ในยุคปัจจุบันนี้การมองหาที่พักอาศัยที่สะดวกสบายต่อการเดินทางเป็นส่วนสำคัญมากในชีวิตประจำวัน เพราะชีวิตในเมืองกรุงสมัยนี้เต็มไปด้วยความเร่งรีบและการจราจรบนท้องถนนก็หนาแน่น ทำให้จะเดินทางไปไหนมาไหนต้องวางแผนเผื่อเวลาเอาไว้ล่วงหน้านานๆ ผู้คนต้องเดินทางเข้ามาในเมืองเพื่อทำงาน และต้องเดินทางบนท้องถนน ซึ่งอาจจะประสบกับปัญหารถติดนานหลายชั่วโมง ซึ่งก็มีวิจัยว่าส่งผลกระทบทางด้านสุขภาพร่างกายเพราะได้สูดดมควันพิษจากท่อไอเสีย และยังส่งผลลบต่อสุขภาพทางจิตแบบสะสมอีกด้วย

ทั้งนี้ถ้าหากเลือกพิจารณาในการลงทุนอสังหา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบการซื้อเพื่อปล่อยเช่าหรือซื้อเพื่อเพิ่มมูลค่าในอนาคต ต่อการทำกำไรส่วนต่างสูงๆในระยะยาวนั้น ควรที่จะเลือกโฟกัสให้ถูกจุดถูกกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก การเลือกซื้ออสังหาให้ตอบโจทย์กับความต้องการของบุคคล นอกจากจะได้ที่พักตรงใจตรงกับความต้องการแล้วนั้นก็ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการปล่อยเช่าหรือขายได้มากขึ้น ยกตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในยุค Gen Y นั้น ถือเป็นกลุ่มคนยุคใหม่ที่ถือว่ามีกำลังซื้อ ถ้าหากเลือกได้ก็ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งกลุ่มคนนี้จะอยู่ในช่วงอายุ 24-40 ปี มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้คนที่เพิ่งได้เริ่มเข้ามาทำงานแรก ไปจนถึงกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว

ดีไซน์และฟังก์ชั่น 

รูปแบบห้องที่มีการใช้งานได้อย่างครบครัน สามารถตอบโจทย์ได้ครบถ้วน ถึงแม้ว่าโครงการนั้นๆจะมีพื้นที่จำกัดเพราะเนื่องจากด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองซึ่งค่าคอนโดที่คำนวณคิดราคาเป็นตารางเมตร จึงได้ห้องพักที่ไม่ใหญ่มาก แต่หากจัดฟังก์ชั่นการใช้งานห้องได้เป็นอย่างดี มีการแบ่งแยกสัดส่วนให้อย่างลงตัว สวยงามและเหมาะแก่การใช้ชีวิต ก็จะสามารถตอบโจทย์ให้คน Gen Y ได้ไม่ยาก เพราะคนกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยที่คุ้มค่า ยกตัวอย่างเฟอร์นิเจอร์บางประเภทที่สามารถพับเก็บได้เมื่อไม่ได้ใช้งาน เพื่อประหยัดเนื้อที่บริเวณในห้องให้กว้างยิ่งขึ้น

เทคโนโลยี 

ที่ช่วยในความสะดวกสบายให้และช่วยเสริมยกระดับคุณภาพชีวิต การใช้ระบบคอนโดหรือบ้านที่อยู่อาศัยแบบ Smart home หรือ Home Automation ในยุคปัจจุบันนี้ก็เป็นแนวทางที่ผู้พัฒนาอสังหาได้นำเข้ามาเพื่อเพิ่มข้อได้เปรียบน่าสนใจให้กับคน Gen Y เพราะนอกจากในเรื่องของความสวยงาม ดูทันสมัย และสามารถส่งเสริมภาพลักษณ์เป็นอย่างดีให้กับผู้อยู่อาศัยแล้วนั้น เทคโนโลยีใหม่ๆก็มีส่วนสำคัญ หรือลองศึกษาจากผลงานที่บริษัทบริหารอาคารชุดที่ดี เพราะหลายโครงการที่บริษัทบริหารอาคารชุดได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบนี้เข้ามาประยุกต์ใช้ในอสังหาทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและส่วนบุคคล

ทำเลที่ตั้งของโครงการ

คือส่วนที่ผู้ซื้อควรต้องพิจารณาเป็นอันดับต้นๆเช่นกัน ความต้องการที่สำคัญของคน Gen Y นั้นคือความสะดวกในการเดินทางไปทำงานหรือเดินทางไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจเลยที่คอนโดแถวแนวรถไฟฟ้า กลางเมือง หรือใกล้แหล่งที่ทำงานนั้นเป็นที่นิยมในหมู่คน Gen นี้ แต่ถ้าหากอยู่ในวัยที่โตขึ้นมาอีกขั้น จะเริ่มมีการคิดเผื่อครอบครัว เป็นวัยที่เริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัว ขยับขยายพื้นที่ให้เพียงพออยู่การอยู่อาศัย ทำให้กลุ่มคนนี้จะพิจารณาโครงการที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า มีความสงบ ไม่พลุกพล่าน แต่ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนเดิม ตัวอย่างเช่นโครงการบ้านจัดสรรอาจจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า แต่ในขณะเดียวกันนั้น หากยังไม่ได้มีครอบครัวที่ใหญ่ โครงการคอนโดที่มีพื้นที่กว้างขวางก็เป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน ดังนั้นผู้ลงทุนควรตัดสินใจให้ดีว่าต้องการซื้ออสังหาในรูปแบบไหน ให้ตรงโจทย์ความต้องการในช่วงอายุนั้นมากที่สุด

พื้นที่ส่วนกลาง

และนอกเหนือจากนี้สิ่งที่สำคัญในการเลือกอยู่อาศัยที่คอนโดนั้นคือพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งจะไม่มีก็ไม่ได้ พื้นที่ส่วนกลางคือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในพื้นที่โครงการหรือคอนโดมีเนียม เพื่อบริการแก่เจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยทุกคน ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะมองพิจารณาพื้นที่ส่วนกลางด้วยเนื่องจากให้ความสะดวกสบายครบครันมากน้อยเพียงใด โอกาสที่จะปิดการขายหรือในการตัดสินใจเข้าอยู่ในรูปแบบการเช่าก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก อาทิเช่น สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกายฟิตเนสพร้อมทั้งมีอุปกรณ์ให้เลือกใช้หลากหลาย สวนเด็กเล่น ลานบาร์บีคิว ห้องประชุม ห้องซาวน่า สนามเทนนิส เป็นต้น หรือถ้าหากเป็นส่วนบริการอย่างเช่น รถรับส่งจากโครงการไปยังรถไฟฟ้า บริการแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดห้อง หรือบริการรับตัดค่าน้ำค่าไฟจากบัญชีผู้อาศัยอัตโนมัติประจำเดือน บางโครงการก็จะมีการบริการในส่วนการตรวจซ่อมบำรุงลิฟท์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในโครงการ พื้นที่ส่วนล็อบบี้ การดูแลสวนและสระน้ำ สาธารณูปโภคต่างๆ เป็นต้น

ถึงแม้ว่าคน Gen Y จะเป็นช่วงอายุที่มีกำลังซื้ออสังหาก็จริง แต่การที่จะซื้ออสังหาสักที่นึง ก็เป็นราคาที่ไม่ใช่น้อยๆเลย กว่าจะเลือกโครงการที่ถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใดๆก็ตามล้วนเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ เพื่อให้คุ้มกับเงินที่ต้องจ่ายไป และ แลกมาด้วยความพึงพอใจในหลายๆด้านในชีวิตเมืองกรุง

Standby ในที่นี้เป็นการ Standby ทำงาน หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับคำนี้ หรือบางคนอาจต้องอยู่ในภาวะที่ต้อง Standby ทำงาน แต่ยังมีข้อสงสัยอยู่เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ควรได้รับ อย่างเช่นค่าจ้างว่าต้องได้รับหรือไม่อย่างไร หรือสามารถปฏิเสธไม่ทำได้หรือไม่ ซึ่งทางบทความในครั้งนี้ก็ได้รวบรวมเอาเรื่องราวเกี่ยวกับ Standby ทำงาน มาอธิบายรายละเอียดแบบครบถ้วน ตอบทุกข้อสงสัยที่หลายๆ คนอยากรู้ที่นี่แล้ว

Standby ทำงานคืออะไร?

Standby ทำงาน คือการทำงานลักษณะหนึ่ง ที่ผู้ทำงานจะต้อง Standby ทำงาน แม้ในตอนนั้นอาจไม่ใช่วันทำงานหรือเป็นวันหยุด หากพนักงานอยู่ในสถานะ Standby ทำงาน หมายความว่าถ้าหากถูกเรียกตัวหรือเรียกใช้งาน พนักงานคนนั้นจะต้องพร้อมและสามารถปฏิบัติงานได้ทันที

ยกตัวอย่างการ Standby ทำงาน อาจเป็นการรอรับสายลูกค้าในวันหยุด หากไม่มีสายเข้าก็ไม่ต้องทำอะไร แต่เมื่อไรที่มีสายเข้าจากลูกค้า ต้องพร้อมรับสายและให้ข้อมูลลูกค้าตลอดระยะเวลาการ Standby ทำงานที่ตกลงกับหัวหน้างานเอาไว้

Standby ทำงาน ปฏิเสธได้ไหม?

หากถูกสั่งให้ Standby ทำงาน สามารถเลือกปฏิเสธได้หรือไม่ เป็นคำถามที่หลายคนคงอยากรู้ ในความเป็นจริงแล้วการ Standby ทำงาน แบ่งเป็น 2 แบบตามเหตุผลที่ต้องการการ Standby

• แบบแรกคือ “งานฉุกเฉิน“ จึงจำเป็นต้องมีพนักงาน Standby ทำงานเสมอ เพราะถ้าหากไม่มีการ Standby ทำงาน อาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับองค์กรได้
• แบบที่ 2 เป็นการ Standby ทำงานเพื่อ “ผลประโยชน์” ของบริษัท การไม่มีพนักงาน Standby ทำงาน ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ทำให้องค์กรไม่ได้รับผลประโยชน์บางอย่าง

เมื่อย้อนกลับไปที่คำถามว่าการ Standby ทำงาน สามารถปฏิเสธได้ไหม คำตอบคือ หากเป็นแบบแรกที่เรียกว่างานฉุกเฉิน หัวหน้างานสามารถสั่งให้พนักงาน Standby ทำงาน ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พนักงานยินยอม กลับกันหากเป็นแบบที่ 2 ซึ่งเป็นการสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมให้บริษัท จะต้องได้รับการยินยอมจากพนักงานก่อนเสมอ ดังนั้นพนักงานมีสิทธิที่จะปฏิเสธและไม่ Standby ทำงานให้ได้

Standby ทำงาน ต้องได้รับค่าจ้างหรือไม่?

มาถึงคำถามที่คนอยากรู้มากที่สุดว่าการ Standby ทำงาน ต้องได้รับค่าจ้างหรือไม่ ให้ลองจินตนาการดูเล่นๆ ว่าการที่พนักงานคนหนึ่งต้อง Standby ทำงาน ทั้งที่ไม่ใช่เวลางาน ทำให้ไม่สามารถไปทำธุระอื่นได้ บางรายไม่สามารถเดินทางออกจากต่างจังหวัดได้ เพราะอาจถูกเรียกตัวเข้าบริษัทเมื่อไรก็ได้

บางรายอาจไม่แม้แต่จะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ เพราะต้องพร้อมที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาการ Standby ทำงาน เนื่องจากอาจถูกเรียกดูข้อมูลจากฐานข้อมูลเมื่อไรก็ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าในช่วงเวลาการ Standby ทำงาน แม้ว่าจะไม่มีสายเข้าหรือไม่มีการถูกเรียกใช้งานเลยก็ตาม แต่พนักงานคนนั้นก็จะต้องเสียโอกาสในการไปทำธุระอย่างอื่นโดยอัตโนมัติ

ธุระนั้นอาจเป็นการพักผ่อน หรืออาจเป็นการสร้างรายได้เสริม ซึ่งแน่นอนมันคือการเสียโอกาสในการทำธุระต่างๆ เหล่านั้น และที่เหมาะสมที่สุดพนักงานคนนั้นก็ “ควรได้รับค่าจ้าง” ตามความเหมาะสม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเป็นการ Stand by ทำงานที่บริษัท (ไม่ใช่ที่บ้าน) การได้รับค่าจ้างจะไม่ใช่แค่ควรได้รับ แต่ “ต้องได้รับค่าจ้าง” ซึ่งเป็นไปตามฎหมาย

Standby ทำงาน ควรคิดอัตราจ้างแบบไหน?

หากเป็นการ Standby ทำงาน เพื่อผลประโยชน์ของบริษัท จะต้องได้รับการยินยอมจากพนักงานก่อน และบริษัทคิดอัตราจ้างที่เป็นธรรมกับพนักงาน มีการตกลงกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ให้เข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับได้ทั้ง 2 ฝ่าย และถ้าหากเป็นการ Standby ทำงาน ที่ทำงาน คือให้พนักงานไปรองานที่บริษัท แบบนั้นบริษัทต้องคิดอัตราจ้างเป็นค่าทำงานล่วงเวลา (OT) ซึ่งในส่วนตรงนี้บางหลายบริษัทก็เลือกที่จะใช้ระบบโปรแกรมการทำงานอย่างเช่นจาก ByteHR ซึ่งเป็นผู้นำด้านระบบเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความแม่นยำขึ้น

ทั้งนี้หากเรียกพนักงานเข้าไป Standby ทำงาน ที่บริษัท ก็ควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่ต้องมาทำงานนอกเหนือเวลางาน ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าอาหาร ฯลฯ ตามความเหมาะสม เรื่องนี้ไม่มีกฎตายตัว แต่ควรทำให้เป็นธรรมที่สุด

Standby ทำงาน หากตกลงแล้วถึงเวลาไม่ทำจะเป็นอย่างไร?

มีบางกรณีที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วถึงเรื่อง Standby ทำงาน แต่ถึงเวลาจริง พนักงานกลับไม่ทำตามข้อตกลง หายไปเฉยๆ ติดต่อไม่ได้ ทำให้เกิดความเสียหายต่อการทำงาน กระทบแผนงานที่วางไว้ ไม่สามารถหาคนอื่นมาแทนในเวลานั้นได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ กรณีแบบนี้พนักงานคนนั้นก็ควรได้รับโทษทางวินัย แม้จะเป็นการ Standby ทำงาน เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทก็ตาม เนื่องจากได้มีการตกลงกันแล้ว หมายความว่าพนักงานยินยอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Standby ทำงาน สิ่งที่นายจ้างต้องคำนึง

การ Standby ทำงานเป็นเรื่องที่นายจ้างควรเจรจากับลูกจ้างให้เกิดความเข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงคือการบังคับ ควรพูดคุยกันด้วยเหตุผล ที่สำคัญผลตอบแทนควรคุ้มค่า อย่ามองว่าแค่ Standby ทำงาน ที่อาจไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นคือต้นทุนค่าเสียโอกาสได้เกิดขึ้นแล้วกับพนักงานคนนั้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามสถานการณ์ ที่อาจแตกต่างกันออกไป เพราะในลักษณะงานการ Standby ทำงาน บางครั้งก็อาจกระทบเวลาของพนักงานน้อยมากจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่นายจ้างและลูกจ้างควรทำความเข้าใจกันให้ดีเสียก่อน

Standby ทำงาน สิ่งที่ลูกจ้างต้องคำนึง

ในมุมของลูกจ้างหากเป็นการ Standby ทำงาน ซึ่งมีการตกลงกันตั้งแต่วันสัมภาษณ์และก่อนเริ่มงานจริง พนักงานก็ไม่ควรเกี่ยงในเรื่องนี้ เพราะถ้าหากรับไม่ได้ก็ไม่ควรตกลงทำงานตั้งแต่ต้น และสำหรับการ Standby ทำงานในกรณีพิเศษ (นานๆ ครั้ง) หากไม่กระทบกับชีวิตส่วนตัวมากนัก ก็ควรให้ความร่วมมือกับองค์กร ถือเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยอาจพิจารณาถึงผลตอบแทนประกอบด้วยก็ได้ ที่สำคัญอย่าหายไปเฉยๆ หลังจากที่ตกลงกันไว้อย่างดีแล้ว เพราะนั่นถือเป็นการไม่รับผิดชอบ และมีความผิดที่ควรได้รับโทษ แม้จะเป็นการทำงานนอกเวลาก็ตาม

สรุป คือ การ Standby ทำงาน หากเป็นการเข้าไปรองานที่บริษัท ต้องได้รับค่าจ้างเป็นค่าล่วงเวลา แต่ถ้าหากเป็นการ Standby ทำงานที่บ้าน ก็ควรได้รับค่าจ้างตามความเหมาะสม อยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรมที่ลูกจ้างควรได้รับจากนายจ้าง

ในยุคปัจจุบันที่มีแบบบ้านหลากหลายสไตล์ให้คุณได้เลือกซื้อหลากหลาย ตั้งแต่แบบบ้านที่เหมาะกับครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขยายที่มีการอาศัยอยู่รวมกันหลายช่วงอายุ ฯลฯ รวมไปถึงจำนวนชั้นของบ้านตั้งแต่บ้าน 1 ชั้น บ้านสองชั้น บ้านสามชั้น ไปจนถึงอาคารพาณิชย์ที่สามารถเป็นได้ทั้งสำนักงาน ค้าขายและเป็นที่อยู่อาศัยไปในตัว โดยในวันนี้เราจะมาแนะนำคุณถึง5 สไตล์ แบบบ้านสามชั้น จัดว่าสวยดูดีไม่ตกยุคกัน

1. แบบบ้านเดี่ยวสามชั้น S830A3 สไตล์ Modern  

แบบบ้านสามชั้นที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการสไตล์ Modern  ด้วยพื้นที่ใช้สอย 273.8 ตารางเมตร สำหรับชั้นที่ 1 จะไว้สำหรับเป็นพื้นที่รับแขก ห้องสำหรับรับประทานอาหาร ห้องเตรียมและประกอบอาหารและห้องนอน 1 ห้อง ต่อมาที่พื้นที่ชั้น 2 และชั้น 3 จะเป็นส่วนของห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัวครบทุกห้อง ทำให้สะดวกสบายในการใช้งานเป็นอย่างมาก

2. แบบบ้านสไตล์โฮมออฟฟิศ

บ้านที่สามารถเป็นที่ทำงานได้ในพร้อมกัน พื้นที่ใช้สอย 195 ตารางเมตร  เหมาะสำหรับที่ดิน 55.25 ตารางวา มีด้วยกัน 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 2 ห้อง โดยจะมีพื้นที่สำหรับรับแขกที่ชั้น 2  สามารถจอดรถได้ 2 คัน

3. แบบบ้านโฮมออฟฟิศพร้อมสระว่ายน้ำ สไตล์ Modern แบบผสมผสาน

แบบบ้านนี้เหมาะสำหรับที่ดินประมาณ 71.69 ตารางวา หน้ากว้างอย่างน้อย 18.50 เมตร
ลึก 15.50 เมตร รวมพื้นที่ใช้สอย 253 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยห้องนอน 4 ห้อง ห้องน้ำ 3 ห้อง 2 พื้นที่จอดรถ  และพื้นที่สระว่ายน้ำ สำหรับไว้พักผ่อนหย่อนใจและเจรจางานได้ดีอีกด้วย

4. แบบบ้านสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ สไตล์ CONTEMPORARY

แบบบ้าน 3 ชั้นที่เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่จาก SCG Heim (แบบบ้าน Contemporary H940 A3) ที่มีพื้นที่ใช้สอยถึง 396.5 ตารางเมตร มีห้องนอนถึง 5 ห้อง ห้องน้ำ 6 ห้อง ห้องนั่งเล่น และจุดเชื่อมระเบียงไว้สำหรับเป็นจุดพักผ่อนของครอบครัวอย่างลงตัว

5. แบบบ้าน Ultimate 4-1 A3 สไตล์ร่วมสมัย

แบบบ้านที่ตอบโจทย์ความเป็นครอบครัวได้อย่างครบถ้วน ประกอบไปด้วย  ห้องนอน 4 ห้อง ห้องน้ำ 6 ห้อง ห้องนั่งเล่น ห้องสำหรับประกอบอาหาร ห้องพระ มีสไตล์การออกแบบและใช้สีโทนอบอุ่น ปลอดภัย ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ของทุกคนในบ้านได้อย่างลงตัว

จาก 5 แบบบ้านสามชั้นข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งในสไตล์ที่ใช้ได้ในทุกยุคสมัย ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป คุณควรศึกษาให้ละเอียดเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของคุณให้มากที่สุดนั่นเอง

เมื่ออายุมากขึ้นนอกจากร่างกายที่เสื่อมไปตามวัยและกาลเวลาแล้วนั้นอวัยวะอย่างนึงที่มีแนวโน้มถดถอยไปด้วยเช่นกันคือสมองของคนเรานั่นเองค่ะ การเสื่อมของสมองนั้นเห็นได้ชัดเมื่อเราเริ่มรู้สึกว่าจดจำสิ่งต่าง ๆ ไม่ค่อยได้แล้ว ลืมนั่นลืมนี่บ่อย การคิดวิเคราะห์แยกแยะและการจดจำเริ่มมีปัญหาทั้งยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันแล้วด้วยนั้น อาจสรุปได้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเสี่ยงเป็นบ่อเกิดของโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ค่ะ

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราควรฝึกบริหารสมองเพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตกันค่ะ วันนี้เราจึงมีไอเดียในการบริหารสมองให้ทำงานได้ดีทั้งหมด 7 วิธีมานำเสนอให้ลองเอาไปทำตามกันนะคะ

หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

หนึ่งในการบริหารสมองให้ยังทำงานได้ดีอยู่นั้นคือการหัดเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ค่ะ หมายถึงเราควรเริ่มที่จะลองทำหรือลองเรียนรู้บางสิ่งที่เรายังไม่เคยรู้จักหรือยังไม่เคยได้ลองทำมันเลยในชีวิตนี้ เหมือนเป็นการสร้างทักษะบางอย่างให้เราเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ เช่น ลองเรียนภาษาที่สามที่สี่ หัดเรียนเครื่องดนตรีสักหนึ่งชิ้น ฝึกทำอาหารอิตาลี เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่เหล่านี้เหมือนเป็นการไปกระตุ้นเซลล์สมองให้พยายามทำงานกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคยค่ะ

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ถ้าเรื่องสุขภาพไม่ว่าจะร่างกายหรืออวัยวะส่วนสำคัญอื่น ๆ แล้วนั้น การออกกำลังกายยังคงเป็นกิจวัตรต้น ๆ ในการทำให้สุขภาพดีไม่ถดถอยค่ะรวมถึงสมองของเราด้วยเช่นกัน ในระดับผู้สูงอายุการเดินช้า ๆ ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแล้วค่ะ แต่ขอให้ทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์และใช้เวลาประมาณ 45 นาทีค่ะ เพราะเมื่อเราออกกำลังกายสมองจะหลั่งสารเอ็นโดรฟินสารแห่งความสุขทำให้สมองปลอดโปร่งและสดชื่นส่งผลให้ลดการเป็นโรคความจำเสื่อมได้ดีอีกด้วยค่ะ

หัดมีกิจกรรมเข้าสังคม

มนุษย์ถือเป็นสัตว์สังคมการมีเพื่อนฝูงไว้ให้เราพูดคุยออกไปเที่ยวหรือไปทำกิจกรรมร่วมกันถือเป็นการฝึกทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยแสดงออกผ่านคำพูดและการกระทำเพื่อสื่อสารกับผู้อื่น สิ่งเหล่านี้เป็นการฝึกให้สมองรู้จักวิธีการสื่อสาร การวิเคราะห์ การแยกแยะ การตัดสินใจ และทักษะอื่น ๆ หากมีกิจกรรมทางสังคมสม่ำเสมอนอกจากช่วยเรื่องสมองได้แล้วนั้นยังช่วยเรื่องจิตใจอีกด้วยค่ะ กิจกรรมเข้าสังคมที่เรามักเห็นกันได้ทั่วไปตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าก็ เช่น การเสวนาหัวข้อต่าง ๆ สถากาแฟ เย็นปักถักร้อย เป็นต้น ซึ่งสมัยใหม่นี้ก็อาจจะใช้วิธีการนัดพบปะสังสรรค์กันตามคาเฟ่ ชวนกันไปถ่ายรูป หรือชวนกันไปท่องเที่ยวด้วยกันค่ะ

ทำสมาธิและฝึกตั้งสติ

สิ่งที่ช่วยให้สมองเรามีการพัฒนาได้ดีขึ้นและป้องกันความจำเสื่อมได้ดีนั้นคือการทำสมาธิเพื่อฝึกให้มีสติ เป็นการเรียนรู้ให้จิตอยู่กับปัจจุบันโดยการกำหนดจิตให้รู้เท่าทันว่าขณะนั้นรู้สึกอย่างไรหรือสภาวะอารมณ์เป็นอย่างไร กำลังทำอะไรอยู่ กำลังไปที่ไหน ยิ่งย่อยได้ละเอียดเท่าไหร่บ่งบอกถึงเรามีสติเท่าทันได้ตรงจุดเมื่อฝึกทำบ่อย ๆ จิตเป็นสมาธิก็จะทำให้เกิดปัญญาส่งผลให้สมองได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นการทำให้สมองมีการจดจำที่ดีได้มากขึ้นอีกด้วยค่ะ

ฟังเพลงคลาสสิค

เราคงจะเคยได้ยินว่าเมื่อไหร่ที่เริ่มเป็นพ่อแม่คนการจะทำให้ลูกน้อยโตมาแล้วฉลาดมักจะชอบใช้วิธีเปิดเพลงคลาสสิคให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในครรภ์ซึ่งวิธีนี้สามารถนำมาใช้ได้ทุกช่วงวัยค่ะ เพราะเพลงคลาสสิคจะมีคลื่นความถี่บางอย่างที่ไปช่วยในการกระตุ้นสมองให้สมองของคนเรามีสมาธิและความจำดีขึ้น การเปิดเพลงบรรเลงก่อนนอนหรือเพลงที่มีคลื่นความถี่จำเพาะที่ช่วยเรื่องคลื่นสมองนิยมอย่างแพร่หลายทางฝั่งตะวันตกมานานแล้วรวมถึงมีการวิจัยออกมาด้วยว่าช่วยได้จริงคนจึงนำมาทดลองและเริ่มขยายขอบเขตไปเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้

สมัครเข้าชมรม

การสมัครเข้าชมรมที่ตนเองสนใจถือเป็นการแบ่งเวลาบางส่วนของเราให้ใช้ไปกับงานอดิเรกที่เราชอบด้วยเหมือนกัน เป็นการฝึกทักษะทั้งทางด้านกิจกรรมที่ทำและฝึกทักษะการเข้าสังคมไปในตัว ทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ในคลาสที่มีความชอบและความอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ที่คล้ายกัน  ชมรมที่น่าสนใจ เช่น ชมรมวาดภาพ ชมรมศิลปะ ชมรมปลูกดอกไม้ ชมรมจิตอาสา ชมรมเต้นลีลาส ชมรมหมากล้อม ชมรมอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ชมรมการฝึกเขียนไดอารี เป็นต้น

เล่นเกมส์ฝึกสมอง

อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเรื่องการบริหารสมองให้กลับมามีความจำได้ดีขึ้นอีกได้นั้นคือการเล่นเกมส์ฝึกสมองค่ะ เช่น หมากรุก หมากฮอต หมากล้อม ปริศนาอักษรไขว้ ทายปัญหาเชาว์ เกมส์ทายคำศัพท์ เกมส์จำภาพหรือใบหน้าบุคคล หรือเปิดพจนานุกรมท่องศัพท์ใหม่ เป็นต้น หรือหากอยากเล่นเกมส์ช่วยให้ผ่านคลายและกระตุ้นสมองไปในตัวก็จะมีเกมส์ สล็อต ฟรีเครดิต ไม่ต้องฝาก ต้อง แชร์ ถอนได้ 2020 เป็นต้น ซึ่งแต่ละเกมส์ถูกสร้างมาเพื่อให้เราฝึกพัฒนาสมองและบริหารสมองอยู่แล้วค่ะ เหมือนเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองให้เกิดกระบวนการคิดที่ซับซ้อนขึ้น การหาทางออกวิธีการแก้ไข หรือการหาหนทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทางต่าง ๆ โดยมีแรงจูงใจโดยการชนะเป็นรางวัลค่ะ

เครดิตรูปภาพ :

• https://pin.it/2wE3e43
• https://pin.it/7en1r04
• https://pin.it/4Vi1OBU

ทุกวันนี้คำว่า คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) ไม่ใช่คำใหม่อีกต่อไป มันถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งตามหน้าสื่อต่าง ๆ คริปโตเคอเรนซีบางครั้งอาจเรียกว่า สินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีความหมายเหมือนกันและสามารถใช้แทนกันได้

และคุณรู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ เราสามารถใช้เงินคริปโตเคอเรนซีสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้แล้ว และรวมถึงการใช้สำหรับเดิมพันในเว็บคาสิโนออนไลน์อีกด้วย ซึ่งรายละเอียดของการใช้งานคริปโตเคอเรนซีในเว็บคาสิโนออนไลน์ จะเป็นอย่างไร เราไปดูกันเลย

ทำความรู้จักกับคริปโตเคอเรนซีกันก่อน

 ก่อนที่จะไปพูดถึงว่าเราสามารำใช้คริปดตเคอเรนซีในเว็บคาสิโนออนไลน์เครดิตฟรี ได้อย่างไรนั้น อันดับแรกคุณต้องรู้จักกอ่นว่า คริปโตเคอเรนซี หรือสกุลเงินดิจิตอลที่ว่านี้มันคืออะไร ซึ่งเราได้สรุปให้เห็นภาพแบบง่าย ๆ ตามนี้เลย

 1. คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) คือสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบหนึ่ง

สินทรัพย์ดิจิทัล จะเป็นอะไรก็ได้ที่ถูกเก็บไว้ในระบบดิจิทัล โดยรวมอาจหมายถึง บทความ คลิปวิดีโอ หรือเนื้อหาต่าง ๆ ในทางการเงิน สินทรัพย์ดิจิทัล หมายถึงสินทรัพย์ที่สามารถแลกเปลี่ยน ซื้อขายได้ ยกเช่น โทเคนทอง (Gold Token) ที่เอาไว้ซื้อขายทองบนตลาดออนไลน์ หรือ คริปโตเคอเรนซี นั่นเอง

คริปโตเคอเรนซี เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่ง เป็นสกุลเงินเข้ารหัส ออกแบบมาเพื่อเป็นสื่อกลาง ของการแลกเปลี่ยน ใช้วิทยาการเข้ารหัส หรือรหัสลับ (Cryptography) ในการป้องกัน และยืนยันธุรกรรม คริปโตบางประเภทอียังใช้การเข้ารหัสเพื่อควบคุมการผลิตด้วย

2. คริปโตเคอเรนซีใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำงาน

ปัจจุบัน มีสกุลเงินคริปโตฯ หลายสกุล ที่ใช้ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในการบันทึกธุรกรรม โดยบล็อกเชน เป็นเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลซึ่งมีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัยมากที่สุด มีหลักการทำงานแบบกระจายศูนย์ (Decentralized)

สำเนาของข้อมูล จะถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่าย และระบบจะมีการตรวจสอบ ให้ข้อมูลทุกเครื่องตรงกันอยู่เสมอ จึงยากต่อการปลอมแปลงข้อมูล และสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส

คริปโตเคอเรนซี ส่วนใหญ่ทำงานอยู่บนบล็อกเชนสาธารณะ หรือบล็อกเชนวงเปิด (Public Blockchain) แต่ปัจจุบัน ยังมีบล็อกเชนอีกหนึ่งประเภท นั่นก็คือบล็อกเชนส่วนบุคคล หรือบล็อกเชนวงปิด (Private Blockchain) ที่มีการจำกัดการใช้งานเฉพาะยูสเซอร์ และสกุลเงินคริปโตฯ บางสกุล ก็สร้างบนบล็อกเชนประเภทนี้

3. ปัจจุบันสามารถใช้แลกเปลี่ยนได้อย่างถูกกฎหมาย

ในแต่ละประเทศ มีกฏหมายที่รองรับสกุลเงินดิจิทัลที่แตกต่างกันออกไป ในบางประเทศ การซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการออกกฎหมาย ที่เกี่ยวกับการเทรดสกุลเงินดิจิทัลเพื่อรองรับ โดยทางรัฐบาลจะเข้ามาตรวจสอบธนาคาร หรือผู้ให้บริการการทำธุรกรรมเพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นธรรมต่อทุกคน

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่สกุลเงินดิจิทัล มีความเป็นอิสระด้วยตัวของมันเอง รัฐจึงไม่มีสิทธิในการควบคุมการออก หรือกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ จึงทำให้การแลกเปลี่ยนค่อนข้างมีความอิสระพอสมควร

การใช้คริปโตเคอเรนซีในเว็บคาสิโนออนไลน์

 เมื่อรู้จักกับคริปโตเคอเรนซีกันไปแล้ว คราวนี้มาเข้าสู่หัวข้อหลักของเราเลยดีกว่านั่นก็คือ การใช้คริปโตเคอเรนซีในเว็บคาสิโนออนไลน์นั่นเอง

อย่างที่เรายกตัวอย่างไปในตอนต้น ทุกวันนี้เราสามารถใช้คริปโตเคอเรนซีหรือเงินดิจิตอลในการแลกเปลี่ยนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว รวมถึงใช้ในการเดิมพันกับเว็บคาสิโนออนไลน์ด้วย ผ่านทางการฝากเงินกับ e-wallet ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Paypal, Skrill หรือ Neteller ซึ่งคุณสามารถฝากเข้าไปเหมือนกับการฝากเงินปรกติได้เลย จากนั้นระบบจะแปลงเงินดิจิตอลกลับมาเป็นเงินปรกติให้เรา ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบัน

ทุกวันนี้มีสกุลเงินดิจิตอลมากมายที่รองรับในเว็บคาสิโนออนไลน์ ซึ่งนอกจาก Bitcoin สกุลเงินที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว ยังมีสกุลเงินดิจิตอลอื่น ๆ อีกเพียบ และเราได้รวบรวมมาไว้ที่หัวข้อด้านล่างนี้แล้ว

 สกุลเงินดิจิตอลที่กำลังมาแรง และสามารถใช้กับเว็บคาสิโนออนไลน์ได้

• Bitcoin (BTC): สกุลเงินดิจิทัล ยี่ห้อแรกที่ทุกคนรู้จักและคุ้นหูมากที่สุด เป็นราชาแห่งคริปโตเคอร์เรนซี ที่สำคัญเป็นเหรียญที่มีราคาแพงที่สุด เมื่อเทียบกับเหรียญอื่นๆ
• Ethereum (ETH): เหรียญบนบล็อกเชนอีเธอเรียม มีจุดเด่นคือ Smart Contract หรือ สัญญาที่เขียนขึ้นตามเงื่อนไขต่าง ๆ ในรูปแบบโค้ดคอมพิวเตอร์ เป็นเหรียญที่มีมูลค่าสูงรองจาก BTC
• XRP (XRP): เหรียญดิจิทัลของบริษัทริปเปิล บริษัทเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ที่สร้างระบบโอนเงินระหว่างประเทศแบบอัตโนมัติ สามารถโอนเงินข้ามประเทศได้ภายใน 40 วินาที ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยังได้เข้าไปลงทุนในบริษัทนี้ด้วย
• Bitcoin Cash (BCH): เหรียญที่แยกตัวออกมาจาก บิตคอยน์ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 ด้วยการเพิ่มขนาดบล็อกเป็น 8MB ทำให้ทำธุรกรรมได้มากขึ้น เร็วขึ้น จากเดิมที่ “บิตคอยน์” ยังมีความล่าช้าในการทำธุรกรรม เพราะขนาดบล็อกจำกัดแค่ 1MB
• Tether (USDT): สเตเบิ้ลคอยน์หรือเหรียญคริปโตที่ตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ที่ผันผวนต่ำ ทำให้มูลค่าค่อนข้างนิ่ง ซึ่ง USDT มีมูลค่าตรึงอยู่กับดอลลาร์ในอัตรา 1USDT :1 USDโดยแนวคิดของ USDT คือการเป็นดอลลาร์ดิจิทัล
• Stellar (XLM): คริปโตในเครือข่ายบล็อกเชนของ Stellar ก่อตั้งโดย Jed McCaleb ในปี 2557 Jed McCaleb เป็นผู้ร่วมก่อตั้งริปเปิลและยังเป็นผู้ก่อตั้งเว็บเทรดคริปโต MtGox

ใช้คริปโตกับเว็บคาสิโนออนไลน์ดีอย่างไร

ข้อดีดดยธรรมชาติของเงินคริปโตฯ คือระบบเงินที่ไร้การควบคุม ไม่ได้ถูกกำหนดโดยรัฐ ซึ่งจะมีอิสระในการใช้งานที่มากกว่า ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยคือ คุณสามารถฝากเงินคริปโตข้ามประเทศได้ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม สามารถถอนเข้าออกได้เลน ผ่านทางคีย์ที่คุณถือไว้

นอกจากนี้ราคาของสกุลเงินคริปโตต่าง ๆ ยังมีการปรับขึ้นลงคล้ายกับหุ้นอีกด้วย ซึ่งตรงนี้เรามองว่าเป็นข้อดีที่จะทำให้ยอดเงินในการเดิมพันของคุณเพิ่มขึ้นได้ไม่ยาก หรือว่าง่าย ๆ คือเป็นการลงทุน 2 ต่อ ทั้งจากคริปโตเองและก็จากในเว็บพนันออนไลน์ด้วย

สรุปข้อดีของการเดิมพันด้วยคริปโตฯ

 ฝาก-ถอนได้ง่าย อยู่ที่ไหนก็ฝากเงินได้

• ไม่มีค่าธรรมเนียมในการฝาก
• ยอดเงินสามารถปรับเพิ่ม หรือลดได้ตามค่าแลกเปลี่ยน

ตัวอย่างช่องทางการฝากเงินด้วยคริปโตฯ

อย่างที่เราบอกไป คุณสามารถฝาก-ถอนเงินคริปโตผ่านทางช่องทาง e-wallet ได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Paypal, Skrill และอื่น ๆ อีกมากมาย

แต่พูดแบบนี้หลายคนอาจมองไม่เห็นภาพว่า การฝากเงินในช่องทางเหล่านี้ทำได้อย่างไร มีรายละเอียดอะไรบ้าง ดังนั้นเราจะขอยกตัวอย่างมาสักหนึ่งช่องทาง นั่นก็คือการฝากเงินผ่าน Skrill นั่นเอง

Skrill หรือชื่อเดิมคือ Moneybooker เป็นบริการฝาก-ถอนเงินในระบบออนไลน์ หรือบริการ e-Wallet ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2001 โดยการฝากเงินคริปโตกับ Skrill สามารถทำได้ดังนี้

การฝากเงินกับ Skrill

1. ล็อกอินด้วยบัญชีที่เราทำการสมัคร
2. กดที่ปุ่ม Upload เพื่อทำการฝากเงิน
3. เลือกสกุลเงินดิจิตอลที่เราต้องการฝาก จำกัดครั้งละไม่เกิน 18,989.50 บาท/ครั้ง
4. กดปุ่ม Sendmoney และยืนยันตัวตนอีกครั้งเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

การถอนเงินกับ Skrill

1. ล็อกอินด้วยบัญชีที่เราทำการสมัคร
2. กดที่ปุ่ม Withdraw
3. เลือกช่องทางการถอน ผ่านธนาคาร หรือบัตรเครดิต
4. กรอกจำนวนเงินที่ต้องการถอน
5. กดยืนยัน รอเงินเข้าบัญชี 2-3 วัน

สำหรับบทความนี้ หวังว่าทุกคนคงจะได้เห็นแล้วว่า เราสามารถใช้คริปโตเคอเรนซีในการเดิมพันได้ไม่ยากเลย และการเดิมพันด้วยสกุลเงินดิจิตอลนั้นก็มีข้อดีอย่างมาก ทั้งสะดวก รวดเร็ว และที่สำคัญยังไม่มีค่าธรรมเนียมอีกด้วย

และในครั้งหน้า หากเรามีบทความเกี่ยวกับวงการเงินดิจิทัลที่น่าสนใจ หรือมีเรื่องราวอัปเดตเกี่ยวกับ คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) อีกล่ะก็ เราจะเอามาเล่าสู่กันฟังอีกแน่นอน

ที่มา:

https://www.bristol247.com/business/features-business/the-positive-impact-of-cryptocurrency-in-the-gambling-industry/

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน แน่นอนละว่าทุกคนจะต้องเจอกับปัญหาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันก็มีแดดบ้าง บางวันก็ฝนตกหนัก และหลายครั้งก็เจอพายุหรือสถานการณ์ที่ตั้งตัวไม่ทัน หลายคนถึงกับรับมือไม่ไหว ทำให้เกิดความเสียหายกับร่างกายและทรัพย์สิน  ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาอีก และวันนี้เราจะชวนคุณมาเตรียมความพร้อมรับมือกับฝนตกหนัก เพื่อให้ผ่านหน้าฝนไปนี้ได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล มีความปลอดภัยทั้งตัวคุณ คนที่คุณรัก และทรัพย์สินของคุณเองด้วย

1. ตรวจเช็กสภาพบ้านและบริเวณบ้าน

โดยปกติแล้วเราควรจะตรวจเช็คหลังคาบ้านและบริเวณรอบบ้าน อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฤดูฝนหรือฤดูอื่นก็ตาม สิ่งที่ต้องสำรวจโดยหลัก ๆ นั้นก็คือ รอยร้าว รอยรั่วของหลังคา และตรวจสอบวัสดุการปูหลังคา ว่ายังมีการยึดเกาะแน่นอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ และเมื่อพบจุดบกพร่อง ก็ให้ดำเนินการแก้ไขทันที ส่วนสำหรับบริเวณรอบบ้านนั้น มีบางบ้านที่มีการติดตั้งโรงเรือนเพิ่มเติม ควรจะตรวจสอบว่าบริเวณที่ต่อเติมเพิ่มเติมนั้น มีความแข็งแรงหรือไม่ เพราะถ้าหากเกิดปัญหาแล้วมีการซ่อมแซมขึ้นมา ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก หากไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ควรที่จะละเลยหรือมองข้าม เพราะคิดไปเองว่าจะไม่เกิดปัญหาใด ๆ

2. ตรวจสอบระบบไฟฟ้า ระบบน้ำ

ระบบไฟฟ้าหรือระบบน้ำภายในบ้านนี้ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะว่าหากเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ระบบ ไฟฟ้าภายในบ้านที่ควรตรวจสอบทุก 3-6 เดือน ก็คือ เต้ารับไฟฟ้า สายไฟภายในบ้านและบริเวณที่ต้องสัมผัสอยู่บ่อย ๆ เช่น กริ่งหน้าบ้าน และจุดที่อยู่ภายในนอกบ้าน ที่ไม่มีร่มเงาบังและต้องรับกับสภาพน้ำฝน ควรจะป้องกันด้วยการติดกล่องบังน้ำฝนให้เรียบร้อย และจุดบริเวณไหนที่มีการใช้งานบ่อย ๆ ควรจะมีการเปลี่ยนเมื่อใกล้หมดอายุการใช้งาน สำหรับวิธีการเช็คไฟรั่วภายในบ้านนั้น สามารถทำได้ง่าย ด้วยการปิดการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด โดยที่ไม่ต้องเอาคัตเอ้าวท์ลง แล้วสังเกตดูที่มิเตอร์ไฟฟ้า ถ้าหากว่ามีมิเตอร์ไฟฟ้าหมุนอยู่แสดงว่าเกิดรั่วภายในบ้าน และอีกวิธีหนึ่งสำหรับการเช็คไฟรั่วภายในบ้านก็คือ ใช้ไขควงวัดไฟแตะไปที่เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสวิตช์ไฟภายในบ้าน หากมีไฟสีแดงขึ้นที่ไขควง แสดงว่ามีไฟฟ้ารั่วเกิดขึ้น

3.  สังเกตเค้าฝน

โดยปกติแล้วก่อนที่ฝนตกจะเริ่มมีลมเย็นพัดมา ท้องฟ้ามืดครึ้ม และมีเสียงฟ้าร้องบ้าง หากรู้ทันก่อนแบบนี้ ก็รีบปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย แม้ว่าฝนจะไม่ตกเยอะก็ตาม แต่ละอองฝนและไอน้ำอาจจะพัดลอยเข้ามาในบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านชื้น และอาจทำให้คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดอาการกำเริบได้

และหากใครที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง ก่อนที่ฝนจะตกควรจะพาสัตว์เลี้ยงหลบเข้าในบริเวณบ้าน เพราะตัวสัตว์เลี้ยงเองไม่สามารถป้องกันตัวเองจากฟ้าฝ่าได้ และปลอกคอสัตว์ส่วนมากก็เป็นตัวล่อฟ้าได้อีกด้วย

4. เตรียมเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน

อย่ามองข้ามเรื่องง่าย ๆ แบบนี้ แล้วนึกไปเองว่าต้องรอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยหาทีหลังก็ได้ เพราะยังไงก็มีอินเตอร์เน็ตหาออนไลน์สะดวกกว่า ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงขนาดไหน หากสมมติมีคนในบ้านได้รับบาดเจ็บจากฟ้าผ่า ไฟรั่ว หรือได้รับอุบัติเหตุจากไฟฟ้าดับ ถึงคราวนั้นใครก็ตกใจและไม่มีสติควบคุมอารมณ์ได้ดีพอ ทางที่ดีการเตรียมพร้อมในเรื่องแบบนี้ก็ยังดีกว่าที่จะต้องสูญเสียใครสักคนหนึ่งไปเพราะความประมาท

5. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมเมื่อเกิดไฟดับ

ไฟดับตอนกลางวันอาจจะไม่เป็นไร แต่หากดับตอนกลางคืนเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุหรือลื่นล้มแน่ ในบ้านควรจะมีไฟฉายที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา และเทียนไข อุปกรณ์เบสิกง่าย ๆ ที่จะเป็นตัวช่วยให้อุ่นใจ ไม่ต้องทนกับความมืด

วิธีป้องกันตัวเมื่ออยู่นอกบ้าน

หากเกิดพายุฝนเมื่อกำลังอยู่นอกบ้าน ให้หาชายคาที่หลบฝนทันที ไม่ควรรีรอหรือคิดไปเองว่าเดี๋ยวฝนก็หยุดตกแล้ว และหลีกเลี่ยงการหลบฝนใต้ต้นไม้หรืออาคารขนาดเล็กที่มีแค่กันสาด เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าได้เลยแม้แต่น้อย และหากต้องหลบฝนร่วมกับผู้อื่น ควรจะเว้นระยะห่างประมาณ 20-30 เมตร เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าไหลเข้าหากัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่า

วิธีป้องกันตัวเมื่ออยู่ในบ้าน

หลบฝนภายในบ้านไม่ควรอยู่ใกล้หรือพิงประตูหน้าต่าง ควรงดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดที่ทำมาจากโลหะ และไม่ควรที่จะยืนหรือพิงกับผนังคอนกรีต เพราะส่วนใหญ่โครงสร้างภายในจะเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี หากมีธุระที่จะต้องออกจากบ้าน ควรจะทิ้งระยะห่างประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน ค่อยเดินทางอีกครั้ง

หากเกิดกรณีฝนตกไม่ร้ายแรง ก็ไม่ควรจะออกจากบ้านอยู่ดี แม้ตากฝนเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ไม่สบายได้ ทางที่ดีควรพักอยู่บ้าน เมื่อเกิดรู้สึกเหงาหรือเบื่อ แต่ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เปิดโทรทัศน์ โน้ตบุ๊ค ได้ ลองหยิบมือถือมาเล่นเกมที่ union-777 คลายเครียดได้ นอกจากจะได้ความสนุกแล้ว ยังเป็นเกมที่เล่นแล้วได้เงินจริง เล่นง่าย ภาพสวย รับรองว่าเพลินแม้ฝนหยุดตกแล้ว ก็ไม่อยากไปไหนแน่นอน

เครดิตภาพ : tonkit360.com / scimath.org / autoinfo.co.th