Friday, July 11, 2025
Home Blog Page 30

ทำความรู้จักกับเหรียญ Pirl

1
รู้จักกับเหรียญ Pirl Coin

Pirl คืออะไร?

PIRL คือเหรียญคริปโตอีกเหรียญที่พัฒนามาจาก Ethereum (ETH) มีสโลแกนว่า “A COMMUNITY BUILT CRYPTO. BY PEOPLE FOR PEOPLE” หรือ คริปโตที่พัฒนาโดยชุมชนเพื่อชุมชนอย่างแท้จริง นั่นหมายความว่าพัฒนาจากนักพัฒนาที่รวมตัวกันขึ้นมา ไม่ขึ้นอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ฟังก์ชั่นของ Pirl นอกจากจะเป็นคริปโตที่มีความปลอดภัยเหมือนเหรียญอื่น ๆ แล้วในอนาคตตามแผนพัฒนานั้น Pirl จะเป็นเสมือนตลาดกลางที่สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน สินค้าและบริการต่าง ๆ ได้กันอย่างเสรีทั่วโลก โดยใช้ Pirl ในการชำระแทนเงินสด หรือบัตรเครดิตทั่ว ๆ ไป

รู้จักกับเหรียญ Pirl Coin

ในเชิงเทคนิคนั้น สิ่งที่ Pirl แตกต่างจาก Ethereum อย่างชัดเจนก็คือ ได้มีการพัฒนาให้รองรับ Masternode นอกจากนั้นแล้วก็สามารถทำงานได้เหมือนกับ Ethereum ได้ทุกอย่าง (แน่นอนล่ะก็พัฒนามาจาก Souce Code ของ ETH นี่นา)

Masternode คืออะไร

Masternode เป็นอัลกอริทึ่มที่ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาของการขุดเหรียญแบบเก่า ๆ ที่กินไฟมหาศาล (Proof of Work) โดยเปลี่ยน Concept การทำงาน จากเดิมที่เราจะต้องมีการ์ดจอเพื่อมาขุดเหรียญโดยเปิดไว้ให้เครื่องขุดทำงานตลอดเวลา หากใครที่ประกอบเป็นริกสำหรับขุด ก็จะกินไฟมากอย่างทีบอกไป ..

เมื่อเปลี่ยนมาเป็น Masternode แล้วจะเหมือนกับการที่เราตั้ง Server ไว้เครื่องนึง เพื่อเป็นเครื่องสำหรับให้บริการในการยืนยันข้อมูล Transaction ต่าง ๆ ในเครือข่ายของ Pirl ซึ่งเราจะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็น Pirl ซึ่งในวันที่เขียนบทความนี้ (02-05-2018) ยังไม่มีตัวเลขของผลตอบแทนออกมาแบบชัดเจนว่าจะได้เท่าไหร่ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงพัฒนา

*** และที่สำคัญคือ Pirl ต่อต้านเครื่องขุดประเภท ASIC ***

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Proof of Concept

ความต้องการของระบบหากต้องการเป็น Master Node

  • มี Pirl เป็นหลักประกันอย่างน้อย 20,000 Pirl
  • Public IP
  • คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง

*** ถึงแม้ว่า Pirl จะมี Masternode ออกมา แต่ Proof of Work แบบเดิมก็ยังคงสามารถขุดได้ต่อไปนะครับ ***

อะไรที่ไม่ใช่ Pirl

  • Pirl คือ Cryptocurrency ไม่ใช่ Token
  • Pirl ไม่มีการระดมทุน
  • Pirl ไม่ใช่ ETH

คุณสมบัติและโครงสร้างของ Pirl

ข้อนี้ไม่น่าจะมีอะไรมาก หากว่าเรารู้จัก Ethereum มาแล้ว มันก็สามารถทำได้ทุกอย่างที่ Ethereum มีและทำได้น่ะแหละ แต่เพิ่มเติมคือ Masternode นั่นเอง

รู้จักกับเหรียญ Pirl Coin

  • Algorithm : Dagger
  • Time between block : 13 sec
  • Total block reward : 12 PIRL
  • Miner reward : 10 PIRL / block
  • Masternode & dev : 2 PIRL / block (dev fee will be used for promotion and future development)
  • Network ID : 3125659152
  • rpc port : 6588
  • Node : https://github.com/pirl/pirl
  • Linux bin : http://release.pirl.io/latest.tar.gz
  • Docker image : pirl/pirl-node

คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับ Pirl

จำนวนเหรียญจะมีทั้งหมดเท่าไหร่
Pirl ไม่กำหนดจำนวนของเหรียญทั้งหมด นั่นหมายความว่ามีไม่จำกัด
ถ้าต้องการจะติดตั้ง Master Node จะต้องใช้ Pirl เท่าไหร่
ต้องใช้ทั้งหมด 20,000 Pirl ถึงจะสามารถติดตั้งได้
Pirl มีเหรียญที่ผลิตช่วงเริ่มต้น (Premine) และมีการระดมทุน ICO หรือไม่
ไม่มี, Pirl เริ่มต้นจาก 0
Dev Fund คืออะไร
เป็นค่าตอบแทนที่จ่ายคืนให้นักพัฒนาจำนวน 2 pirl ในทุก ๆ บล๊อคที่มีการขุดเจอ

How to : ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone 

0
ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

เมื่อการเจริญเติบโตของเครื่องขุดจำพวก ASIC เป็นไปอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด เราจะเห็นว่ามีผู้เล่นในตลาดนี้รายใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่จ้าวที่ผลิตเครื่อง ASIC ออกมาจำหน่าย นอกจากจะเป็นผู้ผลิตแล้ว ยังจะมี Pool เป็นของตัวเอง ซึ่งนับเป็นสัดส่วนก็เกือบ ๆ จะครึ่งหนึ่งของเหรียญคริปโตทีมีการหมุนเวียนอยู่ในตลาด เรียกว่ารับเงินทั้งขึ้นทั้งล่องเลยทีเดียว แต่ยังมีบางอัลกอริทึ่มของ Ethereum และ Zcash ที่ยังไม่มีเครื่อง ASIC ออกมา เรายังคงสามารถขุดเหรียญข้างต้นได้ด้วยการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพสูง

Logo Electroneum

แต่… สำหรับคนที่ไม่มีความรู้อะไรเลยทางด้านไอที ก็คงจะกลัว ๆ ใช่มั้ยล่ะ ที่จะลงทุนเงินเป็นแสน ๆ เพื่อซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องนึง มาเปิดทิ้งไว้ เพื่อปล่อยให้คอมพิวเตอร์ทำอะไรของมันไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่รู้เรื่องเลย รู้แต่ว่ามันคือ การขุดเหรียญหาเงินออนไลน์ และได้รับผลตอบแทนเป็นเงินคริปโต

ถ้าใครที่ยังกลัวที่จะเริ่มต้นการลงทุนเครื่องขุดที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล มาลองวิธีนี้กันดูมั้ยครับ ลองผิดลองถูกกันไป เมื่อมีความรู้ในเชิงลึกมากขึ้น จะขยับขยายไปสู่เครื่องขุดประสิทธิภาพสูง ๆ ก็ไม่ยาก

สิ่งที่ผมกำลังจะพูดถึงก็คือ การขุดเหรียญ Electroneum ด้วยโทรศัพท์มือถือเรานี่แหละ … ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิดหรอก โทรศัพท์มือถือ จำพวก Smartphone ที่เราใช้งานกันในชีวิตประจำวัน .. ทุกวันนี้ประสิทธิภาพของมันเองก็ไปไกลโข จะมีสักกี่คนที่ใช้งานมันเต็มร้อยบ้าง

ข้อควรรู้ก่อนเริ่มขุดเหรียญ Electorneum

  • แอพพลิเคชั่นสำหรับขุดเหรียญ Electroneum ยังคงใช้งานได้เฉพาะ Android เท่านั้น
  • แอพพลิเคชั่นบน iOS ยังอยู่ในขั้นตอนรีวิวของ Apple Store คาดว่าน่าจะพร้อมใช้งานได้เร็ว ๆ นี้

รู้จักกับ Electroneum

Electroneum : ETN เป็นอีกหนึ่งสกุลเงินประเภทคริปโต ที่วางเป้าหมายในการพัฒนาไว้ว่า จะกระจายอำนาจการควบคุมต่าง ๆ ไปถึงผู้ใช้งานอย่างแท้ทรู .. ทีมพัฒนาได้ออกแอพพลิเคชั่นสำหรับขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone ที่ใช้งานได้ค่อนข้างง่ายเลยแหละ

สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมโดยตรงที่ : https://electroneum.com/th/welcome-th/

มีสิ่งหนึ่งที่ CEO ของ Electroneum กล่าวไว้ค่อนข้างน่าสนใจและพิสูจน์

“the app does not perform real mining only a simulation of mining. The Electroneum app will mine ETN based on the CPU capacity of your phone but it won’t actually use any CPU power to mining. The app will continually read the available CPU power on the phone and adjust the mining rate accordingly.”

“แอพพลิเคชั่น ที่เราได้พัฒนาออกมาสำหรับขุดเหรียญ Electroneum นั้น จะใช้ CPU ของ Smartphone แต่จะไม่กินไฟและใช้พลังงานของ CPU ทั้งหมด แต่มันจะคอยเช็คว่า CPU ว่างจากการทำงานอื่น ๆ อยู่รึเปล่า ก็จะเอาส่วนนั้นมาขุดเหรียญ Electroneum”

ถ้าเราสงสัยแต่ไม่ยอมพิสูจน์กันสักที สิ่งที่เค้าพูดจะเป็นจริงหรือไม่ เราก็จะไม่ได้คำตอบ ไปดูขั้นตอนกันเลยดีกว่าว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนการขุดเหรียญ Electroneum (ETN) ด้วย Smart Phone

ตอนที่ 1 : สมัครสมาชิกเว็บไซต์ Electroneum

** การสมัครสมาชิกของ Electroneum นั้นจะยืนยันค่อนข้างหลายขั้นตอน เตรียมโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว พร้อมอีเมล์สำรองด้วยนะขอรับ **

1. ไปที่เว็บไซต์ของ Electroneum เมื่อเข้าหน้าแรกแล้วกดที่เมนู “Create Account”

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

2. เมื่อเข้าสู่หน้าจอการรับสมัคร สามารถเลือกที่จะสมัครโดยใช้ Facebook Account หรือว่า จะกำหนดใหม่เองก็ได้ เสร็จแล้วให้คลิกยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน และคลิก Recaptcha (I’m not a robot) เมื่อพร้อมก็กดที่ “Create Account” เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

3. หลังจากผ่านขั้นตอนที่ 2 ให้ไปตรวจสอบอีเมล์เพื่อยืนยันการใช้งาน

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

4. กด I’m not a robot และกด “Confirm Account”

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

5. เพิ่มเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้งานจริง โดยเลือกรหัสประเทศ แล้วก็ตามด้วยเบอร์ของเราครับ ในส่วนของประเทศไทยให้เลือกเป็น +66 แล้วก็เบอร์ของเรา เช่น +66091xxxxxxx เสร็จแล้วคลิก reCAPTCHA และคลิก “Send SMS”

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

6. ระบบ Electroneum จะส่ง SMS เข้ามาที่โทรศัพท์มือถือที่ลงทะเบียนเอาไว้ ให้เรานำรหัสดังกล่าว มายืนยันอีกที พร้อมแล้วคลิกที่ I’m not a robot และคลิกต่อที่ “Submit confirmation code”

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

7. ขั้นตอนนี้จะต้องใช้อีเมล์อื่นที่แตกต่างจากเมล์ที่ใช้สมัครในตอนแรก เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน หากเราลืมรหัสต่าง ๆ จะใช้อีเมล์นี้ในการกู้คืน เมื่อกรอกอีเมล์เสร็จแล้วให้คลิกที่ reCAPTCHA และคลิก “continue”

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

8. กลับไปเช็คที่อีเมล์แรกที่เราใช้ในการลงทะเบียนอีกครั้ง เพื่อกดลิงค์ยืนยันการใช้งานอีเมล์ที่จะใช้สำหรับกู้ข้อมูล

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

9. กดที่ I’m not a robot และ กดที่ “Confirm email address”

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

10. กำหนด PIN ตัวเลข ความยาว 5 ตัว > reCAPTCHA > “Save PIN”

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

11. สุดท้ายแล้วเราจะเข้าสู่การใช้งานระบบแล้ว ให้กรอกรหัสพิน 5 ตัว > reCAPTCHA > Continue

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

ตอนที่ 2 : ดาวน์โหลด ติดตั้ง แอพพลิเคชั่น ลงบน Smart Phone และเริ่มขุดเหรียญ Electroneum

1. ไปที่ Google Play Store แล้วค้นหาแอพพลิเคชั่นชื่อ Electroneum และเริ่มขั้นตอนการติดตั้ง > เมื่อติดตั้งเสร็จเปิดใช้งานโปรแกรม > เลือก Login หรือ Login with Facebook (ขึ้นอยู่กับขั้นตอนตอนสมคร) > กด Login

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

2. ถ้าเป็นการเข้าใช้งานด้วย Smart Phone ครั้งแรกจะต้องยืนยันการใช้งานก่อน คล้าย ๆ กับตอนที่สมัครครับ ไม่ยากหลังจากกด Login ก็ให้ไปเช็คอีเมล์ แล้วกดลิงค์จากอีเมล์ เสร็จแล้วกลับมาเปิด Application อีกครั้ง

Login ด้วยรหัสพิน 5 ตัว > กดที่ Start Mining เพื่อเริ่ม หาเงินออนไลน์ กัน

ขุดเหรียญ Electroneum ด้วย Smartphone

ง่ายมั้ยครับ ทีนี้เราก็รอเวลาสักสองสามวัน ก็จะรู้แล้วล่ะว่ารายได้ของเราจะได้เท่าไหร่น่าจะพอคำนวนรายรับทั้งเดือนได้ visit the official website –


ข้อมูลเพิ่มเติม

รายชื่อเหรียญที่พัฒนามาจาก Ethereum และข้อแตกต่างของแต่ละเหรียญ

1
ethereum น้ำมันในโลกดิจิตอล
ethereum น้ำมันในโลกดิจิตอล

เหรียญดิจิตอลเกือบทั้งหมดที่ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีของ Ethereum นั้น มีความเหมือนกันในแง่ของเทคนิคและฟังก์ชั่นการทำงาน จะว่าไปแล้วน่าจะเกิน 90% ของฟังก์ชั่นทั้งหมด แต่สิ่งที่ต่างกันของแต่ละเหรียญเราอาจจะต้องลงลึกลงไปในเชิงเทคนิคของเหรียญแต่ละอัน เพราะถ้าไม่มีสิ่งที่แตกต่างกันเลย เหรียญใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานของ Ethereum ก็น่าจะไม่มีทางเกิดได้เลย เราไปดูกันครับว่ามันมีอะไรแตกต่างกันบ้าง

Ethereum

Ethereum (ETH) คือ ต้นแบบของเหรียญทั้งหมดตระกูลนี้ แรกเริ่มนั้น ETH ได้ประกาศตัวเองไว้เปรียบเสมือนบิทคอยน์เวอร์ชั่น 2 เพราะทีมพัฒนาเองได้เห็นว่าบิทคอยน์ถึงแม้จะมีความปลอดภัย แต่ก็ยังขาดสิ่งที่ควรจะมีอีกหลายอย่าง ปัจจุบันนั้น ETH มีมูลค่าในตลาดเหรียญดิจิตอลเป็นอันดับที่สองรองจากบิทคอยน์ และมีอีกหลาย ๆ Token และเหรียญดิจิตอล ที่นำเอาเทคโนโลยีของ Ethereum ไปต่อยอด พัฒนาออกมาเป็นเหรียญของตัวเอง ทำให้ Ethereum นั้นเติบโตได้รวดเร็วมาก

ethereum น้ำมันในโลกดิจิตอล
ethereum น้ำมันในโลกดิจิตอล

ในช่วงที่เปิดตัวเหรียญ Ethereum (ETH) ได้มี การระดมทุนด้วย ICO ทั้งหมด 60 ล้าน ETH ยังไม่รวมอีก 12 ล้าน ETH ที่เป็นค่าตอบแทนสำหรับทีมพัฒนา นั่นหมายความว่า เมื่อเปิดตัวเสร็จทั้งหมดแล้วจะมี ETH วิ่งอยู่ในตลาดทั้งหมด 72 ล้าน ETH

ETH เป็นเหรียญที่สามารถได้มาจากการขุด โดยใช้อัลกอริทึ่ม DAGGER ซึ่งสามารถขุดได้ด้วยการ์ดจอประสิทธิภาพสูง จนถึงวันที่เขียนบทความนี้ (01-05-2018) ยังไม่มีเครื่อง ASIC ออกมาจำหน่าย เหรียญ ETH สามารถขุดได้ประมาณ 10 ล้าน ETH/ปี ตอนนี้เหรียญ ETH ที่อยู่ในตลาดก็มีเกือบครึ่งนึงของทั้งหมดไปแล้ว  แต่ไม่ต้องห่วงนะครับว่ามันจะหมดได้ง่าย ๆ เพราะอัลกอริทึ่มของเหรียญคริปโตทุกเหรียญออกแบบให้ขุดยากขึ้น เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะมีเครื่องขุดประสิทธิภาพสูง ๆ ถือกำเนิดขึ้นมาขนาดไหนก็ตาม จะมีค่าดิฟที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวมาเป็นตัวควบคุม Demand และ Supply ตัวนี้นี่เอง

ในแง่ของทีมงานพัฒนานั้น ETH มีทีมพัฒนาที่ขนาดใหญ่ที่สุด แต่กระนั้นก็ตามสุดท้ายแล้วทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดาผู้ก่อตั้ง ETH เพียงคนเดียวเท่านั้น คือ Vitalik Buterin ซึ่งเหตุนี้เองก็มีนักพัฒนาหลายคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะมันไม่ใช่การกระจายอำนาจอย่างแท้จริง สุดท้ายแล้วตัว ETH เองก็ได้มีการประกาศแยกตัวออกมาเป็นอีกเหรียญหนึ่งคือ ETC (Ethereum Classic) ซึ่งเหมือนกับ ETH 100% เลย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือทีมพัฒนาที่ถือเป้าหมายว่า ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และพัฒนา

Ethereum Classic

ETC เป็นเหรียญแรกที่แตกตัวออกมาจาก ETH อย่างที่บอกไปแล้วว่า ทีมพัฒนาบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการบริหารและทิศทางของ ETH โดยหลักการง่าย ๆ ของ ETC คือ “code is law” and “transaction finalization” จำนวนเหรียญทั้งหมด คือ 210 ล้าน ETC

Ethereum Classic
Ethereum Classic

ในส่วนของปัญหานั้น Ethereum Classic เองก็ยังคงมีเหมือนกัน อย่างที่บอกไปว่า ETC เป็นเหรียญที่ Hard Fork มาจาก ETH จึงมีจำนวน 72 ล้าน ETC ในตอนแรกที่เป็นทีมงานเดิม หรือบุคคลกลุ่มเดิมเป็นเจ้าของ ETC ดึงแม้ว่าวันนึง ETC จะผลิตออกมาจนหมด 210 ล้าน ETC แล้วก็ตาม เมื่อคิดเป็นสัดส่วนแล้วประมาณ 30% ของ ETC ทั้งหมดก็ยังถือว่าสูง ข้อนี้ก็ยังคงถกเถียงกันจนทุกวันนี้ว่าต่อไปในอนาคตจะลงเอยแบบไหน

Expanse

Expanse-Coin-Logo
Expanse-Coin-Logo

Expanse (EXP) มีสัดส่วนเหรียญที่เป็นผลตอบแทนเริ่มต้นสำหรับนักพัฒนาจำนวน 11.11 ล้าน EXP ขนาดของนักพัฒนานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับ ETH, ETC แล้วจะมีขนาดที่เล็กกว่า สำหรับ Expanse นั้นไม่ได้มีการ Hard Fork มาจาก ETH แต่เป็นการนำ Source Code และเทคโนโลยี Blockchain ของ Ethereum มาใช้งาน จึงถือเป็นการสร้างเหรียญใหม่ โดยเริ่มต้นจากจำนวน 0 EXP

Ubiq

Ubiq Coin Logo

Ubiq เป็นโปรเจคส์ที่เริ่มใหม่จากโปรเจคส์เดิมที่ชื่อ Jumbucks (JBS) โดยจะไม่มีการ Premine โดยในช่วงแรก ๆ นั้นก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ และถกเถียงกันว่าเหรียญ Ubiq จะใช้อัลกอริทึ่มแบบ Proof of Stake (POS) เพราะเป็นการเริ่มต้นใหม่ของโปรเจคส์เดิม ซึ่งมีเหรียญดังกล่าวอยู่ในระบบแล้วประมาณ 36 ล้าน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็สามารถขุดเหรียญตัวนี้ด้วยการ์ดจอได้ (Proof of Work : POW) แผนการในอนาคตของเหรียญ Ubiq คือ จะค่อย ๆ ลดผลตอบแทนในแต่ละบล๊อคลงเรื่อย ๆ ที่ละเหรียญ จดสุดท้ายจาก 8 Ubiq ใน 1 Block จะเหลือเพียง 1 Ubiq/Block เท่านั้น ในส่วนอัลกอริทึ่มที่ใช้ในการควบคุมค่าดิฟของ Ubiq นั้นจะชื่อว่า Flux Difficulty Algorithm

Ellaism

Ellaism-Logo

ELLA หรือ Ellaism นั้นเป็นเหรียญที่สร้างขึ้นแบบเพียว ๆ เลยไม่ได้ Hard Fork จากเหรียญใด ๆ ทั้งนั้น เว้นแต่ว่านำ Source Code ของ Ethereum มาพัฒนาต่อ สิ่งที่ทำให้ Ellasim แตกต่างจากเหรียญอื่น ๆ คงเป็นเรื่องของค่าตอบแทนของนักพัฒนาที่ทาง Ellaism ประกาศว่าส่วนนี้ไม่มี แต่ชุมชนนักพัฒนาของ ELLA นั้นอยู่ได้ด้วยการบริจาคเงินเท่านั้น จะว่าไปส่วนตัวแล้วผมเองชอบแนวทางแบบนี้มากกว่า เพราะทุกคนได้มีส่วนร่วม ไม่ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่ข้อเสียคือมันอาจจะล่มสลายไปเมื่อไหร่ก็ได้

ถึงแม้กลุ่มนักพัฒนาของ ELLA ยังคงเป็นกลุ่มเล็ก ๆ อยู่ก็ตาม แต่ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นพลังของ Open Source นั้นแกร่งมากเลยทีเดียว ในอนาคตอาจจะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดก็เป็นได้

นอกจากรายชื่อเหรียญที่กล่าวมาข้างต้นแล้วก็ยังไม่หมดนะครับ ยังคงมีเหรียญอื่น ๆ อีก

  • Whalecoin เป็น Social Network ที่จัดตั้งโดยใช้เทคโนโลยีของ Ethereum
  • Musicoin ช่องทางการชำระเงินสำหรับนักร้อง

ตารางเปรียบเทียบข้อแตกต่างแต่ละเหรียญ

ชื่อ Dev Fee ICO Premine Dev Premine Genesis Block PCS (1) DCS (2)
Ethereum 0 60 million 12 million 72 million >50% 13%
Ethereum Classic 0 60 million 12 million 72 million >50% 13%
Expanse 0 0 11.11 million 11.11 million >50% >50%
Ubiq 0 0 0 36 million >50% 0
WhaleCoin 33% 0 0 0 0 33%
Ellaism 0 0 0 0 0 0
  1. อัตราส่วนของเหรียญในช่วงเริ่มต้น เมื่อเทียบกับจำนวนเหรียญที่มีอยู่ในตลาด
  2. อัตราส่วนที่จ่ายให้นักพัฒนาเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนเหรียญที่มีอยู่ในตลาด

ส่วนลด 30% เมื่อลงทะเบียนงาน Blockchain & Bitcoin Conference Thailand

0

โอกาสพิเศษสำหรับผู้ลงทะเบียนงาน Blockchain & Bitcoin Conference Thailand ตั้งแต่วันนี้ – 28 กพ. 2561 นี้เท่านั้นนะครับ รับทันทีส่วนลด 30% รีบหน่อยนะ เวลามีน้อยและโอกาสงานระดับโลกแบบนี้ จะจัดในไทยมีน้อยจ้า

ราคาปกติ : 15,000 บาท ราคาส่วนลด 10,500 บาท

เพียงใช้โค้ด BBCThai30 ตอนที่ลงทะเบียน คลิกลงทะเบียนที่นี่ 

Where Curiosity Meets Creativity

สำหรับเนื้อหาเกี่ยวกับในงานก็จะกล่าวถึงเกี่ยวกับเทรนของโลกคริปโตและบล๊อคเชนในอนาคตว่าจะเดินทางไปในทิศทางใด และเราจะลงทุนกับเหรียญคริปโตพวกนี้ได้อย่างไรบ้าง งานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 6 มีนาคม 2561 ที่โรงแรมระดับห้าดาวอย่าง Pullman Bangkok Grande Sukhumvit.

รายละเอียดงาน

คนแรกเลยครับคุณ Joseph Tsou นั้นเป็นกรรมการผู้จัดการแพลตฟอร์มการเทรดสกุลเงินดิจิทัลอย่าง BlockEx อีกทั้งยังเป็นผู้มีประสบการณ์ในด้านของการเงินเป็นอย่างดีรวมถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Fintech อีกด้วย โดยหัวข้อที่เขาจะขึ้นพูดนั้นจะเป็นเกี่ยวกับ คอนเซ็ปต์พื้นฐานของเทคโนโลยี Blockchain รวมถึงการรีวิวในหัวข้อของสกุลเงินดิจิทัล ทั้งด้านการลงทุน การเทรด รวมถึงการระดมทุนแบบ ICOs

คนต่อมาคุณ Vladislav Sapozhnikov ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารของกระดานเทรดในรูปแบบ Decentralized อย่าง Deex Exchange ก็จะมาขึ้นพูดเกี่ยวกับว่าทำไม Decentralized Ecosystem ที่ใช้งานบนแพลตฟอร์มอย่าง BitShares ถึงเป็นอนาคตวันข้างหน้าของเทคโนโลยี Blockchain

คนถัดมานักลงทุนและผู้บริหารของ DAV Foundation คุณ Noam Copel ที่ซึ่งเป็นผู้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและการลงทุนใน ICOs ก็จะมาขึ้นพูดในหัวข้อของการประเมินค่าของ Token และการสร้างมูลค่าของ Token

ต่อมาคุณ Cal Evans ก็จะเป็นนักกฎหมายและที่ปรึกษาด้านกฎระเบียบข้อตกลงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลที่ Gresham International ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล โดยหัวข้อที่เขาจะขึ้นพูดนั้นจะครอบคลุมถึงด้านกฎหมายเกี่ยวกับโปรเจคที่ข้องกับเทคโนโลยี Blockchain

คนต่อมาคุณ Keith Lim ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของ Hearti ที่ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการด้านประกันภัย โดยมีพื้นฐานอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain และ AI ก็จะขึ้นมาพูดเกี่ยวกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Blockchain และสภาพปัจจุบันของตลาดสกุลเงินคริปโต

ต่อมาผู้บริหารของ SyncFab อย่างคุณ Jeremy Goodwin ซึ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงอย่าง AI, Cryptography และเทคโนโลยีแบบ Decentralization เป็นต้น และ Dr. Jason Corbett หุ้นส่วนผู้จัดการของบริษัทด้านกฎหมายอย่าง Silk Legal ซึ่งในส่วนของหัวข้อที่ทั้งสองจะขึ้นพูดนั้นจะถูกเปิดเผยในเร็วๆนี้

Blockchain & Bitcoin Conference Thailand

0

มากันอีกแล้วสำหรับงานความรู้ทางด้านบล๊อคเชนและคริปโตในประเทศไทยเรา สำหรับงานนี้คืองาน “Cryptocurrency investments, blockchain trends and industry development vectors”

สำหรับเนื้อหาเกี่ยวกับในงานก็จะกล่าวถึงเกี่ยวกับเทรนของโลกคริปโตและบล๊อคเชนในอนาคตว่าจะเดินทางไปในทิศทางใด และเราจะลงทุนกับเหรียญคริปโตพวกนี้ได้อย่างไรบ้าง งานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 6 มีนาคม 2561 ที่โรงแรมระดับห้าดาวอย่าง Pullman Bangkok Grande Sukhumvit.

โปรโมชั่นนะครับสำหรับใครที่ต้องการร่วมงาน ซื้อบัตรวันนี้จ่ายเพียง 1 ที่นั่ง แต่ได้รับฟรีอีก 1 ที่นั่ง คลิกที่นี่เพื่อรับสิทธิ์ 

Where Curiosity Meets Creativity

รายละเอียดภายในงาน

คนแรกเลยครับคุณ Joseph Tsou นั้นเป็นกรรมการผู้จัดการแพลตฟอร์มการเทรดสกุลเงินดิจิทัลอย่าง BlockEx อีกทั้งยังเป็นผู้มีประสบการณ์ในด้านของการเงินเป็นอย่างดีรวมถึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Fintech อีกด้วย โดยหัวข้อที่เขาจะขึ้นพูดนั้นจะเป็นเกี่ยวกับ คอนเซ็ปต์พื้นฐานของเทคโนโลยี Blockchain รวมถึงการรีวิวในหัวข้อของสกุลเงินดิจิทัล ทั้งด้านการลงทุน การเทรด รวมถึงการระดมทุนแบบ ICOs

คนต่อมาคุณ Vladislav Sapozhnikov ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหารของกระดานเทรดในรูปแบบ Decentralized อย่าง Deex Exchange ก็จะมาขึ้นพูดเกี่ยวกับว่าทำไม Decentralized Ecosystem ที่ใช้งานบนแพลตฟอร์มอย่าง BitShares ถึงเป็นอนาคตวันข้างหน้าของเทคโนโลยี Blockchain

คนถัดมานักลงทุนและผู้บริหารของ DAV Foundation คุณ Noam Copel ที่ซึ่งเป็นผู้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและการลงทุนใน ICOs ก็จะมาขึ้นพูดในหัวข้อของการประเมินค่าของ Token และการสร้างมูลค่าของ Token

ต่อมาคุณ Cal Evans ก็จะเป็นนักกฎหมายและที่ปรึกษาด้านกฎระเบียบข้อตกลงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลที่ Gresham International ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล โดยหัวข้อที่เขาจะขึ้นพูดนั้นจะครอบคลุมถึงด้านกฎหมายเกี่ยวกับโปรเจคที่ข้องกับเทคโนโลยี Blockchain

คนต่อมาคุณ Keith Lim ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของ Hearti ที่ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการด้านประกันภัย โดยมีพื้นฐานอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain และ AI ก็จะขึ้นมาพูดเกี่ยวกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Blockchain และสภาพปัจจุบันของตลาดสกุลเงินคริปโต

ต่อมาผู้บริหารของ SyncFab อย่างคุณ Jeremy Goodwin ซึ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบในเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูงอย่าง AI, Cryptography และเทคโนโลยีแบบ Decentralization เป็นต้น และ Dr. Jason Corbett หุ้นส่วนผู้จัดการของบริษัทด้านกฎหมายอย่าง Silk Legal ซึ่งในส่วนของหัวข้อที่ทั้งสองจะขึ้นพูดนั้นจะถูกเปิดเผยในเร็วๆนี้

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์หลักของงาน Blockchain & Bitcoin Conference Thailand 2018 By Smile-Expo

สรุป
ก็เป็นอีกงานที่น่าสนใจมากนะครับ และงานใหญ่ระดับนี้นักลงทุนต่างชาติได้เลือกประเทศไทยเป็นแหล่งในการกระจายข่าวสารเหล่านี้ แสดงว่าพวกเค้าต้องเล็งเห็นศักยภาพบางอย่างแหละ แล้วเจอกันที่งานครับ

กับดักของ Passive Income

1
กับดักของ Passive Income

ใครที่เคยอ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของผู้เขียน โรเบิร์ต คิโยซากิ ย่อมจับใจความถึงเนื้อหาที่หนังสือต้องการให้เราเป็นนายตนเองและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในระดับที่มีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งอิสรภาพทางการเงินคือวิธีการใช้เงินทำงานแทนเรา ไม่ต้องลงมือทำเอง ไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่เราก็ยังคงมีรายได้หลั่งไหลเข้ามาอยู่ไม่ขาดสาย แน่นอนครับสำหรับตัวผมเองก็ไฝ่ฝันและปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน และก็โชคดีมาก ๆ เหมือนกันที่ผมมีโอกาสได้รู้จักหลาย ๆ คนที่ทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวในเวลาเดียวกัน ในวันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวในอีกแง่มุมหนึ่งของ Passive Income ซึ่งผมจะเรียกว่า “กับดักของ Passive Income” เอาไว้เป็นแนวทางสำหรับทุกท่านจะได้ไม่ทำอะไรผลีผลามกันจนเกินไป

กับดักของ Passive Income

หลายครั้งมากที่ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับเพื่อนที่มองหาลู่ทางทำงานนอกเหนือจากงานประจำ ซึ่งแต่ละคนก็มีแนวคิดในการหา Passive Income ที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนมากมักจะเริ่มต้นกันด้วยสิ่งที่ตนเองชอบและถนัดหลายคนลงมือทำและประสบความสำเร็จแม้จะล้มลุกคลุกคลานกันบ้าง แต่ก็มีอีกหลายคนเหมือนกันที่หยิบจับอะไรเป็นอันเจ๊งไม่เป็นท่าไปซะทุกเรื่อง ขาดทุนย่อยยับ ร้าย ๆ หน่อยก็ถึงกับเป็นหนี้เป็นสินกันถึงหลักล้านเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้จากบุคคลจำพวกนี้ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือยังไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม บุคคลเหล่านี้ไม่เคยยอมแพ้ที่จะหาลู่ทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ

อย่างที่เคยให้ความหมายของ Passive Income ไปหลายครั้งแล้วในเว็บไซต์นี้ กฎเหล็กของมันก็คือ ห้ามทุ่มเวลาทั้งหมดของเราเองที่มีไปอยู่ในวงโคจรเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนกลับมา เพราะหากทำแบบนี้เมื่อไหร่มันจะกลายเป็น Active Income เป็นทันที หากเราปรารถนาที่จะสร้าง Passive Income ให้โฟกัสไปที่เรื่องเดียวก็คือ “อยู่เฉย ๆ ก็ได้เงิน” ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือลู่ทางทำเงินชนิดในก็ตามแต่ ทั้งลงทุนค้าขายจ้างคนมาเป็นลูกจ้าง หรือปล่อยห้องเช่า ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็น Passive Income ได้ทั้งหมด …

แต่มันไม่ได้ง่ายไปตลอดอย่างงั้นน่ะสิ ในความง่ายที่พูดถึงมันมีกับดักของมันอยู่

กับดักแรก : แมงเม่าบินเข้ากองไฟ

ผมมีโอกาสได้อ่านบทความที่เขียนเกี่ยวกับ Passive Income จากหลากหลายแหล่ง แต่ผมไม่เคยเห็นบทความไหนหรือว่าใครพูดถึงข้อเสียของ Passive Income เลยทุกคนพูดถึงแต่ข้อดีทั้งหมด สุดท้ายก็จบที่ชักชวนคนอ่านเข้าไปทำธุรกิจของคน ๆ นั้นโดยปราศจากความรู้ที่แท้จริงหวังแต่เพียงว่าจะได้เงินอย่างเดียว พึงระลึกไว้เสมอว่าไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เพราะถ้ามันง่ายขนาดนั้นทุกวันนี้เราคงไม่เห็นคนจนเต็มถนนแน่นอน การที่จะมีรายได้แบบ Passive Income ได้หลายอย่างต้องเป็น Active Income ก่อนจนถึงระยะเวลาหนึ่งเมื่อมันสามารถอยู่ตัวได้เองถึงจะเรียกว่าเป็น Passive Income ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ที่บอกว่ามันต้องเป็น Active Income ก่อนเพราะเราต้องใช้เวลา ความรู้ เงินทุน การแก้ปัญหา การบริหารจัดการ และองค์ประกอบอีกหลาย ๆ อย่างในการวางกลยุทธ์ … เห็นมั้ยครับว่าการทำ Passive Income มันก็คือการเริ่มต้นธุรกิจดี ๆ นั่นเอง ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่แมงเม่าหลายคนเข้าใจ

กับดักที่สอง : โลกสวยมักจะเป็นเหยื่อ

คิดบวกมากเกินไป หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือโลกสวยน่ะแหละ เกือบทุกคนที่มาทางเดินสาย Passive Income มักจะไม่ค่อยเผื่อใจในเรื่องไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ แต่มักคิดตลอดว่าเราจะรวย เราจะสำเร็จ … เข้าใจกันแบบผิด ๆ ว่า เราแค่เอาเงินมาลงทิ้งไว้ เดี๋ยวเงินก็เข้าเราเอง เราจะมีความรู้หรือไม่ก็ช่าง … ทิ้งความคิดแบบนี้ซะนะครับ ก่อนที่จะสายเกินไป ไม่มีแน่นอนครับธุรกิจที่มันง่าย ๆ แบบไม่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ ต่อให้เราเอาเงินไปลงทุนกับคนที่เราไว้ใจได้ ยังงัยเราก็ควรมีความรู้ในระดับหนึ่ง ผมเจอมาเยอะแล้ว ที่เอาเงินไปลงกะว่าเดี๋ยวก็ได้เงิน สุดท้ายค่อย ๆ โดนโกงไปทีละนิดทีละหน่อยโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่มีสัญญาณบอกมาแล้วว่าเริ่มเจ๊งละนะ แต่ก็ด้วยความที่โลกสวย รักเพื่อนงัย ยังจะเอาเงินไปอัดเพิ่ม สุดท้ายความแตกรู้ตัวอีกทีคือ หนี้สินพอกพูนมาเป็นล้าน … เป็นงัยรู้มั้ย?? สุดท้ายเพื่อนตัวดีมันก็หนีหาย ปล่อยให้เราใช้หนี้กระอักกระอ่วม ส่วนตัวการก็รวยไปฟรี ๆ

แต่คนที่ประสบความสำเร็จกับ Passive Income หละ เขาทำได้อย่างไร อันดับแรกคนเหล่านี้จะเข้มแข็งในด้านจิตใจ บางคนอาจจะอ่อนนอกแข็งใน เป็นคนที่รู้จักไว้ใจคนแต่ไม่ได้เชื่อใจคน มีการวางแผนและรู้จักการวางแผนที่ดี มีการเผื่อใจเตรียมตัวในกรณีที่เลวร้าย ไม่ได้มองโลกแง่บวกหรือโลกสวยมากเกินไปจนลืมมองลบบ้าง เป็นคนที่รู้จักยืดหยุ่นไม่ตังหรือหย่อนยานมากเกินไป รับได้ทุกสถานการณ์ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง พระเดชได้ พระคุณได้ นิ่มได้ โหดได้ นักเลงได้ เทวดาได้ ใช่แล้ว คนเหล่านี้ไม่ได้มองแค่ตัวเงินอย่างเดียว เขามองไปถึงการตลาด กลยุทธ์ ทำเล สถานะ ความคิดสร้างสรรค์ เศรษฐกิจ การเมือง กฏหมาย ภาษี บัญชี วิสัยทัศน์ และที่สำคัญมองคนออกเสียด้วย

สรุปเรื่อง “กับดักของ Passive Income”

กับดักของ Passive Income

สรุปคือ Passive Income เหมือนงาน Active Income ทุกประการ ตรงที่ไม่ใช่การลงเงินลงแรงแล้วรายได้จะเข้ากระเป๋าง่าย ๆ ขนาดนั้น การสร้าง Passive Income ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ การฝึกฝน เพิ่มพูนทักษะ การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ การคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นและหาทางแก้ไขมัน Passive Income ที่เริ่มต้นด้วยเงินเป็นอันดับแรก มักจะจบลงด้วยการสูญเสียเงินเป็นการปิดท้าย ถ้าอยากได้ Passive Income ที่มีคุณภาพ คุณต้องเริ่มจากการใช้เงินให้น้อยที่สุด และลงแรงให้มากที่สุดก่อน ให้ตัวเองแกร่งก่อนค่อยลงสนามที่ใหญ่เกินกว่าตัว เพราะคนที่ประสบความสำเร็จจากการสร้างเงินแบบไม่ต้องทำงานล้วนผ่านการทำงานหนัก ขึ้นสังเวียนโหด ๆ มาทั้งนั้น อย่าเชื่อว่า Passive Income เป็นเรื่องง่าย สบาย มีกินมีใช้ชั่วชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ถ้าคุณไม่มี “เป้าหมายที่สูงกว่าเงิน” และ “ความคิดลบในกรณีที่เลวร้ายสุด ๆ” สุดท้ายฝันหวานของคุณมันจะพาคุณไปสู่การสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะนั่นคือ “กับดักของ Passive Income” ที่พาคนไปสู่ความล้มเหลวมานับไม่ถ้วนนั่นเอง

คำถามถามบ่อย สำหรับมือใหม่บิทคอยน์และบล๊อคเชน

0
รู้จักกับเทคโนโลยีบล๊อคเชน

ถึงแม้ บิทคอยน์ จะเริ่มเป็นกระแสในบ้านเรามาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงมีมือใหม่เข้ามาศึกษา สนใจในบิทคอยน์กันเรื่อย ๆ หลายคนก็ยังคงสงสัยในหลากหลายประเด็น ทั้ง บิทคอยน์ บล๊อคเชน เมื่อค้นหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่ง งง สับสนกันไปใหญ่ วันนี้เรามารวบรวมคำถามที่ถูกถามกันบ่อย ๆ เพื่อให้เริ่มศึกษากันง่าย ๆ ที่นี่

คำถามทั่วไป

บิทคอยน์ คืออะไร?

บิทคอยน์ คือ สกุลเงินดิจิตอลอันดับแรกในโลก สร้างโดยบุคคล (หรืออาจจะเป็นกลุ่มคน) นิรนาม ที่ใช้ชื่อว่า “ซาโตชิ” ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล๊อคเชน เราสามารถซื้อบิทคอยน์มาครอบครองได้โดยใช้เงินจริง ๆ ในทางกลับกันก็สามารถขายบิทคอยน์ได้ การได้บิทคอยน์มาครอบครองมีทั้ง การขุดบิทคอยน์ หรือ ซื้อบิทคอยน์ ก็ได้ บางประเทศเริ่มประกาศให้ใช้บิทคอยน์แทนเงินจริง หรือเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บไซต์ก็รับชำระเงินด้วยบิทคอยน์ได้แล้ว

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ “บิทคอยน์คืออะไร”

บล็อกเชน คืออะไร?

ในอดีตการจัดเก็บข้อมูลจะอาศัยหลักการจัดเก็บที่เรียกว่า “ฐานข้อมูล” โดยมักจะเป็นการจัดเก็บแบบมีศูนย์กลางอยู่ที่เดียว แต่สำหรับ “บล๊อคเชน” คือ การเก็บข้อมูลแบบเป็นกล่อง (บล๊อค) มาต่อ ๆ กันแบบเป็นห่วงโซ่ (จึงเรียกว่า บล๊อคเชน) โดยในกล่องเหล่านั้นจะมีข้อมูลการโอนบิทคอยน์อยู่ เมื่อข้อมูลเต็มกล่องแล้วกล่องจะปิด และนำข้อมูลสุดท้ายไปต่อกับกล่องใหม่ ซึ่งหากมีการปลอมแปลงข้อมูล กล่องใหม่ก็จะไม่สามารถต่อกับกล่องก่อนหน้าได้ และการเก็บข้อมูลของบล๊อคเชนจะกระจายไปหลาย ๆ ที่ ทุกคนที่ถือข้อมูลเหล่านี้ไว้จะต้องเหมือนกันหมดทุกคน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ “บล๊อคเชนคืออะไร”

บล็อกเชนสามารถโดนโกงหรือโดนแฮ็คได้หรือไม่?

ถึงแม้ว่าบล๊อคเชนออกแบบมาเพื่อป้องกันการแก้ไขข้อมูลแล้ว แต่ถ้าจะให้มองกันแบบตีแสกหน้ากันไปเลย ก็ยังไม่มีระบบไหนที่ปลอดภัยแบบ 100% บล๊อคเชนเองก็สามารถที่จะโดนแฮกได้เหมือนกัน แต่!!! คนที่จะแฮกบล๊อคเชน จะต้องแฮกคอมพิวเตอร์ที่จัดเต็มบล๊อคเชนพร้อมกันทั่วโลก และทำการแก้ไข ดัดแปลง หรือลบข้อมูลที่มีพร้อมกัน ดังนั้นบล๊อคเชนจึงถือว่าเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูงเลยทีเดียว

ถ้าปลั๊กไฟหลุด คอมดับ ทุกอย่างจะหายไปรึเปล่า?

การเก็บข้อมูลในระบบบล๊อคเชน อย่างที่บอกไปในข้อแรก ๆ ว่าเป็นการจัดเก็บแบบกระจายไปตามคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ทั่วโลกที่อยู่ในระบบบล๊อคเชน ข้อมูลจะเก็บเหมือนกันทั้งหมด ดังนั้นแล้วหากมีเครื่องใดเครื่องหนึ่งพังลงไป ก็ยังมีเครื่องอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อเครื่องที่ดับลงไปใช้งานได้อีกครั้งก็จะทำการดึงข้อมูลจากเครื่องอื่น ๆ กลับมาเหมือนเดิม

เราจะหาเงินจากบิทคอยน์ได้อย่างไร?

เราสามารถหาเงินจากบิทคอยน์ได้หลัก ๆ คือ

  • ซื้อขายบิทคอยน์
  • ขุดบิทคอยน์
  • นำบิทคอยน์ไปลงทุน หรือไปพนัน
มีวิธีซื้อบิทคอยน์จากธนาคารในไทยโดยตรงเลยหรือไม่?

ในเมืองไทยจะยังไม่สามารถซื้อบิทคอยน์ผ่านธนาคารได้โดยตรง แต่จะสามารถซื้อผ่านผู้ให้บริการรายใหญ่สองจ้าวคือ

โดยขั้นตอนการซื้อคือโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ให้บริการ หลังจากนั้นจึงจะนำเงินที่โอนเข้าไปแลกเปลี่ยนเป็นบิทคอยน์อีกที

ทำไมมูลค่าของบิทคอยน์จึงขึ้น ๆ ลง ๆ?

มูลค่าของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นได้เพราะความเชื่อมั่นในผู้ใช้งาน เช่น ทองมีค่าได้เพราะผู้คนเชื่อมั่น และชื่นชอบในการครอบครองทอง ส่วนเงินกระดาษมีมูลค่าได้เพราะมีทองเป็นหลักค้ำประกันมูลค่า หรือคูปองในฟูดคอร์ทมีค่าได้เพราะเราเอาเงินไปแลกออกมา
บิทคอยน์เองก็ไม่ต่าง เพราะมีการออกแบบโดยมีสมการขั้นสูงทางคณิตศาสตร์ที่ยากจะแฮก และการขุดบิทคอยน์เองก็จะยากขึ้นเรื่อย ๆ มีจำนวนจำกัดทั้งสิ้นเพียง 21 ล้านบิทคอยน์ โดยหลักของ Supply และ Demand เอง ที่มีคนต้องการบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น แต่บิทคอยน์กลับผลิตออกมาในระบบน้อยลง ทำให้หายากขึ้น มูลค่าของบิทคอยน์จึงสูงขึ้นไปโดยปริยาย

บิทคอยน์คือแชร์ลูกโซ่รึเปล่า เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน

ต้องยอมรับว่าแชร์ลูกโซ่มีเกิดขึ้นมามากมายเหลือเกิน และหลายครั้งมองดูเผิน ๆ โดยไม่เจาะลึกลงในรายละเอียด มันทำให้หลายคนนึกว่าบิทคอยน์คือแชร์ลูกโซ่เช่นกัน แต่สำหรับบิทคอยน์นั้นไม่ใช่แชร์ลูกโซ่และไม่มีการหลอกลวงแน่นอน เราสามารถหาข้อมูลที่มาของบิทคอยน์ได้ง่ายมาก มีการพูดคุยกันในวงกว้างเกี่ยวกับบิทคอยน์ มีการใช้งานจริงจากหลายประเทศ ถึงแม้ว่ามีหลายประเทศที่พยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้งาน แต่ด้วยระบบของบิทคอยน์ที่ออกแบบมาเพื่อไม่ต้องการให้ใครเป็นเจ้าของ จึงไม่มีใครที่สามารถดำเนินการควบคุมได้เลย

บิทคอยน์จะปิดตัวลงหรือไม่?

บิทคอยน์จะไม่ปิดตัวลง เพราะในอนาคตผู้เขียนคิดว่าบิทคอยน์อาจจะมามีบทบาททางการเงินมากมาย ต่อไปเราอาจจะเห็นการซื้อสินค้าด้วยบิทคอยน์เป็นเรื่องปกติ

บิทคอยน์มีทั้งหมดเท่าไหร่?

จำนวนบิทคอยน์สามารถผลิตออกมาทั้งหมด 21 ล้านเหรียญ

ทั้งโลก มี node ของบล็อกเชนบิทคอยน์ทั้งหมดเท่าไร?

ดูได้ที่ https://bitnodes.21.co

บิทคอยน์ถูกเก็บไว้ที่ไหน?

บิทคอยน์จะถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิตอล ที่ออกแบบมาเพื่อจัดเก็บโดยเฉพาะ ไม่ต่างจากบัญชีธนาคารที่จะมีหมายเลขที่เฉพาะไม่ซ้ำกัน โดยการทำงานกระเป๋าบิทคอยน์จะมี Private Key ของแต่ละกระเป๋า เพื่อเข้ารหัสและรักษาความปลอดภัย แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ครับว่าจะต้องเอาออกมายังงัย เราแค่มีหมายเลขกระเป๋าเพื่อรับและส่งเงิน ก็พอแล้วที่เหลือระบบบิทคอยน์และบล๊อคเชนจะดำเนินการให้เราเองทั้งหมด

คำถามสายขุด

การขุดบิทคอยน์คืออะไร อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างการขุดกับบิทคอยน์?

การขุดบิทคอยน์ คือ การยืนยันการทำธุรกรรมของบิทคอยน์ โดยการเข้าไปแก้ไขสมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เมื่อใครที่ยืนยันการทำธุรกรรมได้ก็จะได้รับบิทคอยน์เป็นการตอบแทน เปรียบได้กับการโอนเงินไปหาใครสักคนแล้วเราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคาร แต่ในกรณีของการโอนบิทคอยน์ค่าธรรมเนียมจะแจกจ่ายให้ผู้ที่เข้ามาทำการขุดบิทคอยน์แทน

ในยุคที่บิทคอยน์เพิ่งเกิดแรก ๆ นั้นสามารถใช้เครื่องที่มีการ์ดจอดี ๆ มาทำการขุดบิทคอยน์ได้ แต่ในปัจจุบันเมื่อความต้องการของบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น การแก้สมการคณิตศาสตร์ของบิทคอยน์ก็ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออกแบบและผลิตออกมาเพื่อการขุดบิทคอยน์โดยเฉพาะเรียกว่า ASIC

ดูเพิ่มเติม

ถ้าไม่มี Server กลางแล้วระบบที่สร้างบล๊อคมาจากไหน?

บล๊อคที่เกิดขึ้นในระบบบล๊อคเชนนั้นเกิดจากนักขุดบิทคอยน์นี่เองแหละครับ อย่างที่บอกไปว่าในโลกนี้จะมี Node ที่มีข้อมูลบล๊อคเชนทั้งหมด หนึ่งในจำนวนนั้นก็เป็นเครื่องขุดบิทคอยน์จากนักขุดนั่นเอง เราจึงสามารถพูดได้เต็มปากเหมือนกันว่า หากวันนึงไม่มีใครขุดบิทคอยน์แล้วระบบบิทคอยน์อาจจะล่มก็ได้

การขุดเหรียญสามารถขุดได้เฉพาะบิทคอยน์รึเปล่า?

มีเหรียญคริปโตมากมายในตลาดที่สามารถขุดได้โดยการใช้คอมพิวเตอร์ ทั้ง CPU หรือ การ์ดจอ บางเหรียญที่เกิดออกมาหลัง ๆ ก็มีที่ใช้ความจุของ Hard Disk ในการขุดก็มี หรือบางเหรียญก็ใช้วิธีถือครองเหรียญเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ส่วนตัว และเปิดเครื่องเอาไว้ก็จะได้ดอกเบี้ยกลับมาเป็นการตอบแทน (Proof of Stake)

ดูเพิ่มเติม

อัลกอริธึ่ม หรือ algorithm คืออะไร?

อัลกอริธึ่มเป็นชื่อเรียก สมการ ในการถอดรหัสของเหรียญคริปโตแต่ละประเภท ซึ่งการทำงานของแต่ละอัลกอริธึ่มจะแตกต่างกัน เช่น sha-256, scrypt, dagger เป็นต้น

การขุดบิทคอยน์คุ้มหรือไม่?

ตัวแปรหลัก ๆ ในการลงทุนซื้อเครื่องขุดบิทคอยน์ จะประกอบด้วยค่าไฟ ข้อเสียของเครื่องขุดบิทคอยน์คือการกินไฟที่เยอะมาก และมลภาวะทางเสียงก็เช่นกัน บิทคอยน์ยังคงเป็นที่นิยมในการขุดเพราะราคาของเหรียญบิทคอยน์ที่สูงมาก การลงทุนขุดบิทคอยน์ใช้เวลาคืนทุนเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น

สามารถประเมินรายรับจากการขุดบิทคอยน์ได้ที่นี่ https://www.cryptocompare.com/mining/calculator/btc

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการในการขุดบิทคอยน์ประเภท Cloud Mining จำนวนมาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สนใจที่ยังไม่มีความรู้ในการขุด ไม่ต้องการลงทุนจำนวนมาก

ดูเพิ่มเติม

จะเริ่มขุดบิทคอยน์ได้ยังงัย?

อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความนี้ : การขุดบิทคอยน์คืออะไร

มีงบไม่เยอะอยากขุดบิทคอยน์ทำได้รึเปล่า?

มีงบไม่เยอะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ที่ต้องการขุดบิทคอยน์ครับ ทุกวันนี้มีผู้ให้บริการขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining จำนวนมาก ลองศึกษาได้จากลิงค์ด้านล่างนี้

ค่าดิฟคืออะไร?

ค่าดิฟ หรือ Difficulty คือค่าความยากในการขุด บิทคอยน์จะออกแบบไว้ว่าจะขุดหนึ่งบล็อกต้องยากระดับนี้ ใช้เวลาอย่างต่ำเท่าไร เพื่อไม่ให้การขุดมันง่ายเกิน และจะทำให้บิทคอยน์ถึงโควต้า 21 ล้านไวเกินไป โดยระดับความยากจะปรับตัวเองเรื่อย ๆ ตามจำนวนคนขุด

อ่านเพิ่มเติม : สายขุดต้องรู้ค่าดิฟคืออะไร

ขุดแบบ Cloud Mining คืออะไร ปลอดภัยรึเปล่า?
การขุดแบบ Cloud Mining คือมีผู้ให้บริการลงทุนสถานที และเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับขุดบิทคอยน์ แล้วนำกำลังขุดที่มีมาแบ่งขาย โดยรับส่วนแบ่งเป็นค่าดำเนินการจากผู้ซื้อที่ซื้อแรงขุด ข้อดีคือเราไม่จำเป็นต้องลงทุนเงินจำนวนมากเพื่อซื้อเครื่องขุด ไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับค่าไฟ และความร้อนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่ต้องรำคาญกับมลภาวะทางเสียง แต่ข้อเสียก็คืออาจจะโดนโกงได้เหมือนกัน เพราะบางจ้าวเปิดมาเพื่อหลอกเอาเงิน สามารถเลือก Cloud Mining ที่ไว้ใจได้ โดยอ่านเพิ่มเติมจากลิงค์ด้านล่างนี้ครับ

ขุดด้วย GPU กับ ASIC อันไหนดีกว่า คุ้มกว่า?

คงตอบไม่ได้ว่าขุดแบบไหนดีกว่า เนื่องจากอัลกอริทึมในการขุดของ GPU และ ASIC นั้นคนละแบบ สามารถขุดได้คนละเหรียญกัน ความคุ้มค่าในการขุดจะขึ้นอยู่กับราคาของเหรียญที่เราทำการขุดด้วย แต่ที่เห็นได้ชัดในแง่ของข้อเสียของ ASIC คือ เมื่อทำการขุดไม่ได้แล้วจะไม่สามารถนำเครื่อง ASIC ไปใช้งานอย่างอื่นได้เลย

เริ่มขุดตอนนี้ ทันไหม คุ้มไหม?

ไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ครับ หากไม่ต้องการลงทุนเยอะก็ซื้อแรงขุดจาก Cloud Mining แต่ะถ้ามีความรู้และเงินทุนที่มากหน่อย ไม่กลัวค่าไฟที่จะเป็นเงาตามตัว และมลภาวะทางเสียงก็ลองซื้อริกสำหรับการขุด หรือจะเป็นเครื่อง ASIC สักเครื่องก็ได้ แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงให้ได้นะครับ

สายขุด จะยังขุดต่อไปได้อีกกี่ปี?

เอาแบบเอาขวานจามหัวเลย ก็บอกว่าขุดได้ไปจนวันตายล่ะครับ เพราะถึงแม้ในแต่ละวันกำลังในการขุดจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่จำนวนของบิทคอยน์ก็ขุดยากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะมีค่าดิฟมาควบคุม ดังนั้นแล้วไม่ต้องห่วงครับ เราสามารถหา Passive Income จากการขุดบิทคอยน์และเหรียญชนิดอื่น ๆ ได้อีกยาวนาน

ETH กำลังจะเปลี่ยนเป็น Proof of Stake จะมีผลต่อสายขุดอย่างไรบ้าง ?

การเปลี่ยนจากการจ่ายปันผลจาก Proof of work มาเป็น Proof of Stake จะทำให้ไม่สามารถขุดได้อีกต่อไปแต่เราสามารถนำเครื่องที่ขุด ETH ไปขุดเหรียญชนิดอื่น ๆ ที่มีอัลกอริทึมประเภทเดียวกันได้ เช่น Ubiq, Expanse เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม : ถ้า Ethereum เปลี่ยนเป็น Proof of stake แล้วจะมีผลกระทบต่อนักขุดอย่างไร

Proof of Stake และ Proof of Work คืออะไร?

ในตอนนี้ Bitcoin ใช้สิ่งที่เรียกว่า Proof of Work แปลตรงตัวคือ พิสูจน์ด้วยการทำงาน ซึ่งก็คือกำลังการทำงานของ CPU หรือ GPU ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็คือการสร้างโจทย์ในการไขรหัสยาก ๆ ให้เหล่านักขุดใช้เวลาขุดที่พอเหมาะ การโอนเงินด้วย Bitcoin จึงเกิดขึ้นที่ต้องทำให้มันยาก เพราะว่า การปลอมแปลงจะได้เกิดขึ้นยาก และสิ้นเปลืองเกินไป ความยากจะถูกปรับขึ้นเรื่อยๆด้วยหลากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณการโอน หรือ ความแรงของคอมพิวเตอร์ที่มาขุด ณ เวลานั้น

มีคนเคยยกประเด็นมาว่า สมมติมันมี node นึง ที่คุมกำลังขุดไว้กว่า 51% เจ้า node นี้ก็จะเป็นใหญ่ เป็นมาเฟียใน blockchain สามารถแก้ไขข้อมูลได้ เพราะกำลังการคำนวณเขาเยอะนี่เป็นหนึ่งในหลายเหตุผลว่าทำไม Proof of Work อาจจะไม่เวิร์ค เลยมีคนเสนอ Proof of Stake มา แปลตรงตัวอีก มันคือ พิสูจน์ด้วย stake ที่แปลว่า เดิมพัน นั่นก็คือ แทนที่จะวัดกันด้วย work หรือกำลังงาน เราวัดกันด้วย stake คือคุณมี Bitcoin เท่าไร คุณมีเยอะก็จะได้ผลตอบแทนจากการขุดเยอะ มันจะไม่เหมือนเดิมที่ อยากโอนต้องให้คนโอนจ่ายค่าขุดแพง ๆ การโอนจะได้เกิดขึ้นเร็ว ๆ Proof of Stake ก็จะเข้ามาแก้ไขด้านนี้ และยังประหยัดไฟด้วย ไม่ต้องหาเครื่องขุดแรง ๆ หา Bitcoin เยอะ ๆ พอ และถ้าคุณจะครองระบบ 51% แปลว่าคุณก็ต้องมี Bitcoin 51% ด้วย

5 วิธีสร้าง Passive Income ยุคไทยแลนด์ 4.0

0
รายได้เสริมแบบ Passive Income

Passive Income คือ เครื่องมือ และระบบการทำงานต่าง ๆ ที่สามารถสร้างรายได้ให้เราได้ตลอดเวลา หรือจะเรียกว่าเครื่องผลิตเงิน ที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเอาเวลาของเราไปแลกเพื่อให้เงินมา แม้ว่าขณะนั้นเราจะนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล กำลังท่องเที่ยวไปทั่วโลก หรือแม้แต่กำลังนอนหลับอยู่ก็ตาม รายได้แบบนี้เรียกว่า Passive Income สำหรับ ลู่ทางในการสร้าง Passive Income มีมากมายมหาศาล ทั้งทำแบบ Online หรือ Offline ลองไปดูตัวอย่าง Passive Income 4.0 กันดีกว่า ว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

1. Passive income จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า หรือ Affiliate 

ในช่วงหนึ่งสมัยที่ E-Commerce เกิดขึ้นแรงมากในโลกออนไลน์ ได้มีร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย เช่น Amazon.com และโมเดลแบบหนึ่งที่ทำให้เว็บไซต์แห่งนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคือ Affiliate หรือการเป็นตัวแทน/นายหน้าขายสินค้านั่นเอง ซึ่งในช่วงเริ่มต้นนั้นเป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการขายสินค้าที่เราแทบจะไม่ต้องทำอะไรในกระบวนการขายเลย ไม่ต้องผลิตสินค้า ไม่ต้องจัดส่งสินค้า ไม่ต้องรับโทรศัพท์ ไม่ต้องยุ่งกับระบบชำระเงิน ไม่ต้องรับเคลมสินค้า สิ่งเดียวที่เราทำคือทำการโฆษณาสินค้าไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ผ่านลิงค์ที่เราได้รับจากเจ้าของเว็บไซต์ เมื่อมีผู้ซื้อสินค้านั้น ๆ เราก็จะได้รับส่วนแบ่งจากราคาสินค้า โดยส่วนแบ่งที่จะได้รับจะมากหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับประเภทและราคาของสินค้าที่เราขายได้

Affiliate ยุคเริ่มต้น
วิธีการเป็น Affiliate นั้นง่ายมาก (ในช่วงแรก ๆ) ในแง่ของการโฆษณาเพราะยังไม่มีกฎระเบียบอะไรที่เคร่งครัดมากนัก ในการเริ่มต้นการทำ Passive Income แบบ Affiliate เพียงแต่มีเว็บไซต์ส่วนตัวหรือสร้างบล๊อคฟรีก็ได้ อย่างเช่น Blogger, Wordpress ก็ได้ เพราะใช้งานง่ายดี ใช้เวลาเพียงไม่กี่คลิกก็สามารถมีบล๊อคส่วนตัวได้แล้ว

หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนและเผยแพร่บทความอะไรก็ได้ที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่าน ซึ่งผมแนะนำให้เริ่มต้นเขียนบทความจากเรื่องที่เราชอบและสนใจ เพราะเราจะสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีที่สุด

แล้วก็นำลิงค์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เราเขียน มาแทรกไว้ในเนื้อหาแต่ละเรื่อง ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ขยันเขียนบทความสักวันละ 2-3 บท ความยาวสักประมาณ 500 คำขึ้นไป และแทรกลิงค์สินค้าสักบทความละ 1-2 ลิงค์ หากบทความของคุณเป็นประโยชน์ต่อคนอ่าน ย่อมมีคนเข้ามาอ่านบล๊อคของคุณทุกวัน หากคุณมีความรู้ในการโปรโมทเว็บไซต์ หรือ SEO ก็อย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ใช้เวลาที่เหลือจากการเขียนบทความ มาโปรโมทเว็บของเรา ทำแบบนี้เรื่อย ๆ เหมือนกัน

เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีผู้อ่านเยอะประมาณหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ เริ่มเขียนเชียร์สินค้า, รีวิวสินค้า เพิ่มมากขึ้น จากผู้เข้าชมเว็บไซต์ ก็จะเริ่มกลายเป็นมีความสนใจในสินค้า และสุดท้ายก็จะกลายเป็นผู้ซื้อไปโดยปริยาย หรือหากคุณมีเงินทุนสักหน่อยจะจ้างมืออาชีพเขียนบทความดี ๆ ให้คุณก็ได้ เดือนนึงก็จัดไปเลย 30-50 บทความ แต่เน้นนะว่าต้องเป็นบทความที่มีสาระและเป็นประโยชน์จริง ๆ และที่สำคัญ เป็นบทความที่เขียนขึ้นเองไม่ไปลอกคนอื่นมาทั้งดุ้น เมื่อคุณทำแบบนี้จนเก่งแล้ว คุณจะสร้างกี่บล๊อคก็ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปดูมากมาย ปล่อยให้มันทำเงินของมันเองไปเรื่อย ๆ ถึงจะเรียก Passive Income

2. Passive Income จากการขุดบิทคอยน์และเงินดิจิตอล

การขุดบิทคอยน์หรือเงินดิจิตอลอื่น ๆ โดยส่วนตัวของผมแล้วถือว่าเป็นการลงทุนสร้าง Passive Income ที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงน้อย ซึ่งเราสามารถสร้าง Passive Income แบบนี้ได้ 2 วิธีหลัก ๆ คือ

  • ลงทุนเครื่องขุดแบบริก หรือ ASIC : วิธีนี้อาศัยความรู้ความสามารถนิด ๆ หน่อย ๆ ความเสี่ยงมีน้อยแน่นอนเพราะเราซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับขุดมาดูแลเอง แต่สิ่งที่จะตามมาคือ ความร้อน และมลภาวะทางเสียงที่เพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลต่อสุขภาพจิตเราได้ อีกอย่างก็คือค่าไฟที่มันจะแพงขึ้นมากเลยครับ ถ้าสนใจก็ลองศึกษา วิธีการขุดบิทคอยน์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ กันดูก่อนก็ได้
  • ซื้อแรงขุดแบบ Cloud Mining : การขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining นี่เป็นอะไรที่ง่ายมากมายในทุกวันนี้ เพราะแทบจะไม่ต้องมีความรู้อะไรเลย ลงทุนเพียงหลักพันบาทก็เห็นผลแล้ว สิ่งที่ต้องมีก็แค่กระเป๋าบิทคอยน์ที่เอาไว้รอรับเงิน และเงินลงทุนมากน้อยเท่าที่มี .. แต่ความเสี่ยงของการขุดแบบนี้ก็มีเหมือนกัน บางเว็บอาจจะหลอกลวงได้ ลองศึกษาการขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining จากลิงค์ด้านล่างนี้
    • การขุดบิทคอยน์ด้วย Hash Flare
    • การขุดบิทคอยน์ด้วย Genesis Mining
    • การขุดบิทอคยน์ด้วย Miner Sale

3. Passive income ขาย E-book

คุณสามารถสร้างรายได้แบบ Passive income ออนไลน์ ด้วยการสร้าง E-book ขึ้นมา และนำไปขายในเว็บไซต์ที่ให้บริการ วิธีนี้คุณจะมี Passive income จากยอดขายของหนังสือ E-book ของคุณ

สมมุติ

คุณขายเล่มละ 520 บาท ตลอดทั้งปีขายได้ 10,000 เล่ม คุณจะมีรายได้ในปีนั้นประมาณ 5,200,000 บาท

คนไทยมีทั้งมากกว่า 60 ล้านคน เราก็ไปวางแผนทำการตลาด ว่าจะทำยังไงให้ขายได้ ขายดี หรือไม่คุณก็วางขายแล้วก็จบ ปล่อยให้มันทำรายได้แบบ Passive income ไปเรื่อย ๆ ตามความต้องการของตลาด (ถ้าเล่มเดียวมันขายได้น้อย เราก็ทำสัก 100 เล่ม)

พูดมันง่าย ใครจะไปทำ E-book เป็น!!

เรื่องนี้ง่ายมาก ไม่มีใครเขาทำเป็นตั้งแต่เกิด ทุกคนโตมา เรียนรู้ ลงมือทำ จึงทำเป็น เราก็ทำได้ ขอเพียงสละเวลาเล่นเฟสบุ๊ก ดูยูทูป หรือดูทีวี เล่นเกม เอาเวลาเหล่านั้นมาลงทุนในการหาความรู้ หาวิธีทำเงิน ทำรายได้ แบบ Passive income จากการขายหนังสือ E-book ศึกษาดูว่าเขาทำยังไง มีจำนวนหน้ากี่หน้า ตั้งราคายังไง จริง ๆ วิธีทำง่ายมาก เราทุกคนน่าจะเคยเขียนรายงานส่งคุณครู หรือเขียนเรียงความส่งคุณครูมาแล้ว รวมทั้งการเขียนเพื่อโพสเฟสบุ๊ก ด้วย ลักษณะใกล้เคียงกันมาก หรือจะทำเหมือนรายงานเลยก็ได้ มีปกหน้า ปกหลัง คำนำ สารบัญ เนื้อหาบทที่ 1 บทที่ 2 บทที่ 3 บทที่ 4 บทส่งท้าย (รวมทั้ง เอกสารอ้างอิงถ้ามี)

จากนั้นบันทึกไฟล์ เป็นแบบ PDF เท่านี้เราก็ได้หนังสือ E-book มาแล้วหนึ่งเล่ม พร้อมที่จะนำไปวางขายตามเว็บไซต์ที่ให้บริการ หรือขายเอง ผ่านโซเชียลต่าง ๆ เชื่อว่าถ้าเราลงมือเรียนรู้จริง ๆ จะรู้เรื่องราวเทคนิคต่าง ๆ อีกมากมาย ในการทำหนังสือ E-book ที่ง่ายและเร็วขึ้น

4. Passive income จากดอกเบี้ยออนไลน์

รายได้จาก Passive income ในรูปแบบนี้ ถ้าให้พูดตามตรง คือ การปล่อยกูยืมเงินนั้นเอง มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเงินต้นที่ออกดอกเบี้ยทุก ๆ เดือน อย่างต่อเนื่อง เป็นช่องทางที่หลายคนนิยมมาก เพราะเป็นวิธีการใช้เงินต่อเงินแบบง่าย ๆ แต่ได้กำไรเยอะ

สร้างรายได้ออนไลน์ด้วย Bit Connect

ตัวอย่างผู้ให้บริการในการสร้าง Passive Income สายนี้ได้แก่ Bit Connect ซึ่งเป็นเหรียญคริปโตอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะได้มาครองครองโดยการซื้อแล้ว เรายังสามารถนำเหรียญ Bit Connect ที่เรามีไปปล่อยให้สมาชิกอื่น ๆ กู้ และเราก็จะได้รับดอกเบี้ยกลับมารายวันในรูปแบบของเหรียญ Bit Connect หลังจากนั้นเราค่อยเอาเหรียญที่ได้ ไปแลกออกมาเป็นเงินอีกที

หากสนใน Passive Income ชนิดนี้คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bitconnect.co ได้เลยครับ

5. Passive income จากเงินปันผลในการลงทุนหุ้น ICO

การลงทุนแบบ ICO หรือ Initial Coin Offering เป็นการลงทุนที่เหมือนกับในตลาดหุ้นที่เรียกว่า IPO เป็นการระดมทุนเงินทุน ก่อนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อนำเงินที่ได้มาพัฒนาสินค้า แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ICO จะใส่เงินจำพวกคริปโตแทนเงินแบบกระดาษชนิดเดิม ๆ เราอาจจะลงทุนด้วย บิทคอยน์ และได้รับ Token ของ ICO นั้น ๆ กลับมาถือเอาไว้

การลงทุนด้วย ICO เป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมแบบก้าวกระโดดมากตั้งแต่ปี 2017 เนื่องจากผลตอบแทนมหาศาล แต่ความเสี่ยงก็สูงมากเช่นกัน เพราะในขณะนี้นับถึงวันที่เขียนบทความ 02-01-2018 ก็ยังไม่มีประเทศใดที่มีกฎหมายรองรับการลงทุนชนิดนี้

ตัวอย่างหุ้น ICO ที่ค่อนข้างน่าสนใจ มีตัวตนจริง ๆ มั่นใจได้ว่าเงินทุนที่ระดมไปได้จะเป็นการนำไปใช้งานจริง ๆ มีแนะนำดังนี้

สรุป: เรื่อง Passive Income

เรื่องของรายได้แบบ Passive income นั้น กว่าเราจะได้รายได้ลักษณะนี้มา ต้องบอกว่ามันไม่ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไปกว่ามนุษย์อย่างเรา เพียงแต่การจะได้รายได้แบบ Passive income นั้น

ในระยะเริ่มต้องเราต้องเหนื่อยแบบ Active Income ให้มาก ๆ ก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยน  Active Income มาเป็น Passive income

Passive Income และทางเลือกในการสร้างรายได้

4
รายได้เสริมแบบ Passive Income

Passive Income เป็นรายได้ที่ได้รับโดยไม่ต้องใช้เวลาในการแลกมา เป็นอีกหนึ่งวิธีการหาเงินที่สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้มี Passive Income ได้ เพราะหากเรามีรายได้เข้ามาแบบ Passive Income อย่างต่อเนื่องนั่นหมายความว่า เรามีความมั่งคั่งในการเงิน มีความเสี่ยงในเรื่องของการเงินน้อยลงเพราะมีรายได้หลายทาง ไม่ต้องใช้แรงงานและเวลาเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินอีกต่อไป มีอิสรภาพทั้งเวลาและการเงิน สามารถซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก ท่องเที่ยว และอื่น ๆ ที่สามารถสร้างชีวิตให้มีความสุขสบาย

ถ้าให้พูดถึงความหมายของ Passive Income แบบเฉพาะเจาะจงแบบฟันธงไปเลยนั้นคงสามารถนิยามให้เหมือนกันได้ยาก แต่สรุปง่าย ๆ ก็คือ รายได้ที่ได้รับเข้ามาแบบอยู่นิ่ง ๆ นั่นเอง ในขณะที่เรามีรายรับเข้ามาเรื่อย ๆ เราอาจจะเอาเวลาที่เหลือไปสร้างความฝันอื่น ๆ ต่อ อาจจะลาออกจากงานประจำหากว่า Passive Income ของเราคงที่และมั่นคงแล้ว สุดท้ายก็นำรายได้ที่ได้รับสร้าง Passive Income ชนิดอื่น ๆ ให้งอกเงยขึ้นไปเรื่อย ๆ จงเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ต่อไปแบบไม่มีวันหยุด

มนุษย์เงินเดือนส่วนมากแล้วก่อนจะมี Passive Income ก็เริ่มต้นจาก Active Income กันทั้งนั้น ซึ่งเมื่อได้รับรายได้จากเงินเดือนได้ประมาณหนึ่ง หลาย ๆ คนก็จะเริ่มมองหารายได้จากช่องทางอื่น ๆ มากขึ้น หลายคนอาจจะลงทุนในหุ้น หรือตราสารต่าง ๆ หรืออาจจะลงทุนซื้อคอนโดเพื่อให้เช่า แม้กระทั่งนำเงินเดือนไปลงทุนกิจการก็ได้เช่นกัน ไม่มีตัวเลือกใดถูกหรือผิดทั้งสิ้น

รายได้เสริมแบบ Passive Income

Passive Income คืออะไร

จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ผู้เขียนหนังสือยอดฮิตชื่อ “พ่อรวยสอนลูก” และ “เงินสี่ด้าน” ได้บอกไว้ว่า “อยู่เฉย ๆ ก็ยังได้เงิน” ได้จำแนกประเภทของคนตามลักษณะรายได้ที่ได้รับออกเป็น 4 ประเภทดังนี้

  1. E:Employee – พนักงานหรือคนที่ทำงานเพื่อแลกกับเงิน เป็นการนำความรู้, แรงงาน และเวลาของตนเอง แลกกับค่าตอบแทนที่นายจ้างจ่ายให้จากการทำงานให้นายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเอกชน หรือพนักงานในภาครัฐนับรวมเป็นบุคคลประเภทนี้ทั้งสิ้น
  2. S:Self Employee – คนกลุ่มนี้ก็จะดีขึ้นมาจากกลุ่มแรก คือกลุ่มที่มีธุรกิจ กิจการเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังไม่ใช่ขนาดที่ใหญ่ เช่น ร้านเช่าหนังสือ, ร้านข้าวแกง เป็นต้น แต่ก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะหยุดทำงานได้ หากหยุดเมื่อไหร่ รายรับที่เคยได้ก็จะหยุดตามทันที
  3. B:Business Owner – คือกลุ่มคนที่มีรายได้ที่เยอะ มีการจัดตั้งกิจการที่มีการบริหารจัดที่เป็นระบบ มีการจ้างงาน จ้างบุคคลประเภทที่ 1 แล้วให้ทำงานแทนตนเอง ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงาน ก็จะยังมีรายได้เข้ามาตลอด
  4. I:Invester – กลุ่มคนกลุ่มนี้อาศัยให้เงินทำงานแทนตนเอง โดยการลงทุนซื้อทรัพย์สิน หรือลงทุนในหุ้นและตราสารต่าง ๆ ที่ได้รับผลตอบแทน

นอกจากนี้ โรเบิร์ต คิโยซากิ ยังจัดกลุ่มคนตามที่มาของรายได้  แบ่งออกเป็นสองฝั่งด้วยกันคือ คนฝั่งซ้ายคือ คนที่มีรายได้แบบ Active Income หมายถึงต้องนำแรงและเวลาไปทำงานเพื่อสร้างรายได้ “ต้องทำงานเท่านั้นถึงจะได้เงิน” ส่วนคนฝั่งขวาคือ กลุ่มคนที่มีรายได้แบบ passive income กลุ่มคนที่มีรายได้จากการใช้ทรัพย์สินทำงานหรือการใช้เงินทำงานแทนตนเอง นั้นคือประเภทที่มาของรายได้แบบ 3 และ 4

Passive Income อะไรบ้างที่สร้างความมั่งคั่งได้

Passive Income มีหลากหลายประเภทที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้อย่างมั่นคง บางอย่างอาจจะมีสำหรับบางคน แต่บางอย่างก็ไม่สามารถสร้าง Passive Income ให้สำหรับบางคนได้ ไม่ต่างจากงานปกติทั่วไปที่ต้องอาศัยความชอบ ส่วนตัวแต่ละบุคคลด้วย ลองไปดูตัวอย่าง Passive Income ที่พบเห็นกันได้ทั่ว ๆ ไปครับ

  • มีกิจการเป็นของตัวเอง  โดยจัดตั้งเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีการจ้างบุคคลากรเพื่อทำงานแทนเรา สามารถตรวจสอบควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ถึงจะสามารถเรียกว่า Passive Income ได้เต็มปาก “แต่คุณต้องมีเงินมากและมีความรู้ ที่สำคัญคือ มีทักษะในการใช้คนเก่งได้ดี”
  • ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์  เป็นการลงทุนที่เรียกว่าการลงทุนเพื่อผลตอบแทนในระยะยาวจริง ๆ ไม่ใช่นักเก็งกำไรในระยะสั้นที่ซื้อมาขายไปในระยะสั้น ๆ การลงทุนชนิดนี้สามารถทำควบคู่ไปกับงานประจำได้เพราะไม่จำเป็นต้องใช้แรงและเวลามาก แต่สิ่งที่จะต้องพึงระวังก็คือ จะเป็นต้องมีความรู้และวิเคราะห์ในการเลือกลงทุนในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะข้อมูลในเชิงสถิติและปริมาณ มิเช่นนั้นแล้ว เงินลงทุนของเราอาจจะสูญเปล่าได้ การลงทุนในหุ้นสามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income ได้  สำหรับการลงทุนแล้วและหวังสร้างกำไรมาก ๆ แต่ต้องใช้เงินจำนวนมาก  ส่วนอีกวิธีการหนึ่งคือ การนำเงินที่ได้จากการทำงานประจำ แล้วนำเงินที่ได้ไปออมไว้ในหุ้น ค่อย ๆ สะสมหุ้นที่ดี บริษัทเจ๋ง ๆ มีกำไรงาม มีรายได้เติบโต และสามารถจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี
  • การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ การซื้อสร้างบ้าน สร้างคอนโดให้เช่า ซื้ออาคารเก่าปรับปรุงใหม่แล้วขาย ทำธุรกิจสร้างอาคารพาณิชย์หรือคลังสินค้าให้เช่า  คุณสมบัติคนที่จะลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ ต้องวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจได้ สามารถคาดคะเนได้ว่า เป็นโครงการใหญ่ที่โดนใจลูกค้า อยู่บนพื้นที่ทำเลทอง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มักต้องใช้เงินเม็ดใหญ่ แน่นอนต้องมีเงินทุนที่สูง แต่ถ้าประสบความสำเร็จ จะสามารถสร้างรายได้ไม่หยุดได้เช่นกัน
  • การลงทุนด้านไอที หากใครที่สามารถประสบความสำเร็จในการมีสินค้าอะไรสักอย่างทางด้านไอทีอยู่ในมือ เชื่อมั้ยว่า ทุกวินาทีของคุณจะกลายเป็นเงินเลยทีเดียว ลองดูอย่างผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค, google, amazon ดูสิครับ ซึ่งบุคคลเหล่านี้นอกจากจะมีพรสวรรค์แล้วหลายคนก็มาจากโอกาสด้วยเหมือนกัน สำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สร้างนวัตกรรมก็ได้ การลงทุนทางด้านไอทีปัจจุบันง่ายขึ้นมาก แถมมีผลตอบแทนที่สูง ลองอ่านบทความการลงทุนทางด้านไอที ด้านล่างนี้เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจครับ
  • ขายลิขสิทธิ์ การขายลิขสิทธิ์ส่วนตัวผมในปัจจุบันคิดว่าเป็นการสร้าง Passive Income ที่เริ่มต้นยากเหมือนกัน หากเราไม่เจ๋งจริง เช่น การเขียนหนังสือนิยาย การแต่งเพลง เป็นต้น ยิ่งในเรื่องของความบันเทิงด้วยแล้ว เราจะเห็นว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์กันทั่วไปจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จก็มีมากมายเช่นกัน อย่างเช่น J.K. Rolling ผู้เขียนหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์
  • ธุรกิจเฟรนไชส์  คือระบบธุรกิจที่ผู้ขายแฟรนไชส์ ได้อนุญาตให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์  สามารถใช้เครื่องหมายการค้าหรือแบรนด์  ชื่อทางการค้า  ตลอดจนสูตรลับ  กรรมวิธีต่าง ๆ เพื่อทำการผลิตสินค้าหรือให้บริการแก่ผู้บริโภค  นอกจากนี้ธุรกิจแฟรนไชส์ยังต้องมีระบบ วิธีการดำเนินธุรกิจในทุกๆ สาขาให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันกับต้นแบบของบริษัท เมื่อจำนวนสาขาแฟรนไชส์ เพื่มมากขึ้น ก็ยิ่งมีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์หรือค่าใบอนุญาตต่าง ๆ จากผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • ทำธุรกิจเครือข่าย (MLM :Multi-level Marketing) คือ การตลาดที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้คนในการกระจายสินค้า เพื่อขายสินค้าหรือบริการออกไปยังผู้บริโภคโดยตรง ธุรกิจเครือข่ายผู้บริโภคจะมีรูปแบบการเชื่อมโยงเป็นทอดๆลักษณะคล้ายใยแมงมุม เป็นการใช้สินค้าแล้วบอกต่อ  อาศัยการตลาดแบบปากต่อปาก เมื่อผู้คนที่อยู่ในเครือข่ายซื้อสินค้าใช้  คนที่เป็นเจ้าของโครงข่ายก็จะมักได้รับส่วนแบ่งรายได้จากเจ้าของธุรกิจ ลดหลั่นลงไปตามแผนส่วนแบ่งผลตอบแทน ธุรกิจเครือข่ายมีศักยภาพมากในการกระจายสินค้า มีต้นทุนต่ำและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็ว ตัวอย่างของธุรกิจเครือข่ายอันดับต้น ๆ เช่น Amway

ที่เห็นคือตัวอย่างเท่านั้นในการสร้าง Passive Income จริง ๆ แล้วมีธุรกิจอีกมากมาย ถ้าจะให้เขียนให้หมดทุกประเภท คงบอกได้เลยว่าไม่มีวันหมดจริง ๆ ครับ

Passive Income คืออะไร?

0
Passive Income

ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายต้องเคยได้ยินคำว่า “Passive Income” มาอย่างแน่นอน ตัวอย่าง เช่น รายได้จากเค่าเช่า, รายได้จากการลงทุนในหุ้น, รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ต่าง ๆ หรือรายได้อื่น ๆ จากอะไรก็ตามแต่ ที่เราไม่ต้องเอาเวลาไปแลกเพื่อให้ได้มา ซึ่งแตกต่างจากการทำงานรับเงินเดือนทั่ว ๆ ไป

“Passive Income” เป็นรายได้แบบที่หลาย ๆ คนอยากจะมี เพราะเป็นรายได้ที่เราไม่ต้องเอาเวลาไปแลกเพื่อให้ได้รายได้มา แต่ยังมีหลายคนที่เข้าใจผิดว่ามันมีได้ง่าย ๆ

ประเด็นหลักของ Passive Income ที่แตกต่างจาก Active Income ก็คือองค์ประกอบในเรื่องของเวลา เพราะจะสามารถเป็นตัวแบ่งรายได้ทั้ง 2 ประเภท ออกจากกันได้เป็นอย่างดีเลย หากใครที่สามารถบริหารจัดการเวลาได้เป็นอย่างดี ก็อาจจะมีรายได้ทั้ง 2 ทางไปพร้อม ๆ กันทั้ง Active Income เช่น ทำงานประจำ ในขณะเดียวกันก็มีรายได้จาก Passive Income ไปด้วย เช่น ปล่อยเช่าคอนโด เป็นต้น

** Active Income ของบางคนอาจจะเป็น Passive Income ของคนอื่น ๆ ก็ได้ กลับกัน Passive Income ก็อาจจะเป็น Active Income ได้นะจ้ะ **

เห็นแบบนี้แล้วหลาย ๆ คนก็คิดว่า เอ้ย มันดีนะที่จะมีรายได้แบบ Passive Income มาแบบไม่ต้องทำงาน ใช้ชีวิต Slow Life จิบกาแฟตามป่าเขา ใช้เวลาในการท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ …

รายได้เสริมแบบ Passive Income

แต่เดี๋ยวก่อน ถ้ามันง่ายแบบนั้นโลกนี้ก็คงจะมีแต่คนรวยไปแล้วแหละ ไปดูตัวอย่างกัน

เช่น

ถ้าเราซื้อคอนโดไว้สักห้องนึง ใจเราคิดจะปล่อยให้เช่าไม่ได้ต้องการจะอยู่เอง แน่นอนเราต้องมีการวางแผนก่อนจะซื้อ อาทิ ทำเลที่จะซื้อ มันเหมาะแก่การปล่อยให้เช่ารึเปล่า ซื้อไปแล้วจะมีคนสนใจมาเช่นของเรามั้ย ถัดมาก็เรื่องของการกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาซื้อคอนโด จะผ่านมั้ยล่ะทีนี้ ฐานเงินเดือน และประวัติเครดิตเราเป็นยังงัย ยังอีกนะมันยังไม่จบแค่นั้นพอกู้ผ่านแล้วเราจะหาคนกู้จากไหนอีก ที่ไว้ใจได้ ไม่ทำลายทรัพย์สินของเรา หลังจากนั้นสุดท้ายจริง ๆ รายได้จากค่าเช่าแต่ละเดือน ถั่วเฉลี่ยแล้วมันคุ้มกันมั้ยกับที่เราจะต้องผ่อนจ่ายคอนโดแต่ละเดือน ไหนจะต้องดูแล ปรับปรุง รักษา ฯลฯ …. เมื่อสิ่งที่เราวางแผนไว้ทั้งหมดมันลงตัวด้วยดี และได้รับเงินทุกเดือนนั่นแหละ ถึงจะเรียกว่า Passive Income

เห็นมั้ยล่ะว่า การสร้างรายได้แบบ Passive Income นั้นมันไม่ใช่เรื่องงายเลยนะ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า มันต้องมีอะไรบ้าง ถึงจะสร้าง Passive Income ได้สำเร็จ

1. การสร้าง “Passive Income ต้องใช้เวลา

ไม่ใช่ 1-2 ปี จะได้อย่างแน่นอน เพราะลองคิดดูว่าเราเรียนมาจนอายุ 22-23 เราเพิ่งจะมีโอกาสได้สร้าง Active Income โดยการเป็นลูกจ้างต๊อกต๋อย สักบริษัทจากการทำงาน 15,000 บาทต่อเดือน นี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่หรูหราแล้วนะ แต่อยู่ดี ๆ เราอยากจะสร้าง “Passive Income”ภายใน 1-2 ปี มันเป็นไปได้หรอออ !? ผมว่ามันค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ใจร้อนไปสักหน่อย แต่มันทำได้นะ 1-2 ปีเนี่ย แต่ก็ไม่ค่อยประสบพบเจอสักเท่าไหร่ เท่าที่เจอมาก็มักจะประกอบด้วยดวงของแต่ละคนด้วย บางคนลงทุนหุ้นแล้วไปเจอตัวดี รวยไปซะงั้นอะ เอาเป็นว่าตามแบบแผนที่มันเกิดทั่ว ๆ ไป มันต้องใช้เวลานะครับ

2. ไม่ใช่ไม่ต้องทำงานแต่เป็นการที่เราทำงานโดยไม่ต้องเอาเวลาแลกต่างหากล่ะ

ตัวอย่างจากที่ได้อ้างถึงการซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า จริง ๆ เราต้องทำงานนะกว่าจะได้ข้อสรุปที่ลงตัว ทั้งทำเล, ราคา, ผู้เช่า และรายได้จากค่าเช่าแต่ละเดือน เห็นมั้ยล่ะสิ่งที่เกิดขึ้นเราทำงานเหมือนกัน แต่หลังจากที่เราประสบความสำเร็จ เราไม่ต้องเอาเวลาแต่ละวัน ไปแลกเพื่อให้ได้เงินมาต่างหาก

เมื่อเราประสบความสำเร็จจากการบริหารจัดการเวลาจนได้ Passive Income สักแหล่งแล้ว ก็อย่าคิดที่จะหยุดแค่นี้นะครับ อย่าลืมศึกษาค้นคว้าแหล่งการลงทุนอื่น ๆ อยู่เรื่อย ๆ และการศึกษาค้นคว้าเหล่านี้จริง ๆ ก็ใช้เวลา แต่เราจะใช้เวลาว่างเมื่อไหร่ก็ได้งัย เห็นมั้ยล่ะ เราทำงานไม่หยุดเลยใช่บ่

3. เราต้องมี “เงินลงทุน”

เงินลงทุนยิ่งมาก โอกาสที่เราจะสร้างได้ก็ยิ่งสูงขึ้น มั่นคงมากขึ้น และถ้าเรามีความรู้ก็จะทำให้การสร้างรายได้แบบ Passive Income ได้ง่ายขึ้นไปอีก

ตัวอย่าง

เราอาจจะปล่อยเช่าคอนโดแบบหรูหราที่เราซื้อไว้ในตอนต้น รายได้เดือนละ 10,000 บาท เมื่อหักลบกลบหนี้ที่เราต้องผ่อนจ่ายธนาคาร และแบ่งส่วนนึงไว้เป็นค่าบำรุงรักษาคอนโดแล้ว สมมุติว่าเหลือ เดือนละ 2,000 บาท แบบนี้ครบปีเราก็มีเงิน 24,000 บาท ถ้าเรามีแผนการในการค้นหา Passive Income อื่น ๆ เราก็สามารถนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนเพิ่ม หา Passive Income ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ครบ 5 ปีเราจะมีรายได้เท่าไหร่ ก็ลองคำนวณกันดูนะครับ

เห็นมั้ยครับว่าการสร้าง Passive Income นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจ ความพยายาม และพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง ส่วนมากมักจะแพ้ภัยตัวเอง รอไม่ไหวอยากประสบความสำเร็จเร็ว ๆ บริหารจัดการเวลาและรายรับไม่ดีสุดท้ายก็เจ๊งไม่เป็นท่า แถมมากระทบกับเวลาในการสร้าง Active Income อีกต่างหาก

การสร้างรายได้แบบ Passive ไม่ได้ยาก แต่ต้องใช้เวลา และความเข้าใจ แน่นอนว่าไม่มีทางลัดอย่างแน่นอน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผลเสมอ แต่ถ้าเราปล่อยให้ความโลภอยู่เหนือเหตุผลเมื่อไหร่ โอกาสที่เราจะถูกหลอกจากการลงทุนที่ประหลาด ๆ ก็จะยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

สำหรับใครที่สนใจสร้าง Passive Income แบบออนไลน์แบบผม ลองอ่านบทความเหล่านี้ดูครับ

แล้วพบกันที่ฝั่งอิสระทางการเงินครับ

DACSEE แพลตฟอร์มนี้เพื่อทุกคนไม่ใช่เฉพาะแค่ผู้โดยสาร

0

เกี่ยวกับ DACSEE

DACSEE ออกเสียงว่า แด๊กซี่ ซึ่งทางผู้พัฒนาเองมีความตั้งใจที่จะให้ไปพ้องเสียงกับคำว่า แท๊กซี่ นั่นเอง DACSEE (แดคซี) ถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญแขนงต่าง ๆ ที่มีความคิดกว้างไกล และมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในแนวคิดที่จะแบ่งปันมากกว่าที่จะรับ พวกเขาจึงคิดและพัฒนาแพลตฟอร์ม DACSEE เพื่อใช้ในธุรกิจบริการเรียกรถแท๊กซี่ เพื่ออำนวยให้ผู้ขับรถ ผู้โดยสาร และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ร่วมกันมากที่สุด

ในแง่มุมของผู้โดยสารแอพพลิเคชั่น DACSEE นั้นไม่ได้แตกต่างจากแอพพลิเคชั่นตัวอื่นที่ใช้สำหรับเรียกรถแท๊กซี่ เช่น อูเบอร์ หรือ แกร๊บ แต่ในเบื้องหลังของผู้คิดค้นระบบนี้ขึ้นมานั้น มีจุดมุ่งหมายอย่างแน่วแน่ที่ต้องการขจัดระบบผูกขาด อย่างเช่น อูเบอร์ และ แกร๊บ ออกไปต้องการที่จะให้คนขับแท๊กซี่ได้รับส่วนแบ่งในสัดส่วนที่ยุติธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย เดี๋ยวเรามาดูกันครับว่าระบบของ DACSEE นั้นต่างจากผู้เล่นรายเดิมในตลาดอย่างไรบ้าง

จุดเด่นของ DACSEE

  • เปิดโอกาสให้ผู้สนใจทุกคนมีส่วนร่วมได้
  • แอพพลิเคชั่น ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนระบบ Android และ iOS
  • มีระบบความปลอดภัย ด้วยการตรวจสอบผู้ขับขี่โดยการใช้เทคโนโลยีการแสกนใบหน้า
  • มีการนำเทคโนโลยีของบล๊อคเชนมาประยุกต์ใช้ในการชำระเงิน อีกทั้งแอพพลิเคชั่นยังพัฒนาแบบโอเพนซอร์ส
  • มีแผนในการชำระภาษีที่โปร่งใสสำหรับหน่วยงานภาครัฐ โดยได้มีการปฏิบัติตามข้อกฎหมายของแต่ละประเทศอย่างเคร่งครัด
Where Curiosity Meets Creativity
DACSEE เปิดตัวที่แรกในโลกที่ประเทศไทย

ประโยชน์ของ DACSEE

ประโยชน์สำหรับผู้ขับรถแท๊กซี่

  • สามารถสร้างเครือข่ายแท๊กซี่ของตนเองโดยการแนะนำคนขับแท๊กซ๊่ท่านอื่น เมื่อมีการให้บริการก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นจากการแนะนำ
  • รับโบนัสเพิ่มเมื่อได้รับการประเมินคุณภาพการบริการจากผู้โดยสาร และจากการเรียกใช้บริการซ้ำจากผู้โดยสารคนเดิม
Where Curiosity Meets Creativity
DACSEE มีแผนการตลาดที่เปิดให้ผู้ขับแท๊กซี่สามารถสร้างเครือข่ายผู้ขับรถของตัวเองได้ (คล้าย ๆ กับการตลาดแบบ MLM)

ประโยชน์สำหรับผู้โดยสาร

  • สามารถสร้างรายได้โดยการแนะนำให้บุคคลอื่นใช้บริการ DACSEE
  • สามารถจัดลำดับคนขับที่ชื่นชอบ และประเมินคะแนนคุณภาพการให้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นได้
  • สามารถใช้เมนู “ขอความช่วยเหลือ” หากมีเหตุจำเป็น และได้รับการเฝ้าระวังความปลอดภัยจากผู้ขับรถในระบบ DACSEE ท่านอื่น
  • ใช้บริการในราคาที่เป็นธรรม ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ไม่มีชาร์จเพิ่มใด ๆ เนื่องจากค่าแท๊กซี่ไม่โดนหักให้กับบริษัท

ประโยชน์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ

  • ได้รับการชำระภาษีที่โปร่งใส เนื่องจาก DACSEE ได้ศึกษาและปฏิบัติตามข้อกำหนดทางด้านกฎหมายของแต่ละประเทศอย่างเคร่งครัด
Where Curiosity Meets Creativity
(ซ้าย) ม.ล. ณัฏฐพล เทวกุล, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีเอ็มดี เทคโนโลยี จำกัด
(กลาง) มร. อเล็กซานเดอร์ วอน คัลเดนเบิร์ก, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอพพลิเคชั่น DACSEE
หลังจากที่เปิดตัวที่ประเทศไทยแล้ว DACSEE มีแผนที่จะเปิดให้บริการต่อในประเทศอินเดีย มาเลเซีย และจีนตามลำดับภายในปี พ.ศ. 2561 ก่อนที่จะมีการขยายออกไปสู่ทั่วโลกต่อไป

DACSEE กับการระดมทุน ICO

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า DACSEE เป็นแอพพลิเคชั่นที่พัฒนาอยู่บนแพลตฟอร์มของ Blockchain มีการเปิดระดมทุนแบบ ICO แล้ว โดยสามารถซื้อ Token และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามนี้

Where Curiosity Meets Creativity Where Curiosity Meets Creativity

DACSEE นั้นพัฒนาอยู่บนแพลตฟอร์มบล๊อคเชน ดังนั้นจึงสามารถชำระค่าบริการได้หลากหลายช่องทาง ทั้ง DACSEECoin, บัตรเครดิต และ เงินสด

เป็นอีกแอพพลิเคชั่นนึงนะครับที่น่าสนใจ และมีตัวตนของผู้ก่อตั้งอย่างแน่นอน ส่วนตัวผู้เขียนเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะซื้อ Token ของ DACSEE เก็บไว้ให้เพลิน ๆ เหมือนกันนะครับ 

รู้จักกับ Burst Coin และขั้นตอนการขุด Burst Coin ด้วย Harddisk

0

Burst Coin คืออะไร

Burst Coin เปิดตัวเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2015 โดยใช้พื้นฐานมาจากเหรียญ NXT แต่มีการปรับอัลกอริทึมใหม่เป็น Proof of Capacity (POC) เพื่อแก้ไขปัญหาเหรียญดิจิตอลชนิดอื่น โดยเฉพาะความสิ้นเปลืองพลังงานในการขุดเหรียญต่าง ๆ

โดยอัลกอริทึม Proof Of Capacity หรือ POC จะใช้พลังและความจุจาก Hard Disk แทนการใช้งานการ์ดจอหรือเครื่อง ASIC ในการขุด เรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาโดยมีแนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นมิตรกับทุกคน ในแง่ของการขุดเหรียญเพราะใคร ๆ ก็สามารถที่จะขุดได้นั่นเอง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าความสามารถของ Burst Coin จะมีเพียงเท่านี้ เพื่อให้ตัวของมันเองมีมูลค่าที่จับต้องได้นั้น ทางทีมพัฒนาก็มี Road map ที่จะให้ Burst Coin สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยได้ในอนาคตโดยคร่าว ๆ มีดังนี้

  • เชื่อมต่อกับ Payment Gateway ที่ Coinpayment.net นั่นคือใครที่มี Burst Coin อยู่ ก็จะสามารถนำ Burst Coin ไปซื้อสินค้าออนไลน์ได้
  • เพิ่มรายชื่อ Burst Coin ที่เว็บกระดานซื้อขาย เพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่มี Burst Coin ในการแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราของแต่ละประเทศได้

Proof of Capacity (POC)

จำนวนของ Burst Coin ที่จะมีปริมาณมากขึ้นในแต่ละนาทีนั้นจะแตกต่างกับเหรียญชนิดอื่นที่ส่วนมากจะใช้การ์ดจอหรือเครื่อง ASIC ในการขุด แต่สำหรับ Burst Coin ใช้พื้นฐานของ Hard Disk ในแต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี มาใช้ในการขุดนั่นเอง เพราะทีมพัฒนาเชื่อว่าเป็นพื้นฐานของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องที่มี ใคร ๆ ก็สามารถขุดได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อการ์ดจอหรือเครื่อง ASIC แพง ๆ ขอเพียงมีพื้นที่ว่างใน Hard Disk ก็สามารถเริ่มต้นทำการขุดได้แล้ว อีกทั้งยังกินพลังงานที่น้อยมากอีกด้วย

Burst coin Mining
เปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างการขุดเหรียญชนิดอื่น ๆ กับ Burst Coin ที่ใช้เพียง Hard Disk

การขุด Burst Coin

เตรียมความพร้อมก่อนขุด Burst Coin

1. เนื่องจากตัว Burst Coin Wallet พัฒนามาจากภาษาจาวา ดังนั้นเครื่องไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้ง Java เอาไว้จำเป็นต้องโหลดมาติดตั้งก่อน คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลด หลังจากดาวน์โหลดเสร็จแล้วก็เริ่มขั้นตอนติดตั้ง โดยไม่ต้องปรับแต่งอะไรเลยนะครับ โปรแกรมขึ้นมาแบบไหนก็เลือกแบบนั้น เราคลิก Next อย่างเดียวพอ

Where Curiosity Meets Creativity

2. เมื่อติดตั้ง Java เสร็จแล้ว ต่อไปให้ทำการติดตั้ง Burst Coin Wallet โดยสามารถคลิกดาวน์โหลดเวอร์ชั่นล่าสุด ที่นี่

3. ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ที่ดาวน์โหลดเสร็จแล้ว เพื่อเริ่มทำการติดตั้ง เมื่อขึ้นหน้าจอติดตั้งหน้าแรกให้กด “Next”

Where Curiosity Meets Creativity

4. เลือกโฟลเดอร์สำหรับติดตั้ง Burst Coin Wallet (จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนก็ได้) กด “Next”

Where Curiosity Meets Creativity

5. กด “Next” เพื่อสร้าง Shortcut ของโปรแกรม

Where Curiosity Meets Creativity

6. หน้าจอถัดมาตัวติดตั้งจะถามเราว่าต้องการสร้าง Short Cut ที่หน้าจอหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรก็กด “Next” ได้เลย

Where Curiosity Meets Creativity

7. สุดท้ายตัวติดตั้งจะสอบถามข้อมูลเพื่อความถูกต้องอีกครั้งถ้าไม่ติดอะไรก็กด Next เพื่อเริ่มติดตั้ง รอจนเสร็จก็กด Finish ได้เลย

Where Curiosity Meets Creativity Where Curiosity Meets Creativity Where Curiosity Meets Creativity

สร้าง Wallet ID

1. เปิดโปรแกรม Burst Coin เพื่อเริ่มสร้างหมายเลข Wallet เพื่อทำการรับส่ง Burst Coin เมื่อขึ้นหน้าแรกของโปรแกรมให้คลิกที่ New? Create Your Account

Where Curiosity Meets Creativity

2. หน้าจอถัดมาโปรแกรมจะโชว์ Passphrase หรือ Seed ในกรณีที่เราต้องการจะ Restore หรือนำไปใช้กับที่อื่น ตรงนี้ให้เก็บข้อมูลไว้ให้ดีนะครับ Save เก็บไว้หลาย ๆ ที่ ป้องกันเอาไว้ เผื่อกรณีฉุกเฉินเครื่องเราพังจะได้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เมื่อพร้อมแล้วกด “Next”

Where Curiosity Meets Creativity

3. ยืนยันการใช้งานอีกครั้งโดยการนำ Passphrase เมื่อขั้นตอนที่แล้วมาใส่ เสร็จแล้วกด “Next”

Where Curiosity Meets Creativity

พร้อมใช้งานแล้ว

Where Curiosity Meets Creativity

ฝากเงินเข้า Burst Coin Wallet

ก่อนที่จะเริ่มทำการปรับแต่ง หรือเริ่มทำการขุดเราควรมีจำนวน Burst Coin อยู่ในกระเป๋าสัก 5-10 เหรียญก่อน เพราะในการแก้ไขบางอย่างนั้น จำเป็นต้องหัก Burst Coin ออกไป บางอันก็ 1 Burst บางอันก็มากกว่านั้น

การได้มาของ Burst Coin นั้นก็ไม่ยาก เราจะซื้อจากตลาดแลกเปลี่ยน หรือ จะขอเหรียญ Burst Coin ฟรีก็ได้ ในทีนี่จะบอกวิธีขอ Burst Coin ฟรีครับ

1. คลิกที่นี่ เพื่อเข้าเว็บขอ Burst Coin ฟรี

Where Curiosity Meets Creativity

2. เมื่อได้เว็บสำหรับแจก Burst Coin ฟรีแล้ว ในช่อง ID ให้ใส่หมายเลขกระเป๋าของเรา, กด Verify แล้วคลิกที่ปุ่ม Claim Burst

Where Curiosity Meets Creativity

3. หลังจากที่ได้ Burst Coin มาแล้วเราจะทำการเปลี่ยนชื่อ Wallet ID โดยการคลิกที่ No Name Set

Where Curiosity Meets Creativity

4. ใส่ชื่อกระเป๋าที่ช่อง Name และเอา Passphrase ของเราที่ได้เก็บเอาไว้ก่อนหน้ามาใส่ เสร็จแล้วกด Update Account Info

Where Curiosity Meets Creativity

เตรียม Hard Disk สำหรับการขุด Burst Coin (Write Plots)

ยังครับ! ยังไม่จบสำหรับขั้นตอนเตรียมการ เมื่อเรามี Burst Coin Wallet พร้อมที่จะรับเงินแล้วต่อไปก็เป็นการเตรียมความพร้อม Hard Disk ที่จะใช้สำหรับการขุด Burst Coin ขั้นตอนนี้จะเรียกว่า Write Plots

1. คลิกที่คำว่า Write Plots ที่แถบด้านล่างของ Burst Coin Wallet

Where Curiosity Meets Creativity

2. ถัดมาให้เลือก Drive ที่จะใช้สำหรับการขุด เสร็จแล้วคลิกที่ปุ่ม “Plot this Drive”

Where Curiosity Meets Creativity

3. เลือกความจุที่จะให้ใช้สำหรับการขุด โดยการเลื่อนแถบไปซ้ายหรือขวา และเลือก Core CPU ด้วยนะครับ เพราะในการขุดบางช่วงเวลาจะมีการใช้พลังงานของ CPU ด้วย

Where Curiosity Meets Creativity

4. ในช่อง Your BURST Account: ให้ใส่หมายเลข Burst ID ของเรา เสร็จแล้วกดปุ่ม Start Plotting

Where Curiosity Meets Creativity

5. เสร็จแล้วโปรแกรมจะเริ่มทำการตรวจสอบ Hard Disk ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานมาก บางทีก็เป็นวัน ซึ่งจะช้าจะเร็วยังบอกได้ไม่ชัดนัก แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเร็วของ CPU ที่เรามี และขนาดของ Hard Disk ครับ

Where Curiosity Meets Creativity Where Curiosity Meets Creativity

เริ่มขุด Burst Coin

เอาล่ะครับเตรียมความพร้อมกันมาหลายขั้นตอน ทีนี้ก็เริ่มการขุด Burst Coin กันจริง ๆ สักที

1. คลิกที่ Start Mining ที่แถบด้านล่างของ Burst Coin Wallet

Where Curiosity Meets Creativity

2. เลือก Pool ที่จะขุดที่อยู่ช่องขวามือ (เอาอันไหนก็ได้)

Where Curiosity Meets Creativity

3. กดที่ปุ่ม Change เพื่อเข้าร่วม Pool ขุด เมื่อกดแล้วหมายเลข Burst Address ของ Pool จะถูกก๊อปปี้เอาไว้ใน Clipboard เพื่อจะใช้ในขั้นตอนต่อไปให้เรากด OK

Where Curiosity Meets Creativity

4. ถัดมาให้เราเอา Pool Address ที่โปรแกรม Copy ไว้ให้เราเมื่อขั้นตอนที่แล้วใส่ในช่อง Burst address of Pool: และใส่ Passphrase ในช่องแรก

Where Curiosity Meets Creativity

5. พร้อมแล้วกดปุ่ม Submit

Where Curiosity Meets Creativity

6. ถ้าหากมี Error Code ขั้นมาให้กดปุ่ม Change อีกปุ่มด้านล่าง

Where Curiosity Meets Creativity

7. ทำตามขั้นตอน 3,4,5 อีกครั้งรอบนี้จะไม่ขึ้น Error

8. เอาล่ะพร้อมแล้วทีนี้กดที่ปุ่ม Start Mining (CPU/AVX)

Where Curiosity Meets Creativity

โปรแกรมจะเริ่มทำการขุด ที่เหลือก็ปล่อยเครื่องขุดไปเรื่อย ๆ รอรับเงินกันไปครับ

Where Curiosity Meets Creativity

 

ทำความรู้จักกับเหรียญ Decred

0
Decred

Decred คืออะไร?

Decred คือ สกุลเงินดิจิตอล ที่ทำงานคล้ายกับ Bitcoin พัฒนามาเพื่อแก้ไขจุดด้อยของ บิทคอยน์ ในบางจุดโดยกลุ่มชุมชนนักพัฒนาที่เคลมว่ามีความแข็งแกร่ง ในการขุดเหรียญ Decred ออกแบบมาให้รองรับ 2 แบบ ทั้ง Proof of Work และ Proof of Stake เพื่อให้มั่นใจว่าการขุดเหรียญ Decred นั้นสามารถทำได้แม้กระทั่ง PC ทั่ว ๆ ไป ไม่โดนผูกขาดตลาดโดยนักขุดเหมืองรายใหญ่เหมือนบิทคอยน์ ตัวย่อของ Decred คือ DCR สร้างขึ้นมาโดยพัฒนาขึ้นมาใหม่ไม่ใช่การแตกเหรียญออกมาจากเหรียญอื่น ๆ (Hard Fork) และทำงานบนบล๊อคเชนแบบเดียวกับบิทคอยน์

Decred

Cryptocurrency คืออะไร?

สกุลเงินดิจิตอล เป็นระบบ “การแลกเปลี่ยนค่าเงิน” เหมือนกับเงินในโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกเราต่างคุ้นเคย แต่ความแตกต่างหลักคือ เงินแบบเหรียญ หรือ ธนบัตรทั่ว ๆ ไปนั้น จะถูกควบคุมโดยรัฐบาลแต่ละประเทศ

Blockchain คืออะไร?

Blockchain คือ หัวใจหลักในการทำงานของ Decred และสกุลเงินดิจิตอลชนิดอื่น ๆ ซึ่งรายการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การโอน, การซื้อ และ การขาย เหรียญดิจิตอลทุกชนิด จะถูกบันทึกเอาไว้ในระบบที่เรียกว่า บล๊อคเชน คล้าย ๆ กับข้อมูลของธนาคารที่จะเก็บไว้ในฐานข้อมูลของแต่ละธนาคาร

แต่การทำงานของบล๊อคเชนจะมีคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานร่วมกันทั่วโลก เข้ามายืนยันรายการในแต่ละรายการว่าเป็นรายการจริง ๆ ผ่านอัลกอริทึมที่มีความซับซ้อน หรือที่เราเรียกว่า “การทำเหมืองแร่” หรือ “Proof of Work

ALTCOINS คือ อะไรและคุณควรจะซื้อหรือไม่สกุลเงินดิจิตอลเหล่านั้น

0
Alternative Coin
Alternative Coin

มีสกุลเงินดิจิตอลต่าง ๆ ในตลาดสกุลเงินดิจิตอลนอกจาก บิทคอยน์ ก็คือ Ethereum, Litecoin, Bitcoin Cash, Monero, Dash ฯลฯ รายการของสกุลเงินดิจิตอลทุกประเภทสามารถพบได้ง่ายบนอินเทอร์เน็ต

สกุลเงินดิจิตอลต่าง ๆ คืออะไร

Altcoin หรือสกุลเงินดิจิตอลต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นและอยู่ตามกระแสแห่งความสำเร็จของบิทคอยน์ นอกจากนั้นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แนะนำสิ่งใหม่ ๆ ในกลุ่มสกุลเงินดิจิตอลเพื่ออัพเกรดอัลกอริทึมการทำงานและปรับปรุงคุณสมบัติของมัน  Altcoin ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ทางการเงินแบบแยกจากศูนย์ทั่วไปได้อย่างรวดเร็วและนำ สกุลเงินดิจิตอล ในชีวิตของคนทั่วไป

ส่วนใหญ่ที่ครอบงำของ Altcoin อยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยี บล็อคเชน รวมทั้งบิทคอยน์ อย่างไรก็ตาม เราสามารถแบ่งออก Altcoin เป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับความหลากหลายของฟังก์ชั่น อัลกอริทึมการแฮช ความเร็วในการทำธุรกรรม และข้อกำหนดวิธีการป้องกัน จริง ๆ แล้ว altcoins เป็น บิทคอยน์ รุ่นใหม่ที่ทันสมัยในด้านต่าง ๆ ก็คือการทำธุรกรรมสามารถประมวลผลได้เร็วขึ้น ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม บิทคอยน์ ยังคงเป็นผู้นำและมีแนวโน้มที่จะยังคงรักษาตำแหน่งของมันต่อไป อย่างน้อยก็ในอนาคตอันใกล้แม้จะมีสกุลเงินดิจิตอล หลากหลายประเภทในตลาด สกุลเงินดิจิตอลในเวลาปัจจุบัน แต่คนส่วนใหญ่เชื่อมโยงคำว่า “สกุลเงินดิจิตอล” ตรงกับ บิทคอยน์ อย่างเป็นนิสัยเนื่องจากความนิยมสูงของมันมากกว่า

Altcoins สกุลเงินดิจิตอลเป็นสื่อการลงทุน

เนื่องจากความนิยมสูงของบิทคอยน์ นักลงทุนจำนวนมากตัดสินใจลงทุนใน altcoins ด้วย ตามความคิดเห็น ของพวกเขา altcoins ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มเดียวกับ บิทคอยน์ แต่ยังคงมีลักษณะเฉพาะของมันเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า altcoins มีศักยภาพบางอย่างที่อาจนำมาซึ่งผลประโยชน์ในอนาคต

มีความหมายไหม? ก็มีอย่างแน่นอน

มันมีความเสี่ยงหรือไม่? ก็มีเหมือนกัน

แต่ความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นได้ทุกกรณี ไม่ว่าคุณจะมองเรื่องกรณีใด ๆ จากมุมไหนบ้าง อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของการลงทุนดังกล่าวอาจจะมีประโยชน์ยิ่งใหญ่มากกว่า ดังนั้นความเสี่ยงจึงมีคุ้มค่าที่จะลอง

มูลค่าของ altcoins จำนวนมากมีแนวโน้มในการเติบโตขึ้นเป็นเรื่อย ๆ ตามกระแสแห่งความสำเร็จของบิทคอยน์  ตัวอย่าง เช่น Litecoin และ Ethereum มีมูลค่าไม่กี่เซนต์ในตอนต้น  และตอนนี้มูลค่าของสกุลเงินดิจิตอลเหล่านี้ได้มากขึ้นหลายพันเท่าตัว และยังคงทยานราคาขึ้นอย่างไม่มีวี่แววว่าจะหยุด

นักลงทุนจำนวนมากเล่นกับ altcoins และ บิทคอยน์  ในเวลาเดียวกันตามกฎระเบียบของการลงทุนที่ว่า “ไม่ต้องใส่ ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว“ วิธีทางเลือกดังกล่าวมีความหมายอย่างแน่นอน ดังนั้นนักลงทุนที่มีประสบการณ์จึงใช้วิธีทางเลือกแบบนี้บ่อย ๆ

สรุปว่าวิธีการลงทุนในสกุลเงินดิจิตอลอย่างชาญฉลาด ก็จะช่วยคุณมีค่าตอบแทนจากการลงทุน และมีกำไรทากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลงทุนอย่างสมเหตุสมผล

Cryptocurrency คืออะไร มีอะไรบ้าง

0
Cryptocurrency หรือ เงินดิจิตอล

Cryptocurrency มีการพูดถึงกันอย่างมากมาย ทั้งในประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก็ตื่นตัวกับเจ้า Cryptocurrency เป็นอย่างมาก ทำให้หลายคนอยากจะทราบว่าเจ้า Cryptocurrency มันคืออะไร มีความหมายอย่างไร และทำไมประเทศอื่น ๆ ต้องตื่นตัวกันอย่างมาก

Cryptocurrency หรือ Crypto Currency อ่านว่า คริปโตเคอเร็นซี่ หากแปลความหมายตรงตัวมันก็คือ สกุลเงินที่มีการเข้ารหัส

Cryptocurrency คืออะไร

หากจะพูดภาษาให้เข้าใจง่าย ๆ Cryptocurrency ก็คือ สกุลเงินดิจิตอล หรือ เงินดิจิตอล โดยออกแบบมาให้เข้ารหัส กระจายออกไปในส่วนอื่น ๆ ไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีการควบคุมจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือที่เรียกว่า Blockchain ที่เก็บข้อมูลแบ่งออกเป็น ก้อน ๆ (block) และกระจายออกไปเชื่อมโยงกันไปอย่างต่อเนื่องเหมือนโซ่ (chain)

Cryptocurrency หรือ เงินดิจิตอล
มูลค่าแลกเปลี่ยนเงินดิจิตอลในประเทศไทย

สกุลเงินดิจิตอล หรือ Crypto Currency มีหลายสกุลเงิน สกุลที่เราน่าจะได้ยินชื่อเสียงมากที่สุด เพราะเกิดมาก่อน คงจะเป็น Bitcoin สกุลเงินต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมลองลงมาก็จะเป็น ETH, XMR หรืออื่น ๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการ

ราคาของ CryptoCurrency ขึ้นอยู่กับความต้องการของคน ไม่ได้เกิดจากสภาพเศรษฐกิจหรือในโลกภายนอก มีการซื้อขาย CryptoCurrency ในสกุลเงินต่าง ๆ ออนไลน์กันอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง หากความต้องการสกุลเงินไหนมาก และเป็นที่นิยมสกุลเงินดังกล่าวก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ประวัติ Crypto Currency

CryptoCurrency กำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ. ศ. 2552 โดย Satoshi Nakamoto (ชื่อเป็นนามแฝง) ทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบว่า Satoshi Nakamoto คือใคร สกุลเงินแรกที่ถือกำเนิดของ CryptoCurrency คือ Bitcoin หลังจากประสบความสำเร็จในสกุลเงิน Bitcoin นักพัฒนาก็ได้สร้างสกุลเงินต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย จนทุกวันนี้สกุลเงินดิจิตอลมีมากกว่า 100 สกุลเงินไปแล้ว

สรุปเกี่ยวกับ CryptoCurrency

  • CryptoCurrency คือ เงินดิจิตอล
  • Bitcoin เป็นหนึ่งในสกุลเงินของ Crypto Currency และเป็นเงินดิจิตอลสกุลแรกของโลก
  • Blockchain คือ เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง

มีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ทั่วโลกว่า CryptoCurrency  อาจจะเข้ามามีบทความต่อชาวโลกมากขึ้น จนในที่สุด Crypto Currency อาจเข้ามาแทนที่ Fiat Currency ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จึงทำให้หลายรัฐบาลทั่วโลกต่างให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จนบ้างประเทศเริ่มออกกฏหมายควบคุม CryptoCurrency เพื่อจัดการและบริหารเจ้า CryptoCurrency กันบ้างแล้ว

Cryptocurrency หรือ เงินดิจิตอล

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ CryptoCurrency ข้อดีของมันก็เป็นอย่างที่ได้กล่าวมา แต่ใช้ว่า CryptoCurrency จะไม่มีข้อเสียเลยซะทีเดียว เพราะข้อเสียของมันก็คือความที่ CryptoCurrency ไม่มีหลักค้ำประกัน ทำให้ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าราคาของ CryptoCurrency จะอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่มีใครกำหนดได้ มันเลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างเสี่ยงหากจะเก็บสกุลเงินต่าง ๆ ของ CryptoCurrency ไว้เป็นทรัพย์สิน ฉะนั้นคนทั่วไปมักแลกเปลี่ยนสกุลเงินของ CryptoCurrency ระยะสั้น ๆ และปล่อยขายเมื่อราคาดีคล้าย ๆ กับการเล่นหุ้นนั้นเอง


modify.in.th

10 ธุรกิจสร้างรายได้แบบ Passive Income

0
Passive Income

ในปี พ.ศ. 2560 (2017) มีการเจริญเติบโตของ การลงทุนแบบ ICO อย่างรวดเร็ว และในส่วนของตลาดหุ้นและการลงทุนทั่วไปก็ยังสร้างเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง แต่จากความแน่นอนก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ดี เรามาดูไอเดียในการสร้างรายได้ออนไลน์สำหรับปีอื่น ๆ กันดีกว่า เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงเช่นเคย

1. ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ / รายได้จากเงินปันผล

การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นการลงทุนพื้นฐานสำหรับนักลงทุนทั่วโลก ทุกประเทศที่ได้รับการยอมรับ ไม่ว่าจะปีไหน ๆ ก็ยังเป็นการลงทุนที่ได้รับความสนใจ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของทุกประเทศ มีการออกกฎหมายปกป้องนักลงทุน แต่ก็ไม่มีสัญญาณใด ๆ บ่งบอกว่า หุ้นตัวไหน จะเข้าสู่ภาวะถดถอย นักลงทุนที่ไม่ศึกษารายละเอียดในหุ้นที่ลงทุนให้ดีพอ ต่อให้มืออาชีพขนาดไหนก็ยังต้องเคยเจอปัญหาติดดอยกันถ้วนหน้าเหมือนกัน

ดังนั้น เป้าหมายแรกของคุณ หากว่าคุณยังใหม่กับตลาดหลักทรัพย์ ให้มองหาหุ้นใหญ่ที่มีความมั่นคงที่สุด แต่ไม่ใช่ความความว่า หุ้นใหญ่ ๆ จะทำให้คุณได้รับผลตอบแทนสูงตามไปด้วย บางทีหุ้นเล็ก ๆ อาจจะได้ปันผลมากกว่าก็เป็นได้

เมื่อคุณมีความรู้ความสามารถเพิ่มจะเข้าสู่ขั้นตอนการเทรดหุ้น ก็ได้ วิธีนี้ก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย แต่ในช่วงเริ่มต้นนี้ผมแนะนำว่า ซื้อหน่วยลงทุนไว้ เพื่อรอรับเงินปันผลจะดีกว่าครับ เพราะต่อให้เราได้ปันผลที่ไม่เยอะแต่แน่นอนว่า เราจะได้รายได้แบบ Passive Income อยู่สม่ำเสมอ

2. ขายรูปถ่ายออนไลน์

การเปิดธุรกิจถ่ายภาพนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดเป็นเรื่องเป็นราว แต่อย่างไรก็ตามหากคุณชอบถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกและคิดว่าฝีมืออยู่ในระดับที่สามารถนำภาพถ่ายเหล่านั้นไปขายสู่สายตาชาวโลกได้ คุณสามารถเปลี่ยนงานอดิเรกของคุณเป็นรายได้แบบ Passive Income ได้เช่นกัน โดยการสมัครเว็บไซต์สำหรับขายภาพถ่าย เช่น Shutterstock , iStockPhoto เป็นต้น คุณสามารถขายภาพถ่ายของคุณได้แบบไม่จำกัด เมื่อภาพใดที่สามารถขายได้ก็จะแบ่งรายได้กับเว็บไซต์ นักถ่ายภาพสมัครเล่นชาวไทยเอง ก็สามารถหารายได้จากการถ่ายภาพขายออนไลน์ หลายคนเองก็มีรายได้ที่แซงเงินเดือนประจำไปแล้ว

ไม่แน่นะครับ ภาพถ่ายแมวที่บ้านคุณ อาจจะเป็นภาพที่มีราคาโคดแพงสำหรับต่างชาติก็ได้นะ

3. ทำอีบุ๊คขาย

การทำอีบุ๊คขายอาจจะเป็นเรื่องยากมากที่จะบรรลุ เพราะก่อนที่คุณจะทำหนังสือออนไลน์ขายสักเล่ม คุณต้องมีความสามารถที่การเขียนเนื้อหาที่น่าหลงไหล น่าติดตาม เหมือนการเขียนหนังสือเล่มนึงนั่นแหละครับ เมื่อคุณสามารถที่จะเขียนหนังสือได้สักเล่ม อยากประกาศศักดาในการเขียน ก็สามารถออกขายได้ที่ Ookbee หรือ Amazon Kindle ครับ

4. หารายได้จากค่าเช่า

การหารายได้จากค่าเช่า สำหรับผมเองก็ยังเชื่อว่าสามารถประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดเวลา หากจับถูกทำเลนอกจากจะได้ค่าเช่าในราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว อนาคตสามารถขายเก็งกำไรได้อีกต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น Donald Trump เองก็รวยจากค่าเช่าในอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน

แต่มันก็เป็นการลงทุนที่ไม่น้อยเหมือนกันนะ

5. ขายสินค้าออนไลน์แบบ Affiliate

หากคุณมีความสามารถ มีความรู้ในการสร้างเว็บไซต์นิด ๆ หน่อย ๆ เดี๋ยวนี้ก็สามารถหาสินค้ามาขายในเว็บไซต์ของคุณได้แล้ว โดยไม่ต้องลงทุนสต๊อกสินค้า รายได้จากสินค้าที่ขายได้ก็แบ่งเป็น % จากเจ้าของสินค้าจริง ๆ โดยรายใหญ่ ๆ อันดับ 1 ของโลก คือ amazon.com แต่อย่าคิดว่ามันง่ายนะครับ เพราะมีคนสมัครเป็น Affiliate ของ Amazon เยอะมาก มีทั้งคนที่เก่ง ๆ เทพ ๆ โปรโมทเว็บไซต์ทั้งสายมืด สายขาว ถ้าเราไม่แน่จริง ก็อาจจะหมดเงินไปกับการโปรโมทเว็บไซต์ให้ดัง มากกว่าที่จะขายของได้ซะอีก

6. ขุดบิทคอยน์และเหรียญ Crypto ชนิดอื่น ๆ 

สำหรับผมเองนั้นความเห็นส่วนตัวคิดว่าการลงทุนขุดเหรียญบิทคอยน์หรือเงินดิจิตอลชนิดอื่น ๆ โดยลงทุนซื้อแรงขุดแบบ Cloud นั้นเป็นการลงทุนที่คุ้มที่สุดสำหรับผมครับ เพราะสามารถใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยมาก ๆ (1,000 บาทก็สามารถลงทุนได้แล้ว) แถมมีความเสี่ยงน้อยสุดด้วย

** Update : สิงหาคม 2019 ระมัดระวังการลงทุนในตลาด Crypto ให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพราะมูลค่าของเงินดิจิตอลมีความผันผวนสูงมาก **

7. ลงทุนเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจต่าง ๆ

หากคุณมีเครือข่ายนักลงทุนที่เยอะ ไม่ต้องการทำธุรกิจเอง แต่ก็ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น คุณก็สามารถที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ โดยการลงเป็นเม็ดเงิน และรอรับปันผลเช่นกัน ข้อดีสำหรับการลงทุนประเภทนี้คือ คุณไม่ต้องทำอะไรมาก หากธุรกิจที่คุณเลือกลงทุนนั้นเติบโต คุณเองก็จะได้ Passive Income เยอะเช่นกัน แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่สูงมิใช่เล่น

8. ลงทุนหุ้นออนไลน์ ICO

การลงทุนแบบ ICO (Initial Coin Offering) เป็นการลงทุนของ Start up ต่าง ๆ  ที่ระดมทุน โดยมีการกำหนดเงินทุนที่ต้องการและออกมาขายเป็นเหรียญดิจิตอล โดยกำหนดชื่อเอง เป็นธุรกิจต่าง ๆ เหล่านั้น เราสามารถเข้าไปลงทุนโดยการซื้อผ่านเงินดิจิตอลต่าง ๆ เช่น บิทคอยน์, Ethereum เป็นต้น เมื่อซื้อมาแล้ว หลังจากปิดการระดมทุนก็เลือกได้ครับว่าจะขายเหรียญตัวนั้นทันที หรือจะถือเอาไว้เพื่อเก็งกำไรในอนาคต

** การลงทุน ICO มักจะได้ผลตอบแทนที่สูง และมีความเสี่ยงสูงมาก!! ศึกษา White Paper ของ Start Up ที่จะลงทุนให้ดี เพราะยังไม่มีกฎหมายประเทศใดรองรับ หากสูญเงินแล้ว ไม่สามารถเรียกร้องใด ๆ คืนมาได้ **

9. สร้างสินค้าของตัวเองและขายลิขสิทธิ์หรือเฟรนไชส์

ในอดีตเราสามารถที่จะสร้างสินค้าหรือไอเดียแล้วก็นำสินค้าเหล่านั้นเปิดขาย เมื่อดังหน่อยก็ขายเฟรนไชส์ แต่ก็จะตามมาด้วยความยุ่งยากในการบริหารจัดการสินค้า, สต๊อก เป็นต้น แต่ถ้าเป็นผมก็จะไปซื้อไอเดียจากคนที่คิดเอาไว้แล้วมาทำเป็นแบรนด์สินค้าตัวเอง โปรโมทเว็บให้ดัง ดีกว่าเอาเวลาไปคิดสินค้าหรือไอเดียใหม่ ๆ ครับ ผมเลือกที่จะจับสินค้าหรือไอเดียที่ดีอยู่แล้วมาปรับปรุงให้ดีขึ้นดีกว่า ยกตัวอย่างพวกครีมหน้าเด้ง, อาหารเสริม ต่าง ๆ ที่มีเกลื่อนตลาด ลองค้นดูนะ เลือกมาสักตัวมีแพคเกจเริ่มต้นให้เราทำธุรกิจเป็นแบรนด์สินค้าของเราเอง ครบวงจรเลย

10. เปิดสอนคอร์สออนไลน์

เปิดคอร์สสอนหนังสือ ออนไลน์ นั้นเอาจริง ๆ ก็ไม่ต่างจากการเขียนอีบุ๊คขายมากนัก หากคุณมีทักษะในการถ่ายทอดนอกจากการเขียนแล้ว การสอนหนังสือโดยมีคลิปวีดีโอก็สามารถที่จะสร้างรายได้ให้คุณได้เช่นกัน (หลายคนขี้เกียจอ่าน ชอบดูคลิปเอา) ตัวอย่างเว็บไซต์ ประเภทนี้ ลองศึกษาเพิ่มเติมที่ udemy.com


สรุป

การจะสร้าง Passive Income ได้นั้น ในช่วงเริ่มต้นจะต้องมีการเจ็บตัวกันอย่างหนักหน่วง และทุ่มเทแรงกายแรงใจกับมันเต็มที่ เมื่อผ่านช่วงนั้นไปได้แล้ว วันไหนที่เราหยุดทำงานและมันสามารถทำเงินได้เราได้ตลอดเวลาจึงจะเป็น Passive Income แนวทางในการหาเงินให้ได้ Passive Income ไม่ใช่จะสามารถประสบความสำเร็จกันทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่างใช้เวลาและเงินทุน ผมเองไม่สามารถบอกได้ว่าตัวไหนดีที่สุด ทำได้แค่บอกเป็นทางเลือก ที่เหลือคือผู้อ่านเองที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง ที่ทางที่ดีที่สุดให้เลือกจากทางที่เราชอบ ส่วนมากมักจะประสบความสำเร็จเด้อ


ภาพประกอบจาก : www.freepik.com