Join our community of SUBSCRIBERS and be part of the conversation.

To subscribe, simply enter your email address on our website or click the subscribe button below. Don't worry, we respect your privacy and won't spam your inbox. Your information is safe with us.

32,111FollowersFollow
32,214FollowersFollow
11,243FollowersFollow

News

Company:

Monday, June 2, 2025

ไขมันพอกตับ ภัยเงียบอันตรายที่ไม่ใช่แค่ดื่มแอลกอฮอล์

Share

ไขมันพอกตับ เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคตับอักเสบที่พบได้บ่อย ๆ โดยพบมากในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน จัดเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพผู้คนมากมาย เพราะว่าผู้ป่วยไขมันพอกตับมักไม่ค่อยมีอาการบ่งชี้ หากมีก็ไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก บางคนกว่าจะทราบว่าป่วย โรคก็อาจจะดำเนินไปถึงระยะรุนแรงแล้ว เพราะฉะนั้นจะเป็นโอกาสที่ดีหากมาทำความเข้าใจภาวะไขมันพอกตับกันให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ป้องกันและรับมือกันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) คือ ภาวะที่ตับมีการสะสมของไขมันไตรกลีเซอไรด์มากเกิน 5-10% เป็นโรคที่มักไม่มีอาการในช่วงแรก ๆ แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับไขมันมากเกินไปและไม่สามารถกำจัดออกไปได้หมด ไขมันส่วนเกินจึงไปสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งใต้ผิวหนังและอวัยวะภายใน โดยตับเป็นจุดที่สะสมไขมันได้ง่ายและรวดเร็ว สำหรับโรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ตับอักเสบได้ รวมถึงเพิ่มโอกาสต่อการเป็นโรคมะเร็งตับอีกด้วย ไขมันพอกตับเป็นโรคที่พบได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในคนอ้วน ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญจะด้อยลงตามวัย

สาเหตุที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับ

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคไขมันพอตับนั้นสามารจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

  • การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ๆ โดยความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับระยะเวลาและปริมาณการดื่ม
  • สาเหตุอื่น จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและความเจ็บป่วย เช่น การทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ๆ เป็นประจำ ไม่ออกกำลังกาย โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ผลข้างเคียงจากการรักษาโรค อาทิ เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง ยาสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น สำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูง กว่า 90% มีภาวะไขมันพอกตับร่วมด้วย ในจำนวนนี้มีผู้ที่ตับอักเสบถึง 20% และอีก 10% จบลงด้วยโรคตับแข็ง

อาการของคนที่เป็นไขมันพอกตับ

โดยทั่วไปผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ เว้นแต่โรคจะอยู่ในระยะรุนแรงแล้ว ผู้ที่ทราบว่าตัวเองป่วยโดยมากจะทราบจากการตรวจร่างกายประจำปีเสียมากกว่า โดยระยะการพัฒนาของโรคจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
Stages of liver disease
  • ระยะที่ 1 เป็นช่วงที่ไขมันเริ่มเข้ามาสะสมที่ตับ แต่ว่ายังมีปริมาณน้อย ตับยังไม่อักเสบ ไม่มีพังผืดและไม่มีความผิดปกติอื่นใด
  • ระยะที่ 2 ตับเริ่มมีการอักเสบบ้างแล้ว หากไม่ได้รับการรักษานานกว่า 6 เดือนขึ้นไป จะกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
  • ระยะที่ 3 เซลล์ตับเริ่มถูกทำลาย มีพังผืดเข้ามาแทนที่และสะสมแทนเนื้อตับ ในระยะนี้หลายคนอาจมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ ไม่อยากอาหาร ปวดตึงแถวชายโครงขวา บางคนกดที่ชายโครงแล้วรู้สึกเจ็บ
  • ระยะที่ 4 เซลล์ตับถูกทำลายจนไม่สามารถกลับมาทำงานตามปกติได้อีกต่อไป ทำให้ตับแข็งและเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งตับได้ในอนาคต

การป้องกันและดูแลรักษาเมื่อเป็นไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่ป้องกันและรักษาได้ง่ายมากโดยเฉพาะถ้าป่วยในระยะแรก ๆ หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชีวิตและหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น อาการของโรคจะทุเลาอย่างรวดเร็ว แนวทางการปฏิบัติมีดังต่อไปนี้

  1. รักษาน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์ สำหรับใครที่น้ำหนักเกินแนะนำให้ลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายและควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง หากจะทานไขมันควรเลือกทานเฉพาะไขมันดี เช่น ถั่ว ธัญพืช อะโวคาโด้ น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน เพราะจะช่วยลดการสะสมของไตรกลีเซอไรด์ได้ เพิ่มการทานผักและสารอาหารบางชนิดเพื่อเร่งการกำจัดสารพิษและเยียวยาสุขภาพตับให้ดีขึ้น อาทิ บล็อกโคลี่ หอม กระเทียม กะหล่ำปลี แมกนีเซียม วิตามินบี3 เป็นต้น สำหรับผู้ป่วยไขมันพอกตับที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ ตับจะสามารถฟื้นฟูจนกลับมาทำงานเป็นปกติได้หากลดน้ำหนักลงอย่างน้อย 7-10%

การลดน้ำหนักนอกจากจะดีต่อโรคไขมันพอกตับแล้ว ยังส่งผลดีต่อโรคอื่น ๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูงฯลฯ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด สุขภาพร่างกายจะแข็งแรงมากขึ้น รูปร่างก็จะสวยงามสมส่วนขึ้นด้วยเช่นกัน

  1. หากป่วยด้วยโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูงอยู่ ต้องเข้ารับการรักษาจนกว่าจะหายดี ทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่ง งดไปหาซื้อยาหรือวิตามินที่นอกเหนือจากคำสั่งแพทย์มาทานเอง
  2. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท
  3. ไปตรวจร่างกายประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

ถึงแม้ไขมันพอกตับจะมีพัฒนาการของโรคที่ค่อนข้างช้า แต่ว่าหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะรักษาได้ง่ายกว่า เพราะเป้าหมายการรักษาสูงสุดคือป้องกันและหยุดยั้งการอักเสบของตับ เพราะฉะนั้นใครที่ชอบทานอาหารมัน ๆ หวาน ๆ หรือดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ ถึงแม้รูปร่างจะยังไม่อ้วนมากนัก แต่ก็ควรไปเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่าตับทุกปี เมื่อตรวจพบจะได้รักษาอย่างทันท่วงที


ภาพประกอบ https://www.freepik.com 

Gawao
Gawaohttp://konderntang.com
มีความชอบและหลงไหลในเทคโนโลยีทางด้านไอที การลงทุน และเงินคริปโต .. นอกจากนี้แล้วมักใช้เวลาว่างไปกับการท่องเที่ยว ถ่ายรูป ไปค่ายอาสา ..

Read more

Local News