Tuesday, October 21, 2025
Home Blog Page 29

How to : การขุดเหรียญ Bitcoin Green

0
การขุดเหรียญ Bitcoin Green

ก่อนหน้านี้ได้สรุปย่อ ๆ ความหมายของ Bitcoin Green (BITG) กันไปแล้ว โดยใจความสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือการขุดเหรียญที่ยกเลิกอัลกอริทึม Proof of Stake เดิม ทีนี้เรามาดูกันต่อว่า การขุดเหรียญ Bitcoin Green สามารถทำได้อย่างไรบ้าง

ข้อแตกต่างระหว่าง Proof of Stake และ Masternodes

การทำเหมืองขุดเหรียญ Bitcoin Green

ก่อนที่จะเริ่มนั้นเราควรเข้าใจข้อแตกต่างของสองอย่างนี้ก่อน จะว่าไปสองอย่างนี้การทำงานไม่แตกต่างกัน เราสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้ในการทำเหมืองแร่เหรียญ Bitcoin Green โดยไม่ต้องใช้สเป๊คเครื่องแรง ๆ การ์ดจอหรู ๆ … ยกเว้นแต่ Masternodes ที่จะต้องมี IP จริงให้ด้วยเท่านั้นเองแหละ

  • Staking คือ การถือเหรียญไว้จำนวนหนึ่งในกระเป๋าสตางค์ดิจิตอล และเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไว้ตลอด โดยระหว่างนั้นระบบของเหรียญที่ออกแบบมาจะทำการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานอื่น ๆ และใช้เหรียญที่เรามีอยู่ในกระเป๋านั้น เป็นตัวยืนยันการทำรายการ เมื่อเรายืนยันรายการได้ก็จะได้รับผลตอบแทนกลับมา
  • Masternode จะมีความต้องการขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมาจากการทำ Stake นิดหน่อย สำหรับเหรียญ Bitcoin Green จำเป็นต้องมีเหรียญขั้นต่ำในกระเป๋า 2,500 เหรียญ และมี Public IP สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายแทนการ Staking โดย Masternode ก็จะทำการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานคนอื่น ๆ เหมือนกัน เมื่อทำการยืนยันรายการได้ก็ได้รับผลตอบแทนกลับมา แต่จะได้เยอะกว่าแบบ Staking ครับ

** สัดส่วนผลตอบแทนของ Bitcoin Green จะแบ่งเป็น 85% / 15% โดยจะมีบล๊อคใหม่เกิดขึ้นทุก ๆ 60 วินาที ณ วันที่เขียนบทความนี้จะอยู่ที่ประมาณบล๊อคที่ 3 แสนกว่า ๆ โดยผลตอบแทนจะอยู่ที่ 10 BITG ดังนั้นก็จะแบ่งเป็นของ Masternode 8.5 BITG และ Staking 1.5 BITG และแต่ละอันก็จะแบ่งออกไปตามสัดส่วนของจำนวนนักขุด **

Proof of Stake Mining

ความต้องการสำหรับการทำเหมือง Bitcoin Green แบบ Proof of Stake Mining

  • Bitcoin Green Wallet
  • Computer

1. ดาวน์โหลด Bitcoin Green Wallet และทำการติดตั้ง

2. ตั้งรหัสผ่านของ Wallet เพื่อความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง

3. ซื้อเหรียญ Bitcoin Green จากกระดานซื้อขายที่ไหนก็ได้ แล้วส่งเข้ามาเก็บไว้ที่ Wallet ของเรา เอาแค่ที่พอไหว แต่แนะนำสัก 20 BITG ขึ้นไป จะได้เห็นผลตอบแทนชัดเจนหน่อย

4. Unlock Wallet เพื่อให้สามารถทำการ Staking ได้

การทำเหมืองขุดเหรียญ Bitcoin Green

การทำเหมืองขุดเหรียญ Bitcoin Green

5. เมื่อทำการ Unlock Wallet แล้วให้สังเกตุสถานะที่มุมล่างด้านขวาตามรูปด้านล่าง (ถ้าโลโก้ Bitcoin Green) เป็นสีเขียวแสดงว่ากำลังทำการ Staking

การทำเหมืองขุดเหรียญ Bitcoin Green

6. รอรับผลตอบแทน

การทำเหมืองขุดเหรียญ Bitcoin Green

จากข้อมูลจะเห็นว่าเดือนสิงหาคม 2018 ผมซื้อ BITG ประมาณ 30BITG ได้ผลตอบแทนที่ 1.5 BITG ถึงแม้มันจะดูเหมือนไม่เยอะ แต่ลองมองย้อนกลับไปอดีต และต่อเนื่องยาวไปถึงอนาคตดูครับ ว่าถ้าราคามันดีดขึ้นไปหลักแสนเหมือนรุ่นพี่อย่าง บิทคอยน์ ถึงวันนั้นผมจะมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ^__^

Masternode Mining

ในส่วนของการติดตั้ง Masternode จะมีขั้นตอนเพิ่มเติมมาอีกนิดหน่อย โดยสามารถดูคู่มือการติดตั้งได้จากลิงค์ด้านล่างนี้โดยตรง

สรุป

ความเห็นส่วนตัวสำหรับผมแล้วค่อนข้างชอบเหรียญนี้ เพราะมีทีมงานที่เปิดเผยตัวตนชัดเจน มี Roadmap ที่ละเอียดยิบ ให้รู้กันไปเลยว่าแต่ละช่วงเวลาไหนจะมีอะไรที่พัฒนาออกมาบ้าง และจากประวัติย้อนหลังของเหรียญนี้ตั้งแต่เกิดมา เกือบ ๆ ปีนั้นจะเห็นว่ามีการเจริญเติบโตที่ถึงจะไม่หวือหวา แต่ค่อนข้างคงที่มาก ตอนนี้ผมเองก็ถือเหรียญนี้เอาไว้ทำ Staking กะว่าสัก 4-5 น่าจะได้กำไรพอสมควรเลย ก็ถือว่าเป็น Passive Income ได้อีกช่องทางหนึ่งด้วยนะ


อ้างอิง

Bitcoin Green คืออะไร

0
Bitcoin Green (BITG) คืออะไร

Bitcoin Green (BITG) คือ อีกหนึ่งเงินคริปโตในหลายพันสกุลเงินที่สร้างขึ้นมาจากพื้นฐานการทำงานของ Bitcoin โดยทีมงานที่พัฒนา Bitcoin Green ได้เห็นข้อจำกัดบางอย่างที่มีอยู่ใน บิทคอยน์ ดั้งเดิมจึงได้พัฒนา Bitcoin Green ขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์หลัก ๆ 2 อย่าง คือ

  1. เพื่อสร้างจิตสำนึกการใช้งานบล๊อคเชน ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงข้อจำกัดเดิมที่มีอยู่ทั้งหมดของ Bitcoin โดยเฉพาะในเรื่องของ Proof of Work ที่มีการใช้พลังงานอย่างมหาศาล โดยพัฒนาระบบ Proof of Stake แทน
  2. เพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้นกว่า Bitcoin มีความยืดหยุ่นในการเติบโต มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำลง

https://youtu.be/ENTTDewSSfo

ความสามารถของ Bitcoin Green (BITG)

Bitcoin Green (BITG) คืออะไร Bitcoin Green (BITG) คืออะไร
ออกแบบมาเพื่อใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ใช้อัลกอริทึม Proof of Stake แทน Proof of Work เดิม ทำให้สามารถใช้คอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ในการขุดเหรียญ Bitcoin Green   ทำงานรวดเร็วขึ้น ในเวลา 1 วินาที สามารถมีรายการรับ โอนเงินมากกว่า 154 รายการ
Bitcoin Green (BITG) คืออะไร Bitcoin Green (BITG) คืออะไร
ค่าธรรมเนียมต่ำ ค่าธรรมเนียมต่ำมากโดยมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมแต่ละรายการโดยเฉลี่ยไม่กี่บาท   Green Protocol ปรับปรุงอัลกอริทึมจาก SHA-256 เป็น Green Protocol ที่ใช้ในการพิสูจน์รายการธุรกรรมต่าง ๆ
Bitcoin Green (BITG) คืออะไร Bitcoin Green (BITG) คืออะไร
มีความยืดหยุ่นสูง ความสามารถของ Green Protocol ที่พัฒนาใหม่นั้น มีความยืดยุ่นสูงกว่าบิทคอยน์เป็นอย่างมาก   Masternode Mining ยกเลิกการทำเหมืองแบบเดิม โดยใช้ Masternode Mining แทน

ข้อมูลของเหรียญบิทคอยน์กรีน และ ผลตอบแทนในการทำเหมืองบิทคอยน์กรีน

Bitcoin Green (BITG) คืออะไร Bitcoin Green (BITG) คืออะไร
ข้อมูลเหรียญบิทคอยน์กรีน

  • อัลกอริทึม : Green Protocol
  • Mining : Proof-of-stake
  • Block Time : 1 Minute
  • Transactions : 154* tx/s
  • Total Supply : 21,000,000 BITG
  • Premine : 500,000 BITG
  • MN Collateral : 2500 BITG
ผลตอบแทนของบิทคอยน์กรีน

  • 85% Masternode – 10% Proof-of-stake – 5% Governance Protocol
  • Blocks 0-200  →  Premine
  • Blocks 201-5000  →  1 BITG
  • Blocks 5001-25,000  →  30 BITG
  • Blocks 25,001-100,000  →  20 BITG
  • Blocks 100,001-1,050,000  →  10 BITG
  • Blocks 1,050,001-2,100,000  →  5 BITG
  • Blocks 2,100,001-3,150,000  →  2.5 BITG
  • Blocks 3,150,001-4,200,000  →  1.25 BITG

** ผลตอบแทนของ Bitcoin Green จะลดลงทุก ๆ บล็อคที่ 1,050,000 **

ข้อมูลเพิ่มเติม

10 เหรียญคริปโตที่น่าถือยาวจนถึงปี 2020

0
10 คริปโตเคอเรนซี่ในปี 2020

บทความนี้จะเป็นบทความเชิงวิเคราะห์นิดนึงนะ สอดแทรกด้วยความเห็นส่วนตัวบ้าง จะถูกหรือผิดนั้นก็ไม่อาจจะฟันธงลงไปได้ การวิเคราะห์ทั้งหมดจะใช้ข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งมาเป็นตัวแปรในการตัดสินใจ มาดูกันครับว่าเหรียญตัวไหนที่น่าสนใจในการถือยาว ๆ ไว้เก็งกำไร

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนอยากรู้ ว่าเหรียญคริปโตเหรียญไหนที่เหมาะที่จะถือยาว และ จะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจในอนาคต พวกเราจะพยายามหาว่าโปรเจ็กไหนในปี 2020 จะเป็นโปรเจ็กที่น่าลงทุนโดยดูจากมูลค่าตลาดรวม

พวกเราคาดเดาว่าบล๊อกเชน เทคโนโลยี และ คริปโตเคอเรนซี่จะมาเปลี่ยนโลกในอนาคตอย่างที่พวกเรารู้กัน พวกเราเดาว่าคริปโตเคอเรนซี่จะสามารถประสบความสำเร็จดุถ้าพวกเขามี use case ที่ใช้ได้จริง และ สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้ในธุรกิจ, การวิจัย และ ในวงการต่าง ๆ และนี่คือ 10 อันดับเหรียญคริปโตที่น่าลงทุนจาก มูลค่าตลาดรวม

Ethereum

ในความคิดพวกเรา Ethereum จะเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกของการพัฒนาแอปพลิเคชั่นบนบล๊อกเชน ความต้องการและการใช้งานของ Ethereum Blockchain ที่มากขึ้นจะเป็นสิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ โดยจะแรงขับเคลื่อนจะมาจากกลุ่มพัฒนา Dapps และ กลุ่มนักลงทุน ซึ่งจะมีการแข่งขันเกิดขึ้น

Ethereum จะสามารถสเกลก่อน EOS และ Dapp แพลตฟอร์มอื่น ๆ จะมาแข่งส่วนแบ่งของตลาดได้หรือไม่? เพราะ sharding น่าจะใช้เวลาอีกระยะนึงในการพัฒนา และการพัฒนา plasma โซลูชั่นของการขยาย ซึ่งจะได้รับการพัฒนาโดย OmiseGo จากนั้น Ethereum blockchain จะสามารถประมวลได้ 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที และ สามารถขยายได้อีกมาก

นอกจากนี้ Ethereum มี Enterprise Ethereum Alliance เป็นสมาคมที่ช่วยสนับสนุน เป้าหมายหลักของ การร่วมมือครั้งนี้คือการสร้างซอฟท์แวร์สำหรับธุรกิจระดับ Enterprise ที่ต้องการแอปพลิเคชั่นที่ซับซ้อนอย่างรวดเร็ว โดยมีบริษัทมากมายที่เข้าร่วมอย่าง Microsoft, ING, UBS, BP และ Intel

10 คริปโตเคอเรนซี่ในปี 2020

IOTA

Internet of Things เป็นสิ่งที่ใหญ่และได้รับความสนใจอย่างมากมายในด้านนวัตกรรมที่จะเป็นสิ่งที่ใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในชีวิตประจำวัน เป้าหมายของ Internet of Things คือการให้เครื่องยนต์ หุ่นยนต์ต่าง ๆ สามารถพูดคุยสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์

ในอนาคตตู้เย็นอาจจะสามารถสั่งอาหารได้อัตโนมัติเมื่อตู้เย็นว่างและรถยนต์สามารถจ่ายค่าที่จอดเองได้ IOTA จะเป็นกระดูกสันหลังของธุรกรรมของ Internet of Things และ ทำให้การจ่ายเงินระหว่างหุ่นยนต์เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะ smart cities, supply chain และ การขนส่งจะเป็นวงการที่สำคัญของแอปพลิเคชั่นนี้

IOTA สามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับ Bosch, VW และ Fujitsu ได้และทำให้พวกเราได้ใช้เทคโนโลยี Tangle ที่ทาง IOTA พัฒนา Bosch ซื้อ IOTA อย่างมากมาย ประเทศไต้หวันเองก็พาร์ทเนอร์กับ IOTA เพื่อสร้าง Smart City ดังนั้น Tangle technology ได้ออกแบบเพื่อสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างมากมาย

Ripple

Ripple เป็นโปรเจ็คที่มีความใกล้ชิดกับระบบธนาคารและเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ Ripple มีพาร์ทเนอร์อย่างมากมาย โดยมีพาร์ทเนอร์กับ Money 20/20 Europe conference, โดย CEO ของ Ripple กล่าวว่าในปี 2019 จำนวนของธนาคารจะใช้ Ripple มากขึ้นมหาศาล

Ripple coin

Brad Garlinghouse CEO ของ Ripple เชื่อว่า Ripple จะสนองความต้องการของตลาดได้เพราะมี use case ที่ชัดเจน และ จะสามารถเติบโตได้มากกว่าเหรียญอื่น ๆ Ripple มีซอฟท์แวร์โซลูชั่นบนบล๊อกเชนมากมายที่สถาบันการเงินใช้ Garlinghouse บอกว่า xRapid ที่ใช้ เหรียญ XRP จะมีธนาคารใช้งานมากขึ้นภายในปี 2019

ในขณะนี้ Ripple มองเครือข่ายของธนาคารต่างที่มีมากกว่า 100 ธนาคาร อย่าง LianLain International, Santander Bank, IDT Corporate และ MercuryFX, Rakbank, Standard Charter และ AXIS Bank

นอกจากนี้ยังมีพาร์ทเนอร์อื่น ๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กันนานแล้วอย่าง UBS, UniCredit, Bank of America Merril Lynch, ReiseBank, BBVA (ธนาคารที่ใหญ่อันดับสองของประเทศสเปน), Mitsubushi UFG of Japan (ธนาคารที่ใหญ๋ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น), SBI Holding และ Akabnk (ตรุกี)

EOS

เปรียบเทียบ EOS และ Ethereum จะเห็นได้ว่าแพลทฟอร์มทั้งสองกำลังมีเป้าหมายเดียวกัน EOS ต้องการจะเป็นแพลทฟอร์มสำหรับการพัฒนา Dapps เช่นกัน

EOS mainnet กำลังจะเริ่มใช้งาน และ มีฟีเจอร์ที่ดีกว่า Ethereum มากมายในระยะสั้น นอกจากนี้จะไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมบนเครือข่าย EOS และ นักพัฒนาระบบ Dapp จะสามารถตัดสินใจได้ว่าเก็บ EOS รึเปล่า นอกจากนี้ EOS จะสามารถรับรองมากถึง 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาทีในอนาคต (โดยจะยังไม่รองรับถึง 1 ล้านในช่วงเปิดตัวช่วงแรก ๆ)

ในมุมมองของพวกเรา EOS จะเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำนอกตลาดเอเชียและรัสซีย

Bitcoin

Bitcoin จะค่อย ๆ เสียส่วนแบ่งของตลาดจนถึงปี 2020 และอาจจะเสียตำแหน่งอันดับ 1 และ ฟังก์ชั่นการทำงานแบบสกุลเงิน ก่อนหน้านี้ บิทคอยเคยมีส่วนแบ่งของตลาดมากถึง 95% จากนั้นก็ลงมาที่ 85% และลดลงมาเรื่อย ๆ ถึง 32% ในเดือนมกราคม 2018

แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราเชื่อว่าราคาบิทคอยจะสูงขึ้นโดยเงินที่ไหลเข้ามาจากสถาบันการเงิน และ นักลงทุนหน้าใหม่ โดยเฉพาะครึ่งปีที่สองของ 2018 และ 2019

ในความคิดเห็นของพวกเรา เงินที่ไหลเข้ามาจากสถาบันการเงินไม่ใช่คำถามของคำว่า จะเข้ามามั้ย แต่เป็นคำถามว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ พวกเราได้รายงานได้แล้วว่า บริษัททั่วโลกกำลังวางเผนที่จะเข้ามาในตลาดคริปโต และสิ่งนี้จะทำให้บิทคอยได้รับผลประโยชน์ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่องในปี 2018 ทำให้บิทคอยเป็นสกุลเงินสำรอง และ คริปโตที่จัดตั้งมานานที่สุด

มีคนคาดหวังจาก Ligthning Network อย่างมากมายว่าจะทำให้เกิดการยอมรับบิทคอยมากขึ้น ในช่วงที่มีภาวะทางการเงิน บิทคอยสามารถเป็นสกุลเงินคริปโตสำรอง

ปัญหาหลักของบิทคอยคือความเฉื่อยของเครือข่ายบิทคอยและการที่จะมีฉันทามติในการพัฒนาบิทคอย ความสับสนเกิดขึ้นว่าควรจะใช้ Lightning Network แบบ off-chain เพื่อแก้ปัญหา scaling หรือไม่ ในขณะที่ปัญหา on-chain เกิดขึ้น โดยการขยายขนาดบล๊อก อย่าง SegWit2X ที่นักพัฒนาระบบออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างมากมาย

Cardano

Cardano เป็นโปรเจ็คที่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มากแต่ไม่ค่อยมีกระแสมากนัก โดยออกแบบมาเพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบกระจายศูนย์ และ ตลาดเงินที่มีความประชาธิปไตยในตลาดที่กำลังโต Cardano จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย, การขยายตัว และ การประมวลผลแอปพลิเคชั่น และ Smart Contract

นักพัฒนาของ Cardano จะหาจุดสมดุลของแพลทฟอร์มที่มีความกระจายศูนย์ และ กฏหมายของแต่ละประเทศ ที่จะไม่ทำร้ายความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน หรือ ความสมบูรณ์ของแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์

Cardano จะใช้งานได้ในปี 2020

NEO

NEO และ Onchain’s relation กับรัฐบาลจีนที่เป็นผู้เล่นสำคัญของการพัฒนา NEO

Neo coin

NEO ใช้อัลกอริทึม “delegated Byzantine Fault Tolerance” หรือ dBFT ข้อได้เปรียบหลักของวิธีการนี้คือป้องกันการแยกตัวของระบบ และ การที่จะเปิดโอกาสให้สามารถ fork ได้ นอกจากนี้ NEO มี 2-เลเยอร์ (Trinity) เป็น โซลูชั่นในการสเกล ที่สามารถรองรับ 10,000 ธุรกรรมต่อวินาที และ ป้องกันควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้

แต่ประเด็นที่สำคัญกว่า คือ รัฐบาลจีน

NEO เป็นระบบรวมศูนย์โดย Onchain โดย Onchain จะทำหน้าที่ดูแลจนกว่าระบบของ NEO จะเสถียรพอ การทำงานร่วมกันระหว่าง Onchain และ รัฐบาลจีนและบริษัทต่าง ๆ จะทำให้มีการใช้งาน NEO มากขึ้น

VeChain

VeChain ทำให้ผู้ผลิต, ซัพพลายเออร์ และ ลูกค้า สามารถเก็บ, จัดการ และ แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าได้โดยการจัดการsupply chain โดย Vechain Thor Mainnet

VeChain มีพาร์เนอร์มากมายที่ใช้เทคโนโลยี อย่าง PwC Hong Kong จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริการของพวกเขา ในเดือนมกราคม 2018 DNV GL ประกาศร่วมมือกับ VeChain โดยต้องการจะพัฒนาแพลตฟอร์มบล๊อกเชนร่วมกันเพื่อติดตามอาหารและเครื่อมดื่ม และ ตรวจสอบอุตสาหกรรมแฟชั่น, ค้าปลีก, ยานยนต์ และ การบิน

Shanghai eGrid Consulting Co.,Ltd เป็นบริษัทซอฟท์แวณืโซลูชั่นในธุรกิจยานยนต์ ที่จะทำงานกับ VeChait Thor เพื่อทำงานร่วมกับระบบ ERP, SCM และ CRM นอกจากนี้ Lingang International Manufacturing Exhibition Trading Center ก็ประกาศร่วมมือกับ VeChain Thor

ในมุมมองของพวกเรา Vechain Thor จะเป็นผู้นำของ supply chain management ในปี 2020

OmiseGo

OmiseGo เป็นเหมือนเครือข่ายของช่องทางธุรกรรมแบบกระจายศูนย์ หรือ เว็บแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์โดยสกุลเงินคริปโตและสกุลเงินทั่วไปสามารถแลกเปลี่ยนได้

โดยกระทรวจดิจิตอลของประเทศไทย และ Omise เซ็น MOU ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 ที่ทั้งสององค์กรจะพัฒนาช่องทางการจ่ายเงินแบบออนไลน์ร่วมกัน และ ระบบการยืนยันตัวตนโดยใช้เทคโนโลยีของ OmiseGo  นี่จะทำให้ประเทสไทยเป็นประเทศแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล๊อกเชนกับประชาชนของตัวเอง OMG เป็นสกุลเงินแบบ open source ที่จะใช้ในประเทศ

Omise Go

จากการรายงานในช่วงเดือนเมษายน 2018 การพัฒนา plasma ที่จะแก้ปัญหาการขยายตัวเพื่อ Ethereum Blockchain เป็นมีความคืบหน้าอย่างมากมาย ทำให้เทคโนโลยีจะปล่อยอกมาในปี 2018

OmiseGo และ Ethereum Blockchain อาจจะประมวลผลได้มากกว่า 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาที

Monero

ในมุมมองของพวกเรา เหรียญที่มีความเป็นส่วนตัวเป็น 10 ท๊อปเหรียญของปี 2020 เหรียญที่มีความเป็นส่วนตัวจะมี use case ที่เฉพาะเจาะจง ทำให้จะมีการเติบโตในอนาคตอันใกล้

Monero coin

Monero ปล่อยออกมาในปี 2014 และจากนั้นก็มีความเสถียรและความมั่นคงมากขึ้น XMR สามารถทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัยและไม่ระบุตัวตน เนื่องจากมีทีมพัฒนาที่แข็งแรง Monero จะเป็นหนึ่งใน 10 ของเหรียญอันดับต้น ในความคิดของผม


อ้างอิง

PASSIVE INCOME : รายได้โดยไม่ต้องทำงาน มีจริงหรือ?

2
กับดักของ Passive Income

ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ค่านิยมและทัศนคติต่อการทำงานแปรเปลี่ยนไป จากกระแสสังคมในสมัยเก่าที่ต้องการความมั่นคงในระบบราชการที่จะมีบำนาญให้กินให้ใช้ไปได้ตลอดชีวิต พัฒนาเข้าสู่แนวคิดของสังคมสมัยใหม่ ในกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ามีความคิดเกี่ยวกับการบริหารเงินและการลงทุนในแบบที่มีประสิทธิภาพและแนวคิด PASSIVE INCOME ที่บางคนอาจตีความหมายไปว่ารายได้จากการไม่ทำอะไร แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณาก็คือ

รายได้จากการไม่ทำอะไรนี่มีจริงหรือ?

กระแสรายได้หรือเงินรับของแต่ละบุคคล อาจจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ACTIVE และ PASSIVE INCOME โดย ACTIVE INCOME แปลได้ตรงตัวคือกระแสรายได้ที่มาจากการทำงาน เป็นเงินค่าจ้างที่ได้มาจากการใช้แรงงาน ไม่ว่าจะแรงงานทางกายหรือสมอง ดังนั้น ACTIVE INCOME จึงเป็นรายรับที่ได้มาจากการทำงานที่เราใช้เวลาเพื่อแลกมาซึ่งรายได้ เมื่อเราไม่ทำงาน รายได้นี้จะหายไป ในขณะที่ PASSIVE INCOME คือรายได้ซึ่งเกิดจากการไม่ต้องทำงาน แต่ PASSIVE INCOME เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นได้เอง ไม่ต้องทำงานและไม่ต้องใช้เวลาจริงหรือ ?

กับดักของ Passive Income

ประเภทของ PASSIVE INCOME

จริง ๆ แล้วนั้น PASSIVE INCOME มีหลายประเภทมาก แต่ในบทความนี้จะจำแนกเป็น 3 อย่าง และลงลึกรายละเอียดแต่ละอย่างกันครับ

1. PASSIVE INCOME ที่มาจากสวัสดิการ

PASSIVE INCOME ลักษณะนี้ได้มาจากการทำงานที่มีสวัสดิการตอบแทนหลังเกษียน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ ระบบบำนาญของข้าราชการ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะของ PASSIVE INCOME แท้จริง คือไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องใช้แรงกายหรือแรงสมอง ไม่เสียเวลา ก็ได้รายรับอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม PASSIVE INCOME แบบนี้จะได้มาก็ต่อเมื่อทำงานเพื่อรับ ACTIVE INCOME ในระบบราชการติดต่อกันหลายสิบปี หรือในตัวอย่างของระบบประกันสังคมและกองทุนการออมแห่งชาติที่นำระบบรายได้ต่อเนื่องในช่วงสูงวัยมาใช้ ก็อาจตีความว่าเป็น PASSIVE INCOME ที่ได้จากสวัสดิการด้วยส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม PASSIVE INCOME สองประเภทหลังนี้ มีการเติมเงินจากผู้ได้รับ PASSIVE INCOME เข้าไปด้วย มิใช่เพียงอยู่เฉยๆก็ได้เงิน หากจำเป็นต้องมีเงินเข้าไปในระบบเสียก่อนถึงจะได้เงินกลับคืนมาแบบ PASSIVE ทว่าเงินที่เราเติมเข้าไปนั้นมีนายจ้างหรือรัฐช่วยสมทบให้เพิ่มจำนวนขึ้น มิใช่จากดอกผลของการลงทุนเพียงอย่างเดียว

2. PASSIVE INCOME ที่มาจากการนำเงินไปลงทุน

PASSIVE INCOME ในข้อนี้ เป็นลักษณะของ PASSIVE INCOME ที่คนส่วนใหญ่อนุมานถึง และเป็น PASSIVE INCOME ที่คนรุ่นใหม่ชื่นชอบ โดยใช้คำพูดที่ว่าให้เงินทำงานแทน ซึ่งการลงทุนก็มีการแบ่งจำแนกประเภทตามความเสี่ยง กลุ่มการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำก็เช่นดอกผลจากการฝากธนาคาร รางวัลและดอกผลจากสลากออมสิน ดอกผลจากพันธบัตรรัฐบาล ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนตลาดเงินและตราสารหนี้ เป็นต้น กลุ่มการลงทุนประเภทนี้มีข้อดีคือโอกาสขาดทุนน้อยมาก แต่ก็มีข้อเสียคือผลตอบแทนต่ำ จนอาจแพ้อัตราเงินเฟ้อ เป็นการลงทุนที่ไม่อาจสร้าง PASSIVE INCOME ที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยกว่าหลักหลายสิบหรือร้อยล้าน ในขณะที่การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงก็เช่น การลงทุนในตลาดหุ้น การลงทุนในกองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ การลงทุนในบริษัท Start up หรือการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในรูปแบบของการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพื่อปล่อยเช่า เช่น ให้เช่าคอนโดมีเนียม หรือลงทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์

ผลตอบแทนจากการลงทุนเหล่านี้มักจะสูง เอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ สามารถสร้างกระแส รายรับที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตโดยใช้ทุนที่ต่ำกว่าการลงทุนในแบบที่มีความเสี่ยงต่ำมาก แต่การลงทุนประเภทนี้ก็ย่อมตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงมากด้วยเช่นกัน และถ้าหากต้องการลดโอกาสการขาดทุนก็จำเป็นต้องศึกษาความรู้เกี่ยวกับลักษณะของสินทรัพย์ที่ต้องการลงทุน ทั้งในแง่พื้นฐานหลักการ และติดตามสถานการณ์ในปัจจุบัน คือต้องทุ่มเท ทั้งเวลา แรงสมอง และแรงงานในการคิดวางแผนการลงทุน อย่างไรก็ดีการทำงานเพื่อให้ได้ PASSIVE INCOME ในลักษณะนี้ก็ยังมีข้อได้เปรียบ ACTIVE INCOME ในแง่ของอิสระ โดยสามารถที่จะเลือกสถานที่และเวลาในการทำงานได้ คล้ายลักษณะของงาน Freelance แต่เป็นการทำงานที่ผลกำไรตกเป็นของตัวเองทั้งหมด โดยใช้เงินลงทุนของตัวเองเช่นกัน

รายได้เสริมแบบ Passive Income

3. PASSIVE INCOME จากค่าลิขสิทธิ์

PASSIVE INCOME ในลักษณะนี้จะคล้ายคลึงกับ ACTIVE INCOME คือเราใช้แรงงานแลกมาซึ่งรายได้ เพียงแต่การทำงาน แบบ ACTIVE INCOME นั้นรายได้ที่ได้มาจากงานชิ้นหนึ่งๆจะมีเพียงแค่ก้อนเดียว เช่น ค่าเขียนบทความ 1 บท คือ 500 บาท ในขณะที่ ค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายในลักษณะ PASSIVE INCOME จะเป็นกระแสเงินรับต่อเนื่อง เช่น ได้รับค่าลิขสิทธิ์ 10% ของราคาปก คูณกับจำนวนยอดขาย ในแต่ละเดือนที่มียอดขายก็จะสามารถทำรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง PASSIVE INCOME ในลักษณะนี้นอกจากการเขียนบทความ เขียนหนังสือแล้ว ยังมีงานลิขสิทธิ์ประเภทอื่นที่น่าสนใจอีก เช่น การทำสติกเก่อร์ไลน์ขาย การเขียนโปรแกรมโทรศัพท์มือถือขาย การอัดวีดีโอลงขายในเว็บไซต์ออนไลน์เป็นต้น PASSIVE INCOME แบบนี้แม้ดูเผินๆ อาจต้องมีการลงทุนลงแรงเพื่อสร้างชิ้นงานอันเป็นลิขสิทธิ์ก่อน หากทว่าเป็น PASSIVE INCOME ที่สร้างได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุนเริ่มแรกแบบPASSIVE INCOME จากการลงทุน หรือ ต้องทำงานในระบบราชการมานาน แบบPASSIVE INCOME ที่มาจากสวัสดิการ เช่นกัน

สรุป

แนวคิดการสร้าง PASSIVE INCOME เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แม้ว่า PASSIVE INCOME ที่แท้จริงอาจหาได้ยาก ทว่า PASSIVE INCOME ส่วนมากก็ยังใช้ แรงงาน เวลา และการทำงานที่น้อยกว่า การทำงานแบบ ACTIVE INCOME อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพึงระลึกคือ PASSIVE INCOME มักตามมาด้วยความเสี่ยงเสมอ และวินัยในการหาความรู้ก็เป็นเรื่องสำคัญของผู้ที่ต้องการสร้าง PASSIVE INCOME แบบยั่งยืน


ต้นฉบับบทความ : stou.ac.th

ช่องทางในการสร้าง Passive Income จากเงินคริปโต

0
บิทคอยน์ เงินดิจิตอลคืออะไร
บิทคอยน์ เงินดิจิตอลคืออะไร

หลายครั้งที่ผมได้นั่งเสวนากับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้มีความรู้มากมายในเรื่องของเงินคริปโต เมื่อถามว่า “รู้มั้ยว่าเงินคริปโตมันสามารถสร้าง Passive Income ได้ยังงัยบ้าง?” เกือบทุกคนมักจะตอบเหมือนกันว่า ก็เทรดเหมือนเทรดหุ้นงัย หรือไม่ก็บอกว่าซื้อหุ้น ICO เอาไว้เก็งกำไรงัย … ที่พูดมาก็ไม่ผิดครับ แต่สิ่งที่จะบอกในบทความนี้คือ ลู่ทางอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นในการหาเงินออนไลน์ด้วยเงินดิจิตอล

แต่ว่าต้องแจ้งข้อมูลให้ทราบเพิ่มเติมก่อนว่า บางลู่ทางในบทความนี้มันก็ไม่เชิงเป็น Passive Income ล้วน แต่มันก็ไม่ใช่ Active Income ซะทีเดียว … งั้นก็เรียกมันว่า Semi Passive Income ละกันเนอะ เพราะลู่ทางต่อไปนี้ต้องการเวลานิด ๆ หน่อย ๆ ในการลงมือทำบ้าง นะครับ

หาอ่านความหมายของ Passive Income เพิ่มเติมได้จากบทความนี้ : Passive Income คืออะไร

Staking

Staking หรือการเงินดิจิตอลของเราที่มีล๊อคเอาไว้ในโปรแกรมที่เรียกว่า Wallet Desktop แล้วก็เปิดคอมพิวเตอร์ที่ลง Wallet Desktop เหล่านั้นเอาไว้ ทีนี้ตัว Wallet Desktop มันก็จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายภายนอก โดยมันจะคอยทำหน้าที่ยืนยันการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของเงินดิจิตอลที่เราถือเอาไว้ โดยเราจะได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นเงินดิจิตอลที่เราถือเอาไว้ครับ แต่ว่าเงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินเรานั้นจะไม่สามารถทำรายการอะไรได้ เพราะมันจะโดนล๊อคเอาไว้นั่นเองครับ ถ้าหากจะเอามาใช้งานก็ต้องปลดล๊อคก่อน ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของแต่ละเหรียญ

ข้อดีของวิธีนี้คือเราไม่ต้องมีเหรียญจำนวนมาก ๆ เป็นหลักประกันเหมือนกันการตั้ง Masternode ในแง่ของบล๊อคเชนนั้นวิธีการนี้จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Proof of Stake (POS) ครับ

ตัวอย่างเงินดิจิตอลที่ผมถืออยู่แล้วก็ใช้วิธีการ Stake อยู่ตอนนี้ คือ Minexcoin กับ Cryptonex แต่ถ้าต้องการดูรายชื่อเหรียญที่สามารถทำ Proof of Stake อื่น ๆ สามารถคลิกได้ที่ลิงค์นี้ : Proof of Stake (POS) Coins list

การสร้าง Passive Income ด้วยเงินคริปโตผลตอบแทนของ Minexcoin

การสร้าง Passive Income ด้วยเงินคริปโต

Exchange coins

เว็บไซต์สำหรับแลกเปลี่ยนเงินคริปโตบางเว็บนั้นก่อนเปิดตัวก็ได้มีการระดมทุน ICO ซึ่งถ้าใครที่ได้ซื้อ ICO เอาไว้ หลังจากที่เว็บไซต์ได้เปิดให้ใช้งานจริง เราก็จะเป็นเสมือนกับผู้ถือหุ้นเลยแหละ เมื่อมีการทำรายการต่าง ๆ บนเว็บไซต์ เช่น ซื้อ, ขาย เป็นต้น เราก็จะได้ส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมมาตามสัดส่วนของ ICO Token ที่เราได้ซื้อเอาไว้

นอกจากส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมที่ได้แล้ว จำนวน Token ที่เราถือกันไว้มันก็มีมูลค่าในตัวของมันไม่ต่างจากหุ้นเลย ก็จะมีช่วงขึ้นลง แต่อย่างที่ทราบว่าเงินคริปโตนั้นมีความผันผวนแบบรุนแรงมาก บางทีมันก็กระโดดขึ้นไป 100% ในวันเดียวเลยก็มี

ตัวอย่างเว็บไซต์แลกเปลี่ยน : Kucoin

Holding Coin

อันสุดท้ายนี่ไม่มีอะไรยากเลย มันก็คือการซื้อเงินดิจิตอลเก็บไว้เก็งกำไรเลย อยากซื้อเหรียญอะไรก็ซื้อไว้ ถือไว้สักช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าราคาขึ้นจนเป็นที่พอใจแล้วค่อยขายออกไปครับ


อ้างอิง

https://hackernoon.com/how-to-make-passive-income-from-crypto-4f4f2ac214c

5 Passive Income ที่สร้างรายได้จริงสำหรับครึ่งปีหลัง 2018

0
รายได้เสริมแบบ Passive Income

แต่ละวัน เดือน ปี นี่ผ่านไปไวมาก .. เผลอแป้บเดียวก็กลางปี อีกแป้บก็สิ้นปี ยิ่งคนที่สนุกกับการทำงานด้วยแล้ว จะยิ่งไวเข้าไปอีก ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทำงานประจำควบคู่ไปกับการหารายได้ออนไลน์ เป็น Passive Income มากบ้าง น้อยบ้างแต่ก็ไม่หยุดหาลู่ทางในการหารายได้เสริมอยู่เสมอ ๆ

ด้วยความที่มีงานประจำทำที่เรียกว่ามั่นคงมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับเงื่อนไขในการสร้าง Passive Income ของผม จะต้องไม่กระทบงานประจำ ได้แก่

  • ใช้เวลาว่างเมื่อไหร่ทำก็ได้
  • ต้องไม่กระทบเวลาส่วนตัว และเวลางานประจำ
  • สามารถทำจากที่ไหนก็ได้
  • ต้องไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องลงแรงมาก
  • และที่สำคัญจะต้องเป็น Passive Income ที่แท้ทรู คือ พอเราหยุดทำมันก็ยังสามารถสร้างรายได้ให้เราได้อยู่ตลอด

ดูเหมือนเงื่อนไขเยอะเนอะ .. จะเป็นไปได้เหรอ? เป็นไปได้สิครับ มันมีจริง ๆ นะงานแบบนี้สามารถสร้างรายได้ให้เราได้จริง ๆ ถึงมันก็ไม่ได้เยอะมากจนเป็นมหาเศรษฐีหรอกนะ … แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่ใช่ลู่ทางเหล่านี้เป็นลู่ทางหลักในการทำมาหากินกันเลยแหละ

สำหรับบทความนี้ผมจะสรุป 5 อย่างที่สามารถสร้างรายได้ออนไลน์ให้เรา โดยอิงจากการลงมือทำเองตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ และสามารถได้เงินจริง ๆ

ก่อนหน้านี้ก็ได้มีเขียนบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนออนไลน์และการสร้าง Passive Income ไว้บ้างแล้ว สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ด้านล่าง

บทความนี้ก็เป็นเหมือนเนื้อหาเพิ่มเติมจากบทความการสร้างรายได้ก่อน ๆ น่ะแหละครับ แต่เป็นการเพิ่มเติมและอัพเดตเนื้อหาให้ทันสมัยมากขึ้น และผมจะเน้นพิเศษในเรื่องของการสร้างรายได้ออนไลน์ ลงทุนออนไลน์ครับ

ทำเหมืองออนไลน์แบบ Proof of Stake

การทำเหมืองออนไลน์เป็นการพัฒนาต่อมาจากการทำเหมืองขุดเหรียญแบบเดิม ๆ จากที่ต้องลงทุนใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ต่อการ์ดจดหลาย ๆ ตัว ที่เรียกว่า RIG มาขุดเหรียญคริปโต ได้รับผลตอบแทนกลับเป็นเงินเหรียญสกุลนั้น ๆ ที่ทำการขุด แต่ปัญหาหลักของการทำเหมืองออนไลน์แบบเดิมก็คือ “การสิ้นเปลืองพลังงาน” เพราะต้องใช้การ์ดจอจำนวนมากนั่นเอง

Proof of Stake ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ออกไป โดยการทำงานนั้น จะใช้เพียงเหรียญคริปโตจำนวนหนึ่งแล้วแต่สกุลเงินที่เราจะทำการ Stake เหมือนเอามาเป็นหลักประกันเอาไว้ในกระเป๋าเงินดิจิตอลของเรา แล้วก็ใช้คอมพิวเตอร์อีกเพียงเครื่องเดียว เปิดตลอดและลงโปรแกรมเพื่อทำการ Stake ของแต่ละสกุลเงิน ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินสกุลดิจิตอลที่เราทำการ Stake เหมือนกันครับ

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมการทำ Proof of stake

ทำเหมืองออนไลน์แบบ Proof of Work

การทำเหมืองออนไลน์รูปแบบเดิมหรือบางคนเรียกว่าการขุดเหรียญน่ะแหละครับ แม้มีการพัฒนาฟังก์ชั่น Proof of stake ออกมาใหม่ แต่การขุดเหรียญแบบเดิม ๆ ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ และก็ยังคุ้มค่าที่จะลงทุนเพื่อสร้างรายได้ให้เรา บางช่วงเวลามีการแกว่งขึ้นลงของมูลค่าเหรียญแบบรุนแรงมาก ถ้าใจเรานิ่งพอก็ขุดทิ้งไว้สักปีสองปี โดยส่วนมากแล้วถ้าเราเลือกเหรียญที่จะขุดได้ถูกตัวไม่หลอกลวง ราคาของมันมักจะพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมการขุดเหมืองออนไลน์

Blogger

บล๊อคเกอร์หรือที่ผมกำลังอยู่ตอนนี้น่ะแหละครับ ก็คือการเขียนบทความเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นบทความอะไรก็ได้ นึกอะไรออกก็เขียนออกมา ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ โดยเริ่มจากเรื่องที่เราชอบค่อย ๆ พัฒนาการเขียนไปเรื่อย ๆ สำหรับมือใหม่ไม่ต้องตกใจครับ นึกอะไรออกเราก็เขียนไปเถอะขอให้เราชอบที่จะเขียนออกมา เขียนไปเรื่อย ๆ แล้วลองมาเปรียบเทียบบทความเก่า ๆ ช่วงแรกเริ่ม กับบทความหลัง ๆ ดูนะครับ แล้วจะเห็นพัฒนาการในการสื่อสารของเราว่ามันดีขึ้นจริง ๆ

ที่ผมบอกว่าต้องชอบจริง ๆ เพราะงานเขียนสำหรับบางคนไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลยนะ การมานั่งพิมพ์อะไรสักอย่างในแต่ละครั้งนั้น ไม่ได้ใช้เวลาน้อย ๆ เลยนะ สำหรับผมเองบางบทความก็ใช้เวลาเป็นวันเลยก็มี เทคนิคในการเขียนนั้นก็ของใครของมันแล้วแต่ว่าแต่ละคนจะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาทางตัวอักษรได้อย่างไร ในส่วนของผมมีหลักพึงปฏิบัติอยู่ดังนี้

  • เขียนเรื่องที่ตัวเองชอบ และรู้เรื่องเท่านั้น
  • เขียนอย่างไรก็ได้ แต่ให้นึกถึงคนอ่านเสมอว่า ถ้าคนไม่เคยรู้เรื่องนี้อ่านแล้วต้องรู้เรื่อง

เมื่อเรารู้แล้วว่าจะเขียนอะไร เขียนออกมายังงัย ก็ลงมือได้เลยโดยไปสมัครเว็บบล๊อคฟรีที่มีอยู่ทั่ว ๆ ไปนี่แหละ ไม่ต้องอะไรมาก เอาให้บล๊อคเราสะอาด ๆ อ่านง่ายไว้ก่อน เน้นความสำคัญที่เนื้อหา จะเหนื่อยหน่อยในช่วงเริ่มต้นแต่เชื่อได้เลยว่าถ้าทำอย่างสม่ำเสมอ อัพเดตบทความบ่อย ๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ปี สิ่งที่เราได้เขียนเอาไว้มันจะส่งผลกลับมาให้เราเห็นครับ

Youtube channel

บางคนเป็นคนไม่ชอบอ่าน ถึงแม้เราจะตั้งใจถ่ายทอดเนื้อหาออกมาขนาดไหน แต่ก็ยังมีคนบางจำพวกที่ไม่ยอมอ่านจริง ๆ ครับ ถ้าใครที่มีแนวคิดสร้างสรรค์ในการทำคลิปวีดีโอแทนการเขียน ก็ลองเบนเข็มออกมาทำด้านนี้แทนก็ได้ จะเห็นว่าใน Youtube นั้นมี Channel หลายอย่างมาก บางคนก็มีโปรดักชั่นแบบหรูหราอลังการมาก หรือบางคนที่เห็นก็ไปดูดคลิปของคนอื่นมา ทำการ Reload ใหม่ก็มี ถ้าคลิปไหนของเรามีคนดูมาก (หลักแสน – ล้าน) เราจะได้เงินจากยูทูปเป็นเงินที่ไม่น้อยเลยครับ

ขายภาพถ่ายออนไลน์

ผมเองเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพครับ ถ่ายมาแต่ไหนแต่ไรละ ถึงแม้จะไม่ใช่มืออาชีพแต่ก็มีภาพถ่ายหลายพัน หลายหมื่นรูปเหมือนกันที่เอามาสร้างรายได้กับมันได้ ก็เลยไปเรียนหลักสูตรการขายภาพถ่ายด้วย Shutter Stock มา เพื่อเรียนรู้ขั้นตอน และเงื่อนไขต่าง ๆ ว่าจะสามารถขายภาพถ่ายออนไลน์ได้อย่างไร ถึงแม้จะเป็นช่วงเริ่มต้นแต่ก็จะยืนยันนะครับว่า สามารถขายได้จริง ๆ


สรุป

มีหลายช่องทางมากเลยนะครับที่จะหารายได้ออนไลน์ บางอย่างก็ประสบความสำเร็จกับบางคน แต่อีกอย่างอีกคนไปทำบ้างกลับไปประสบความสำเร็จ สร้าง Passive Income กับเค้าไม่ได้ ของทุกอย่างเหล่านี้ไม่มีสูตรตายตัวไม่งั้นโลกเราคงไม่มีคนจน คนรวย คนล้มเหลว คนประสบความสำเร็จให้เห็น ที่แน่ ๆ เกือบ 100% ของคนที่ประสบความสำเร็จนั้นเคยล้มเหลวมาแล้วทั้งสิ้น

การสร้าง Passive Income ก็เหมือนกันนะครับ เปรียบเสมือนเราปลูกต้นไม้ที่ค่อย ๆ เบ่งบาน กว่าจะออกดอก ออกผลให้เรารับประทานกัน ก็กินเวลาหลายปี บางต้นก็ตาย บางต้นก็รอด ที่แน่ ๆ อย่ายอมแพ้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ลุยให้สุดซอย ทำให้เต็มที่ จะล้มเหลวก็ช่างมันดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อเรียนรู้วิธีที่ล้มเหลวแล้วก็หาวิธีอื่นเพื่อเริ่มใหม่ไปเรื่อย ๆ สักทางเดี๋ยวเราจะเจอทางสำเร็จของเราครับ

How to : การทำเหมืองสร้าง Passive income ด้วย Masternode

0
หารายได้ Passive Income ด้วย Masternode

ช่วงนี้จะมีบทความที่เกี่ยวกับการทำเหมืองเยอะหน่อยนะครับ โดยเฉพาะการทำเหมืองด้วย Masternode เพราะมันเป็นอะไรที่คาดว่าจะเป็นฟังก์ชั่นหลัก ๆ ในการขุดเหมืองเงินคริปโตเลยก็ได้ สำหรับครั้งนี้ก็จะพูดถึง 3 สกุลเงินน้องใหม่ที่รองรับฟังก์ชั่น Masternode ได้แก่ Pirl, Akroma, Ether1

ทวนความจำกันก่อนเริ่มเกี่ยวกับ Masternode

Masternode คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยในการประมวลผลการทำธุรกรรมของสกุลเงินคริปโตต่าง ๆ อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูลและฟังก์ชั่นการทำงานของสกุลเงินคริปโตเอาไว้

ยังงง … สินะ ต่อเลยให้เข้าใจง่ายขึ้นอีก Masternode มันก็เปรียบเสมือนเครื่อง Server ของธนาคารพาณิชย์ทั่ว ๆ ไปเลยครับ ที่ทำหน้าที่ในการจัดเก็บข้อมูล ประม.. วลผลการทำธุรกรรมทางด้านการเงินต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

แต่ด้วยความที่เครื่อง Server ของธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ มันจะเป็นการลงทุนโดยแต่ละธนาคารเอง อยู่ในระบบปิดของแต่ละที่ และเครื่อง Server เหล่านี้ต้องมีสเป็คการทำงานที่สูงมากเลยทีเดียว … ในส่วนสกุลเงินคริปโตนั้น คอนเซ็บต์เริ่มแรกเค้าต้องการที่จะตัดขาดการผูกขาด ไม่มีใครควบคุมตั้งแต่เริ่มเกิดมาอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีฟังก์ชั่น Masternode ขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้สามารถมีส่วนร่วมในการร่วมพัฒนาเครือข่ายของเงินคริปโตเหล่านั้น โดยได้รับผลตอบแทนเป็นเงินคริปโตที่เราสร้าง Masternode ขึ้นมา

ในแง่ของการทำงานจริงนั้น ลองนึกภาพดูนะครับ สมมุติว่ามีสกุลเงินคริปโตตัวหนึ่งที่มีการตั้ง Masternode กันทั่วโลกเลย เอาเป็นทวีปละไม่กี่เครื่องก็พอ เมื่อมีการรับ, ส่ง, โอน, จ่ายเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้น Masternode แต่ละตัวก็จะได้รับข้อมูลของธุรกรรมเหล่านั้น สำเนาเก็บเอาไว้ ทุก ๆ ที่ และสุดท้ายก็จะยืนยันการทำงานว่าถูกต้องจริง ๆ …

ด้วยเหตุนี้มันค่อนข้างยากที่ระบบเหล่านี้จะเกิดการล่มขึ้นมา เพราะมันวางกระจายเครื่องกันไปทั่วโลกเลย และแต่ละเครื่องก็มีสำเนาที่เหมือนกันเป้ะ ๆ มันก็ยากกกก… ที่จะโดนแฮกได้เหมือนกันครับ

** เงินคริปโตสกุลแรกที่เริ่มใช้งาน Masternode คือ DASH (อดีตชื่อว่า Darkcoin)

การคำนวนผลตอบแทนจาก Masternode

ก่อนที่จะไปดูการคำนวณผลตอบแทนแบบง่าย ๆ ลองดูเรื่องยากกันก่อนครับ ว่าขั้นตอนการคำนวณรายได้จาก Masternode นั้นเค้าคิดกันยังงัย

ผลตอบแทนต่อวัน (Reward)

ผลตอบแทน Passive Income Masternode รายวัน

คุ้มค่าในการลงทุนในระยะเวลา 1 ปี (ROI)

ผลตอบแทน Passive Income Masternode รายปี

** MN = Masternode

เอ้างง!!! เจอสมการคณิตศาสตร์เข้าไป .. ถ้างงก็อย่าไปสนใจมันครับ เอาง่าย ๆ เลยก็คือ คลิกเข้าไปที่เว็บไซต์นี้ https://masternodes.pro/statistics เค้าจะคำนวณผลตอบแทนไว้ให้เราแล้วเรียบร้อย แต่มันยังมีไม่ครบทุกเหรียญนะครับ เค้าก็ทยอยเพิ่มจำนวณเหรียญให้เรื่อย ๆ

ปัญหาสำหรับ Masternode

จากข้อมูลที่เขียนมาดูเหมือนจะหารายได้ด้วย Masternode กันได้ง่าย ๆ ใช่มั้ยล่ะครับ ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่นะ แต่ถ้ามันเป็นเงินคริปโตที่เกิดมาหลายปีแล้ว เช่น DASH เป็นต้น ถ้าเรามีทุนไม่พอก็คงไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะแต่ละเหรียญที่เราจะตั้งตัวเป็น Masternode ทุกเหรียญจะต้องการจำนวนเหรียญขั้นต่ำเป็นหลักประกันเอาไว้ และบรรดาเหรียญเดิมมันก็จะมีตัวแปรในเรื่องของราคาที่ทำให้เราไม่สามารถเอื้อมถึงได้

นี่แหละครับคือที่มา และแนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการเป็น Masternode คือ “เลือกเหรียญที่เพิ่งเกิดใหม่” เพราะในช่วงเริ่มต้นนั้นแน่นอนว่าราคาเหรียญมันไม่แพง เรามีตัวเลือก 2 ทางที่จะเอาเหรียญเหล่านี้มาไว้ในครอบครอง และเริ่มติดตั้ง Masternode ได้ คือ ซื้อ และ ขุด ใครสะดวกแบบไหนก็เลือกแบบนั้นครับ

สกุลเงินดิจิตอลที่รองรับ Masternode :  Pirl, Akroma, Ether-1

Pirl

นับถึงวันที่เขียนบทความนี้อยู่นั้น (เดือน กรกฏาคม 2018) Pirl มีอายุเกือบครบ 1 ปีแล้ว จากการศึกษาและหาข้อมูลมาเท่าที่ได้นั้น Pirl เป็นเหรียญแรกที่ใช้อัลกอริทึ่ม Ethash ที่รองรับการเป็น Masternode สำหรับ Masternode ของ Pirl จะมี 3 ระดับได้แก่ Premium, Content และ Storage

PIRL PREMIUM MASTERNODE

เป็น Masternode ระดับที่ทำงานครบทุกฟังก์ชั่นทั้งหมดของสกุลเงิน Pirl ที่ได้ออกแบบไว้ ได้แก่ Main node, Content node และ Storage node

ความต้องการขั้นต่ำสำหรับ Pirl Premium Masternode

  • เหรียญ Pirl จำนวน 20,000
  • Linux VPS Server
  • Static public IP address

PIRL CONTENT MASTERNODE

ทำหน้าที่หลักในการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้กันระหว่างเครือข่ายของ Pirl ทั้งหมด ทั้งรูปภาพ เนื้อหา วีดีโอ เป็นต้น

ความต้องการขั้นต่ำสำหรับ Pirl Content Masternode

  • เหรียญ Pirl จำนวน 10,000
  • Linux VPS Server
  • Static public IP address

PIRL STORAGE MASTERNODE

สุดท้ายคือ Pirl Storage Masternode จะทำหน้าที่หลักในการให้บริการดาวน์โหลดข้อมูลจาก Content Masternode เพื่อกระจายออกไปในเครือข่าย อีกทั้งยังเป็นตัวสำรองข้อมูลของระบบด้วย

ความต้องการขั้นต่ำสำหรับ Pirl Storage Masternode

  • เหรียญ Pirl จำนวน 10,000
  • Linux VPS Server
  • Static public IP address

*** ในแต่ละฟังก์ชั่นต้องแยกเครื่องนะครับ ไม่สามารถใช้ Server เครื่องเดียวทำงาน 2 ฟังก์ชั่นพร้อมกันได้ ***

ลิงค์โปรเจคส์ : https://pirl.io/

Akroma

สำหรับสกุล Akroma นี้ ส่วนตัวผมแล้วค่อนข้างชอบ เพราะตั้งแต่เปิดโปรเจคส์นี้มานั้นเห็นการพัฒนาและแผนพัฒนาที่เร็วมาก มีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้มูลค่าของเหรียญมากขึ้น เช่น พัฒนา Exchange โดยใช้เหรียญ Akroma ในการระดมทุน เป็นต้น ไม่มีการแยกประเภทของ Masternode สำหรับสกุลเงิน Akroma

ความต้องการขั้นต่ำสำหรับ Akroma Masternode

  • เหรียญ AKA จำนวน 5,001
  • Linux VPS Server
  • Static public IP address

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode

ลิงค์โปรเจคส์ : https://akroma.io/

Ether-1

สุดท้ายคือโปรเจคส์ที่อายุน้อยที่สุด ชื่อว่า Ether-1 (ETHO) ก็ไม่ต่างจากรุ่นพี่ทั้ง 2 ที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว แต่ทีมพัฒนาของ Ether-1 ก็ถือว่าพัฒนาได้เร็วเหมือนกัน สำหรับระดับการเป็น Masternode ของ Ether-1 มี 2 ระดับคือ Servicenode ต้องการเหรียญ 5,001 ETHO เพื่อติดตั้ง และ Masternode ต้องการ 15,001 สำหรับติดตั้งครับ ส่วนความต้องการของระบบอื่น ๆ นั้นเหมือนรุ่นพี่ที่กล่าวมาทุกประการ

การติดตั้ง Ether-1 Masternode

ลิงค์โปรเจคส์ : https://ether1.org/

How to : การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

1
การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

Ether-1 เป็นอีกเหรียญดิจิตอลที่พัฒนามาจาก Ethereum นะครับ เพิ่งเกิดมาช่วงราว ๆ เดือน เมษายน 2561 นี่เองนอกจากสามารถขุดได้ด้วย VGA Card แล้วก็ยังสามารถตั้ง Masternode ได้ด้วย ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ยังเป็นช่วงพัฒนาเครือข่ายอยู่ สำหรับขั้นตอนการติดตั้ง Masternode ก็ติดตามได้จากข้อมูลด้านล่างได้เลย

ขั้นตอนการติดตั้ง

ความต้องการขั้นต่ำของระบบ

  • PC หรือ Server ที่สามารถเปิดใช้งานได้ตลอด (แนะนำเป็น VPS)
  • Harddisk ขั้นต่ำ 40GB
  • RAM ขั้นต่ำ 2GB
  • IP จริง
  • OS ที่แนะนำ คือ Ubuntu หรือ Centos
  • หากผ่าน Firewall จำเป็นต้องเปิด Port : 30305

** ตัวอย่างที่ทำให้ดูจะเป็น Ubuntu 18 LTS **

1. Update patch ให้กับระบบเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดกันก่อน 

sudo apt-get update && apt-get upgrade -y

2. ดาวน์โหลด Package สำหรับติดตั้ง Ether-1 Masternode

wget -N https://files.ether1.org/scripts/debian/install.sh

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

3. กำหนด Permission ให้กับไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาให้สามารถทำงานได้ และสั่งให้ทำการติดตั้ง

sudo chmod +x install.sh
sudo ./install.sh

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

4. ตรวจสอบสถานะของ Ether-1 Masternode

sudo systemctl status ether1node

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

5. กำหนดให้ Ether-1 Masternode ทำงานอัตโนมัติ

sudo systemctl enable ether1node

** เสร็จแล้วสำหรับการติดตั้งครับ **

ขั้นตอนการยืนยันตัวตน

1. ลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบที่เว็บไซต์ https://nodes.ether1.org เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วให้คลิกที่ “Node Dashboard” เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเพิ่ม Masternode

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

2. กรอกข้อมูลที่จำเป็นดังต่อไปนี้

  • ETHO Address -> หมายเลขบัญชีหรือกระเป๋าเงิน ETHO โดยจะต้องมีจำนวนเหรียญขั้นต่ำตามที่ระบบกำหนด 5000ETHO หากต้องการเป็น Service Node และ 15000ETHO หากต้องการเป็น Masternode (ควรใส่เกินจำนวนขั้นต่ำที่ต้องการไว้สัก 1 เหรียญ เพื่อใช้สำหรับขั้นตอนการทดสอบโอนเงิน)
  • IP Address -> หมายเลข Public IP
  • Node Type -> เลือกประเภทที่ต้องการ Service Node, Master Node

เมื่อพร้อมแล้วให้คลิกที่ “Add Node”

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

4. เมื่อเสร็จแล้วจะเห็นรายการที่เราได้เพิ่มเข้ามา เสร็จแล้วกดที่ “Details”

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

5. ต่อไปเป็นขั้นตอนการยืนยันกระเป๋า Ether-1 ที่ใช้งานว่ามีจำนวนเหรียญเพียงพอจริง ๆ โดยเราต้องทำการโอนเหรียญ เอาแค่สัก 0.01 เหรียญก็พอครับ โดยให้โอนไปที่กระเป๋า
 “Verification Address”

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

** หมายเหตุ : Verification Address นี้ใช้สำหรับยืนยันเท่านั้นนะครับ ใช้ครั้งเดียวพอ อย่าเอาไปใช้งานอย่างอื่นนะ เดี๋ยวเหรียญหายหมดไม่รู้ด้วย **

6. เมื่อเราทำการโอนเหรียญ ETHO แล้วมันจะขึ้น TX hash ให้เราก๊อปปี้มาใส่ในช่อง “Verification TX Hash”

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

ระบบจะทำการยืนยันข้อมูลหลัก ๆ 3 อย่างได้แก่ “Address Verified” “Stake Verified” “Node Active” ซึ่งทั้งสามตัวจะต้องผ่านทั้งหมด

8. ตรงหัวข้อ “Stake Verified” หรือ “Node Active” ถ้าขึ้นสถานะว่า Failed ให้กดที่ลิงค์ Verify เพื่อทำการยืนยันตัวตนอีกครั้ง

การติดตั้ง Ether-1 (ETHO) Masternode

แต่ถ้าช่อง “Address Verified” ขึ้นสถานะว่า Failed เรากดเองไม่ได้ครับ ต้องดำเนินการใหม่ตั้งแต่ต้นเลย โดยการลบแล้วทำใหม่ทั้งหมด

จับตาดูปี 2561 บิทคอยน์จะรุ่งต่อ หรือ แค่ฟองสบู่

0
ความสัมพันธ์ระหว่างบิทคอยน์และเงินดิจิตอลชนิดอื่น

ปี 2560 ที่ผ่านพ้นไป ไม่เพียงแค่ “โซเชียลมีเดีย” หรือ “สื่อสังคมออนไลน์” เท่านั้นที่เปลี่ยนสังคมโลกและสังคมไทยอย่างรุนแรงแต่ในทางการเงินการลงทุนก็ยังมี “บิทคอยน์” ที่อาจพลิกโฉมระบบเงินตราและการเก็งกำไรบนโลกใบนี้

ตลอดปี 2560 มูลค่าของ “บิทคอยน์” ทะยานขึ้นถึง 20 เท่า แม้ในปีใหม่ 2561นักวิเคราะห์จะคาดการณ์ว่ากระแสร้อนแรงของ “บิทคอยน์” จะทรุดต่ำลงแต่ถึงนาทีนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่แน่นอน

ดร.ปรีชา และ ดร.ธิติ สุวรรณทัต สองพ่อลูกที่เป็นนักกฎหมายการเงินการคลังและเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ร่วมกันเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง “บิทคอยน์” และให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับ “ล่าความจริง” เอาไว้อย่างน่าสนใจ

สองนักวิชาการเริ่มต้นจากการอธิบายความเป็นมาของ“บิทคอยน์” โดยบอกว่า บิทคอยน์ (Bitcoin) เป็นรูปแบบเงินตราในระบบใหม่ เป็นเงินตราแบบ “ดิจิทัล” (Digital Currency/Crypto CurrencyCryptography) กำเนิดขึ้นในปี 2552 เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรก โดยในระยะเริ่มแรก 1 บิทคอยน์มีมูลค่าเพียง 10 เซ็นต์ หรือประมาณ 3.2บาทเท่านั้น

แต่นับตั้งแต่ต้นปี 2560 ค่าของเงินบิทคอยน์ก็เริ่มทะยานพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ทุกๆ วัน โดยทำสถิติขึ้นไปสูงสุดที่ 19,891 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 บิทคอยน์!!! เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2560 และตกลงไปกว่า 30% อยู่ที่ประมาณเกือบ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์หลังจากนั้นก็ดีดตัวกลับขึ้นมาใหม่อยู่ที่ประมาณ 15,000ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงวันคริสต์มาสที่ผ่านมา

เงินสกุลดิจิทัลลักษณะนี้ไม่มีสินทรัพย์ประเภททองคำทุนสำรองธนบัตร ทุนสำรองระหว่างประเทศหรือเงินสกุลหลักประเภทดอลลาร์สหรัฐ เงินยูโรหรือเงินปอนด์มาหนุนหลังเลย

มูลค่าของเงินดิจิทัลอย่าง “บิทคอยน์” อยู่ที่ความเชื่อมั่นในตัวมันล้วนๆเป็นความเชื่อมั่นในระหว่างกลุ่มผู้ใช้เงินสกุลดิจิทัลทั่วโลกไม่ได้ถูกควบคุมหรือกำกับดูแลโดยธนาคารกลางในแต่ละประเทศและก็ไม่ได้อยู่ในระเบียบของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF

มิ.ย.2557 นายเจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียร์ สหรัฐอเมริกาได้ลงนามในกฎหมายของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (CaliforniaAssembly Bill 129 หรือ AB- 129)อนุญาตให้ใช้เงินตราดิจิทัล เช่น เงินดิจิทัลบิทคอยน์แทนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ถือได้ว่าเป็นมลรัฐแรกในสหรัฐที่มีกฎหมายรับรองเป็นทางการเช่นนี้

นักวิชาการสองพ่อลูก ระบุว่า ความบ้าคลั่งและร้อนแรงของเงินบิทคอยน์ในช่วงเทศกาลเวลานี้ ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์และหวาดหวั่นเรื่อง“ฟองสบู่แตก” ซึ่งหากย้อนอ่านหนังสือเรื่อง ManiasPanics and Crashes: A History of Finance Crisesของ Charles P.Kindleberger (1910-2003)อดีตศาสตราจารย์แห่งภาควิชาเศรษฐศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ CPK จะพบว่าได้ศึกษาถึงที่มาและการก่อตัวของปัญหาอันนำไปสู่การเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่ทางการเงิน (Financial Bubble)

ซึ่งหมายถึงสภาวการณ์ที่สินทรัพย์มีมูลค่าสูงเกินกว่าพื้นฐานความเป็นจริงของมัน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1636 จนถึงปี 2000 รวมทั้งสิ้น 10 เหตุการณ์เช่น ฟองสบู่จากการเก็งกำไรในหัวดอกทิวลิปที่เนเธอร์แลนด์ ปี ค.ศ.1636ฟองสบู่จากการเก็งกำไรราคาหุ้นของบริษัท South Seaที่อังกฤษ ในปี ค.ศ.1720 ฟองสบู่ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปีค.ศ.1927-1929

จนนำไปสู่การเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในทศวรรษ 1930 ฟองสบู่จากการเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ญี่ปุ่น ระหว่างปี 1985-1989ฟองสบู่จากการเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียและอีกหลายประเทศในเอเชีย ระหว่างปี 1992-1997 เหล่านี้เป็นต้น

สองนักวิชาการสรุปว่า ฉะนั้นวันนี้ “บิทคอยน์” จะเป็น “ฟองสบู่” หรือ “เงินตรา” ที่แท้จริงในอนาคตยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในกลุ่มผู้ที่สนใจและเกี่ยวข้องในเรื่องเงินตราดิจิทัล แต่มีสุภาษิตของชาวดัตช์ต้นตำรับฟองสบู่ดอกทิวลิปที่เป็นรากเหง้าการเกิดฟองสบู่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเงินของโลก ให้ข้อคิดเป็นบทเรียนที่สำคัญไว้ว่า “การเรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบันจะเป็นประโยชน์ต่อการเตรียมตัวสำหรับอนาคตที่ดียิ่ง”


ต้นฉบับบทความ : กรุงเทพธุรกิจ

How to : การติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

0

ความต้องการขั้นต่ำของระบบ

  • AKA Wallet (ถ้ายังไม่มีสามารถสมัครใช้งานได้ที่ https://wallet.akroma.io/ )
  • AKA 5000 เหรียญขึ้นไป
  • Ubuntu Server 16.04 ขึ้นไป (ตามตัวอย่างนี้จะเป็น Ubuntu 18.04 Lts แต่สามารถใช้ได้ทั้ง Ubuntu, Debian)
  • Fix IP (Public IP)
  • Firewall allow port 1024-65535
  • CPU : 1 Core
  • RAM : 1 GB
  • HDD : 25 GB
  • สิทธิ์การใช้งานระดับ Root

ขั้นตอนการติดตั้ง

1. Update patch package ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด และติดตั้ง package ที่จำเป็นสำหรับใช้งาน

sudo apt-get update

sudo apt-get install wget curl unzip systemd -y

2. ดาวน์โหลด package สำหรับติดตั้ง Akroma Masternode, กำหนด permission ให้โปรแกรมสามารถใช้งานได้สูงสุด

wget -N https://raw.githubusercontent.com/akroma-project/akroma-masternode-management/master/scripts/debian/setup.sh

chmod +x setup.sh

3. เมื่อพร้อมแล้วก็สั่งติดตั้ง AKA masternode

./setup.sh --systemd

4. เริ่มทำงาน AKA Masternode

sudo systemctl start akromanode

5. ตั้งค่าให้ Akroma Masternode ทำงานทุกครั้งเมื่อเปิดเครื่อง

sudo systemctl enable akromanode

6. คำสั่งสำหรับใช้หยุดการทำงานของ AKA Masternode

sudo systemctl stop akromanode

7. ตรวจสอบสถานะการทำงานของ Akroma Masternode

systemctl status akromanode

ขั้นตอนการลงทะเบียนและยืนยันการทำงาน Akroma Masternode

1. สมัครสมาชิกเพื่อลงทะเบียนที่ https://akroma.io (โดยสามารถ Login ด้วยบัญชี Facebook หรือ Google ได้ทันที)

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

2. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วให้เลือกที่ลิงค์ “Masternodes”

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

3. คลิกที่ “+CREATE MASTERNODE”

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

4. กรอกรายละเอียดที่ต้องใช้งานทั้งหมดซึ่งประกอบด้วย

  • Enode ID : ขั้นตอนการตรวจสอบ Enode ID จะอยู่ด้านล่างบทความนี้
  • IP : ต้องเป็น Public IP แบบ Static ห้ามมีการเปลี่ยนแปลง
  • Port : ปกติจะเป็น 8545
  • Wallet Address : ให้ใส่หมายเลขกระเป๋าที่ได้ทำการสมัครเอาไว้
  • Username, Password : ปล่อยว่าง

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

ขั้นตอนการตรวจสอบหมายเลข Enode ID

พิมพ์คำสั่งด้านล่างนี้

wget https://raw.githubusercontent.com/akroma-project/akroma-masternode-management/master/scripts/any/utils.sh

chmod +x utils.sh

./utils.sh --enodeId --nodePort --nodeIp

Enode Id: 22b9949bb14a54afd4fc3ac737b427a620a97c76e3d656b55f797d48e20f0fffef8e7670bd8d6081fe1abf1b19f73e14976cf10030ab60050866a43cee27c946

Node Port: 8549

Node IP: 68.40.44.89

เมื่อกรอกรายละเอียดทั้งหมดแล้วให้คลิกที่ “CREATE MASTERNODE”

5. หลังจากนั้นระบบจะขึ้นสถานะรอการยืนยัน Masternode ซึ่งจากขั้นตอนนี้เราจะต้องใช้ข้อมูลในช่อง Transaction Data ด้วย ก๊อปปี้เก็บไว้ก่อนก็ดีครับ

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

ซึ่งขั้นตอนต่อไปที่จะทำการยืนยันเครื่อง Masternode นั้นเราจะต้องทำการยืนยันเอง แต่ก่อนที่จะเริ่มนั้นอย่าลืมนะครับเช็คก่อนว่าเราได้เตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว ทั้งจำนวน AKA, Firewall, Public IP เป็นต้น

ขั้นตอนการยืนยัน Akroma Masternode

การยืนยัน Akroma Masternode นั้นเราไม่ต้องเสียจำนวน AKA Coin ไปแต่อย่างใด มันเป็นเพียงการโอนเงินจากตัวเอง หาตัวเองเท่านั้น เพื่อให้ระบบเห็นว่าเครื่องเราสามารถใช้งานได้จริง

1. ไปที่ https://wallet.akroma.io/ + Send Akroma & Tokens + เลือก Keystore / JSON File (หรือจะเป็นวิธีอื่นก็ได้ตามที่เราได้เก็บข้อมูล Wallet ไว้) + SELECT WALLET FILE + ใส่รหัสผ่าน

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

2. กรอกรายละเอียดบัญชีที่จะส่งเงินคริปโตไป ในที่นี้ตรงช่อง To Address ให้ใส่หมายเลขกระเป๋าเงินของเราเอง, Amount to Send ใส่แค่ 1 ก็พอ, Gas Limit ไม่ต้องแก้ไข, Data ให้เอาตัวเลขในช่อง Transaction Data ตรงหน้า Verify มาใส่, เสร็จแล้วกด Generate Transaction ครับ

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

3. ยืนยันความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้ง เมื่อมั่นใจแล้วว่าถูกต้องให้กดที่ปุ่ม Yes, I’m sure! Make transaction

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

4. เมื่อทำการโอนเงินเรียบร้อยแล้วหน้าถัดมา ก็เป็นการแสดงสถานะ Transaction นั้นนั่นเองครับว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง หากเราต้องการดูก็กดดูที่ Check TX Status

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

5. กลับมาที่เว็บไซต์ akroma.io เมื่อเราทำการโอนเงินในบัญชีเราเองแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สถานะของ Masternode ของเราจะต้องพร้อมใช้งาน เมื่อพร้อมแล้วเราก็แค่เปิดเครื่องทิ้งไว้ตลอด รอรับเงินกันไปครับ

ขั้นตอนการติดตั้ง Akroma Masternode (AKA) บน Ubuntu และ Debian

สรุป

ไม่ยากเลยนะครับสำหรับการติดตั้ง Akroma Masternode ด้วย Ubuntu และ Debian แต่ถ้าเป็นมือใหม่ที่ไม่มีความรู้ทางด้าน Linux เลยนั้นอาจจะเป็นเรื่องยาง ซึ่งผมเองก็พยายามที่จะเขียนตามขั้นตอนให้ละเอียดมากที่สุดเท่าที่ได้ สำหรับ Linux Version อื่น ๆ ถ้ามีโอกาสจะเขียนคู่มือให้ทำตามกันครับ


ต้นฉบับบทความ : https://github.com/akroma-project/akroma-masternode-management/wiki/Setup-on-Debian-or-Ubuntu

รีวิว เหรียญคริปโต Akorama (AKA)

1

นับย้อนไปปี 2017 นั้นถือว่าเป็นปีทองของ Ethereum เลยทีเดียว ด้วยความสามารถที่ชื่อ Smart Contract ที่อนุญาติให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาเหรียญคริปโตของตัวเองอยู่บนพื้นฐานของ Ethereum ได้ จึงทำให้เกิดการระดมทุนในธุรกิจ Start up หลายประเภทมาก ซึ่งเกินครึ่งก็ระดมทุนผ่าน Ethereum ทำให้มีการเติบโตของเหรียญนี้แบบว่ารับเงินกันโดยไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว

แต่ก็มีนักพัฒนาอีกหลายกลุ่มที่ยังมองเห็นว่า Ethereum นั้นไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานบางส่วนของพวกเค้าได้ ก็มีการนำ Source Code ของ Ethereum มาพัฒนาเป็นสกุลเงินคริปโตตัวใหม่กันหลายกลุ่มเหมือนกัน เช่น Pirl, Ella เป็นต้น ซึ่งแต่ละเหรียญก็มีความสามารถที่ตัวเองบอกว่าเก่งมากขึ้นแตกต่างกันไป ถ้ามีโอกาสก็จะสรุปให้ฟังเรื่อย ๆ

เหรียญที่จะพูดถึงในวันนี้ชื่อว่า Akorama (AKA) มันมีความน่าสนใจตรงที่ พัฒนาได้รวดเร็วมาก และทีมพัฒนาของเค้าเนี่ยก็พูดว่าค่อนข้างแกร่งเลยทีเดียวนะ

ภาพรวมของเหรียญ Akroma (AKA)

เงินคริปโต Akroma (AKA) เป็นอีก 1 สกุลเงินที่แยกตัวออกมาจาก Ethereum โดยนำ Source Code ของ Ethereum ทั้งหมดมาพัฒนาเพิ่มเติม นั่นก็หมายความว่าเป็นเหรียญที่เริ่มต้นใหม่จากมูลค่าที่ศูนย์ กลุ่มนักพัฒนาของเงิน AKA นั้นไม่ใช่ทีมใหม่แต่อย่างใด แต่ส่วนมากก็เป็นนักพัฒนาที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาเงินคริปโตสกุลอื่น ๆ อยู่แล้ว โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาฟังก์ชั่นอื่น ๆ เพิ่มเติมจาก Ethereum เดิมที่มีอยู่แล้ว และให้ง่ายต่อการใช้งานของผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไปมากที่สุด เพราะเหรียญ Ethereum เดิมนั้นถึงแม้จะมีความแข็งแกร่งในตัวอยู่แล้ว แต่ก็ยังคงเน้นไปที่กลุ่มนักพัฒนาอยู่ดี โครงการ Akroma (AKA) จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อจะให้เป็นเหรียญสาธารณะโดยแท้จริง

ฟังก์ชั่นหลัก ๆ ที่เพิ่มขึ้น

Masternodes

คำศัพท์ Masternodes อาจจะเป็นคำใหม่ในวงการคริปโต แต่อีกไม่นานน่าจะกลายเป็นฟังก์ชั่นหลัก ๆ ของหลาย ๆ สกุลเงิน ในช่วงเริ่มต้นนั้นเครือข่ายของเงินคริปโตจะอยู่รอดได้ขึ้นอยู่กับจำนวนนักขุดเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ แต่เมื่อมาถึงจุด ๆ หนึ่งปัญหาของการขุดเหรียญคือ การสิ้นเปลืองพลังงานจำนวนมหาศาล ซึ่งการขุดเหรียญนั้นรู้จักกันอีกอย่างนึงว่า Proof of Work (POW)

Where Curiosity Meets Creativity

Masternodes เป็นความสามารถใหม่ของเงินคริปโตที่ต้องการออกมาแก้ไขจุดบกพร่องของระบบ Proof of Work ซึ่งเราจะเรียกมันว่า Proof of Stake (POS) จากเดิมที่เราต้องลงทุนการ์ดจอจำนวนหลายตัวเพื่อให้สามารถขุดเหรียญได้ และรับรางวัลเป็นเหรียญนั้น ๆ กลับมา บางคนอาจจะตั้งเครื่องขุดเป็นฟาร์มขุดกันเลยทีเดียว แต่ว่าการทำงานของ Masternodes นั้นเราจะใช้คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว เปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาเหมือนกัน ทำหน้าที่เก็บข้อมูลบล๊อคเชนของเหรียญดังกล่าว และยืนยันการทำธุรกรรมแทนการขุด เมื่อยืนยันธุรกรรมต่าง ๆ ได้แล้วก็จะได้รับรางวัลกลับมาเป็นเหรียญคริปโตเหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งฟังดูเหมือนง่ายแล้วทำไมยังคงมีการขุดเหรียญกันอยู่ ก็ต้องบอกว่าการจะตั้ง Masternodes ขึ้นมาได้นั้นจำเป็นต้องมีความต้องการขั้นต่ำเหมือนกัน เช่น ต้องมีเหรียญคริปโตที่จะตั้ง Masternodes จำนวนมาก อาจจะ 10,000 เหรียญขึ้นไป เป็นต้น

ออราเคิล (Oracle)

สำหรับนักไอทีทั้งหลายอย่าสับสนระหว่าง Oracle ที่เป็น DBMA ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปนะครับ แต่ Oracle ในวงการคริปโตนั้นจะหมายถึงฟังก์ชั่นการทำงานอีกอย่าง โดย AKA นั้นจะพัฒนาฟังก์ชั่น Oracle หลังจากที่การทำงานของ Masternodes มีความเสถียรในระดับนึงแล้ว

แนวคิดนี้เป็นเรื่องใหม่ที่ยังมีให้เห็นไม่มากนัก ซึ่งแนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อต้องการเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างเงินคริปโตคนละสกุลเงินที่มีจำนวนมหาศาลนั่นเอง ก็แทนที่ว่าจะมองเป็นคู่แข่งกัน ทีมพัฒนาเหรียญ AKA ก็เอามารวมให้เข้ากันได้ซะเลย

ทีมพัฒนา

ทีมพัฒนาเหรียญ Akroma (AKA)
ทีมพัฒนาเหรียญ Akroma (AKA)
ทีมพัฒนาเหรียญ Akroma (AKA)
ทีมพัฒนาเหรียญ Akroma (AKA)

แผนพัฒนาของ Akroma (AKA) สำหรับปี 2018

โปรเจคส์ สถานะการพัฒนา ผลลัพท์
เว็บไซต์หลัก เสร็จสิ้น akroma.io
กระเป๋าเงินออนไลน์ เสร็จสิ้น wallet.akroma.io
พูลสำหรับนักขุด เสร็จสิ้น minerpool.net/pools/akroma
Hard fork ครั้งที่ 1 เสร็จสิ้น mining reward adjustment
Block explorer เสร็จสิ้น akroma.io/explorer
Mobile App (Android) เสร็จสิ้น playstore
Masternode (Alpha, Beta) เสร็จสิ้น masternode
Exchange Listing เสร็จสิ้น stock.exchange
Akroma Foundation ดำเนินการ
Masternode (Public) ดำเนินการ masternode
Desktop Wallet ดำเนินการ desktop wallet

สรุป

ก็เป็นอีกเหรียญที่พัฒนาจาก   Ethereum ที่ผมคิดว่าค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะแผนพัฒนาของเค้าที่มีรูปธรรม ตอนนี้ผมเองก็เริ่มขุดเหรียญนี้แล้วเหมือนกัน Akroma (AKA) นั้นไม่มีการระดมทุนจากภายนอกทั้งสิ้นด้วยนะ สงสัยมั้ยว่าเค้าอยู่ได้ยังงัยถ้าไม่มีทุนในการพัฒนา ทีมพัฒนาเหรียญตัวนี้ก็ตั้งองค์กรขึ้นมาอีกองค์กรหนึ่งแล้วก็สร้างโปรเจคส์อื่นขึ้นมา แล้วก็ระดมทุนโดยใช้ Akroma (AKA) เป็นตัวกลาง มันก็เลยทำให้เหรียญตัวนี้มีค่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

Minergate ตัวเลือกแรกในการขุดเหรียญสำหรับมือใหม่

0
การทำเหมืองขุดเหรียญคริปโตด้วย Minergate

Minergate เป็นพูลในการขุดเหรียญคริปโตที่มี Software ที่ใช้งานง่ายมากไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชิงลึกในการทำเหมืองขุดเหรียญก็สามารถเริ่มต้นหาเงินกับ Minergate ได้ ค่าธรรมเนียมในการขุดก็สมเหตุสมผล มีตัวเลือกในการขุดเหรียญมากถึง 16 เหรียญคริปโต สามารถซื้อกำลังขุดเหรียญบิทคอยน์แบบ Cloud Mining ได้ด้วยสัญญาตลอดชีพ โดย Minergate ได้เป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับ Hashing24 ในการลงทุนอุปกรณ์สำหรับบิทคอยน์ Cloud Mining

รู้จักกับ Miner Gate

ทีมงานของ Minergate นั้นไม่เปิดเผยตัว ต้องยอมรับว่าข้อนี้เองทำให้ช่วงเปิดตัวของ Minergate นั้นขาดความน่าเชื่อถือไปเยอะเลยทีเดียว แต่ Minergate เองก็ข้ามข้อเสียจุดนี้ไปได้เพราะสามารถที่จะยืนหยัดตั้งแต่เปิดตัวมาได้จนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งเรายังเห็น Software Mining ของ Minergate พัฒนาอยู่สม่ำเสมออีกด้วย

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีข้อมูลที่พูดคุยกันในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ว่าแรงขุดที่ได้จาก Minergate นั้นจะหายไปประมาณ 2%

เพราะฉะนั้นแล้วหากต้องการลงทุน หรือใช้งาน Minergate ก็ให้ใช้วิจารณญาณตัดสินใจด้วยส่วนนึงนะครับ สำหรับผมยังคงใช้ Minergate อยู่ทุกวันนี้เพราะมันใช้งานง่ายมาก และข้อมูลที่เค้าพูดคุยกันในเว็บบอร์ดนั้นผมไม่ได้เจอเอง จึงยังคงมีความมั่นใจอยู่ในระดับสูง

ช่วงเริ่มต้นนั้น Minergate เป็น Pool Mining ที่สามารถขุดเหรียญได้หลากหลายชนิด เช่น บิทคอยน์, Ethereum, Monero เป็นต้น เมื่อมีการเติบโตของ Crypto Currency มากขึ้นเรื่อย ๆ Minergate ก็เป็นผู้เล่นอีกรายที่มีการขยับขยายตามแนวโน้มของตลาด Crypto โดยมีการเพิ่มประเภทของเหรียญที่จะขุดได้มากขึ้น และล่าสุดก็มีเปิด Cloud Mining ซึ่งถึงวันที่เห็นบทความนี้นั้น (30-06-2018) สามารถซื้อ Cloud Mining ได้สองเหรียญคือ Monero และ Bitcoin

สิ่งที่ผมชอบมากสำหรับ Software ที่ใช้ในการขุดเหรียญของ Minergate คือมันใช้งานง่ายมากเลย แค่ดาวน์โหลดมาแล้วก็เปิดใช้งานหลังจากนั้นมันก็จะเลือกเหรียญที่ขุดแล้วได้กำไรดีที่สุดให้เรา โดยแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ถ้าเราไม่พอใจก็สามารถที่จะเลือกเหรียญที่จะขุดเองได้

การขุดเหรียญด้วย Minergate
Software ของ Minergate ใช้งานได้ง่ายมาก

ในส่วนของ Cloud Mining ที่ Minergate ได้ขยายเพิ่มขึ้นมานั้นอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับ Hashing24 ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของ Cloud Mining อยู่แล้ว โดยมีฐานอยู่ที่ประเทศสก๊อตแลนด์, ไอซ์แลนด์ และจอร์เจีย ซึ่งมีตัวตนจริง มีศูนย์ข้อมูลจริง

สามารถดูข้อมูลของ Hashing24 เพิ่มเติมได้ที่นี่ : https://hashing24.com/

ข้อมูลติดต่อของ Minergate ผ่านทาง Social Media

  • Facebook: https://www.facebook.com/MinerGate
  • Twitter: https://twitter.com/MinerGate
  • Google+: https://goo.gl/W1I3kf
  • Instagram: https://instagram.com/MinerGate

เหรียญที่สามารถขุดได้

ประเภท Cloud Mining

  • Bitcoin (BTC)
  • Monero (XMR)

ประเภท Pool Mining

  • รองรับการขุดมากถึง 16 เหรียญคริปโต (และมีเพิ่มเรื่อย ๆ )

Minergate-Coin-Support

ที่อยู่

ไม่เปิดเผย

บริการของ Minergate

ฟังก์ชั่นหลัก ๆ ก็คือการเป็น Mining Pool ที่รองรับการขุดเหรียญหลายประเภท (ตอนนี้รองรับ 16 เหรียญคริปโต และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ) นักขุดเหรียญสามารถใช้งาน Minergate ได้ง่ายมาก เพียงแค่ สมัครสมาชิกที่นี่ หลังจากนั้นก็ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์มาติดตั้ง เมื่อติดตั้งเสร็จเปิดซอฟต์แวร์ใช้งาน จะมีระบบ Smart Mining ที่จะตรวจสอบประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์ของเราแล้วจะเลือกเหรียญที่ขุดแล้วได้ผลตอบแทนมากที่สุด โดย Minergate จะคิดค่าตอบแทนที่ 1%-1.5% จากจำนวนที่เราขุดได้ทั้งหมด

การทำเหมืองขุดเหรียญด้วย Minergate ไม่จำเป็นต้องซื้อการ์ดจอแพง ๆ เพราะสามารถใช้ CPU ขุดได้ทันที

แต่ก็ไม่ใช่ทุกเหรียญที่จะสามารถใช้ CPU ขุดได้ทั้งหมด จะมีเหรียญตระกูล XMR, BCN ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ CPU ขุดโดยเฉพาะ

นอกจากจะเป็น Pool Mining แล้ว Minergate ยังมี Cloud Mining ให้ด้วย โดยตอนนี้จะมีเฉพาะ Bitcoin Cloud Mining และ Monero Cloud Mining ให้เลือกซื้อแรงขุดเท่านั้น ในส่วนของ Bitcoin Could Mining จะเป็น Partner กับ Hashing24 โดยทาง Minergate จะเหมาซื้อแรงขุดจาก Hashing24 มาจำนวนหนึ่งเพื่อนำมาขายต่อให้กับลูกค้าของ Minergate เอง แต่การซื้อ Hash Power ผ่านทาง Minergate จะชำระเงินได้ผ่านทาง Bitcoin เท่านั้นนะครับ ไม่สามารถชำระผ่านบัตรเครดิตได้เหมือน Hashing24

ขั้นตอนการขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining ด้วย Minergate

1. คลิกที่นี่เพื่อสมัครสมาชิก Minergate เมื่อสมัครสมาชิกเสร็จแล้วให้ Login เข้าสู่ระบบ แล้วเลือกหัวข้อ Cloud Mining (ตามภาพด้านล่าง)

เลือกแถบ BTC แล้วกดปุ่ม Buy

การขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining ด้วย Miner Gate

2. เลือก Hash Rate ที่ต้องการ โดยขั้นต่ำที่จะซื้อได้คือ 20.000 GH/s รายละเอียดที่ระบบแสดงมีดังนี้

  • Power : จำนวน Hash Power ที่ต้องการซื้อ
  • One-Time cost : ยอดเงินที่จะต้องชำระเป็นหน่วย BTC (Bitcoin)
  • ใต้ช่อง One-Time cost จะสรุปยอดเงินค่า Maintenance Cost ที่ระบบจะตัดออกอัตโนมัติ เป็นดอลล่าร์

เสร็จแล้วกดที่ปุ่ม Buy

การขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining ด้วย Miner Gate

3. สรุปรายละเอียดที่เราทำการสั่งซื้ออีกครั้งหนึ่ง หากในระบบเรามียอดเงินบิทคอยน์เพียงพอต่อการซื้อ Hash Power รอสักพักระบบจะตัดเงินออก แต่ถ้าไม่พอให้โอนเงินเข้ากระเป๋าบิทคอยน์ที่แสดง เราสามารถโอนบิทคอยน์เข้ากระเป๋านี้เกินได้ แต่ระบบจะหักเฉพาะที่เป็นต้นทุนออกไป

การขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining ด้วย Miner Gate

4. เราสามารถคลิกที่แถบ Cloud Mining เพื่อเข้ามาดูประวัติการซื้อ และสรุปรายได้ทั้งหมดที่เคยขุดได้

การขุดบิทคอยน์แบบ Cloud Mining ด้วย Miner Gate

ขั้นตอนการขุด Monero แบบ Cloud Mining ด้วย Minergate

ขั้นตอนการซื้อ XMR Hash Power ของ Miner Gate นั้นไม่ยากครับ ทำแบบเดียวกับการซื้อของบิทคอยน์เลย เปลี่ยนแค่แถบ BTC เป็น XMR แทน และดำเนินการตามขั้นตอนในรูปด้านล่างนี้เลย

การขุดเหรียญ XMR (Monero) แบบ Cloud Mining ด้วย Minergate

เลือก Hash Power

การขุดเหรียญ XMR (Monero) แบบ Cloud Mining ด้วย Minergate

สรุปยอดเงินที่จะต้องชำระ (เป็นหน่วย XMR)

การขุดเหรียญ XMR (Monero) แบบ Cloud Mining ด้วย Minergate

จำนวนที่ขุดได้

การขุดเหรียญ XMR (Monero) แบบ Cloud Mining ด้วย Minergate

 

สรุปภาพรวมของ Minergate

Minergate เริ่มต้นจากการเป็น Mining Pool ที่รองรับการขุดเหรียญหลายประเภท และมีการเปิดให้ซื้อ Hash Power ทีหลังเมื่อตลาด Cloud Mining บูมขึ้นมา สำหรับผมเองก็มีการใช้งาน Minergate ตั้งแต่เริ่มศึกษาเกี่ยวกับ Crypto Currency ก็มีความมั่นใจเว็บไซต์นี้ในระดับหนึ่ง เพราะเห็นมีพัฒนาการอยู่สม่ำเสมอทั้งตัว Software ที่มีการอัพเดตเวอร์ชั่น และจำนวนเหรียญที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งล่าสุดนี้ก็สามารถขุดเหรียญแบบ Cloud Mining ได้ทั้งบิทคอยน์ และ Monero

ข้อดี ข้อเสีย
– มีเหรียญให้เลือกขุดได้ถึง 16 เหรียญ – ยอดขั้นต่ำในการถอน โดยส่วนมากสูง (ประมาณ 0.01)
– ในส่วนของ Cloud Mining มีการแสดงต้นทุนการบำรุงรักษา ชัดเจน – Cloud Mining ยังมีให้เลือกเพียง Bitcoin กับ Monero
– ค่าธรรมเนียมในการขุดน้อยเพียง 1% – 1.5% เท่านั้น – ทีมงานไม่ยอมเปิดเผยตัวตน

เงินคริปโตจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการเงินได้อย่างไร

0
Cryptocurrency หรือ เงินดิจิตอล

เราสามารถควบคุมเงินของเราได้เอง

อย่างที่รู้กันว่าเงินทั่ว ๆ ไปนั้นถูกควบคุมโดยธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารกลางในแต่ละประเทศ นั่นคือเราเอาเงินของเราไปฝากเอาไว้ที่ธนาคารสักที่หนึ่ง ธนาคารก็จะทำหน้าที่ดูแลเงินของเราให้ ซึ่งในระหว่างนั้นธนาคารก็จะเอาเงินของเราไปทำอย่างอื่นได้อย่างถูกกฎหมาย เช่น ปล่อยกู้, ลงทุน เป็นต้น และก็จะให้ดอกเบี้ยอันน้อยนิดกลับมาให้เรา ถ้าวันดีคืนดีธนาคารนั้นล้มขึ้นมา เงินของเราก็มีโอกาสสูญหายได้เช่นกัน แต่จะว่าไปมันก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากเพราะถึงแม้ธนาคารบางที่จะล้มไป แต่ด้วยการที่ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการภายใต้กฎหมาย ก็จะมีขั้นตอนการเยียวยาถ้าหากมีการล้มจริง ๆ

สำหรับเงินคริปโตนั้น ในเรื่องของการควบคุมเงินของเราได้เองนั้น เพราะการจัดเก็บเงินคริปโตจะจัดเก็บในรูปแบบของค่าตัวเลขดิจิตอล ในระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เชื่อมต่อกันเข้ามา ทำให้ข้อมูลของเงินคริปโตกระจายออกไปทั่วโลก ไม่มีใครควบคุมเงินเหล่านี้ได้ เราสามารถสร้างหมายเลขกระเป๋าเงินเท่าไหร่ก็ได้สุดแล้วแต่เรา ซึ่งหมายเลขเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนกับหมายเลขบัญชีธนาคารเรานั่นเอง เราสามารถโอนเงินให้ใครก็ได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลางอย่างธนาคาร เป็นต้น

เงินคริปโตทำงานได้รวดเร็วและค่าธรรมเนียมถูกมาก ๆ

ลองนึกภาพในอดีตถ้าเราต้องการโอนเงินให้ใครสักคนเอาแค่ต่างธนาคารก็พอ สิ่งที่เราต้องเสียก็คือค่าธรรมเนียมการโอน แต่บางธนาคารอาจจะมีตัวเลือกที่เราไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเหล่านั้น ซึ่งอาจจะต้องแลกมาด้วยเวลาที่มากขึ้น เช่น โอนวันถัดไป เป็นต้น ยิ่งถ้าเป็นการโอนเงินระหว่างประเทศนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย นอกจากจะช้าแล้วค่าธรรมเนียมนี่มหาศาลเลยแหละ

นี่คือสิ่งที่เงินคริปโตสามารถฆ่าเงินดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัดเลย ก็คือ เราจะโอนเงินคริปโตให้ใครก็ได้ในโลก แบบว่าแทบจะได้เงินในทันที แถมค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นนั้นถูกซะยิ่งกว่าถูก เช่น โอนเงินคริปโตมูลค่าประมาณ 1 แสนบาทไทย ไปให้เพื่อนที่อาศัยที่ทวีปยุโรป พอเรากดปุ๊บ เพื่อนเราแทบจะเห็นเงินที่เราโอนให้ในตอนนั้นเลย เมื่อตีค่าธรรมเนียมออกมาแล้ว อาจจะไม่เสียเลยด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้เองจะเห็นว่าธนาคารพาณิชย์แทบจะทุกแห่งในประเทศไทย ต่างพร้อมใจกันยกเว้นค่าธรรมเนียมแบบไม่มีเงื่อนไขเลยทีเดียว

อัตราเงินเฟ้อไม่กระทบต่อเงินคริปโต

ระบบเศรษฐกิจแบบเดิมนั้นอัตราของเงินเฟ้อจะเพิ่มค่ามากขึ้นทุกปี นั่นหมายความว่า วันนี้เรามีเงิน 100 บาทอาจจะซื้อของได้ 2 อย่าง แต่ในอีก 1 ปีข้างหน้าอาจจะซื้อของได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเมื่อค่าของเงินลดต่ำลงทางแก้ปัญหาของทุกประเทศในโลกนี้ก็คือมีการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบมากขึ้น ทำให้มีเงินหมุนอยู่ในระบบมากขึ้นซึ่งมันก็ถือเป็นเรื่องปกติน่ะแหละครับ เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงกฎทางด้านเศรษศาสตร์เหล่านั้นได้

แต่ในส่วนของเงินคริปโตนั้นกลับตรงกันข้ามนะ เพราะยิ่งนานวันเงินคริปโตแต่ละสกุลเงินจะถูกผลิตออกมาน้อยลงเรื่อย ๆ สาเหตุเพราะมีการออกแบบควบคุม ไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าเมื่อถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งรางวัลจากการขุดเหรียญแต่ละเหรียญก็จะน้อยลงอาจจะเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ซึ่งระยะเวลาเหล่านี้ก็แล้วแต่ละเหรียญจะออกแบบไว้ ไม่ว่าจะเป็นทุก ๆ 2 ปี หรือ ทุก ๆ 4 ปีเป็นต้น

นอกจากนั้นแล้วอีกตัวแปลหนึ่งที่ทำให้การผลิตเหรียญคริปโตนั้นยากขึ้น เรียกว่า ค่าดิฟ หรือค่าความยากในการขุดเหรียญ เพราะว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มันจะมีความเร็วเพิ่มขึ้นมาแบบก้าวกระโดด ดังนั้นแล้วหากมีคนขุดเหรียญเพิ่มมากขึ้น หรือวันใดวันหนึ่งมีคอมพิวเตอร์แรง ๆ สเป๊คแบบเทพมาก ๆ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะค่าดิฟมันจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ก็ไม่แน่ว่าข้อดีข้อนี้นั้นอาจจะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อต่ำลงก็ได้นะครับ

โอกาส หรือ ฟองสบู่ จากเงินคริปโต (CryptoCurrency)

0
เงินดิจิตอลคืออะไร What is Cryptocurrency

Highlight

  • หากพูดถึง cryptocurrency หรือ เงินดิจิทัล หลายคนอาจคุ้นหูกับสกุลเงินอย่าง Bitcoin ที่ราคาพุ่งทะยานขึ้นมาเรื่อยๆ จนทุบสถิติ ทำ New High สูงกว่า 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1 Bitcoin ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หรือมีราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 แสนเท่า นับตั้งแต่มีการเริ่มใช้สกุลเงินนี้มาในปี 2009 ความร้อนแรงของปรากฏการณ์ครั้งนี้สร้างคำถามให้กับหลายฝ่ายว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่สร้างความสั่นคลอนให้กับสกุลเงินแบบดั้งเดิมหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงฟองสบู่ที่เกิดจากการเก็งกำไรของนักลงทุนบางกลุ่มที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเท่านั้น?
  • แม้ความต้องการสกุลเงินดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นมาอย่างท่วมท้น แต่อีไอซีมองว่า cryptocurrency ยังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกหลายอย่าง ทั้งความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและมุมมองของหน่วยงานกำกับดูแลของแต่ละประเทศ ทำให้โอกาสที่คนทั่วไปจะนำมาใช้ในวงกว้างอาจไม่ง่ายนัก อย่างไรก็ดี แนวคิดของ cryptocurrency อย่างเทคโนโลยี blockchain ที่เป็นรากฐานของ bitcoin นับว่ามีศักยภาพและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับองค์กรต่างๆ เพื่อให้ขั้นตอนการทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด

เงินดิจิทัล (cryptocurrency) คือ สกุลเงินที่ถูกสร้างขึ้นบนระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือจะไม่มีตัวกลางคอยควบคุมเหมือนสกุลเงินแบบดั้งเดิม (fiat currency) โดยผู้สร้างเงินแต่ละสกุลจะออกแบบ การได้มาของเงิน กำหนดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ และวิธีการใช้งานตามต้องการ ทั้งนี้ ข้อมูลธุรกรรมต่างๆ จะถูกเปิดเผยให้ทุกคนในระบบสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยและสร้างความโปร่งใสให้กับเงินในระบบด้วย

ในบรรดา cryptocurrency ทั้งหมด Bitcoin คือเงินสกุลแรกที่ถูกคิดค้นขึ้น และกำลังเป็นกระแสที่คนทั่วโลกต่างจับตามองจากราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างร้อนแรงกว่า 600% นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2017 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากกลุ่มคนทั่วไปที่เล็งเห็นประโยชน์ของสกุลเงินดิจิทัลและบรรดานักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน ทั้งนี้ Bitcoin มีจุดเด่นที่เหนือกว่าสกุลเงินแบบดั้งเดิมในหลายๆ ด้าน เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศที่รวดเร็วขึ้น เนื่องจากไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางคอยยืนยันการทำธุรกรรม ส่งผลให้การโอนเงินเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาราว 10 นาที ซึ่งรวดเร็วกว่ารูปแบบเดิมที่ใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วัน นอกจากนี้ Bitcoin ยังมีความปลอดภัยสูงอีกด้วย เนื่องจากผู้ที่อยู่ในระบบจะมีฐานข้อมูลชุดเดียวกัน และรับรู้ข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นแบบ real-time จึงทำให้การแก้ไขข้อมูลหรือโจมตีระบบเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

ความนิยมของ Bitcoin ส่งผลให้เกิด cryptocurrency ใหม่ตามมามากกว่าหนึ่งพันสกุล โดยได้มีการต่อยอดให้มีคุณสมบัติที่หลากหลายและตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Ether ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องของการประยุกต์ใช้ smart contracts เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการทำธุรกรรม เช่น การใส่เงื่อนไขให้ชำระค่าสินค้าก็ต่อเมื่อมีการยืนยันว่าได้รับสินค้าแล้ว หรือการเคลมเงินประกันการเดินทางอัตโนมัติเมื่อเครื่องบินดีเลย์ โดยที่ไม่ต้องทำเรื่องขอเอาเงินประกันเหมือนในปัจจุบัน เป็นต้น ในขณะที่ Ripple มีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นสกุลเงินสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ เพื่อให้การโอนเงินมีความปลอดภัยและรวดเร็วมากขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที โดยปัจจุบัน ทั้งสอง cryptocurrency เริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนและสถาบันการเงินมากขึ้น  เนื่องจากมีประโยชน์ที่เห็นได้ชัดและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ส่งผลให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 3,000% จากต้นปี 2017 และทำให้สกุลเงินทั้งสองมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของตลาด cryptocurrency ทั้งหมดอีกด้วย ในขณะที่ Bitcoin ยังมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่ง และที่เหลือเป็นสกุลอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ cryptocurrency จะเข้ามาแทนที่เงินสกุลดั้งเดิมอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก

เนื่องจากข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน เช่น มูลค่าตลาดที่ยังเล็กและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยปัจจุบัน cryptocurrency ยังมีมูลค่าตลาดที่เล็กมาก โดยมีขนาดเล็กกว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 8 เท่า หรือเล็กกว่าสินทรัพย์อย่างทองคำถึง 42 เท่า อีกทั้งยังมีราคาที่ผันผวนสูงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในระบบเศรษฐกิจอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร เยน และหยวน โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ค่าเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin, Ether หรือ Ripple มีโอกาสเหวี่ยงขึ้นลงได้สูงสุดถึง 14% ภายในหนึ่งวัน ในขณะที่เงินสกุลหลักมีความผันผวนไม่เกิน 0.5% ส่งผลให้การนำ cryptocurrency ไปใช้งานในวงกว้างยังคงไม่ได้รับความเชื่อมั่นนัก สะท้อนให้เห็นจากจำนวนร้านค้าที่รับชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลและอัตราผู้ใช้งานที่ยังมีจำนวนไม่มากถึงแม้เทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นมาเป็นระยะเวลา 8 ปีแล้วก็ตาม ทั้งนี้ จากการสำรวจร้านค้าออนไลน์ขนาดใหญ่ 483 รายของ Morgan Stanley พบว่าจำนวนร้านค้าที่รับชำระด้วยสกุลเงินดิจิทัลลดลงจาก 5 รายในไตรมาสแรก ปี 2016 เหลือเพียง 3 รายในไตรมาสที่สองของปีนี้ ในขณะที่ร้านค้าส่วนใหญ่ยังคงรับชำระเงินผ่าน Visa, Master Card หรือ PayPal เป็นหลักมากกว่า

มุมมองของภาครัฐและธนาคารกลางในแต่ละประเทศยังถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญต่อความเชื่อมั่นของ cryptocurrency โดยปัจจุบัน ประเทศที่มองว่า cryptocurrency เป็นสกุลเงินทางเลือกและยอมให้ใช้อย่างเป็นทางการมีจำนวนไม่มากนัก อาทิ ญี่ปุ่น ซึ่งอนุญาตให้ใช้ Bitcoin เป็นหนึ่งในรูปแบบการชำระเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงมีการออกใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ดี ประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มีการออกกฎระเบียบที่ชัดเจนเนื่องจากมองว่า  cryptocurrency เป็นเพียงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีมูลค่าในตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น บางประเทศกลับมีความเคลื่อนไหวและการส่งสัญญาณในเชิงลบอีกด้วย เช่น ภาครัฐของจีนที่สั่งห้ามกิจกรรมการระดมทุนผ่านสกุลเงินดิจิทัล (Initial Coin Offering: ICO) และสั่งปิดบริษัทที่ให้บริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล

ด้านหน่วยงานกำกับดูแลของไทยยังไม่มีการควบคุมและกำกับดูแล cryptocurrency อย่างเป็นทางการ แต่มีมุมมองในเชิงบวกต่อการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่ (FinTech)

ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่มีการรองรับ cryptocurrency ให้เป็นสกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายและมีข้อแนะนำให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงของการถือครองสกุลเงินดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานกำกับดูแลของไทยยังคงให้ความสนใจในเทคโนโลยีเบื้องหลังของ cryptocurrency อย่าง blockchain ที่มีจุดเด่นด้านการตรวจสอบข้อมูลอย่างโปร่งใสมากกว่า รวมไปถึงพัฒนากฎระเบียบเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมทางการเงินอย่างจริงจัง เช่น การสร้าง regulatory sandbox เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจในการลงทุนเพื่อศึกษาและพัฒนาการให้บริการโดยใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มากขึ้น

อีไอซีประเมินว่าการพัฒนา cryptocurrency เพื่อใช้ในสถาบันการเงินและภาครัฐมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกว่าการใช้งานของบุคคลทั่วไป โดยสถาบันการเงินรายใหญ่หลายแห่งได้เริ่มพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองเพื่อใช้ในการทำธุรกรรมของธนาคาร เช่น Citi group และ MUFG ในขณะที่ภาครัฐก็มีแนวโน้มพัฒนาสกุลเงินของแต่ละประเทศเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น จีน และรัสเซีย ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจและภาครัฐสามารถลดต้นทุนการทำธุรกรรมและการบริหารจัดการลงได้จำนวนมาก

อีไอซีมองว่าเทคโนโลยีเบื้องหลังของ cryptocurrency อย่าง blockchain และ smart contracts มีศักยภาพและประโยชน์สูงต่อการนำมาประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจในอนาคต โดยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการทำงานที่ต้องมีการตรวจสอบและยืนยันข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรต่างๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น 1) การนำไปใช้บันทึกประวัติการใช้งานหรือซ่อมบำรุงเครื่องบินให้การตรวจสอบข้อมูลระหว่างการซื้อขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2) การบันทึกข้อมูลการรักษาพยาบาลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์โดยที่ยังสามารถกำหนดระดับของผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ และ 3) การติดตามสถานะและคุณภาพของสินค้าโดยเฉพาะอาหารสดแบบเรียลไทม์ เป็นต้น

รูปที่ 1: มูลค่าของ cryptocurrency เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, Index
รูปที่ 1: มูลค่าของ cryptocurrency เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, Index
หมายเหตุ: ข้อมูล ณ วันที่ 6/11/2017
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จากข้อมูลของ coinmarketcap และ coindesk
รูปที่ 2: มูลค่าตลาด cryptocurrency มีขนาดเล็กกว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 8 เท่า หรือเล็กกว่าสินทรัพย์อย่างทองคำถึง 42 เท่า หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จาก coinmarketcap, SET, Federal reserve, IMF และ Business Insider
รูปที่ 2: มูลค่าตลาด cryptocurrency มีขนาดเล็กกว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 8 เท่า หรือเล็กกว่าสินทรัพย์อย่างทองคำถึง 42 เท่า
หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จาก coinmarketcap, SET, Federal reserve, IMF และ Business Insider
รูปที่ 3: ราคาของ cryptocurrency มีความผันผวนสูงโดยเฉพาะหากเทียบกับสกุลเงินหลักที่ใช้ในปัจจุบัน หน่วย: %
รูปที่ 3: ราคาของ cryptocurrency มีความผันผวนสูงโดยเฉพาะหากเทียบกับสกุลเงินหลักที่ใช้ในปัจจุบัน
หน่วย: %
หมายเหตุ: ข้อมูล ณ วันที่ 6/11/2017
ที่มา: การวิเคราะห์โดย EIC จาก coinmarketcap, coindesk และ Bloomberg

ต้นฉบับบทความ : Economic Intelligence Center : EIC ธนาคารไทยพาณิชย์

เจาะลึกเทคโนโลยีของเหรียญ Monero (XMR)

0
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Monero
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Monero

ที่มาที่ไปของเหรียญ Monero

เป้าหมายหลักของเหรียญ Monero ตั้งใจว่าจะมาปิดจุดบอดของบิทคอยน์ตรงที่ต้องการให้เป็นเหรียญที่มีความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง ไม่ต้องการให้เปิดเผยตัวตนของผู้ใช้ ก่อนที่จะมีเหรียญ Monero (XMR) เกิดขึ้นนั้น Application Protocol ชื่อ CryptoNote เกิดขึ้นบนโลก และในองค์ประกอบของ Protocol ตัวนี้ก็มี Algorithm ที่ชื่อว่า CryptoNight ซึ่งถูกออกแบบการทำงานมาให้เป็นแบบ Proof-of-work โดยรองรับ CPU เป็นหลักในการถอดรหัส Algorithm ตัวนี้

ด้วยความที่ว่าการถือกำเนิดของ CryptoNote นั้นไม่ได้เป็นการนำ Source Code เดิมของ Bitcoin มาเปลี่ยน เป็นเพียงการทำ Concept มาใช้เท่านั้น มันจึงถือได้ว่าเป็นเหรียญที่เกิดใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่หมด จากนั้นไม่นานราว ๆ เดือน กรกฎาคม 2012 ก็มีการกำเนิดเหรียญ Bytecoin (BCN) ขึ้นมา เหรียญนี้เองน่ะแหละที่เป็นพื้นฐานเหรียญที่ Monero (XMR) นำมาพัฒนาต่อยอดอีกที และเปิดให้ชาวโลกได้รู้จักราว ๆ เดือน เมษายน 2014 จากสถิติย้อนหลังนั้น Monero (XMR) เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในช่วงปี 2016 เป็นต้นมา เพราะความที่สามารถปิดบังตัวตนของผู้ใช้งานได้ จึงกลายเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมในกลุ่ม Dark เว็บต่าง ๆ เช่น Darknet Market, AlphaBay เป็นต้น ใช้เวลาเพียงสองปีเอง

Monero Coin Marketcap
Monero Coin Marketcap : https://coinmarketcap.com/currencies/monero/

จะว่าไปแล้วบางกลุ่มก็มองภาพลักษณ์ของ Monero (XMR) ไปแนวทางที่ดูจะเป็นแง่ลบ เพราะมันกลายเป็นเหรียญยอดฮิตในตลาดมืดอย่างที่พูดไป พวกผู้ค้ายา หรือ พ่อค้าอาวุธ นี่เองน่าจะเป็นผู้ใช้งานเหรียญ Monero (XMR) เป็นหลักเลยก็ว่าได้

แรกเริ่มเดิมทีมันชื่อว่า BitMonero โปรเจคนี้ดูแลโดย thankful_for_today (ID ใน Bitcointalk.org) แล้วแต่มาก็มีการโอนผู้ดูแลไปเป็น David Latapie (ID ใน Bitcointalk.org) แล้วเปลี่ยนชื่อเหรียญเป็น Monero และแทนที่นาย thankful_for_today ด้วย fluffypony, tacotime, NoodleDoodle, smooth, othe, David Latapie, แล้วก็ eizh ปัจจุบันบางคนก็ออกไปแล้วแต่ยังเหลือทีมงานหลัก ๆ อยู่บ้างสามารถดูทีมงานได้จากลิงค์ด้านล่างนี้

Monero: Monero Team

นอกเหนือจาก Core Team ก็ยังมี Developer ทีมซึ่งเป็นอาสาสมัครทั่วโลกกว่า 200 คน และยังมี Research Lab ด้วย ผมดูจากผลงานการพัฒนาก็มีผลลัพธ์ออกมาเยอะดีนะครับทีมค่อนข้างแข็งทีเดียวทีมพัฒนาเยอะมาก แต่เป็นแบบสมัครใจ ซึ่งแบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สามารถดูผลงานได้จาก Link นี้ครับ

Monero Road map

ระบบเงินทุนของ Monero เป็นลักษณะ Funding สามารถเข้าไปดูได้ที่ Link นี้ https://forum.getmonero.org/8/funding-required ก็ออกแบบระบบมาดีครับ เป็น Community ที่แข็งเลยทีเดียว

ปริมาณเหรียญและการควบคุมปริมาณ

ปริมาณของเหรียญ Monero นั้นไม่มีจำนวนที่จำกัดในการผลิตออกมา ในปี 2018 นี้เหรียญ Monero (XMR) มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 16,043,255 XMR และมีการประเมินเอาไว้ว่าภายในปี 2050 จะมีเหรียญ Monero ผลิตออกมาทั้งหมดที่ 22,482,673 XMR

เพื่อไม่ให้จำนวนเหรียญเฟ้อมากจนเกินไป เนื่องจากประสิทธิภาพของ CPU จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยทาง Monero จะมีอัลกอริทึ่มชื่อว่า Tail Emission ใช้ในการควบคุมปริมาณตรงนี้ ซึ่งหลักการทำงานของมันคือในช่วงแรก ๆ นั้นจะมีจำนวนเหรียญที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก นักขุดก็จะได้รางวัลในเมื่อขุดได้แต่มันก็จะมีความยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการขุด

การขุดเหรียญ Digital

ส่วนของผลตอบแทนสำหรับนักขุดตอนนี้ก็จะอยู่ที่ 0.6XMR/Block ซึ่งจะไม่เพิ่มไม่ลดไปจนถึงช่วงเดือน พ.ค. 2022 นู่นเลยซึ่งในช่วงเวลานี้จะเรียกว่า Pre-tail Emission ถ้าใครที่มี CPU ดี ๆ ก็จะขุดได้เยอะขึ้นเพราะจะยังไม่มีการควบคุมอัตราความเฟ้อของเหรียญ และมีการประเมินเอาไว้ว่าในปีนั้นจะมีจำนวนเหรียญ Monero ทั้งหมดประมาณ 18.132 ล้าน Monero … หลังจากนั้นเมื่อผ่านช่วง Pre-tail Emission ไปแล้วจะเข้าสู่ช่วง Tail Emission แล้ว โดยช่วงนี้จะถูกกำหนดไว้ว่า

ทุก ๆ 2 นาทีจะมี Block ของ Monero เกิดขึ้น 1 Block และในแต่ละบล๊อคจะมีจำนวน Monero เพียง 0.6 XMR เท่านั้น

หรือมันก็การควบคุมจำนวนเหรียญเฟ้อให้มีอัตราที่ 0.87% ต่อปีไปเรื่อย ๆ โดยหลักการนี้มันจะยังทำให้นักขุดสามารถขุดเหรียญได้ต่อไปเรื่อย ๆ ครับ อยากรู้ว่า Monero จะมีจำนวนเท่าไหร่ในปีไหนดูได้จากลิงค์ด้านล่างนี้ ทางผู้พัฒนาได้คำนวณเอาไว้ให้เราแล้ว จนถึงปี 2025 นู่นเลย เปรียบเทียบกับ Bitcoin ให้ดูด้วย

https://docs.google.com/spreadsheets/d/1qXi7zUSIh7F6UuSuhOryyFbHEy_LJuym3I3neAga_2s/edit?pli=1#gid=239466694

เทคโนโลยีน่าสนใจที่ทำงานเบื้องหลัง Monero

  1. CryptoNight Hash Algorithm  –  เป็น Algorithm ที่เข้าถึงได้ง่ายเนื่องจากสามารถขุดได้ จากคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่ว่าจะคุ้มค่าขุดรึเปล่านั้นก็ว่ากันอีกเรื่อง Algorithm ตัวนี้ปัจจุบันปี 2018 (ที่เขียนบทความ) ก็วิ่งไปที่เวอร์ชั่น 7 แล้ว โดยได้เพิ่มความสามารถเพื่อไม่ให้เครื่องขุดจำพวก ASIC มาขุดเหรียญนี้ได้นั่นเอง
  2. Adaptive block size limit  – มันถูกออกแบบมาให้สามารถขยาย Block ได้อัตโนมัติเพื่อเพิ่มความจุให้กับจำนวน Transaction ในอนาคตได้ แล้วมันสำคัญยังไงผมอธิบายการทำงานของมันจะงง ๆ ผมขออธิบายปัญหาของ Bitcoin ดีกว่าจะได้เข้าใจว่าทำไม Monero ถึงมีข้อดีตรงนี้ ปัญหาเดิมใน Bitcoin คือ โดยปรกติ Bitcoin Block จะสร้างทุก ๆ 10 นาที โดย Block มันจะถูกจำกัดขนาดไว้ ถ้าจำกันได้ที่มัน Hard fork กันตอนที่เกิด Bitcoin Cash นั่นแหละเพราะความเห็นไม่ตรงกันเรื่อง Block size ด้วย ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับว่า ถ้าในช่วงที่มี Transaction เยอะ ๆ พื้นที่ ในการเก็บ Transaction มันไม่เพียงพอต่อการทำธุรกรรม Transaction นั้นจะ Delay และวิธีการที่จะทำให้มันเร็วมีครับ ถ้าคุณอยากได้เร็วต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่ม ซึ่งนี่แหละที่ Monero เค้าออกแบบมาแก้ไขตรงนี้ คือขยายขนาด Block ได้ถึงแม้ว่ายังไม่ถึงรอบที่จะเกิด Block ใหม่ Block เดิมก็สามารถรองรับธุรกรรมได้
  3. Ring Signature – เป็นเทคนิคในการซ่อน Address ผู้ส่งเพื่อไม่ให้ link กลับมาได้ว่าใครส่ง ด้วยเหตุนี้เองนี่แหละที่ทำให้พวก Dark Side ทั้งหลายชอบใช้งาน Monero กันเป็นว่าเล่น เพราะมันสืบค้นหาต้นตอของคนส่งไม่ได้นั่นเอง
  4. Stealth addresses – เป็นเทคนิคในการซ่อน Address ผู้รับเงินเพื่อรับเงินโดยที่ไม่มีใคร link กลับไปได้ว่าเจ้าของคือใคร อันนี้ผมเคยพูดแล้วว่า Litecoin มีแผนจะพัฒนาเทคนิคนี้ คิดว่าน่าจะได้อิทธิพลมาจาก Monero นี่แหละ สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ https://youtu.be/hfz8UheSUys
  5. Ring Confidential Transaction – เป็นเทคนิคในการรับส่งเหรียญโดยที่ไม่ต้องเปิดเผยจำนวนเหรียญ
  6. Kovri - เทคโนโลยี นี้ยังไม่เสร็จนะครับ แต่มันน่าสนใจตรงที่มัน Encryption จากต้นทางไปปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นผู้รับหรือผู้ส่งจำเป็นจะต้องเปิดเผย IP ของตัวเอง หลักการเหมือนกับ dark net ที่เรียกกันว่า I2P (invisible internet project) โดยใช้ garlic encryption กับ garlic routing เป็น Open source project ที่น่าสนใจทีเดียว
  7. Open Alias  –  เป็นเทคโนโลยีที่เอาไว้เก็บชื่อกระเป๋าเพื่อให้จำได้ง่าย ๆ ภาษาเทคนิคเรียก FQDNs (Fully Qualified Domain Names, i.e. example.openalias.org) อันนี้จะช่วยให้คนใช้งานได้ง่ายขึ้น เหมือนกับเวลาเราพิมพ์ www.google.com แทนที่จะพิมพ์เป็น IP Address ประมาณนั้น

จริง ๆ เหรียญนี้มีอะไรเยอะมาก ๆ เลยแต่ผมหยิบมาเฉพาะที่ผมเห็นว่ามันเป็นเด่น ๆ เท่านั้นนะครับ

สรุปข้อดีของเหรียญ Monero

  1. สามารถขุดได้กันอย่างทั่วถึง โดยใช้คอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไปที่เราใช้งานกันอยู่นี่แหละ ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม ถ้ามี CPU แรง ๆ ก็ขุดได้เยอะ
  2. เป็นเหรียญที่มี Community ที่ค่อนข้างแข็ง มีนักพัฒนาเยอะ มีนักวิจัยอยู่ในทีมด้วย
  3. มีแผนพัฒนาชัดเจน ผลงานการพัฒนามีให้เห็นเป็นรูปธรรม
  4. เด่นเรื่อง Privacy (แต่ไม่เด่นตรงคนเอาไปใช้ส่วนใหญ่เป็นพวกสายมืด)
  5. มีระบบเงินทุนเป็นลักษณะให้คนบริจาค ชัดเจนดี
  6. Community โปร่งใส (คนนำไปใช้ไม่โปร่งใส กับคนที่เข้ามาเจตนาไม่โปร่งใสคนละเรื่องกันนะครับ)

แหล่งที่มาของข้อมูล

พระราชกำหนดภาษีเงินคริปโต ประกาศใช้งาน หักภาษี 15% มีผล 13 พ.ค. 2561 เป็นต้นไป

0
เงินดิจิตอลคืออะไร What is Cryptocurrency

ถึงแม้นา ๆ ประเทศจะพยายามที่จะออกกฎหมายเพื่อที่จะออกมาควบคุมการใช้งานเงินดิจิตอลหรือคริปโตเคอเรนซี่ เพื่อไม่ให้เป็นไปลามทุ่งจนไม่สามารถที่จะควบคุมได้ในภายหลัง แต่ดูเหมือนบ้านเราเองมาเหนือกว่านั้น ในเมื่อควบคุมไม่ได้ก็จัดการเก็บภาษีเอาซะเลย และในที่สุดก็ประกาศเป็นข้อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วด้วยสิ

พระราชกำหนดเงินคริปโต
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๖๑

โดยหากอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษานั้นจะมีเนื้อหา พรก. ที่พูดถึงดังนี้

พระราชกําหนดนี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

เหตุผลและความจําเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชกําหนดนี้ เพื่อให้สามารถจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้พึงประเมินที่ได้จากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัลหรือการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ซึ่งการตราพระราชกําหนดนี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๗๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกําหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกําหนดนี้เรียกว่า “พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๖๑”

มาตรา ๒ พระราชกําหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (ซ) และ (ฌ) ของ (๔) ในมาตรา ๔๐ แหงประมวลรัษฎากร

“(ซ) เงินส่วนแบ่งของกําไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือ ครอบครองโทเคนดิจิทัล

(ฌ) ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคา เป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน”

มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (ฉ) ของ (๒) ในมาตรา ๕๐ แห่งประมวลรัษฎากร

“(ฉ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๔) (ซ) และ (ฌ) ให้คํานวณหักในอัตรา ร้อยละ ๑๕.๐ ของเงินได้”

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พรก. ฉบับนี้ได้ ที่นี่

โดย พรก. ฉบับดังกล่าว ประกาศ ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2561 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป โดยเนื้อหาใจความสำคัญก็คือ ทุกคนจะต้องเสียภาษี 15% จากผลกำไร ซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่าคำว่า “จากผลกำไร” ที่ระบุไว้นั้นจะคำนวนจากตัวเลขตัวไหน

ในแง่การปฏิบัตินั้นคงต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่ดำเนินการทีรัดกุมพอสมควร เพราะอย่างที่บอกหลายประเทศที่พยายามจะควบคุมและดูแล หลาย ๆ จ้าวยังต้องพับเสื่อกลับไปพิจารณาขั้นตอนและวิธีการใหม่ เช่น จีน, เกาหลี เป็นต้น

ก็ถ้าเป็นกฎหมายยังงัยเราก็คงต้องยึดถือปฏิบัติกัน ถ้าเงินที่เสียไปได้กลับมาพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง ไม่ใช่เอาไปให้ใครก็ไม่รู้ไว้ซื้อนาฬิกา … ว่ามั้ย