorian แบบตัวต่อตัว แต่ในตอนนี้นั้น Dorian ได้ส่งต่อให้คนอื่น ๆ ดูแลต่อไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อมีข่าวนี้ออกมา Dorian เองก็ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องราวดังกล่าว โดยเค้าบอกว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน และกล่าวถึง Goodman ว่า ได้พูดคุยกันเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่เค้ากำลังทำให้ Citibank อยู่ ซึ่งในการพูดคุยครั้งนั้นก็ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับ P2P Foundation ด้วย .. เหตุนี้เองอาจจะทำให้ Goodman สับสน คิดว่าเขากำลังพูดคุยถึง Bitcoin อยู่ก็เป็นได้

Nick Szabo

ชาวอเมริกันเชื้อสายฮังการีอายุ 55 ปีและเป็นผู้สร้าง BitGold ในเดือนธันวาคม 2013 นักวิจัย Skye Grey ตีพิมพ์ผลการวิเคราะห์รูปทรงของเขาซึ่งระบุว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง Satoshi Nakamoto เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และ Cryptographer ชื่อ Nick Szabo

และเช่นเคย เมื่อมีกระแสออกไปเช่นนั้น เจ้าตัวเองก็ออกมาปฏิเสธอีกเหมือนเดิม

Hal Finney

ผู้บุกเบิก Cryptographic อเมริกันที่เสียชีวิตในปี 2014 เมื่ออายุ 58 ปี เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2014 นักข่าว แอนดี้ กรีนเบิร์ก ของฟอร์บส์ตีพิมพ์บทความโดยอ้างถึง Hal Finney ที่ได้รับการพูดถึงจาก Dorian Nakamoto ว่าเป็นผู้เริ่มต้นบิทคอยน์ขึ้นมา

สิ่งที่น่าสนใจ คือ กรีนเบิร์ก ยื่นมือไปปรึกษาการวิเคราะห์การเขียน Juola & Associates และขอให้พวกเขาเปรียบเทียบตัวอย่างการเขียนของฟินเนย์กับของ Satoshi Nakamoto มีรายงานว่าพวกเขาพบว่ามันมีความคล้ายคลึงที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เคยค้นหามา รวมถึงอีเมล์ที่ Finney ได้โต้ตอบนั้นก็มีความใกล้เคียงกับสไตล์ที่เขียนใน พิมพ์เขียวของ Blockchain อีกด้วย

แต่ Finney เองก็ได้ปฏิเสธเรื่องนี้เมื่อได้พบกับ Greenberg แบบตัวต่อตัว เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2014, Hal Finney เสียชีวิตที่บ้านของเขาในฟีนิกซ์เมื่ออายุ 58 หลังจากต่อสู้กับเส้นโลหิตตีบ

จบกันไปแล้วกับบุคคลที่มีความน่าจะเป็น Satoshi Nakamoto ผู้สร้าง Bitcoin แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงรายชื่อที่ผมสามารถสืบค้นมาได้ จริง ๆ แล้วมีอีกจำนวนมากมาย และมีทั้งบุคคลที่เสนอตัวเองว่าเป็นผู้สร้างก็มี

ตอนนี้ซาโตชิทำอะไรอยู่

ตอบง่าย ๆ เลยว่า ไม่มีใครรู้ เพราะตัวจริงเรายังไม่รู้เลยว่าใคร สิ่งสุดท้ายที่ซาโตชิทิ้งไว้ก็คือ อีเมล์ฉบับสุดท้าย เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2011 มีเนื้อหาว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือ และอุทิศความรู้ความสามารถให้กับสิ่งอื่นต่อไป”


ภาพประกอบจาก : freepik.com

เคล็ดลับการลงทุนที่จะสร้างผลกำไรให้คุณอย่างงาม

0
เทคนิคการลงทุนให้เห็นกำไรอย่างแท้จริง และไม่ต้องเสี่ยงขาดทุน

ในยุคที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน เพียงแค่ก้าวเท้าออกจากบ้านก็มีค่าใช้จ่ายตามมาเป็นพรวนแล้ว จึงเป็นสิ่งที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เงิน มีความสำคัญไม่แพ้กับปัจจัย4เลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วรายรับมักจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับรายจ่ายสักเท่าไหร่นัก เพราะรายจ่ายที่มีมากกว่าทำให้เราต้องหารายได้เสริม รวมไปถึงหนทางลงทุนที่จะทำให้มีเงินเพิ่มมากขึ้น และทุกคนย่อมอยากให้สิ่งที่ตนเองได้ลงทุนไปนั้นมีผลกำไรกลับมาอย่างน่าพึงพอใจ ดังนั้นแล้วถ้าหากว่าคุณกำลังวางแผนที่จะลงทุนสักอย่าง แล้วอยากได้ผลกำไรที่งดงาม ก็ลองมาฟังเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามาฝากกัน บอกได้เลยว่ามีประโยชน์อย่างแน่นอน

เลือกลงทุนในสิ่งที่ตนเองถนัด

การทำในสิ่งที่ตนเองรัก ชอบ หรือมีความถนัดย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะนำมาใช้ในการลงทุน เพราะมันจะทำให้คุณสามารถสนุกและมีความสุขกับมันได้ เรียกได้ว่านอกจากจะได้ทำในสิ่งที่รักแล้วยังได้เงินอีกด้วยแน่ะ ในทางกลับกันลองคิดดูว่าหากเราฝืนทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบหรือไม่ถนัด ก็คงไม่สามารถอยู่กับสิ่งนั้นได้นานสักเท่าไหร่นัก สักวันหนึ่งก็คงหมดไฟและพับโครงการไปเอง เพราะฉะนั้นถ้าหากรู้ว่าตนเองชอบและถนัดในด้านใด ก็ลองทุ่มเทและลงทุนในด้านนั้นดู เป็นการเปลี่ยนสิ่งที่ชอบให้สามารถสร้างเม็ดเงินได้ มันก็เจ๋งอยู่เหมือนกันนะ

เข้าใจในเรื่องของการลงทุน

เมื่อเรามีไอเดียแล้ว ก่อนที่จะลงทุนก็ควรศึกษาและเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเรามัวแต่ลงทุนเงินแต่ไม่ลุงทนความรู้ รับรองได้เลยว่าอาจจะขาดทุนมากกว่าได้กำไรนะ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในการลงทุนไม่ว่าจะประเภทก็ตาม หากต้องการผลตอบแทนสูงก็ย่อมมีความเสี่ยงสูง หากไม่อยากแบกรับความเสี่ยงก็จะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำ แต่ถ้าหากว่าเราเรียนรู้จากประสบการณ์จริง แล้วนำมาปรับปรุงก็จะทำให้การลงทุนในครั้งต่อไป มีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น มีความเป็นมืออาชีพมากกว่าเดิมจนสามารถลงทุนสร้างกำไรได้ไม่ยาก

พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ

อย่าหยุดนิ่งที่จะเรียนรู้ สิ่งนี้ควรนำมาใช้ในทุกๆสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็น การเรียน, การทำงาน รวมไปถึงการลงทุนด้วย เพราะการที่เราหมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือไม่ก็ตาม ก็อาจนำมาซึ่งไอเดียดีๆที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัวเลยนะ บางครั้งไอเดียที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาอาจส่งเสริมให้การลงทุนได้ผลกำไรมากยิ่งขึ้น ดังนั้นแล้วจึงบอกได้เลยว่า การเรียนรู้มีแต่ประโยชน์ดี ๆ ทั้งนั้น

มีความอดทนและไม่ย่อท้อ

เมื่อเราอยากลงทุนอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมวาดฝันภาพอันสวยหรู ว่าสิ่งที่ได้ลงทุน ลงแรง และลงเงินไปนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงามแน่นอน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนก็อยากให้มันเป็นจริง แต่ทว่าในยุคนี้ที่ผู้คนไม่ชอบการรอคอย แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม อาจทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกันการลงทุนที่เราต้องให้เวลากับมันสักหน่อย เพราะทุกอย่างย่อมต้องใช้เวลาเป็นเครื่องมือพิสูจน์กันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ แต่ถ้าหากมีความอดทน ไม่ย่อท้อและหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ก็ย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้สูง ได้รับกำไรผลตอบแทนอันคุ้มค่าให้สมกับที่รอคอย 

ให้เงินทำงานด้วยตัวมันเอง

การลงทุนที่ชาญฉลาดคือควรจะให้เงินทำงานด้วยตัวมันเอง พูดอย่างนี้แล้วก็อาจจะสงสัยใช้ไหมล่ะ ว่าให้เงินทำงานนั้นเป็นอย่างไร? ซึ่งอาจจะบอกได้ว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินประเภทต่าง ๆ เช่น หุ้น, กองทุนรวม, อสังหาริมทรัพย์ และอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่จะมอบผลกำไรอันงดงามให้กับคุณได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังคงลงทุนในด้านนี้อยู่เสมอ เรียกได้ว่าหากเลือกหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ได้ถูกตัวแล้วละก็ จะทำให้มี Passive income หลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าต้องลงทุนเงิน และสิ่งสำคัญสุดนั่นก็คือความรู้ ถือว่าเป็นเคล็ดลับที่จะสร้างผลตอบแทนแบบเสือนอนกิน แทบไม่ต้องทำงานเลยก็ว่าได้

บริหารเวลาทำงานให้ชัดเจน

เราควรบริหารเวลาในแต่ละวันให้ชัดเจน ด้วยการจัดตารางว่าในแต่ละวันจะต้องทำอะไรบ้าง เวลาไหนควรทำงานและเวลาไหนควรพักผ่อน เพราะจะทำให้มองภาพรวมในชีวิตประจำวันของตัวเองว่ามีเรื่องใดบ้างที่ต้องจัดการ ส่งผลต่อสมาธิและสามารถโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการบริหารเวลาที่ดีจะช่วยให้ใช้เวลาทุกนาทีได้อย่างคุ้มค่า เมื่อเราสามารถบริหารเวลาได้มีประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลให้การลงทุนมีประสิทธิภาพไปด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเลือกลงทุนในด้านใดก็ตาม อย่าลืมนำเคล็ดลับที่เรามาฝากนี้ ไปปรับใช้กันด้วยนะซึ่งเต็มไปด้วยประโยชน์และทริคดี ๆ ที่จะทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น และสร้างผลกำไรอย่างงดงามอย่างน่าพึงพอใจ


อ้างอิงบทความ

แนวทางการสร้าง Passive income แบบเสือนอนกิน

0
รายได้เสริมแบบ Passive Income

ความฝันของคนรุ่นใหม่เรียกได้ว่ามีหลายอย่างเลยทีเดียว แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันและอยากให้มันเกิดขึ้นกับตัวเองจริง ๆ นั่นก็คือการมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมออย่างไม่ขาดสาย ดังนั้นแล้วจึงเข้าข่ายประเภท การสร้างรายได้แบบ Passive income นั่นก็คือเป็นรายได้ที่เกิดจากการลงมือทำในครั้งแรกหรือครั้งเดียว แต่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำงานอีก เรียกได้ว่าเหนื่อยชั่วคราวแต่สบายชั่วโคตรเลยก็ว่าได้ ดังนั้นแล้วจึงทำให้หลายคนมองหาการสร้างรายได้แบบ Passive income ว่าแบบไหนบ้างมีเหมาะสมกับความต้องการและความถนัดของตนเอง วันนี้เราจึงมีแนวทางในการสร้างรายได้แบบเสือนอนกินเหล่านี้มาฝากกัน เพื่อให้คุณเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับตนเอง และสามารถมีรายได้สม่ำเสมอไปตราบนานเท่านาน

1. การลงทุนในหุ้น

หากพูดถึงเรื่อง “หุ้น” สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่เคยเข้ามาสัมผัส ก็มักจะคิดว่าการเล่นหุ้นเป็นการลงทุนเสี่ยงมาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นความจริง แต่รู้รึเปล่าล่ะว่า หากเราซื้อหุ้นปันผลที่มีพื้นฐานดี  มีความมั่นคงสูง ก็สามารถสร้างรายได้แบบ Passive income ให้กับนักลงทุนได้ไม่ยากเลย เพราะโดยเฉลี่ยแล้วหุ้นที่ดีมักจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 5-10% กันเลยทีเดียว! เมื่อลองนำไปเปรียบเทียบกับการฝากเงินในธนาคารที่ให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยเพียงแค่ 1-3% แล้ว จะพบว่ามันแตกต่างกันมาก ดังนั้นแล้วถ้าอยากจะมีรายได้จากการลงทุนในหุ้น ก่อนอื่นก็ควรศึกษาข้อมูลมาให้ดี ใช้สติทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นแต่ละตัว และต้องอย่าลืมด้วยว่าการลงทุนในหุ้น ยิ่งผลตอบแทนสูงก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงเช่นเดียวกัน

2. สร้างลิขสิทธิ์ทรัพย์ทางปัญญา

การสร้างลิขสิทธิ์ทรัพย์ทางปัญญา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางการสร้างรายได้แบบ Passive income ที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะคุณไม่ต้องรับความเสี่ยงว่าจะขาดทุนหรือเปล่า เพียงแค่ต้องคิดและสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองออกมาเท่านั้น อย่างเช่น การเขียนหนังสือ หากจะให้ยกตัวอย่างก็ต้องนึกถึงนักเขียนชื่อดังอย่าง เจเค โรลลิ่ง เจ้าของนวนิยายชื่อดังแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เขียนหนังสือสุดสนุกนี้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่สามารถสร้างรายได้มหาศาลเป็นพันล้าน โดยที่ไม่ต้องทำงานทั้งชาติก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นเสือนอนกินของจริง, การสร้างผลงานศิลปะ ซึ่งถ้าหากมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ รับรองเลยว่ารายได้เข้ามาไม่ขาดสายแน่นอน และยังมีรายได้อีกเพียบที่คุณสามารถครีเอทผลงาน ให้สร้างเงินแก่ตัวเองได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเลยนะ

3. ปล่อยให้เช่าอสังหาริมทรัพย์

แทบทุกคนอยากเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน หรือคอนโดก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่ชีวิตของมนุษย์ต้องมี  และนอกจากนี้แล้วเรายังสามารถนำอสังหาริมทรัพย์ มาแปรเปลี่ยนให้เป็นรายได้แบบ Passive income เสือนอนกินได้อย่างแท้จริง  ซึ่งคุณควรเลือกอสังหาริมทรัพย์ที่มีทำเลดี อยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น มหาวิทยาลัย แหล่งทำงาน  การเดินทางสะดวก มีความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งหัวใจหลักในการสร้างรายได้แบบนี้คือ อสังหาริมทรัพย์ต้องมีทำเลที่ดี จึงจะสามารถปล่อยเช่าแล้วมีรายได้มาอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ เดือน ทั้งนี้เหล่านักธุรกิจหลายคนล้วนร่ำรวยและสร้างตัวได้ จากการทำธุรกิจและปล่อยให้เช่าอสังหาริมทรัพย์  ถ้าหากว่าคุณอยากจะร่ำรวยมี Passive income แบบนั้นบ้าง ก็ต้องลุยกันบ้างแล้วล่ะ

4. ขายของออนไลน์แบบ Drop Shipping

แทบจะไม่น่าเชื่อว่าการขายของออนไลน์แบบ Drop Shipping  เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างรายได้แบบ Passive income ได้เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าใครที่อยากหารายได้จากช่องทางออนไลน์อยู่แล้วจะต้องชอบอย่างแน่นอน อีกทั้งยังลงทุนไม่มากด้วย มีข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือต้องมีการวางระบบให้ดี  โปรโมทให้ติดตลาด เพียงเท่านี้ก็จะทำให้การขายของออนไลน์แบบ Drop Shipping สร้างรายได้ให้กับคุณอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นจากการสร้างหรือซื้อเว็บไซต์สำเร็จรูปที่เสียค่าบริการรายปีอย่างถูกต้อง แล้วเพิ่มรายละเอียดและรูปภาพของสินค้าแต่ละตัวจากผู้ให้บริการ Dropship ที่ต้องการจะขายลงไป จากนั้นควรมีการโปรโมทเว็บไซต์และสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องทางออนไลน์    เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า ก็ให้คุณสั่งซื้อสินค้ากับทาง Dropship อีกที  เพียงเท่านี้สินค้าก็จะถูกส่งถึงผู้ซื้อและกำไรส่วนต่างที่ได้ก็จะเป็นของคุณ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยอะไรให้มาก


สรุป

เป็นยังไงกันบ้าง สำหรับ 4 แนวทางในการสร้างรายได้แบบ Passive income ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำตามได้ ทั้งนี้แต่ละแนวทางต่างใช้ต้นทุนและเวลาที่แตกต่างกัน คุณจึงควรเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองและคิดว่าสามารถสนุกและทำได้อย่างดี เพื่อให้สามารถสร้างรายได้แบบ Passive income ไปอย่างยาวนาน  ซึ่งแม้ว่าในช่วงเริ่มต้นอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยกับการวางแผนและจัดการงานแต่ละอย่าง แต่เชื่อได้เลยว่าหากผ่านพ้นความเหนื่อยยากนี้ไปแล้ว ผลที่ได้รับตอบแทนกลับมายิ่งกว่าคำว่าคุ้มค่า สามารถทำให้คุณสบายไปจนแก่เลยก็ว่าได้ ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มลุยกันได้เลย เริ่มต้นก่อนย่อมได้เปรียบอยู่เสมอ แล้วจะทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น


อ้างอิงบทความ

  • https://www.solivelyth.com/content/8879/7วิธีสร้างpassive-income-ในแบบฉบับที่ใครๆก็ทำได้

เทคนิคการเก็บเงินซื้อบ้าน ฉบับมนุษย์เงินเดือน

0
เทคนิคการเก็บเงินซื้อบ้าน ฉบับมนุษย์เงินเดือน

“บ้าน” คำ คำ นี้ความหมายมากกว่าการเป็นที่อยู่อาศัย สำหรับ ใครหลาย ๆ คน บ้านยังถือเป็นทั้งความฝัน เป้าหมายชีวิต ความมั่นคง อิสรภาพ และเป็นสถานที่ฟูมฟักความรักของครอบครัว แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า บ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง การจะซื้อ บ้านสักหลังจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อจะทำให้ฝันกลายเป็นจริงได้ สิ่งสำคัญที่ควรเริ่มทันทีคือการเก็บออม

สำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้น ถือเป็นกลุ่มบุคคลที่สามารถเก็บเงินง่ายที่สุด เพราะถึงอาจมีรายได้ต่อปีน้อยกว่าเจ้าของกิจการแต่ ก็มีรายได้ประจำที่แน่นอน ช่วยให้สามารถวางแผนและทำตามแผนได้ง่าย อีกทั้งยังมีสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการมีรายได้ประจำ  ถ้าหากเหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายได้รู้ข้อดีของการมีรายได้ประจำ และรู้เทคนิคการเก็บเงินแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน โดยเฉพาะความฝันอยากมีบ้านก็คงไม่ไกลความจริง

คำเตือน : บทความนี้มีความยาวเป็นอย่างมาก รวมทั้งมีแบบทดสอบเพื่อตรวจสุขภาพการเงินของเราด้วย แนะนำให้เซฟหรือบุ๊คมาร์คเอาไว้ เพื่อจะได้กลับมาอ่านต่อได้อีก ไม่ต้องเสียเวลาหานาน

สำรวจตัวเองก่อนออกเดินทาง

การเข้าใจและรู้จักตัวเองอย่างดีเป็นทักษะที่สำคัญที่จะทำให้เราไปได้ไกล คนที่รู้จักตัวเองดี รู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็สามารถเลือกงานที่ชอบและพัฒนาตัวเองไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และเช่นเดียวกับเป้าหมายเก็บเงินซื้อบ้าน หากคุณรู้ว่าสภาพการเงินของคุณเป็นอย่างไร มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไขบ้าง หรือรู้ศักยภาพของตัวเองว่าสามารถหารายได้จากทางอื่นเพิ่มเติมได้ ก็จะช่วยให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการเตรียมความพร้อมสำหรับทุกความฝัน

รู้จักข้อดีของมนุษย์เงินเดือน

อาชีพแต่ละประเภทมีข้อดีแตกต่างกันไป แต่สำหรับด้านการเงินนั้น อาชีพที่ได้รับเงินประจำ หรือ ที่เรียกกันว่า “มนุษย์เงินเดือน” ถือว่าได้เปรียบหลายข้ออยู่เหมือนกัน

  • มีรายได้แน่นอน : รายได้ที่แน่นอนช่วยให้สามารถวางแผนและจัดการกับรายรับ – รายจ่ายได้ง่าย หากมีเป้าหมายทางการเงินก็สามารถคาดการณ์ระยะทางไปสู่เป้าหมายได้ไม่ยาก อีกทั้งยังถือว่าเป็นรายได้ที่มั่นคง
  • มีสวัสดิการ : พนักงานประจำโดยทั่วไป มักได้รับสวัสดิการต่าง ๆ จากองค์กรเช่น ประกันภัย ประกันสุขภาพ มีสมทบเบี้ยประกันสังคม หรือค่าเดินทาง เบี้ยขยัน เป็นต้น สวัสดิการเหล่านี้จะช่วยลดรายจ่ายที่คาดไม่ถึงได้
  • ได้รับโอกาสทางการเงินที่ดีกว่า : เนื่องจากมนุษย์เงินเดือนมีรายได้ต่อเดือนแน่นอนและมีสลิปเงินเดือน ธนาคารจึงเชื่อถือและปล่อยสินเชื่อให้ได้โดยง่ายทั้งสินเชื่อรถ สินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อส่วนบุคคล
  • มีเวลางานชัดเจนและวันหยุดที่แน่นอน : เวลางานและวันหยุดที่ชัดเจนจะช่วยให้มีเวลาเหลือสำหรับการพัฒนาตัวเองหรือหารายได้เสริม ซึ่งถือเป็นอีกข้อดีที่ช่วยให้เก็บเงินได้เร็วยิ่งขึ้น

ตรวจสุขภาพทางการเงิน

สุขภาพที่ดีบ่งบอกถึงความพร้อมในการใช้ชีวิตและการทำงาน เช่นเดียวกับสุขภาพการเงิน หากการเงินของคุณแข็งแรงก็หมายความว่าคุณพร้อมที่จะทำเป้าหมายทางการเงิน เช่น การเก็บเงินซื้อบ้าน เป็นต้น ให้สำเร็จได้ หรือถ้าถ้าสุขภาพการเงินของคุณมีปัญหา คุณจะได้เร่งดูแลและรักษาการเงินของคุณให้ดียิ่งขึ้น

ลองตอบคำถามสุขภาพการเงินต่อไปนี้ เพื่อดูว่าคุณแข็งแรงแค่ไหน?

1. คุณมีรายได้จากแหล่งใดบ้าง

ก. เงินเดือน
ข. กิจการหรือธุรกิจส่วนตัว ค่ารับจ้างอิสระ
ค. ไม่มีรายได้ประจำ

2. นอกจากรายได้ในข้อ 1 คุณมีรายได้จากช่องทางอื่นอีกหรือไม่

ก. มีรายได้ทางอื่นที่แน่นอนและต่อเนื่อง
ข. มีรายได้ทางอื่นที่ไม่แน่นอน
ค. ไม่มีรายได้อื่น

3. คุณออมเงินอย่างไร

ก. แบ่งเงินออมไว้ก่อนแล้วจึงใช้
ข. ใช้ก่อน เมื่อเหลือจึงเก็บออม
ค. ไม่ออมเงิน

4. เงินที่คุณออมคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้

ก. 20% ขึ้นไป
ข. 10% – 20%
ค. น้อยกว่า 10%

5. ปัจจุบันคุณมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่สามารถใช้ดำรงชีพได้นานเท่าไหร่

ก. มากกว่า 6 เดือน
ข. ประมาณ 3 – 6 เดือน
ค. ไม่ถึง 3 เดือน

6. คุณมีหนี้สินคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้

ก. 0% – 25%
ข. 25% – 40%
ค. มากกว่า 40%

7. คุณมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างไร

ก. มีการวางแผนก่อนใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่แน่นอน
ข. มีประมาณการค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ
ค. ไม่มีการวางแผนการใช้จ่าย เมื่ออยากได้อะไรก็ซื้อ

8. เมื่อเจอของที่ถูกในคุณจะ ..

ก. กลับไปคิดก่อนหรือตรวจสอบเงินส่วนที่แบ่งไว้ใช้จ่าย
ข. ซื้อ หากมีเงินและไม่กระทบค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ค. ซื้อทันที

ตอบข้อ ก. = 2 คะแนน, ตอบข้อ ข. = 1 คะแนน , ตอบข้อ ค. = 0 คะแนน

ผลลัพท์สุขภาพทางการเงิน

0-6 คะแนน : สุขภาพการเงินอ่อนแอ : สุขภาพการเงินของคุณยังอยู่ในเกณฑ์น่าเป็นห่วง คุณมีพฤติกรรมการใช้เงินแค่ปัจจุบัน ไม่มีแผนการใช้จ่าย ไม่ได้คำนึงถึงความมั่นคงในระยะยาวมากนัก และไม่มีเงินออม ทำให้คุณมีแนวโน้มเป็นหนี้ได้ง่าย เพื่อรักษาสุขภาพการเงินของคุณให้ดีขึ้น คุณอาจเริ่มจากการคิดให้รอบคอบมากขึ้นทุกครั้งที่ซื้อของ และเริ่มแบ่งเงินเก็บก่อนทุกครั้งเมื่อมีรายได้

7-11 คะแนน : สุขภาพการเงินปกติ : สุขภาพการเงินของคุณอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คุณมีพฤติกรรมการใช้เงินที่ไม่ได้มองแค่ปัจจุบัน เพราะคุณยังเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตด้วยการออม และใช้จ่ายเงินอย่างมีสติ กระนั้นก็ตามเพื่อความไม่ประมาท คุณอาจจะลองเพิ่มจำนวนเงินออม และวางแผนการใช้จ่ายให้ละเอียดและรัดกุมมากขึ้น

12 คะแนนขึ้นไป : สุขภาพการเงินแข็งแรง : คุณมีสุขภาพการเงินที่แข็งแรง เพราะคุณมีวินัยในการเก็บออมมีแผนใช้จ่ายที่ชัดเจน คิดอย่างรอบคอบก่อนจะซื้อของ ด้วยนิสัยและพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณจะทำให้คุณไปถึงเป้าหมายทางการเงินต่าง ๆ ได้ไม่ยาก นอกจากนี้ คุณยังสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้การเงินของคุณด้วยการลงทุนเพิ่มเติมได้อีกด้วย

ติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายและสถานะการเงิน

วิธีที่จะรู้จักการเงินของตัวเองได้ดีที่สุดก็คือการติดตามการใช้เงินของคุณเอง ด้วยการทำ “บัญชี รายรับ-รายจ่าย” และตรวจสอบสถานะการเงินของคุณด้วยการทำ “งบดุล”

ทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย

การทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายจะช่วยให้คุณทราบถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณ และสืบหา “รูรั่ว” ของกระเป๋าหรือรายจ่ายส่วนที่ไม่จำเป็น เพื่อที่คุณจะได้จัดการการใช้จ่ายให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างบัญชีรายรับ รายจ่าย

กระนั้น สำหรับหลาย ๆ คน อาจรู้สึกว่าการจดบัญชีรายรับ – รายจ่ายนั้น เป็นเรื่องยุ่งยาก น่าเบื่ออย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีโปรแกรมและแอปพลิเคชั่นบันทึกรายรับ – รายจ่ายอยู่มากมายที่อำนวยความสะดวกให้คุณได้ ทั้งนี้ ในแต่ละเดือนคุณควรสรุปรายรับและรายจ่าย พร้อมทั้งวิเคราะห์รายจ่ายเป็นส่วนที่จำเป็นและส่วนที่ไม่จำเป็น รวมถึงดูภาพรวมค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน เพื่อง่ายต่อการบริหารและวางแผนการเงินต่อไป

ทำงบดุลส่วนบุคคล

อีกสิ่งที่ควรทำต่อจากการทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายส่วนตัวแล้ว ก็คือ การทำ “งบดุลส่วนบุคคล”(Personal Balance Sheet) หรือการสำรวจสินทรัพย์และหนี้สินของตัวเอง เพื่อทราบถึงสถานะ-การเงินว่ามีความมั่งคั่ง (Wealth) เท่าไร และเพื่อให้สามารถวางแผนบริหารสินทรัพย์และหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้จักสินทรัพย์และหนี้สิน

สินทรัพย์ หมายถึง สิ่งที่บุคคลเป็นเจ้าของ ซึ่งสามารถแบ่งเป็น

1) สินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น เงินสด
2) สินทรัพย์ลงทุน เช่น หุ้น กองทุน
3) สินทรัพย์ส่วนบุคคล หรือ สิ่งของต่าง ๆ ที่บุคคลเป็นเจ้าของ เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ

หนี้สิน หมายถึง ภาระเงินที่ต้องชำระคืน โดยมากแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1) หนี้สินระยะสั้น (กำหนดชำระหนี้ไม่เกิน 1 ปี) เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสด
2) หนี้สินระยะยาว เช่น หนี้บ้าน หนี้รถยนต์

ลองสำรวจสินทรัพย์และหนี้สินของคุณดูง่าย ๆ ด้วยตารางนี้

ตารางสำรวจสินทรัพย์ และ หนี้สิน Personal Balance Sheet

การทำงบดุล นอกจากคุณจะรู้ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเท่าไรแล้ว คุณยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางเพิ่มพูนมูลค่าของสินทรัพย์คุณและบริหารหนี้สินให้หมดอย่างรวดเร็วได้ การรู้จักตัวเองเป็นอย่างดีช่วยให้เรารู้จักจุดดีและจุดที่ต้องปรับปรุงทำให้รู้ว่าก่อนออกเดินทางควรจะเตรียมตัวอย่างไร และควรจะเดินทางต่อไปด้วยวิธีไหน ซึ่งต่อจากนี้ เราจะมาเริ่มตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพกัน

ตั้งเป้าหมายเก็บเงินซื้อบ้าน

ในการเดินทาง การมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนการเดินทางให้ไปถึงจุดหมายได้โดยไม่หลงทาง และยังช่วยให้เราออกแบบการเดินทางได้เหมาะสมกับเรา จะช้าหรือเร็วเราก็ออกแบบได้ อีกทั้ง เมื่อเกิดเหนื่อยอ่อน ท้อถอย “เป้าหมาย” คือ สิ่งที่จะคอยยึดเหนี่ยวให้เรายังคงก้าวเดินต่อไปได้

การตั้งเป้าหมายที่ดีต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน และการมีภาพความฝันที่ชัดเจนก็จะช่วยให้คุณมีกำลังใจที่เข้มแข็งในการออกเดินทางตามความฝัน กระนั้น การเก็บเงินซื้อบ้านสักหนึ่งหลังยังถือเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างยาวไกล ต้องใช้ความอดทน เวลา และความมุ่งมั่นเพื่อไปให้ถึงจุดหมายมีบ้านเป็นของตัวเองได้

** เป้าหมายที่ชัดเจน อาจจะยังไม่เพียงพอ **

วิธีการที่จะทำให้คุณเดินต่อไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่หยุดยั้งและมีประสิทธิภาพ คือ การวางเป้าหมายให้มีความชัดเจน วัดผลได้ สำเร็จได้ เป็นจริง และมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ซึ่งทั้งหมดนั้น คือ หลัก SMART Goal

การตั้งเป้าหมายด้วยหลัก SMART Goal

  • Specific : เป้าหมายเจาะจง มีรายละเอียดชัดเจน เช่น ทำอะไร เพื่ออะไร ใครช่วยได้บ้าง
  • Measurable : การตั้งเป้าหมายต้องสามารถวัดผลหรือติดตามความก้าวหน้าได้ เช่น ต้องการเก็บเงินจำนวน 100,000 บาท ต่อปี
  • Achievable : เป้าหมายที่ตั้งต้องเป็นสิ่งที่รู้ว่ามีทางสำเร็จ รู้วิธีการที่เดินไปถึงเป้าหมาย
  • Realistic : เป้าหมายต้องสามารถเป็นไปได้จริง ไม่ใช่เพียงความคิดฝัน
  • Time bound : มีระยะเวลากำหนดชัดเจนว่าต้องทำสำเร็จเมื่อไร เพื่อนำมาใช้วางแผนให้บรรลุเป้าหมายได้ตามเวลาที่ตั้งใจ

หลัก SMART Goal จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายเก็บเงินซื้อบ้านได้ ซึ่งเป้าหมายนี้ก็ถือเป็นเป้าหมายที่เจาะจง (Specific) และสามารถวัดผลได้ (Measureable) อยู่แล้ว เช่น “ต้องการเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านจำนวน 1,000,000 บาท” เป็นต้น ทั้งนี้ สิ่งสำคัญในการเก็บเงินจำนวนมากให้เป็นจริงได้นั้น “จำนวนเงิน” และ “ระยะเวลา” ต้องสัมพันธ์กัน ซึ่งก็คืออีก 3 หลักที่เหลือ

ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายเก็บเงินด้วยหลัก SMART Goal

เป้าหมาย : เก็บเงินจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อซื้อบ้าน ภายในระยะ เวลา 6 ปี 6 เดือน (โดยมีรายได้ 360,000 บาท/ปี)

  • Specific เก็บเงินเพื่อใช้ซื้อบ้าน
  • Measurable เก็บเงินจำนวน 1,000,000 บาท (เป็นตัวเลข สามารถวัดผลได้)
  • Achievable ระยะเวลา 6 ปี 6 เดือน ต้องเก็บปีละ 150,000 บาท หรือประมาณ 40% ของรายได้ก็ถือว่ามีความเป็นไปได้
  • Realistic จำนวนเงินที่ต้องการ จำนวนรายได้ และระยะเวลามีความสัมพันธ์กันถือว่าไม่เกินความเป็นจริง
  • Time bound เก็บเงินให้ถึงเป้าหมายภายใน 6 ปี 6 เดือน

แบ่งเป้าหมายออกเป็นระยะ

จากหลักการตั้งเป้าหมาย SMART คุณสามารถเสริมเทคนิคการจัดการกับเป้าหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการ “แบ่งเป้าหมาย” ให้เล็กลงหรือแบ่งเป็นระยะ

ตัวอย่างการแบ่งเป้าหมายออกเป็นระยะ

เป้าหมาย : เก็บเงินจำนวน 1,000,000 บาท เพื่อซื้อบ้าน ภายในระยะ เวลา 6 ปี 6 เดือน

ตัวอย่างการแบ่งเป้าหมายออกเป็นระยะ SMART Goal

การแบ่งเป้าหมายออกเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ จะช่วยให้คุณมีกำลังใจในการเดินตามความฝันได้ หากยึดมั่นเพียงเป้าหมายหลัก คือ 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นระยะที่ค่อนข้างยาวไกล ในระหว่างทางนั้น คุณอาจเหนื่อยหรือเกิดท้อ เนื่องจากไม่ถึงจุดหมายสักที และเพราะเป้าหมายเก็บเงินต้องใช้ระยะเวลานานหากไม่แบ่งเป้าหมายเป็นระยะเวลา 1 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี ฯลฯ ว่าต้องสะสมเงินให้ได้เท่าไรแล้วคุณอาจผัดผ่อนการเก็บเงินออกไปซึ่งอาจทำให้ระยะเวลาสำเร็จเป้าหมายล่าช้าออกไปอีก

ติดตามความก้าวหน้าของเป้าหมาย

นอกจากการแบ่งเป้าหมายออกป็นระยะ ๆ จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จอยู่เรื่อย ๆ และมีกำลังใจสำหรับเป้าหมายใหญ่แล้ว เป้าหมายที่แบ่งออกเป็นระยะ ยังช่วยให้คุณติดตามความก้าวหน้าได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

การติดตามความก้าวหน้าคือสิ่งจำเป็นที่จะบอกว่าตอนนี้คุณเข้าใกล้ความจริงมากน้อยแค่ไหน หรือว่าล่าช้ากว่าเป้าหมายระยะต่าง ๆ ที่ตั้งใจไว้ เพื่อที่คุณจะได้เร่งมุ่งหน้าต่อหรือปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับคุณ

“ตั้งเป้าหมายด้วยหลัก SMART แบ่งเป้าหมายออก เป็นระยะ และติดตามความก้าวหน้าอยู่เสมอ”

เมื่อคุณเตรียมความพร้อมตัวเองเรียบร้อย มีจุดหมายที่ชัดเจน ทั้งจุดหมายปลายทางและระหว่างทางแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณพร้อมออกเดินทางตามความฝัน ด้วยเทคนิคเก็บเงินต่าง ๆ ในบทต่อไป

เทคนิคเก็บเงินซื้อบ้านฉบับมนุษย์เงินเดือน

การเก็บเงินสำหรับหลาย ๆ คน อาจเป็นเรื่องลำบาก ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาในการใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ห้างร้านต่างออกโปรโมชั่นล่อใจกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม หากเรารู้เทคนิคการเก็บออมที่มีประสิทธิภาพเราก็จะสามารถเก็บออมได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้ว่าจะมีสิ่งต่าง ๆ ล่อใจให้อยากได้ก็ตาม

“เก็บก่อนใช้” คือหัวใจของการออม

แต่ก่อนมีความเชื่อกันว่า “มีน้อยใช้น้อย มีมากใช้มาก เหลือเท่าไรจึงเก็บ” ซึ่งหลายคนคงจะพิสูจน์ได้แล้วว่า “ไม่เป็นความจริง” เพราะในสังคมบริโภคนิยม พวกเราต่างถูกกระตุ้นให้อยากได้อยากซื้ออยู่ตลอดเวลา การ “ใช้ก่อนเก็บ” จึงแทบไม่มีทางเป็นไปได้

“เก็บก่อนใช้” คือหัวใจของการออม Save first use later

ทัศนคติต่อเงินออมที่ทำให้เรา “ใช้ก่อนเก็บ” นั้น เป็นเพราะเข้าใจกันว่า “เงินออม” = “เงินเหลือ” ซึ่งแท้จริงแล้ว เงินออม คือ เงินส่วนที่แบ่งสรรไว้ตั้งแต่ก่อนใช้ ให้คิดเสียว่า การออมเงินก็เป็นหน้าที่หน้าที่หนึ่งที่เราต้องรับผิดชอบ เหมือนกับการชำระหนี้ในแต่ละเดือน

สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้สม่ำเสมอเท่ากันทุกเดือนนั้น แน่นอนว่า สามารถเก็บก่อนใช้ง่ายกว่าอาชีพที่มีรายได้แต่ละเดือนที่ไม่แน่นอน เพราะมนุษย์เงินเดือนสามารถวางแผนแบ่งเงินมาเก็บไว้ก่อนได้ทุกครั้งที่เงินเดือนออก และเทคนิคง่าย ๆ (แต่ประสิทธิภาพสูง) ให้สามารถเก็บก่อนใช้ได้ก็คือ การแยกบัญชีเงินออมออกจากบัญชีเงินเดือน และ การตัดเงินเข้าบัญชีอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น

  • เป้าหมาย : เก็บเงินซื้อบ้านจำนวน 1,000,000 บาท เป็นเวลา 6 ปี 6 เดือน
  • ต้องเก็บเงิน ปีละ 150,000 บาท และ 75,000 บาท
  • ดังนั้น ต้องเก็บเงินให้ได้เดือนละ 12,500 บาท
  • ก็ตัดเงินจากบัญชีเงินเดือนเข้าบัญชีเงินออมอัตโนมัติทุกเดือน เดือนละ 12,500 บาท

“เงินออม” ไม่ใช่ “เงินเหลือ” แต่ “เงินเหลือ” สามารถนำมาเป็น “เงินออม” ได้

การแบ่งเงินออมออกมาจากอีกบัญชีที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีความสำคัญ ช่วยป้องกันการใช้จ่ายเงินในส่วนที่ตั้งใจแบ่งไว้แล้ว อีกทั้ง หากเปิดบัญชีแบบไม่รับบัตร ATM โอกาสที่คุณจะใช้เงินส่วนนี้ก็ลดน้อยลงไปด้วย ส่วนการตัดรายได้เข้าบัญชีเงินออมโดยอัตโนมัติโดยผูกกับบัญชีเงินเดือนจะช่วยให้คุณออมได้ตามเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายเก็บเงินได้ในทุกระยะนอกจากนี้ หากมีเงินเหลือจากเงินส่วนที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว คุณก็สามารถนำ “เงินเหลือ” มาเป็น “เงินออม” เพิ่มเติมได้เช่นกัน

เปลี่ยน “รูรั่ว” ให้เป็นเงินเก็บ

ในบทที่หนึ่ง เราได้รู้จักการติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายด้วยการทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายกันไปแล้วซึ่งการทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายจะทำให้คุณทราบว่ามีรายจ่ายอะไรบ้างในแต่ละเดือน และถ้าคุณวิเคราะห์รายจ่ายในแต่ละเดือน คุณก็จะพบรายจ่ายที่ไม่จำเป็นมากมาย หรือ “รูรั่ว” ที่ทำให้คุณเก็บเงินไม่ได้

สำหรับใครที่จะเก็บเงินไปเที่ยวก่อนเพื่อสัมผัสบรรยากาศความเป็นส่วนตัวก่อนที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองจริง ๆ เราขอแนะนำเป็น honeymoon in thailand

รู้จักรายจ่ายให้ดียิ่งขึ้น

  • รายจ่ายจำเป็น (ประจำ) ได้แก่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าของใช้อุปโภค ค่าเครื่องนุ่งห่มที่จำเป็นค่าการศึกษา รวมถึงภาระหนี้สินทุกชนิด เป็นต้น
  • รายจ่ายไม่จำเป็น (แปรผัน) ได้แก่ ค่าดูหนัง ท่องเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายทุกอย่างเพื่อความบันเทิงโดยรายจ่ายส่วนนี้ควรเป็นเงินส่วนหลังจากหักเงินออมและรายจ่ายส่วนที่จำเป็นออกแล้ว

รายได้ – เงินออม – รายจ่ายจำเป็น = รายจ่ายไม่จำเป็น

ในแต่ละเดือนให้คุณสำรวจและทำรายการเงินส่วนที่ไม่จำเป็นออกมาว่ามีอะไรบ้าง โดยเฉพาะรายจ่ายไม่จำเป็นที่จ่ายบ่อย ๆ จากนั้น ลองคำนวณว่าเป็นเงินเท่าไร

เงินของคุณรั่วไปไหน Money Leak

ยกตัวอย่าง 

ซื้อสลากกินแบ่งราคา 1,000 บาท โดยซื้อทุกงวด เท่ากับ 24 ครั้ง/เดือน
คิดเป็นเงิน 2,000 บาท/เดือน
ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ สามารถลดจำนวนครั้งที่ซื้อลงได้ เช่น ซื้องวดเว้นงวด หรือ 12 ครั้งต่อปี ก็จะ สามารถออมเงินได้มากขึ้น 12,000 บาท เป็นต้น

การทำรายการรายจ่ายไม่จำเป็นและคำนวณเป็นจำนวนเงินต่อปีจะช่วยให้คุณเห็นจำนวนเงินที่รั่วไหลออกไปอย่างชัดเจน เมื่อลองทำดู คุณอาจตกใจกับจำนวนเงินที่สูญเสียไปกับสิ่งที่คุณไม่ได้ต้องการจริง ๆ เช่น ค่าสลากกินแบ่ง ค่าหวย ค่าบุหรี่ หรือค่ารับประทานอาหารข้างนอก เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถลดรายจ่ายพวกนี้ลงได้ และคุณก็อาจตกใจอีกครั้งเมื่อทราบว่า คุณสามารถออมเงินได้มากขึ้นแค่ไหน จากรายจ่ายส่วนนี้

ทำแผนรายจ่ายต่อเดือน

ในแต่ละองค์กร จะมีการตั้งงบประมาณไว้สำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถจัดสรรทรัพยากรไปใช้ได้อย่างคุ้มค่า และไม่ก่อหนี้ เช่นเดียวกัน หากคุณตั้งงบประมาณการใช้จ่ายส่วนบุคคลหรือจัดทำแผนรายจ่ายในทุก ๆ เดือน คุณก็จะรู้ว่าใช้เงินมากเกินไปแล้วหรือยังนอกจากบัญชีรายรับ – รายจ่าย จะช่วยให้คุณรู้สาเหตุของเงินที่รั่วไหลแล้ว สิ่งที่คุณจะรู้ได้อีกก็คือประมาณการรายจ่ายแต่ละประเภทในแต่ละเดือน ซึ่งคุณสามารถนำมาวางแผนใช้จ่ายหรือตั้งงบประมาณให้ตัวเองได้ แน่นอนว่ารวมถึงแผนการออมด้วย

แผนรายจ่ายรายเดือน monthly expense

งบประมาณที่จัดสรรหรือตั้งงบไว้มาจากการประมาณการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งมนุษย์เงินเดือนผู้มีรายได้และรายจ่ายที่ค่อนข้างแน่นอนสม่ำเสมอ การทำแผนค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนจึงทำได้ง่าย ทั้งนี้สำหรับบางคนอาจใจร้อน อยากไปให้ถึงเป้าหมายเร็ว ๆ จนอาจกันเงินส่วนรายจ่ายเพื่อความบันเทิงน้อยเกินไป แม้จะเป็นความตั้งใจที่ดี แต่ก็ต้องระวัง เพราะหากบีบบังคับตัวเองมากเกินไป คุณอาจทำไม่สำเร็จ ขาดกำลังใจ และท้อถอย จนแผนที่ตั้งใจไว้อาจต้องล้มเลิก

เทคนิคเก็บเงินต่าง ๆ ในบทนี้ คือ เทคนิคที่ช่วยคุณควบคุมการออมและการใช้จ่ายของตัวเองอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คุณเดินหนา้ สู่เป้าหมายได้ตลอด แม้จะมีสิ่งเร้ามากมายล่อใจไม่ให้คุณเก็บเงินและถ้าหากคุณต้องการเข้าใกล้เป้าหมายซื้อบ้านให้เร็วขึ้น ตัวช่วยซื้อบ้านในบทถัดไปน่าจะช่วยคุณได้

ตัวช่วยให้มีเงินซื้อบ้านได้เร็วขึ้น

เป้าหมายมีเงินซื้อบ้านดูช่างยาวไกล ต้องอาศัยแรงใจอย่างมากเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย อย่างไรก็ตาม การเก็บเงินระยะยาวก็ยังเป็นเรื่องที่ท้าทายจิตใจ หลายคนอาจเหนื่อย ท้อถอย และหมดกำลังใจก่อนได้หากมีตัวช่วยใดที่สามารถทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหรือร่นระยะทางสู่เป้าหมายให้ใกล้ขึ้น ก็น่าจะช่วยให้ความฝันมีเงินซื้อบ้านมีโอกาสเป็นจริงยิ่งขึ้น

เดินหน้าได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย “การลงทุน”

สำหรับเป้าหมายการออมเงินเพื่อซื้อบ้าน การฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากระยะยาวดูจะเป็นวิธีที่น่าจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะได้รับผลตอบแทนบ้างเล็กน้อย และแน่ใจได้ว่า เงินต้นไม่มีทางหายไปไหน กระนั้น หากใช้วิธีออมเงินเพียงทางเดียว ก็อาจต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะพอซื้อบ้านได้เทคนิคที่จะช่วยให้คุณสามารถเก็บเงินก้อนใหญ่ได้เร็วยิ่งขึ้น และยังคงความมั่นคงของการออมเงินแบบธรรมดาไว้ได้ คือ “การแบ่งเงินเดือนมาลงทุน”

การฝากเงินแบบประจำช่วยให้คุณเก็บเงินเพิ่มได้ตลอด และป้องกันการถอนออกมาใช้ก่อนได้ แต่ในอีกแง่อัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนของเงินฝากได้ประมาณ 1% เท่านั้น แต่ถ้าคุณแบ่งเงินออมมาเป็น “เงินตั้งต้น” ลงทุน เงินตั้งต้นของคุณอาจเติบโตได้ถึง 5 – 15% ได้ หรือก็คือ เงินเก็บซื้อบ้านของคุณเติบโตเร็วขึ้นไปอีก

การแบ่งเงินออมมาลงทุน คุณต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าจะเอาเงินส่วนนี้ไปทำอะไร เพื่อจะได้เลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมาย หากต้องการเก็บเงินเพื่อซื้อบ้านซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากและใช้ระยะเวลาเก็บหลายปี คุณก็สามารถเลือกการลงทุนที่มีผลประกอบการสูงเมื่อเฉลี่ยผลประกอบการในระยะยาวได้ และไม่ควรเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเกินไป

แผนการลงทุน Investment Plan

จากตัวอย่าง มีการกระจายการลงทุนให้ปลอดภัยโดยเลือกการฝากเงินประจำซึ่งมั่นคง เพื่อให้มั่นใจว่าจะยังมีเงินสะสมแน่ ๆ ไม่ขาดทุน ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นที่ต้องอาศัยเวลาในการถือเพื่อทำกำไรและลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงต่ำ แต่ได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำ

จากการฝากประจำเดือนละ 12,500 บาท 6 ปี จะเก็บเงินได้ 900,000 บาท หากจัดสรรแบ่งเงินออมมาลงทุนเช่นนี้ก็จะทำให้เก็บเงินได้มากกกว่าเดิม คือ 952,200 บาท ซึ่งต้องใช้เวลาเก็บเงินเพิ่มเติมอีกเพียง 4 เดือน หรือถึงเป้าหมาย (1,000,000 บาท ในเวลา 6 ปี 6 เดือน) ก่อนเวลา 2 เดือน แม้จะถึงจุดหมายก่อนกำหนดเพียงไม่นาน อย่างไรก็เป็นการช่วยคุณประหยัดเงินที่ต้องมาออมซื้อบ้านได้อีกเล็กน้อย และต้องไม่ลืมว่า “จุดประสงค์หลักคือการออมไม่ใช่การลงทุนเพื่อทำกำไร”

ย่นระยะทางสู่เป้าหมายด้วย “สินเชื่อบ้าน”

ทุกวันนี้ ใครที่จะซื้อบ้านต่างขอสินเชื่อบ้านกันเป็นปกติ เพราะสินเชื่อบ้านสามารถร่นระยะทางสู่เป้าหมายลงได้ เพราะหากหวังพึ่งเพียงการเก็บเงินทางเดียว อาจต้องรอหลายปี แต่ถ้าขอสินเชื่อบ้านก็สามารถสร้างบ้านได้ตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่ตั้งเป้าหมาย

ดังนั้น เป้าหมายในการเก็บเงินซื้อบ้านสมัยนี้ อาจไม่ใช่การเก็บเงินซื้อบ้านราคาเต็ม หากแต่เป็นเงินก้อนแรกสำหรับดาวน์บ้าน

คุณสามารถย่นระยะเวลาสู่เป้าหมายให้ได้โดยการประมาณการค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ในการดาวน์บ้านได้จากวงเงินที่ธนาคารสามารถให้ได้ ซึ่งโดยทั่วไป ธนาคารจะให้วงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 80 – 100% ของราคาประเมินบ้านที่คุณจะซื้อ (ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อจำกัดตามคุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ) ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่ายังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก ได้แก่ ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% ค่าจดจำนอง 1% และอื่น ๆ อีกราว 2% ของราคาบ้าน ดังนั้น คุณจึงต้องเตรียมเงินเพื่อจะซื้อบ้านประมาณ 5 – 25% ของราคาขาย

สินเชื่อบ้าน Home dept

จะเห็นได้ว่า การกำหนดเป้าหมายเป็นจำนวนเงินก้อนแรกที่จำเป็นจริง ๆ สามารถร่นระยะทางสู่การมีบ้านให้เหลือเพียง 1 ใน 4 ของระยะทางได้ ทำให้ภาพฝันอยู่ใกล้ยิ่งขึ้น และทำให้เรายิ่งมีกำลังใจเก็บออมเงินซื้อบ้านได้จริง และ สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีฐานเงินเดือนที่มั่นคงนั้นก็จะยิ่งขออนุมัติสินเชื่อได้ง่ายด้วย

ตัวช่วยทำให้มีเงินซื้อบ้านได้เร็วยิ่งขึ้นไม่ใช่ทางลัด เพราะอย่างไรคุณต้องอาศัยวินัยในการเก็บออมจัดสรรแบ่งเงินลงทุน หรือมีความรับผิดชอบในการผ่อนชำระหนี้สิน ทั้งนี้ ทุกขั้นตอนไปสู่เป้าหมายซื้อบ้านทั้งหมดจะช่วยคุณได้ หากคุณมีความตั้งใจจริง แน่วแน่ และลงมือทำจริง ในบทสุดท้ายจะสรุปแผนทั้งหมดตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย และกรอบการวางแผนเบื้องต้นให้คุณสามารถมุ่งหน้าสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคงและสำเร็จได้จริง

สรุปแผนเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือน

เตรียมตัว ตั้งเป้าหมาย ลงมือทำ ทุกความฝันจะเป็นจริงได้หากมีการเตรียมพร้อมที่ดี ตั้งเป้าหมายชัดเจนและมีแผนลงมือที่แน่นอน เช่นเดียวกันกับการเก็บเงินซื้อบ้าน ไม่ว่าฝันของคุณจะใหญ่แค่ไหน เทคนิคการเก็บเงินซื้อบ้านต่าง ๆ ในบทความนี้ จะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้พร้อม มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีแผนเดินทางที่ไปสู่เป้าหมายได้จริง

ทบทวนหัวใจในการเก็บเงินซื้อบ้าน “เปลี่ยนฝันให้เป็นจริง”

  • เตรียมตัวให้พร้อม : เป้าหมายทางการเงินใด ๆ ต้องกลับมาดูว่า เรามีความพร้อมที่จะมุ่งหน้าต่อไปหรือไม่ การรู้จักตัวเองให้ดี รู้ว่าสถานะการเงินของตัวเองเป็นอย่างไร พฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นอย่างไร มีอะไรที่เราต้องปรับปรุงแก้ไขก่อนที่เราจะไปทำฝันที่ใหญ่มากขึ้นและวิเคราะห์เพื่อวางแผนทางเดินไปสู่เป้าหมายได้เหมาะสมกับตัวเองที่สุด
  • ตั้งเป้าหมายชัดเจน : การมีภาพความฝันและเป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้เรามีกำลังใจที่เข้มแข็ง มุ่งหน้าไปได้โดยไม่หลงทาง หรือหากเหนื่อยล้าก็มี
    เป้าหมายให้ยึดเหนี่ยวให้ยังก้าวต่อไปได้ ทั้งนี้ เป้าหมายที่ดีจะต้องเกิดจากการรู้จักตัวเองให้ดี รู้ความสามารถและข้อดีของตัวเองเพื่อตั้งเป้าหมายให้เป็นจริงได้ รวมทั้ง เป้าหมายที่ดีต้องวัดผลได้อีกทั้งยังต้องมีระยะเวลาที่จะสำเร็จที่แน่นอนเพื่อให้สามารถติดตามได้ว่าเราใช้เวลาเหมาะสมกับแผนหรือไม่
  • ออกเดินตามแผน : การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ หนึ่งในหัวใจสำคัญที่สุดคือแผน หากเราออกแบบแผนได้เหมาะสมกับตัวเอง ประกอบกับนำเทคนิคต่าง ๆ
    ที่ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จลงไปในแผนด้วย เป้าหมายที่เคยห่างไกลยากจะเอื้อม ก็จะอยู่ใกล้เพียงลงมือทำ ซึ่งคุณสามารถใช้กรอบแผนต่อไปนี้ ในการวางแผนเบื้องต้นเพื่อเก็บเงินซื้อบ้านของคุณได้

แผนเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือน แผนเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือน แผนเก็บเงินฉบับมนุษย์เงินเดือน

แม้ว่าความฝันที่จะเก็บเงินซื้อบ้านดูเป็นความฝันที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ไม่ว่าใครก็ทำฝันนั้นให้เป็นจริงได้ด้วยความเพียรเก็บเงิน อย่างไม่ย่อท้อ อีกทั้ง รู้จักวางแผนและลงมือทำจริง แม้จะเป็นเพียงมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้น้อยเพียงใด ก็ยังสามารถเปลี่ยนบ้านในฝันให้เป็นจริงได้


แหล่งอ้างอิงข้อมูล