Wednesday, October 22, 2025
Home Blog Page 28

ขั้นตอนการลบ Snapshot ใน vSphere Client

0
ขั้นตอนการลบ Snapshot ใน VMWare

ขั้นตอนการลบ Snapshot ของเครื่อง Guest ใน VMWare ผ่าน vSphere Client สามารถทำได้ตามขั้นตอนด้านล่างนี้

1. เลือก Guest ที่ต้องการลบ Snapshot จากแถบรายการทางด้านซ้าย

ขั้นตอนการลบ Snapshot ใน VMWare

2. เมื่อคลิกเลือกแล้วทางขวามือจะแสดงรายการของ Guest ดังกล่าว ให้คลิกที่แถบ Snapshots

ขั้นตอนการลบ Snapshot ใน VMWare

แล้วให้กดที่ปุ่มกากบาท เพื่อทำการลบ โปรแกรมจะถามยืนยันอีกครั้งก็ให้กดยืนยันไปได้เลย

การแทรกและจัดการรูปภาพในเวิร์ด

0
การแทรกและจัดการรูปภาพใน Microsoft Word 2016

ขั้นตอนการแทรกรูปภาพลง Microsoft Word ที่แสดงให้ต่อไปนี้ใช้บน Word 2016 นะครับ แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้กับเวอร์ชั่นอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงได้ เช่น Word 2010, Word 2013

1. เลือกแถบ Insert โดยการแทรกรูปลงในเนื้อหา มีตัวเลือกหลัก ๆ 3 ตัวเลือกที่อยากแนะนำดังนี้

  1. Picture เป็นการแทรกรูปโดยเลือกรูปจากคอมพิวเตอร์ที่เรามี
  2. Online Picture เป็นการแทรกรูปที่แจกให้ใช้งานฟรีจากอินเตอร์เน็ต โดยจะเป็นการค้นหารูปภาพจาก Bing

การแทรกและจัดการรูปภาพใน Microsoft Word 2016

2. ถ้าคลิก Picture จะเด้งหน้าจอให้เลือกรูปภาพที่อยู่ในเครื่อง

การแทรกและจัดการรูปภาพใน Microsoft Word 2016

3. ถ้าคลิกที่ Online Picture จะขึ้นกรอบให้เลือกแทรกรูปจากอินเตอร์เน็ตอีกสองแบบ คือ ค้นหารูปภาพจาก Bing Image Search หรือ เลือกรูปภาพที่เราเก็บไว้ใน OneDrive ในตัวอย่างนี้ผมจะแทรกจาก Bing Image Search อยากได้ภาพเกี่ยวกับอะไรก็ให้ใส่ในช่องค้นหา

การแทรกและจัดการรูปภาพใน Microsoft Word 2016

4. เมื่อเจอรูปที่ต้องการแล้ว ให้คลิกที่รูปก่อน แล้วก็กดป่ม Insert

การแทรกและจัดการรูปภาพใน Microsoft Word 2016

5. เราสามารถปรับรูปแบบการจัดวางรูปภาพได้ โดยการคลิกที่รูปภาพที่ได้แทรกเข้ามาแล้ว ให้คลิกที่ Layout Options แล้วจะเลือกได้ว่าจะจัดไว้แบบไหน เช่น ให้อยู่หลังตัวอักษร, อยู่บนตัวอักษร, ชิดซ้าย, ชิดขวา เป็นต้น

การแทรกและจัดการรูปภาพใน Microsoft Word 2016

การสร้าง USB Boot ติดตั้งวินโดส์ด้วย Rufus

0
การสร้าง USB Boot สำหรับติดตั้งวินโดส์ 10

คอมพิวเตอร์สมัยใหม่มักจะไม่มี DVD Drive มาให้แล้ว แต่ทดแทนต้อง USB Port จำนวนมากแทน ดังนั้นการติดตั้ง OS ใหม่เราก็ต้องมีการปรับจากเดิมที่จะบูตและติดตั้งจาก DVD ก็เปลี่ยนไปใช้ USB Boot แทน ซึ่งจะบอกวิธีการทำ USB Boot ในบทความนี้ครับ

1. ดาวน์โหลด Software : Rufus ได้ที่นี : https://github.com/pbatard/rufus/releases/download/v3.4/rufus-3.4.exe

2. เปิดใช้งานโปรแกรม แล้วเลือกออฟชั่นตามข้อมูลข้างล่างนี้

  1. รายการ Flash Drive ที่เราต้องการใช้บูต ตรงนี้ให้เอาอันที่ไม่มีข้อมูลอะไรมาใช้นะครับ เพราะขั้นตอนการทำเนี่ยโปรแกรมมันจะลบข้อมูลที่มีอยู่ในนั้นทิ้งทั้งหมด
  2. กด SELECT เพื่อเลือกไฟล์ติดตั้งของ Windows 10 ที่อยู่ในรูปแบบของ ISO File นะครับ (อันนี้ไปหาโหลดจากเว็บไมโครซอฟต์มาทดลองก็ได้)
  3. ในส่วนของ Image Option เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ตรงนี้ไม่ควรไปปรับเปลี่ยนอะไรของมัน เอาตามที่โปรแกรมขึ้นให้เป็นค่าเริ่มต้นเลยจะดีที่สุด
  4. Format Options ก็เหมือนกันครับ ไม่ต้องไปปรับอะไร
  5. เสร็จแล้วกด Start เริ่มสร้าง USB Boot ใช้เวลานานพอสมควร เกือบ ๆ 30 นาที

การสร้าง USB Boot สำหรับติดตั้งวินโดส์ 10

  • เมื่อเสร็จแล้วเราก็สามารถเอา USB Drive อันนั้นไปบูต เพื่อทำการติดตั้ง OS ให้เครื่องเราได้แล้ว
  • วิธีการนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้าง USB Boot ชนิดอื่น ๆ ได้ เช่น Hiren Boot เป็นต้น

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

0
การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

เทรนการทำงานแบบ Collaborate หรือ การทำงานร่วมกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เช่น การแก้ไขเวิร์ด, Excel อะไรพวกนี้ เมื่อก่อนเราก็จะให้แต่ละคนอัพเดตไฟล์กันมาคนละไฟล์ แล้วก็เอามารวมกันเป็นไฟล์สุดท้ายที่จะใช้งานอีกรอบ ดูยุ่งยากทีเนอะ

บทความนี้จะแนะนำการใช้งานไมโครซอฟต์ออฟฟิศออนไลน์ เพื่อแก้ไขไฟล์พร้อม ๆ กัน ใครอยากเปลี่ยนข้อมูลอะไรก็ทำได้ตอนนั้นเลย เห็นเหมือนกัน เห็นว่าใครทำอะไรอยู่ แถมใช้งานได้ฟรีด้วยนะ ไม่จำเป็นต้องซื้อลิขสิทธิ์อะไรเพิ่มเติมเลย

1. เข้าสู่ระบบของ Outlook.com

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

2. เลือกโปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิศที่ต้องการใช้งาน (ในที่นี้ตัวอย่างที่เราจะใช้งานคือ Microsoft Word)

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

3. หน้าตาเมื่อเปิดเข้ามาก็จะเหมือนการใช้งานเวิร์ดในเครื่องเราเลย โดยสิ่งสำคัญที่ควรจะทราบได้แก่

  1. เป็นการเลือกว่าจะสร้างไฟล์ใหม่แบบไหน จะเป็นไฟล์เปล่า ๆ หรือเลือกแบบมีเทมเพลตก็ได้
  2. รายชื่อไฟล์ที่เราเคยใช้งาน
  3. สามารถเลือกเปิดไฟล์จาก One Drive ก็ได้นะ

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

4. Toolbar ของเวิร์ดออนไลน์

  1. เป็นชื่อของเราที่กำลัง Login ใช้งานระบบ
  2. เมนูสำหรับแชร์ไฟล์ให้คนอื่น ๆ เข้ามาอ่านหรือแก้ไขไฟล์นี้
  3. Comments ก็เหมือนบันทึกสั้น ๆ ไว้เตือนความจำของเราน่ะครับ กรอกเอาไว้ให้เราเข้าใจเอง
  4. ชื่อไฟล์ที่กำลังเปิด
  5. โฟลเดอร์ที่ไฟล์อยู่

ในที่นี้ผมจะสอนวิธีการแชร์ไฟล์ให้คนอื่นมาใช้งานไฟล์นี้ได้ ให้คลิกที่เบอร์ 2

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

5. การแชร์ไฟล์ให้คนอื่นมาใช้งานไฟล์ร่วมกัน ในช่อง To (เบอร์ 1) ให้ใส่อีเมล์ของคนที่เราต้องการแชร์ไฟล์ ซึ่งสามารถแชร์ไปที่ใครก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นว่าต้องมีอีเมล์ของไมโครซอฟท์เท่านั้น เสร็จแล้วกดที่ปุ่ม Share

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

ในการแชร์เราสามารถกำหนดได้ว่า จะให้สามารถแก้ไขไฟล์ที่แชร์ด้วยได้รึเปล่า หรือจะให้สิทธิ์ในการเข้ามาดูเนื้อหาในไฟล์ได้อย่างเดียว

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

เมื่อเราแชร์ไฟล์เสร็จแล้ว จะมีอีเมล์ส่งไปแจ้งให้ผู้รับได้ทราบว่าเราได้แชร์ไปแล้ว ก็แจ้งให้ปลายทางเช็คที่อีเมล์ ในที่นี้ผมแชร์ไปที่ Gmail ก็จะมีรายละเอียดครบในนั้นเลย ก็ทดสอบใช้งานโดยคลิกที่ “ดูใน OneDrive”

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

6. เมื่อปลายทางเปิดไฟล์นั้นขึ้นมา ก็จะเห็นเนื้อหาเหมือนกับที่เราทำอยู่ ไม่ว่าใครจะแก้ไขอะไรตรงไหนก็สามารถเห็นได้เลย (เบอร์ 1) หรือถ้าต้องการจะแชร์ไฟล์นี้เพิ่มให้คนอื่น ๆ มาทำงานร่วมกันได้ด้วยก็กดที่เบอร์ 2

การใช้งาน Word Online แก้ไขไฟล์ได้พร้อม ๆ กัน ฟรี ๆ

สรุป

  • Microsoft Office Online นี่ไม่ต้องเสียเงินค่าลิขสิทธิ์นะครับ เพียงแต่มีอีเมล์ในเครือของไมโครซอฟต์ก็สามารถใช้งานได้เลยไม่ว่า hotmail, outlook, windowslive เป็นต้น
  • ฟังก์ชั่นของออฟฟิศออนไลน์จะไม่เท่ากับออฟฟิศที่เราติดตั้งไว้ที่เครื่องนะครับ แต่ผมว่ามันก็เพียงพอแล้ว สำหรับการแก้ไขไฟล์ทั่ว ๆ ไป ปรับแต่งลูกเล่นเล็กน้อย แถมชอบมาก ๆ ก็คือสามารถทำงานร่วมกันได้เนี่ยแหละ
  • ต้องต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลาที่แก้ไขด้วยนะ ถึงจะเห็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้

การทำ Sysprep บนวินโดส์ 10

0
การทำ Sysprep บนวินโดส์ 10

สำหรับช่างคอม ช่างไอทีที่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องอยู่ตลอดเวลา ในสภาพแวดล้อมที่มีเครื่องจำนวนมาก มักจะไม่ทำการติดตั้งทีละเครื่องเพราะมันจะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ อีกครั้งมีความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาดมากอีกต่างหาก ไม่ว่าจะมาตรฐานของ Software ที่ไม่เหมือนกัน หรือคอนฟิคอื่น ๆ ยิบย่อยอีกมากมาย

ทางที่ดีก็ติดตั้งเครื่องต้นฉบับเพียงเครื่องเดียว ตรวจสอบอย่างละเอียดที่เครื่องต้นฉบับเท่านั้นเมื่อเสร็จแล้วก็ทำการโคลนทั้งเครื่องไปที่เครื่องอื่น ๆ ประหยัดเวลาอย่างเยอะอะ แต่ก่อนจะทำการโคลนจำเป็นต้องทำการเคลียร์ค่าในเครื่องอีกนิดหน่อย โดยบนวินโดส์จะเรียกว่า Sysprep ทำตามนี้เลย

1. กด Start + run

การทำ Sysprep บนวินโดส์ 10

2. ในช่อง run พิมพ์ “c:\windows\system32\sysprep\” แล้วกด Enter ที่คีย์บอร์ด หรือ จะเอาเมาส์คลิกที่ OK ก็ได้

การทำ Sysprep บนวินโดส์ 10

3. คลิกขวาที่ Sysprep.exe แล้วเลือก “Run as administrator”

การทำ Sysprep บนวินโดส์ 10

4. คลิกเลือก Option ตามรูปด้านล่างนี้

การทำ Sysprep บนวินโดส์ 10

5. รอให้เครื่องทำการเคลียร์ข้อมูลสักครู่ แล้วจะ Shutdown เอง ทีนี้เครื่องนี้ก็พร้อมจะไปใช้เป็นต้นฉบับในการ Clone ต่อไปแล้วล่ะ

การทำ Sysprep บนวินโดส์ 10

การ Reinstall วินโดส์ 10 Default Apps

1

ผมว่าบางคนนะไม่ชอบโปรแกรมที่ Windows 10 ติดตั้งมาให้ด้วย ผมคนนึงแหละที่เป็นหนึ่งในนั้นและหลังจากติดตั้ง Windows 10 ใหม่ ๆ ก็ไปลบโปรแกรมเหล่านั้นทิ้ง โดยหารู้ไม่ว่าจะมีปัญหาการใช้งานต่าง ๆ ตามมาไม่ขาดสาย อย่างแรกเลยที่เห็นก็คือ Run Sysprep ไม่ได้ ครั้นพอจะกลับมาติดตั้งใหม่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำแค่ขั้นตอนกด Next ไปเรื่อย ๆ แบบโปรแกรมอื่น ๆ ได้

แต่มันก็มีวิธีแก้ไขครับ ไม่ได้ยากจนเกินไปนัก แค่ต้องใช้ Powershell ในการติดตั้ง ทำตามขั้นตอนข้างล่างนี้เลย

1. ขั้นแรกเลยเปิดใช้งาน PowerShell ด้วยสิทธิ์ของ Administrator

การแก้ปัญหา Sysprep was not able to validate your Windows installation

2. ถัดมาให้พิมพ์คำสั่งด้านล่างนี้เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรมของวินโดส์ 10 ใหม่

Get-AppxPackage -allusers | foreach {Add-AppxPackage -register "$($_.InstallLocation)\appxmanifest.xml" -DisableDevelopmentMode}

Where Curiosity Meets Creativity

แล้วก็รอมันทำงานสักแป้บนึงนะ ราว ๆ 10 -15 นาที ขึ้นอยู่กับความแรงของเครื่องด้วย

Where Curiosity Meets Creativity

แค่นี้แหละเสร็จแล้ว และเพื่อความสมบูรณ์ของระบบก็ให้รีสตาร์ทเครื่องก่อนสักรอบ

อ้างอิง : https://www.digitalcitizen.life/how-reinstall-all-windows-10-default-apps-powershell

การแก้ปัญหา Sysprep was not able to validate your Windows installation

0
การแก้ปัญหา Sysprep was not able to validate your Windows installation

Sysprep นั้นมักจะใช้ในกรณีที่มีการติดตั้งเครื่องจำนวนมาก ๆ แล้วได้ทำต้นฉบับเพียงเครื่องเดียว แล้วก็ Clone เครื่องทุกกระเบียดเพื่อเป็นการลดเวลาในการติดตั้งซอฟต์แวร์ลงเครื่องแต่ละเครื่อง ซึ่งโดยขั้นตอนแล้วก่อนที่เราจะ Clone เครื่องจำเป็นต้องทำการ Sysprep เสียก่อน

แต่บางทีก็มักจะเจอกับ Error หรือปัญหาในการใช้งานเหมือนกัน ซึ่งกรณีที่คลาสสิคมากและเจอบ่อย ๆ จะขึ้นแบบนี้

Sysprep was not able to validate your Windows installation

การแก้ปัญหา Sysprep was not able to validate your Windows installation

สาเหตุหลัก ๆ เป็นเพราะว่าตัววินโดส์ 10 จะมี Software ที่ Preinstall มาให้ด้วยเช่น XBox หรือเกมส์ต่าง ๆ บางทีอาจจะไปเผลอลบโดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออะไรก็แล้วแต่แต่มันลบออกไม่หมดงัย ทำให้มีการอ้างอิงไฟล์เหล่านั้นเอาไว้ แต่เราก็สามารถที่จะลบมันออกไปให้เกลี้ยง ๆ แล้วก็แก้ไขปัญหาเรื่อง Sysprep ด้วย ตามขั้นตอนด้านล่างนี้เลยนะ

1. เปิดใช้งาน Windows Powershell ด้วยสิทธิ์ Administrator

การแก้ปัญหา Sysprep was not able to validate your Windows installation

2. เมื่อเปิดใช้งานแล้วให้พิมพ์คำสั่ง

Get-AppxPackage -AllUsers | Remove-AppxPackage

3. รอให้โปรแกรมทำงานสักพัก (ของผมนี่ประมาณ 10 นาที)

การแก้ปัญหา Sysprep was not able to validate your Windows installation

4. เมื่อเสร็จแล้วแนะนำว่าให้รีสตาร์ทเครื่องก่อนสักรอบนึง

5. ทำการ Reinstall AppxPackage ใหม่อีกครั้ง ที่บทความนี้ : การติดตั้ง Windows 10 Default Apps

6. ถึงขั้นตอนนี้ทุกอย่างควรกลับมาปกติแล้ว แต่ควรรีสตาร์ทเครื่องอีกครั้งเช่นกัน เมื่อสตาร์ทเสร็จก็ทำการ Sysprep ใหม่ รอบนี้ควรจะผ่านแล้วนะจ้ะ

ปล. ถ้ายังไม่ได้อีกเดี๋ยวก็ต้องมาไล่แก้ไขกันใหม่ ตาม Error ที่โปรแกรมมันจะแสดงนะ

ตั้งค่าปุ่มเปลี่ยนภาษาในวินโดส์ 10

0
วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

วินโดส์ ตั้งแต่เวอร์ชั่น XP เรื่อยมาจนตอนนี้ก็ไปแตะ วินโดส์ 10 เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ติดตั้งใหม่ ๆ เนี่ย เมื่อเพิ่มคีย์บอร์ดภาษาไทยเข้าไปแล้ว ถ้าเราไม่ได้ไปทำการปรับแต่งอะไร การเปลี่ยนภาษาจะต้องใช้วิธีการกดปุ่ม CTRL + ALT ร่วมกัน แต่หลายคนเลยนะที่ถนัดกดปุ่ม ตัวหนอน กันซะมากกว่า

วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

1. คลิกที่มุมขวาล่างของหน้าจอตรงคำว่า ENG จะขึ้นเมนูแสดงให้เห็นภาษาได้ติดตั้งภาษาอะไรไปแล้วบ้าง เสร็จแล้วให้คลิกที่ “Language preferences”

วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

2. ขั้นตอนถัดไปให้คลิกที่ “Spelling, typing, & keyboard settings” 

** ถ้าไม่เห็นตัวเลือกนี้ก็ให้คลิกเลื่อน ๆ ลงมาข้างล่างหน่อยนะ เพราะมันซ่อนอยู่ **

วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

3. ขั้นตอนถัดไปให้คลิกที่ “Advanced Keyboard settings” 

** ถ้าไม่เห็นตัวเลือกนี้ก็ให้คลิกเลื่อน ๆ ลงมาข้างล่างหน่อยนะ เพราะมันซ่อนอยู่เช่นกัน **

วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

4. ขั้นตอนถัดไปให้คลิกที่ “Language bar options” 

วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

5. เมื่อขึ้นกรอบถัดมา ให้เลือกไปที่แถบ “Advanced Key Settings” ก่อน แล้วในกรอบข้อมูลเลือกที่ “Between input languages” แล้วก็กดที่ปุ่ม “Change Key Sequence”

วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

6. ตรงกรอบด้านซ้าย (Switch Input language) ให้เลือกที่ตัวเลือก Grave Acccent เสร็จแล้วกดโอเค ถ้ากรอบหน้าต่างอื่น ๆ ยังอยู่ก็กด OK ออกไปให้หมด

วิธีการตั้งค่าให้ใช้ปุ่มตัวหนอนในการเปลี่ยนภาษา

ทดสอบใช้งานได้เลย เท่านี้ก็ไม่น่าจะติดปัญหาอะไรแล้วนะ

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์

0
ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

เป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคนที่จะต้องยื่นภาษีนะครับ เดี๋ยวนี้เนี่ยทางกรมสรรพากรก็มีช่องทางมากมายในการยื่นภาษี หนึ่งในนั้นก็คือการยื่นแบบออนไลน์ผ่านทางเว็บของกรมสรรพากรเอง ซึ่งสำหรับผมเองเนี่ยก็ใช้ช่องทางนี้เป็นหลัก ยื่นทุก ๆ ปี ก็อยากจะแนะนำขั้นตอนสำหรับบางคนที่กล้า ๆ กลัว ๆ ลองมาดูกันคร่าว ๆ ว่าทำอย่างไรบ้าง

หมายเหตุก่อนเริ่ม

  • ขั้นตอนที่ทำให้ดูจะทำแบบคร่าว ๆ ว่ามีอะไรบ้าง เหตุที่ไม่ได้บอกทั้งหมด เพราะบางส่วนมันต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวเยอะ เลยตัดตรงนี้ทิ้งไป
  • จะต้องมีเอกสารสรุปรายได้จากบริษัทให้เราก่อนนะแล้วค่อยมายื่น (50 ทวิ)
  • เอกสารอื่น ๆ ที่ใช้ลดหย่อนให้แสกนเตรียมไว้ให้พร้อม เช่น ใบเสร็จเงินบริจาค, เอกสารยืนยันการชำระเบี้ยประกันภัย, เอกสารยืนยันการชำระดอกเบี้ยที่พักอาศัย เป็นต้น
  • ผูกพร้อมเพย์ ไว้กับบัตรประชาชนจะรับเงินเร็วกว่า ทางกรมสรรพากรเองก็แนะนำให้รับเงินวิธีนี้

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์

เข้าไปที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

เมื่อเข้าสู่หน้าหลักของกรมสรรพากรแล้วให้มองหาหัวข้อ E-Filling แล้วคลิกที่ “ยื่นแบบผ่านอินเตอร์เน็ต”

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

คลิกที่หัวข้อ “ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

มองที่เมนูด้านซ้าย “ภ.ง.ด. 90/91 ยื่นด้วยตัวเอง” และคลิกที่ “ยื่นแบบฯ ภ.ง.ด. 90/91”

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

ก่อนที่จะถึงขั้นตอนการเข้าสู่ระบบเพื่อยื่นภาษีนั้น อาจจะมีการแจ้งเตือนเล็กน้อย เราก็กดโอเคไปครับ เมื่อเข้าสู่หน้าจอถัดไปก็ให้กด “ตกลง” เพื่อจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป

ถ้าหากว่ายังไม่เคยยื่นภาษีออนไลน์มาก่อนเลย จำเป็นต้องสมัครสมาชิกก่อน โดยให้คลิกที่ “ลงทะเบียนที่นี่”

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ข้อมูลเบื้องต้นในหน้าแรกนั้นจะขึ้นให้เองโดยอัตโนมัติ เช่น เลขประจำตัวผู้เสียภาษี, ที่อยู่, วันเดือนปีเกิดเป็นต้น ให้ตรวจสอบข้อมูลอีกรอบเพื่อความถูกต้อง และคลิกที่ “ยื่นแบบออนไลน์” แล้วก็คลิกที่ “ทำรายการต่อไป”

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

ในขั้นตอนการกรอกข้อมูลนั้นไม่ยากเย็นอะไรเลย เพียงแค่ใส่ข้อมูลตาม 50 ทวิ. ที่ได้มา หากเราสามารถลดหย่อนอะไรได้เพิ่มเติมก็แค่ให้กรอกข้อมูลเหล่านั้นเพิ่มเข้าไป จนถึงขั้นตอนสุดท้าย ให้แนบเอกสารสำหรับใช้ลดหย่อนและ 50 ทวิ.เข้าไปในระบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรตรวจสอบ

  • แนะนำว่าแนบเอกสารทั้งหมดให้ครบถ้วน เพราะจะได้ไม่ต้องตรวจสอบนาน หากว่าเรายื่นภาษีไว้เกินก็จะได้รับเงินเร็วขึ้น
  • หากใครที่เป็นการยื่นภาษีออนไลน์ครั้งแรก อาจจะใช้เวลาในการตรวจสอบหลายวัน และทางเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอาจจะมีการขอเอกสารอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งก็จะระบุไว้ว่าต้องการอะไรบ้าง
  • ถึงแม้ว่าฐานเงินเดือนเราจะไม่ถึงต้องชำระภาษี แต่ก็ควรที่จะยื่นแสดงรายได้ทุก ๆ ปี

ตรวจสอบความคืบหน้าการขอคืนภาษีได้จากลิงค์นี้ http://www.rd.go.th/publish/27942.0.html

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร

วิธีการสร้าง SSL ใช้งานฟรี รองรับเกือบทุก Browser

0
ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

เรื่องความปลอดภัยเป็นเว็บไซต์เป็นเรื่องที่มีการปรับปรุงกันมา และมีมาตรฐานใหม่ ๆ อยู่เสมอ อดีตนั้นเว็บไซต์ทั่วไปเวลาเราเข้าใช้งานก็อาจจะพิมพ์แค่ชื่อ http ก็เพียงพอ ยกเว้นเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ จากลูกค้าก็มักจะใช้เป็น https

  • http คือ มาตรฐานในการส่งข้อมูลจาก Server เพื่อให้ Browser ที่เครื่องเราสามารถเปิดเว็บดูได้ ย่อมาจาก HyperText Transfer Protocol
  • https คือ คือมาตรฐานเดียวกับ http น่ะแหละ แต่เพิ่ม s ขึ้นมา ที่หมายความว่า Secure

Google เป็นรายแรกที่ออกมาประกาศและบังคับว่า จะให้ความน่าเชื่อถือกับเว็บไซต์ที่มีการเข้ารหัสมากกว่า เว็บไซต์ทั่ว ๆ ไปแบบดั้งเดิม เราจึงจะเห็นได้ว่าถ้าใช้งาน Google Chrome เปิดเว็บไซต์บางเว็บที่ยังไม่มี https ก็จะมีคำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงแม้ว่า https จะไม่ใช่ตัวชี้วัดนะว่าเว็บไซต์ที่มีแล้วจะเป็นเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือเสมอไป แต่ถ้าเราเห็นเว็บไซต์ที่เป็น https เราก็จะรู้สึกปลอดภัยขึ้นนิดนึง และอีกอย่างคือเห็นว่าเจ้าของเว็บเค้าให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้เหมือนกัน

SSL คืออะไร

SSL พูดแบบง่าย ๆ ไม่ต้องอิงวิชาการอะไร มันคือการเอาไฟล์มาติดตั้งบนเว็บทำให้เว็บเรามีการเข้ารหัสนั่นเอง มีผู้ให้บริการหลายจ้าวมาก ซึ่งไม่ได้มีข้อแตกต่างอะไรในเรื่องของมาตรฐานและเทคโนโลยีที่ใช้ สิ่งที่ต่าง คือ บางจ้าวอาจจะมีการรับประกันการคืนเงิน ถ้าหากว่าเว็บเราถูกแฮกขึ้นมา (แต่ก็อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า สามารถพิสูจน์ได้นะว่าถูกแฮกเพราะ SSL ของเค้าจริง ๆ ) ตัวอย่างผู้ให้บริการแบบเสียเงิน เช่น Comodo, Thawte, Symantec เป็นต้น

ในที่นี้เราคือ ผู้ทำเว็บแบบเบี้ยน้อยหอยน้อย จึงไม่สนใจ SSL แบบเสียเงิน จะพุ่งเป้ากันไปที่ของฟรี ซึ่งมันต้องไม่ใช่ฟรีแบบกะโหลกกะลา แต่มันเป็นของฟรีที่เทียบเท่าของเสียเงิน และยอมรับกันอย่างแพร่หลาย

Let’s Encrypt

คือ ผู้ให้บริการที่ออก SSL แบบฟรี ๆ ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ให้เราเอาไปใช้งานกัน ได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำทั่วโกล และ Browser ที่ใช้กันเป็นหลัก ๆ ก็รองรับ Let’s Encrypt กล่าวคือ ถ้าเข้าเว็บไซต์ที่เข้ารหัส SSL ด้วย Let’s Encrypt นั้นตรงแถบชื่อเว็บจะไม่แสดงสีแดง ๆ นั่นเองแหละ

ขั้นตอนการขอออก SSL Free

ไปที่เว็บไซต์ sslforfree.com เมื่อขึ้นหน้าแรกให้เราใส่ชื่อเว็บไซต์ของเราที่ต้องการใช้งาน ssl ในตัวอย่างผมใช้ชื่อเว็บผมเองคือ justinfo.info เสร็จแล้วก็กด Create Free SSL Cerfificate

ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

รอสักครู่ให้เว็บไซต์เค้าประมวลผล เพื่อเตรียมการขั้นตอนต่อไปสักหน่อย

ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

ขั้นตอนถัดมาเป็นการยืนยันก่อนว่าเราเป็นเจ้าของเว็บไซต์จริง ๆ ไม่ใช่สแปมเมอร์มาขอ SSL กันเล่น ๆ นะ ซึ่งวิธีการยืนยันตัวตนมี 3 วิธี คือ

  1. Automatic FTP verification วิธีนี้คือการยืนยันแบบอัตโนมัติ โดยเราจะต้องใส่รหัสผ่าน FTP ของ Web Hosting ที่เราใช้งาน เพื่อให้ระบบสามารถเอาไฟล์ที่ใช้ในการยืนยันไปวางเอาไว้ได้ แต่เท่าที่ทดสอบวิธีนี้มักจะไม่สำเร็จ เพราะมันมีข้อจำกัดทางด้านโครงสร้างของแต่ละ Hosting ที่ใช้งาน บางทีไฟล์ที่ระบบเอาไปวางไว้ให้ ก็วางผิดที่มันก็เลยยืนยันไม่ผ่านสักที
  2. Manual Verification เหมือนกับวิธีแรกนะ แต่ว่าเราจะดาวน์โหลดไฟล์ที่ใช้ยืนยันตัวตนไปวางไว้ที่ Hosting ของเราเอง ซึ่งวิธีนี้ก็จะเหมาะสำหรับ Hosting ที่เป็น Linux ซะมากกว่า เมื่อทดสอบกับ Hosting Windows ก็มีปัญหาเรื่องโครงสร้างในการวางไฟล์เหมือนกัน ยืนยันไม่ผ่านสักกะที
  3. Manual Verification (DNS) วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้ในการยืนยันตัวตนนะ คือ เราต้องเพิ่ม TXT Record ใน DNS แทนการวางไฟล์ ซึ่งไอ่ตัวเนื้อหาของ Record ที่ต้องเพิ่มมันจะเหมือนข้อมูลที่อยู่ในไฟล์ยืนยันตาม 2 วิธีข้างต้น วิธีนี้ใช้ได้หมดทั้ง Linux หรือ Windows แต่ข้อจำกัดสำหรับบางที่คือ DNS อัพเดตช้า อาจจะต้องรอกันนานหน่อย บางจ้าวก็รอกันเป็นชั่วโมงอ่ะ

** ตัวอย่างนี้ผมใช้วิธีที่ 3 นะ ** 

เลือก “Manual Verification (DNS)” เสร็จแล้วก็มากดที่ปุ่ม “Manually verify domain”

ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

เอา TXT record ที่ระบบแสดงขึ้นมา ไปเพิ่มที่ DNS Server ที่เราใช้งาน ซึ่งตรงนี้ผมไม่ได้บอกรายละเอียดนะ เพราะแต่ละที่มันไม่เหมือนกัน ถ้าใครไม่รู้ว่าทำยังงัย ให้ติดต่อไปที่ผู้ให้บริการโฮสติ้ง หรือ จดโดเมน ให้เรานะ

** ค่า TXT record ตรงนี้ใช้ได้ครั้งเดียวนะ มันจะสุ่มไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ขอใช้งาน SSL ใหม่ **

ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

พอเพิ่มเสร็จแล้วก็กด Verify ดูสักลิงค์นึง ที่แสดงอยู่ในข้อ 3 อ่ะนะ ถ้าทุกอย่างผ่าน ก็จะแสดงหน้าจอคล้าย ๆ รูปด้านล่างนี้แหละ

ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

เมื่อทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ก็กดทำงานในขั้นตอนต่อไปได้เลย ทีนี้ก็รอสักแป้บเดียว ให้เว็บไซต์เค้าสร้าง SSL มาให้เรา

ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

เมื่อ SSL พร้อมใช้งาน เราก็ก๊อปปี้ข้อมูลพวกนี้อ่ะ ไปใส่ที่ Web Hosting ของเราต่อไป มันจะมีทั้งหมด 3 ไฟล์นะ เอาไปให้หมด จะใช้วิธีก๊อปปี้จากในช่องแสดงข้อมูลก็ได้ หรือว่าจะดาวน์โหลดเอาก็ได้ ข้อมูลที่ได้เหมือนกันแหละ

ขั้นขอ SSL ฟรี Let's Encrypt

หมายเหตุ :

SSL ของ Let’s Encrypt นี้จำเป็นต้องต่อทุก ๆ 90 วันนะ อย่าลืมเตือนความจำตัวเองกันด้วยล่ะ

การบล็อคโฆษณายูทูปด้วย AdBlock

0
Youtube adblocker การบล็อคโฆษณายูทูป

ผมเป็นคนนึงที่เลือกฟังเพลง และชมรายการบันเทิงต่าง ๆ ผ่านยูทูปเป็นหลักเพราะสมัยนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการใช้งานอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเพลงสมัยไหน รุ่นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย รุ่นทวด มาหาในยูทูปทีไรมีให้ฟังแทบจะทั้งหมด แต่บางทีก็เกิดความรำคาญเป็นอย่างมากเพราะจำนวนโฆษณาที่ยูทูปอัดเข้าไปมันมีจำนวนมหาศาลเหลือเกิน ไม่ต่างจากดูหนังจากโทรทัศน์ แล้วอยู่ ๆ ก็ตัดฉึบเข้าโฆษณา

ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการลง Plugins  AdBlock on Youtube เพิ่มไปใน Browser และปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ทำตามด้านล่างนี้ได้เลย

** ตัวอย่างนี้ใช้ Chrome **

ตัวอย่างโฆษณาที่แสดงก่อนทุกครั้ง ก่อนที่เราจะฟังเพลง หรือ ดูหนัง หรือ ดูรายการต่าง ๆ ในยูทูป

Youtube adblocker การบล็อคโฆษณายูทูป

ระหว่างที่ฟังก็จะมีโฆษณาแทรกมาเป็นระยะ ตามจุดเหลือง ๆ ที่เห็น ยิ่งเพลงยาว ก็จะมีโฆษณาหลายรอบ

Youtube adblocker การบล็อคโฆษณายูทูป

ก่อนที่จะบล็อคต้องทำการติดตั้ง Addon ของ Chrome ก่อน เมื่อเปิด Chrome ขึ้นมาแล้วให้พิมพ์ chrome://apps ในช่อง Address แล้วกด Enter เสร็จแล้วคลิกที่ Web Store

Youtube adblocker การบล็อคโฆษณายูทูป

ค้นหา Extensions ที่ชื่อว่า AdBlock on Youtube เมื่อมีรายการขึ้นมาให้กด ที่ Add to Chrome

** มี Extensions แนวนี้หลายตัวมาก ถ้าไม่ชอบตัวที่ผมแสดงให้ดู ก็สามารถเลือกติดตั้งตัวอื่นแทนได้ **

Youtube adblocker การบล็อคโฆษณายูทูป

หน้าตา AdBlock on YouTube

Youtube adblocker การบล็อคโฆษณายูทูป

จะมี Icon แสดงตรง Toolbar ด้านบนให้เห็นด้วยหลังจากติดตั้งเรียบร้อยแล้ว (จะซ่อนก็ซ่อนได้นะ ไม่ได้ใช้)

Youtube adblocker การบล็อคโฆษณายูทูป

ปิด Chrome สักรอบ ก่อนจะเปิดใช้งาน Youtube อีกครั้ง ทีนี้จะเห็นว่าไม่มีโฆษณาแสดงแล้ว

Where Curiosity Meets Creativity

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

0
ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

โครงสร้างของ OS เกือบทั้งหมดนั้นจะมีการเก็บไฟล์ Temp เอาไว้เพื่อใช้งานตามแต่ละความต้องการ เช่น อัพเดตแพทซ์, เก็บ Cache เป็นต้น แต่ปัญหาคือไฟล์เหล่านี้เมื่อใช้งานเสร็จแล้วระบบดันเก็บมันเอาไว้ ไม่ลบทิ้งให้เราออกไปด้วย สิ่งที่ตามมาทีหลังก็คือ เครื่องช้า หรือดิสก์เต็มเร็ว แต่สำหรับตัววินโดส์เองก็มีวิธีลบไฟล์เหล่านี้ทิ้งอย่างปลอดภัย ตามขั้นตอนนี้เลย

เข้าที่ My Computer หรือ This PC เพื่อดูรายการดิสก์ที่เราต้องการจะเคลียร์ข้อมูล

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

คลิกขวาไดรฟ์ที่ต้องการเคลียร์ข้อมูล แล้วเลือก Properties

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

เมื่อขึ้นกรอบ Properties มาแล้วให้คลิกที่ Disk Cleanup

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

คลิกเลือกโฟลเดอร์ที่เราต้องการจะเคลียร์ข้อมูล แต่โดยส่วนมากแล้วผมจะกด Clean up system files มันจะเคลียร์ข้อมูลออกได้อีกเยอะ

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

ในกรณีที่กด Clean up system files ด้วยจะขึ้นกรอบแสกนข้อมูลที่เคลียร์ทิ้งได้อีกรอบ ตรงนี้รออีกสักแป้บนึง

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

มาแล้ว .. ทีนี้ก็คลิกเลือกรายการที่ต้องการลบ และสังเกตุตรงมุมขวาล่าง ๆ จะบอกจำนวนเนื้อที่ที่จะได้คืนหลังจากเคลียร์เสร็จแล้ว เมื่อเลือกเสร็จให้กด OK

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

กด Delete Files เพื่อยืนยัน

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

เสร็จแล้วขั้นตอนการลบจะใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ถ้าหากมีการกด Cleanup system files ด้วย อาจจะใช้เวลาปลายชั่วโมง

ขั้นตอนการเคลียร์ขยะในฮาร์ดดิสก์

วิธีการเคลียร์ขยะแบบนี้สามารถประยุกต์ใช้กับวินโดส์ได้เกือบทุกเวอร์ชั่นเลยนะ ตั้งแต่วินโดส์ 7 ขึ้นมาเลยแหละ แต่หน้าจอเวลาทำงานอาจจะมีแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยเท่านั้น

ดาวน์โหลดเร็วปื้ดด้วย Internet Download Accelerator (Free)

0
Internet Download Accelerator

ถึงแม้ว่าอินเตอร์เน็ตบ้านเราในทุกวันนี้จะอยู่ในระดับรวดเร็วที่น่าพอใจก็ตาม แต่กระนั้นแล้วในบางทีที่มีการโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ ระดับ Gigabyte ขึ้นไปนั้น บางทีก็เกิดปัญหาการเชื่อมต่อขาดระหว่างทาง ทำให้ดาวน์โหลดไม่สมบูรณ์ พอจะกลับมาดาวน์โหลดใหม่ ก็ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เสียเวลาและอินเตอร์เน็ตไปโดยเปล่าประโยชน์เลยแหละ เพื่อแก้ปัญหาส่วนนี้วันนี้จะแนะนำ Software ที่ช่วยในการดาวน์โหลดชื่อว่า Internet Download Accelerator ซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่นเสียเงิน และ เวอร์ชั่นฟรี ซึ่งวันนี้เราจะพูดถึงแค่เวอร์ชั่นฟรีเท่านั้น เพราะแค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอ ตอบโจทย์สิ่งที่ต้องการแล้ว

ดาวน์โหลดโปรแกรมจากที่นี่ : https://westbyte.com/ida/

การทำงานของ Internet Download Accelerator นั้น เมื่อเราเลือกดาวน์โหลดไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ตแล้ว ตัวโปรแกรมจะทำการแบ่งไฟล์เหล่านั้นออกเป็นไฟล์เล็ก ๆ เช่น ผมจะดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Photoshop จากเว็บของ Adobe แบบเต็ม ๆ ซึ่งไฟล์ก็ประมาณ 4GB กว่า ๆ เมื่อเริ่มดาวน์โหลดแล้ว โปรแกรมจะแบ่งไฟล์ 4GB นี้ออกเป็นไฟล์ย่อย ๆ อาจจะไฟล์ละ 500MB เป็นต้น แล้วก็เริ่มดาวน์โหลดให้เอง เมื่อมันดาวน์โหลดเสร็จก็จะเอาไฟล์เหล่านี้มารวมเป็นไฟล์เดียวกัน เหมือนกับต้นฉบับที่เราต้องการ

Internet Download Accelerator

ฟังก์ชั่นหลัก ๆ ของ Internet Download Accelerator (Free)

  • กำหนดความเร็วในการดาวน์โหลดได้ ว่าจะให้ใช้งานเท่าไหร่ จะได้ไม่ต้องกินอินเตอร์เน็ตทั้งหมด (เหลือไว้ใช้งานส่วนอื่นบ้าง)
  • Browser Integration : ไม่ว่าจะเป็น Chrome, Internet Explorer, Opera, Firefox ก็ทำงานร่วมกันได้เกือบ 100% นั่นหมายความว่าเวลาเราคลิกดาวน์โหลดปุ๊บ โปรแกรมก็จะเริ่มทำงานให้เอง
  • Resume Support : ผมชอบฟังก์ชั่นนี้มาก คือ โหลดได้ถึงไหน ถ้าเกิดปัญหาไม่สามารถโหลดให้เสร็จได้ขึ้นมา พอกลับมาโหลดใหม่ มันก็จะทำการโหลดต่อจากเดิม ไม่ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์
  • Download Video from Internet : ถ้าต้องการดาวน์โหลดวีดีโอจากเว็บจำพวก Youtube ก็ทำได้เช่นกัน โดยการคัดลอก url ของวีดีโอที่ต้องการ เอามาใส่ใน Internet Download Accelerator ที่เหลือมันก็จะทำการดาวน์โหลดให้เอง
  • Download later : คือ เราจะเซฟสิ่งที่ต้องการดาวน์โหลดเอาไว้ แล้วมาโหลดทีหลังนั่นเอง
  • Support Clipboard : เมื่อเราก๊อปปี้ url เอาไว้ เช่น วีดีโอของ youtube เมื่อมาเปิดหน้าจอดาวน์โหลดของ Internet Download Accelerator โปรแกรมจะแสดง url ที่ได้ก๊อปปี้ไว้ให้เอง ไม่ต้องเอามาวางใหม่ ช่วยลดระยะเวลาลงได้เยอะเลย

Internet Download Accelerator

นี่ก็เป็นเพียงแค่คร่าว ๆ เองนะครับ จริง ๆ เวลาใช้งานเนี่ยเราก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพราะโปรแกรมแทบจะทำงานอัตโนมัติ ส่วนใครที่ใช้งานแล้วติดใจก็จะอุดหนุนเวอร์ชั่นเต็ม ก็ได้นะครับ


ต้นฉบับบทความ

https://www.thewindowsclub.com/internet-download-accelerator-free

ตั้งค่า Google Chrome ให้ใช้งาน Policy ได้บนวินโดส์ 10

0
Google Chrome Policy

ตามสถิติแล้วนั้น Google Chrome เป็น Browser ที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก และใช้อยู่บน Windows มากที่สุดเช่นกัน ด้วยความที่ Google Chrome มีการ Integrate กับสินค้าตัวอื่น ๆ ของ Google ได้อย่างลงตัวและความเร็วของมันนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามในสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน Active Directory นั้น การตั้งค่า Policy จะรองรับแค่ Browser จากค่ายของ Microsoft เท่านั้น ได้แก่ Internet Explorer, Microsoft Edge

ถ้าต้องการกำหนดให้ Google Chrome สามารถควบคุมผ่าน Group Policy ได้นั้นจำเป็นต้องมีการปรับค่าบ้างเล็กน้อย ตามขั้นตอนนี้เลย

ขั้นตอนการตั้งค่าให้ Google Chrome ใช้งานผ่าน Group Policy ได้

ก่อนที่จะทำการตั้งค่า Group Policy ให้ Google Chrome ได้นั้นจำเป็นต้องดาวน์โหลด Google Group Policy ก่อน จิ้มเบา ๆ ที่นี่ครับ https://dl.google.com/dl/edgedl/chrome/policy/policy_templates.zip

เมื่อดาวน์โหลดมาแล้วให้ทำการแตกไฟล์เอาไว้ แล้วเราจะเอาเทมเพลตตัวนั้นมาใช้งานทีหลัง

พิมพ์ gpedit.msc ในช่อง run หรือ search box เพื่อเปิดใช้งาน Group Policy Edit

Google Chrome Policy

เมื่อขึ้นหน้าต่าง Group Policy Setting ให้คลิกเม้าส์ขวาที่ Computer Configuration > Administrative Templates แล้วเลือก Add/Remove Templates

Google Chrome Policy

เมื่อขึ้นกรอบ Add/Remove Templates ขึ้นมาแล้วให้กดที่ Add แล้วเลือกไฟล์เทมเพลตก่อนหน้านี้ที่ได้ดาวน์โหลดเอาไว้ เมื่อขึ้นกรอบให้เลือกไฟล์ให้ Browse ที่ไป Windows > adm > en-us แล้วเลือกไฟล์ chrome.adm

Google Chrome Policy

Where Curiosity Meets Creativity

เมื่อเพิ่ม Google Chrome Template เสร็จแล้วหลังจากนี้ก็จะสามารถกำหนดการตั้งค่าต่าง ๆ ผ่าน Group Policy ได้ โดยสามารถเลือกไปที่เมนู

Computer Configuration > Administrative Templates > Classic Administrative Templates (ADM) > Google

Google Chrome Policy

11 ปลั๊กอินแนะนำเพิ่มความแกร่งให้ WordPress

0

CMS (Content Management System) หรือ เว็บไซต์แทบจะสำเร็จรูป ที่เป็นที่นิยมระดับโลกมั่นใจได้เลยว่าหนึ่งในนั้นต้องมี WordPress อย่างแน่นอน บล๊อค justuser นี้ก็เหมือนกัน หลังบ้านนั้นก็สร้างด้วย WordPress กับเค้าด้วย ซึ่งความสามารถหลัก ๆ ที่ติดมาดั้งเดิมนั้นจะว่าไปแล้วก็เริดหรูอลังการแทบจะไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว แต่หากใครที่ต้องการปรับแต่งเพิ่มเติม หรือต้องการเพิ่มพลังความแกร่งให้เว็บไซต์ที่ทำด้วย WordPress ด้วยแล้วนั้น ผมอยากจะแนะนำ Plugin ต่อไปนี้เอาไว้มาเสริมเขี้ยวเล็บของเว็บไซต์ท่าน ๆ กัน

** หมายเหตุ : Plugin ที่แนะนำต่อไปนี้ นำเสนอเพราะผมได้งานเอง และเห็นว่ามีประโยชน์ ไม่มีการจัดอันดับหรือเปรียบเทียบว่าตัวไหนดีหรือไม่ดี **

1. Akeeba Backup for WordPress

Where Curiosity Meets Creativity

เป็นปลั๊กอินที่เติบโตมาจากฝั่ง CMS Joomla ก่อน แล้วก็มีการขยับขยายมา Support WordPress ในภายหลัง ฟังก์ชั่นหลัก ๆ ก็คือการ Backup ข้อมูลทั้งเว็บไซต์ของเรา ทั้งไฟล์เว็บ เนื้อหา ฐานข้อมูล และบีบสิ่งเหล่านั้นเอาไว้เป็นไฟล์เดียว โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้เก็บเป็น Zip หรือ JPA (รูปแบบการบีบอัดที่ทาง Akeeba คิดขึ้นมาเอง) แถมยังมีฟังก์ชั่นอื่น ๆ ที่อาจจะต้องเสียเงินเพื่อให้สามารถใช้งานได้ เช่น Backup to Cloud, Schedule backup เป็นต้น แต่โดยส่วนตัวสำหรับผมแล้วนั้น เวอร์ชั่นฟรีก็ความสามารถเหลือเฟือแล้ว

Where Curiosity Meets Creativity

สำหรับการ Restore ก็ง่ายแสนง่าย เพียงแตกไฟล์ที่เราสำรองเอาไว้ ก็จะได้ข้อมูลกลับมาทั้งหมดแล้ว ทีนี้ก็อัพโหลดกลับไปที่เว็บไซต์ ทำการติดตั้งใหม่ (เหมือนติดตั้งเวิร์ดเพรสใหม่เลย) ไม่กี่นาที ทุกอย่างก็กลับมาหมดหายห่วง

ลิงค์ : https://www.akeebabackup.com/products/akeeba-backup-wordpress.html 

2. Classic Editor

เวิร์ดเพรสตั้งแต่เวอร์ชั่น 5 ขึ้นไปนั้น ได้มีการเปลี่ยน Editor ใหม่ ซึ่งทางผู้พัฒนาเค้าบอกว่าดีกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม แต่สำหรับผมนั้นเมื่อได้ลองใช้งานแล้วมันไม่ถนัดจริง ๆ ยังคงยึดติดเวอร์ชั่นเดิม ๆ อยู่ การกลับมาใช้เวอร์ชั่นเดิมกลับไม่ง่ายอย่างที่ควร แต่ก็ไม่ได้ยากเหมือนกัน ใครที่ยังถนัดการใช้งานเวอร์ชั่นเดิม ก็แค่ติดตั้งปลั๊กอิน Classic Editor แล้วก็ทำการ Activate เพียงเท่านี้ก็จะได้หน้าจอ Editor แบบเดิม ๆ กลับมาให้ใช้แล้ว

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/classic-editor/

3. Jetpack by WordPress.com

เป็นปลั๊กอินที่ทางทีมพัฒนา WordPress ได้พัฒนาขึ้นมา มีฟังก์ชั่นเยอะมาก ๆ เช่น เร่งสปีดเว็บไซต์ให้เร็วขึ้นโดยการโหลด static content ไปไว้ที่เวิร์ดเพรส, มีระบบป้องกันสแปมชื่อว่า Akimet, มอนิเตอร์และเตือนในกรณีเว็บไซต์ล่ม, เก็บสถิติการเข้าชมเว็บไซต์, short url เป็นต้น

Where Curiosity Meets Creativity

นี่ก็แค่ตัวอย่างฟังก์ชั่นเบื้องต้นของ Jetpack นะครับ ยิ่งถ้าเป็นเวอร์ชั่นเสียเงินด้วยแล้วยิ่งมีเยอะ

ลิงค์ : https://jetpack.com/ 

4. Link Library

WordPress ได้ตัด Function Blogroll ออกไปหลายเวอร์ชั่นแล้ว แต่การที่เรายังต้องมีฟังก์ชั่นสำหรับแลกลิงค์กับเว็บพันธมิตรก็ยังจำเป็นอยู่ ในส่วนของ Link Library ก็มาเสริมตรงจุดนี้แถมยังมีฟังก์ชั่นเพิ่มอีก เช่น ดึง thumbnail จากเว็บปลายทางมาให้เอง, จัดกลุ่มหรือประเทศของลิงค์, ให้ผู้ที่ต้องการแลกลิงค์ submit เว็บไซต์ได้ เป็นต้น

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/link-library/

5. Really Simple SSL

เป็นปลั๊กอินที่เอาไว้ให้เว็บไซต์ของเราเป็นแบบ https อย่างง่ายมาก ๆ ทั้งเว็บไซต์เลย ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เราติดตั้ง SSL เอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ดาวน์โหลด Really Simple SSL แล้วก็ Activate แค่นี้ปลั๊กอินก็จะไปบังคับให้ทั้งเว็บเราเป็น https ครับ

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/really-simple-ssl/

6. Table of Contents Plus

นักเขียนบางคนเขียนบทความในเว็บไซต์แต่ละเรื่องค่อนข้างยาว ครั้นจะให้ยาวพรืดหน้าเดียวเลยก็อ่านยากอีก จึงต้องมีการทำสารบัญภายในบทความ Plugin : Table of Contents Plus มาทำหน้าที่ตรงนี้ให้อัตโนมัติครับ โดยเราสามารถกำหนดได้ว่าจะให้แสดงสารบัญเมื่อเจอ tag แบบไหน เช่น H1, H2, H3 เป็นต้น นอกจากจะทำให้ง่ายต่อการคลิกเพื่อไปอ่านหัวข้อที่ต้องการแล้ว จะช่วยเพิ่มคะแนน SEO ในเรื่องของลิงค์ภายในบทความด้วยนะ

Where Curiosity Meets Creativity

** Plugin ไม่ได้อัพเดตมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่จากการใช้งานนั้น ก็ยังทำงานได้ดีกับเวิร์ดเพรสเวอร์ชั่น 5 **

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/table-of-contents-plus/

7. TinyMCE Advanced

Editor ของเวิร์ดเพรสนั้น บางทีแค่ Classic Editor อาจจะไม่เพียงพอ ถ้าเราต้องการเพิ่มตาราง ใส่สีให้บทความ เพิ่มลิงค์ ตัวหนา ตัวเอียง เป็นต้น TinyMCE Advanced จะมาทำหน้าที่เสริมความสามารถให้กับ Classic Editor ขึ้นไปอีกขั้น เมื่อเราลงปลั๊กอินตัวนี้แล้วทำการ Activate มันก็จะไปแทน Classic Editor ของเวิร์ดเพรสให้เอง

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/tinymce-advanced/

8. Wordfence Security

ชื่อบอกชัดเลยนะว่าเป็น Security ก็เอาไว้เสริมความปลอดภัยของเว็บเรานั่นเอง สำหรับ Wordfence ก็จะคอยทำงานเป็นแบคกราวน์ให้เราอีกชั้น มีทั้งเวอร์ชั่นฟรีและเสียตังค์ ซึ่งถ้าเปรียบว่าเวิร์ดเพรสเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องนึง เวลาใช้งานก็ควรลงแสกนไวรัสเอาไว้เพื่อความปลอดภัย ซึ่งตัว WordPress Security ก็ทำตัวเหมือนแสกนไวรัสนั่นเอง

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://www.wordfence.com/

9. WP Fastest Cache

ผมว่าเว็บไซต์ที่มีรูปเยอะ ๆ หรือเนื้อหาที่อัพเดตบ่อย ๆ นี่ต้องเจอปัญหาเว็บช้าแน่ ๆ หลายคนมีความรู้หน่อยในการคอนฟิค Server ก็อาจจะไปใช้งาน Cache บน Server หรือช่องทางอื่น ๆ เพื่อปรับแต่งให้เว็บดีขึ้น แต่ถ้าใครที่ใช้งาน Share Hosting แล้วไปแก้ไขตรงนั้นไม่ได้ ก็ต้องลง Plugin ตัวนี้แทนเลย ซึ่งมันจะทำงานโดยการ cache file ที่เป็นแบบ dynamic ให้เป็น static เช่น รูปภาพ, บทความ เป็นต้น เพื่อที่เวลามีคนเข้าชมเว็บไซต์ก็จะไปดึงไฟล์เหล่านั้นไปแสดงได้เลย ไม่ต้องมาคอยประมวลผลทุกครั้งงัย

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/wp-fastest-cache/

10. WP Sweep

ปกติแล้วฐานข้อมูลของเวิร์ดเพรสจะบวมขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเราใช้งานไปสักพัก ส่วนมากแล้วก็บวมจากการเพิ่มบทความ เมื่อเรามีการกดเซฟสักทีนึง เวิร์ดเพรสก็จะทำการแบคอัพบทความไว้ทีนึง บางครั้งในหนึ่งบทความเนี่ยแบคอัพหลายเวอร์ชั่นมาก มันทำให้ฐานข้อมูลให้โดยไม่จำเป็น WP-Sweep จะมาทำหน้าที่เก็บกวาดขยะเหล่านั้นให้

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/wp-sweep/

11. WPS Hide Login

ป้องกันอีกขั้นสำหรับการเข้าใช้งานหลังบ้านของเวิร์ดเพรส โดยปกติแล้ว url เข้าใช้งานหลังบ้านจะเป็น /wp-admin ซึ่งเป็นอะไรที่แฮกเกอร์ทั่วโลกรู้ มันทำให้เป็นเป้าหมายในการโดนแฮกได้ง่าย แต่ WPS Hide Login จะมาแก้ไข url หลังบ้าน โดยเราสามารถเปลี่ยนจาก wp-admin เป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ใจต้องการ ก็ลดเวลาในการโดนแฮ่กไปได้อีกมากโข

Where Curiosity Meets Creativity

ลิงค์ : https://wordpress.org/plugins/wps-hide-login/

How to : ไม่ให้โชว์ Folder, File ใน Quick Access

0
How to : ไม่ให้โชว์ Folder, File ใน Quick Access

เมื่อเปิดไฟล์ หรือ โฟลเดอร์ อะไรก็แล้วแต่ในวินโดส์ 10 จะแสดงประวัติการใช้งานไฟล์หรือโฟลเดอร์เหล่านั้นใน Quick Access ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้งานคนเดียวมันก็ไม่น่าห่วงอะไร แต่ถ้าใช้งานหลายคนและใช้ล็อคอินอันเดียวกัน บางไฟล์อาจจะเป็นความลับไม่อยากให้ใครรู้

จากรูปข้างล่างนี้ จะแสดงไฟล์เพลงที่เปิดใช้งานล่าสุด

How to : ไม่ให้โชว์ Folder, File ใน Quick Access

ขั้นการการเอาออก

  • ไปที่เมนู View
  • คลิกเครื่องหมายชี้ลงที่ Options
  • เลือก Change folder and search options

How to : ไม่ให้โชว์ Folder, File ใน Quick Access

ที่แถบ General มองที่กรอบ Privacy ให้คลิกฟังก์ชั่นส่วนนี้ออก “Show recently used files in Quick access” “Show frequently used folders in Quick access” เสร็จแล้วกด OK

How to : ไม่ให้โชว์ Folder, File ใน Quick Access

กลับมาดูใน File Explorer อีกครั้ง ประวัติการใช้งานเหล่านี้ออกไปหมดแล้ว

How to : ไม่ให้โชว์ Folder, File ใน Quick Access