Saturday, October 25, 2025
Home Blog Page 17

แนะนำทุนญี่ปุ่น

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

สวัสดีค่ะ #ทีมญี่ปุ่น นะคะ เรามาอยู่ญี่ปุ่นจากการเป็น นศ แลกเปลี่ยนตั้งแต่ปี 2007 ค่ะ จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับไปอยู่ไทยอีกเลย นอกจากจะกลับไปเยี่ยมบ้านหรือกลับไปทำงานบ้าง

1. ถ้ายังเรียนอยู่ ลองดูที่กองวิเทศมหาลัยนะคะว่ามีโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยไหนบ้าง ตอนที่เราเรียน ป.ตรี มีแทบทุกประเทศทั่วโลกเลยค่ะ การไปเรียนแลกเปลี่ยนจะดีตรงที่ไม่ต้องจ่ายค่าเทอมเองค่ะ ที่ญี่ปุ่นสามารถขอทุนจาก Japan Student Services organization หรือ Jasso ได้ ทุนนี้จะสนับสนุนรายเดือนค่ะ ตอนนี้เราได้ 80,000¥ ถ้าไปแลกเปลี่ยนปีสุดท้ายของการเรียนมหาลัยได้จะดี จะได้หาคอนเน็คชั่นอาจารย์เผื่อจะขอทุนมงไปเรียน ป.โท หรือหางานค่ะ

เกี่ยวกับ ทุนจาก jasso : https://www.jasso.go.jp/en/study_j/scholarships/index.html

2. เดี๋ยวนี้ที่ญี่ปุ่นมีป.ตรี ป.โท เป็นภาษาอังกฤษเยอะมาก สต คิดว่าเรียนเป็นภาษาอังกฤษดีกว่าญี่ปุ่นนะคะเพราะไม่ต้องเสียเวลาเรียนภาษาเพิ่ม เราจะเข้าใจแตกฉานได้ความรู้มากกว่า การจะเรียนภาษาญี่ปุ่นจนสามารถเขียน thesis เป็นภาษาญี่ปุ่นได้ใช้เวลามากค่ะ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีพื้นฐานเลย เรียนคอร์สอินเตอร์ ไปหาเรียนภาษาข้างนอกเอง บางที่มหาลัยก็มีให้เรียนฟรี ถ้าเรียน ม.ใหญ่ๆ เราเอาวุฒิมาเพื่อหางาน แนะนำให้เลือก ม.ดีๆ นะคะ ม.ดังๆ หางานง่ายกว่าค่ะ ถ้าเรียน ม.รัฐ ค่าเทอมไม่แพงเลย เช่น MBA ของ Hitotsubashi uni. จบคอร์สค่าเทอมไม่ถึงสองแสนบาท มีทุนเยอะด้วยค่ะ การสอบเข้าใช้คะแนน GMAT/GRE ยื่น มีหลักสูตร 1 ปี 2 ปีค่ะ ม.นี้ดังที่ญี่ปุ่น แม้จะไม่เท่า โตได เกียมได แต่จบมารับรองหางานไม่ยากค่ะ

ICS MBA : https://www.ics.hub.hit-u.ac.jp/programs/mba/

เราเป็นคนนึงที่ไม่ได้มาด้วยทุนจากไทย คือสมัครแล้วล่ะค่ะแต่ไม่ได้ ก็เลยมาก่อนแล้วค่อยมาหาทุนสมทบที่ญี่ปุ่น ที่บ้านมีกำลังช่วยนิดหน่อยที่เหลือเราก็หาเอง ทำงานเพิ่มเอง

3. การทำงานที่ญี่ปุ่นไม่ได้สวยหรูเลย หลาย ๆ ท่านมาเขียนไว้แล้ว ตลอด 8 ปีของการทำงานที่ญี่ปุ่น เราต้องอึด ต้องเจียมตัว (โอกาสต่างชาติได้เป็นหัวหน้ามันน้อยยยยย) แต่ข้อดีคือ ที่นี่ความปลอดภัยสูงมาก บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย อาหารการกินอร่อยและผู้คนสุภาพค่ะ การโดนเหยียดก็มีบ้างแต่ส่วนใหญ่ไม่ซึ่งหน้า สต เคยโดยทีเดียวจากมนุษย์ลุงแถวบ้าน

4. วีซ่าขอไม่ยากนะคะ เป็น PR ก็ไม่ยากถ้าเรามี high skilled visa สต เราเป็น PR จากวีซ่าแต่งงานตั้งแต่ปี 2014 ค่ะ มีสิทธิ์เหมือนคนญี่ปุ่นทุกอย่างยกเว้นเลือกตั้งและถือพาสปอร์ต ถามว่าทำไมเราไม่เปลี่ยนสัญชาติ รักเมืองไทยค่ะ ไม่อยากต้องขอวีซ่าตอนกลับไทย ก็เลยคิดว่าเป็น PR พอละ

จะเขียนลงที่นี่ทั้งหมดก็เกรงว่าจะยาวไป เลยไปเขียนไว้ในบล็อกค่ะ สนใจเข้าไปอ่านได้นะคะ https://kirakirati.com/2021/05/08/team-japan/#more-6220 ว่าจะเปิดคลับเฮ้าส์เผื่อมีคนสนใจจะพูดคุยกันไม่รู้จะมีใครสนใจมั้ย

แชร์ประสบการณ์แดนปลาดิบ

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น

-ยังไม่ถึงขั้นย้ายประเทศนะครับ เผื่อใครอยากหาประสบการณ์ในแดนปลาดิบ

สำหรับใครที่กำลังมองหาที่เรียนต่อ โรงเรียนสอนภาษาหรือมหาลัยในญี่ปุ่น ผมมีที่แนะนำครับ ที่เดียวกับที่ผมเรียนครับ (ไม่ได้ค่านายหน้าอะไรทั้งนั้นนะครับ แค่อยากแนะนำให้ เผื่อพอจะเป็นแนวทางได้)
สำหรับใครที่สนใจผมยินดีติดต่อกับทางโรงเรียนให้ไม่ว่าจะเรื่องดำเนินการยื่นเอกสาร สัมภาษณ์ ผมยินดีช่วยฟรีครับ

– ผมเรียนที่โรงเรียนสอนภาษา 2 ปี (名古屋国際日本語学校) NAGOYA INTERNATIONAL SCHOOL OF JAPANESE LANGUAGE อยู่ที่เมืองนาโกย่า ห่างจากย่านช็อปปิ้งแค่ 10 นาที เดินทางสะดวก ทางโรงเรียนมี 3 คอร์สให้เลือกเรียนครับ 1 ปี / 1 ปี 9 เดือน / 2 ปี สามารถเลือกเรียนได้ตามใจเลยครับ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานอะไรเลยก็เรียนได้เพราะเริ่มสอนตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงจบ N 2 เลย (พื้นฐานจริงๆ เขียนตัวอักษร แบบ ก เอ่ย ก ไก่ แบบนี้เลย) แต่สำหรับใครที่มีพื้นฐานมาบ้างนิดหน่อยก็สามารถไปต่อใน คลาส intermediate ได้เลยครับ และทางโรงเรียนก็มีกิจกรรมเยอะมากครับ กีฬาสี ทัศนศึกษา เยอะแยะเลย ถ้าจบแล้วสามารถต่อมหาลัยเลยก็ได้ครับ โดยทางโรงเรียนจะช่วยในเรื่องการแนะแนวหามหาลัย ทำเอกสาร จะช่วยเราแทบจะทุกอย่าง หรือจะหางานทำทางโรงเรียนก็จะช่วยซับพอร์ต หาข้อมูลอะไร ต่าง ๆ ให้

#ที่สำคัญ สอนเข้าใจง่ายมากครับ ครูก็สอนเฮฮาดี ไม่ได้ซีเรียส สนุกด้วยมีเพื่อนร่วมคลาสหลากหลายเชื้อชาติ เกาหลี จีน อเมริกา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ยูเครน และอีกเยอะมาก แต่ละห้องจะแบ่งออกเป็นห้องละ 15-20 คน

– ค่าเทอม 733,000 เยน / ปี สามารถแบ่งจ่ายได้ 2 ครั้ง (ค่อนข้างเยอะอยู่ แค่ถ้าเทียบกับค่าแรงที่ทำพาสไทม์ที่นี่ ก็สามารถจ่ายได้ สบาย)

– งานพาสไทม์ สำหรับนักเรียนต่างชาติกฎหมายจำกัดให้ทำงานได้แค่ 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งค่าแรงเริ่มต้น 1 ชั่วโมง / 950 เยน ขึ้น ไปจนถึง 1 ชั่วโมง / 1500 เยน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเวลา ยิ่งถ้าเป็นกะดึก ค่าแรงยิ่งสูง

– รายจ่ายต่อเดือน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่หลักๆที่ต้องจ่าย – ค่าห้องประมาณ 35000 เยน บวกลบ ถ้าเป็นหอพักของโรงเรียนก็จะถูกกว่านี้ หรือจะหารูมเมดมาหารก็จะถูกไปอีก (ห้องถูกๆดีๆมีเยอะมากครับ) – ค่าประกันสุขภาพ อันนี้ต้องจ่ายทุกคน 1300 เยน / เดือน – ค่าน้ำค่าไฟ ประมาณ 5000 เยน / เดือน (อันนี้ของผมนะครับ เพราะไม่ค่อยอยู่ห้อง อยู่แค่ตอนนอน แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนใช้มากหรือน้อย – ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อันนี้แล้วแต่คนเลยครับ ถ้าควบคุมไม่ดีรับรองบานปลาย เพราะที่นี่ ของล่อตาล่อใจเยอะมาก – ค่ากิน ถ้าใครทำพาสไทม์ร้านอาหารก็จะลดค่าอาหารไปได้หลายมื้อ หรือบางร้านก็สามารถห่อกลับบ้านได้ถ้าเจ้าของร้านใจดีเหมือนที่ผมทำอยู่ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ซื้อข้าวกินเลย

– ส่วนสถานที่ท่องเที่ยว สภาพอากาศ อันนี้คงไม่ต้องพูดถึงนะครับ พูดได้เลยว่า เวรี่ดู๊ดดดดดดด

– เรื่องศึกษาต่อมหาลัยถ้าใครสนใจก็ถามได้นะครับ เดี๋ยวผมจะหาข้อมูลมาให้ หรือจะเป็นที่เดียวกับผมก็ได้ 名古屋経済大学 NAGOYA UNIVERSITY OF ECONOMICS

และสุดท้ายนี้ขนมที่ญี่ปุ่นอร่อยมาก

หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะครับ ถ้าผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยนะครับ ลำหรับรายละเอียดอื่นๆและใครที่มีคำถามสามารถแอดไลน์มาถามได้เลยนะครับ

@narubet231238 หรือทาง Facebook : narubet wohanluek ก็ได้ครับ ยินดีตอบทุกคำถาม

รีวิวค่าใช้จ่ายที่ญี่ปุ่น

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น จะมารีวิวค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่โคตรจะประหยัดและเป็นไปได้ในการดำรงชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 15,000 บาท/เดือน หรือ 45,000 เยน ก็สามารถอยู่ได้แล้ว สบาย ๆ

ค่าที่พัก 22,000 เยน

เป็นตัวแปรสำคัญที่สุด และหาได้ยากที่สุดคือ จะเป็นตัวตัดสินว่าค่าใช้จ่ายต่อเดือนจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าเราควบคุมมันได้ก็รับประกันเลยว่า อยู่สบายแน่นอน โดยพยายามหาจาก website ซึ่งสะดวกและง่ายดายกว่าการไปคุยกับ agency โดยตรง ซึ่งเราสามารถกำหนด

  • ช่วงราคาที่ต้องการ
  • ประเภทของที่อยู่อาศัย เช่น บ้านเดี่ยว ห้องขนาดต่างๆ ชนิดห้องต่างๆ
  • ความใกล้-ไกลสถานีรถไฟ
  • ความใกล้ไกลมหาลัย หรือ ที่ทำงาน
  • ห้องน้ำรวม ห้องน้ำญี่ปุ่น ห้องน้ำสมัยใหม่
  • ที่จอดรถยนต์ จักรยาน
  • ขนาดห้อง
  • ค่าใช้จ่ายต่างๆในการเช่าห้อง เช่น ค่าประกัน ค่าทำความสะอาด ค่ามัดจำ

ซึ่งเราสามารถนั่งไล่ดูทีละรูป จนกว่าจะเจอห้องที่ถูกใจ สถานที่ที่สบายใจ แต่ต้องคิดให้ถี่ถ้วน เพราะเราต้องอยู่กับมันไปยาว ๆ หรือจนกว่าสัญญาจะหมด โดยเราเลือกห้องจากความชอบล้วน ๆ ซึ่งเป็นห้องสไตล์ Loft (ロフト) แบบ 1K ขนาดประมาณ 22 ตร.ม. เป็นห้อง 2 ชั้น มีบันไดปีนขึ้นไปด้านบน เห็นจากในรูปแล้วชอบมาก ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 800 เมตร ห่างจากมหาลัยประมาณ 1.5 กิโลเมตร โดยในห้องมีประตูกั้นระหว่าง ห้องหลักกับห้องครัว มีห้องน้ำในตัว พร้อมอ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า ชักโครกไม่มีฝาชักโครกอัตโนมัติ ที่ดีไปกว่านั้นคือราคาห้องอยู่ในระดับที่รับได้ คือประทับใจห้องตัวเองมาก แบบห้องในฝันเลย ลำบากอยากเดียวคือ ตอนเมาขี้เกียจปีนไปนอนข้างบน

ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส 10,000 เยน

ด้วยความไม่มีเงินถุงเงินถังเนอะ ก็รู้อยู่ว่าเราต้องประหยัด อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปิด ซึ่งชีวิตของนักเรียนคือแทบจะอยู่ในแลปตลอดเวลา ห้องเป็นแค่ที่ไว้นอน จึงแทบไม่ได้เปิดไฟ แอร์ ฮีตเตอร์เลย มีใช้แก๊ส และน้ำ ตอนอาบน้ำเท่านั้นเอง

  • เปิดฮีตเตอร์แค่ก่อนลุกออกจากฟูตง 15-30 นาที (ไฟฟ้า)
  • หุงข้าว 15 นาที (ไฟฟ้า)
  • ทำกับข้าว 15 นาที (ไฟฟ้า)
  • อุ่นกับขาว 2 นาที (ไฟฟ้า)
  • Dye ผม 5 นาที (ไฟฟ้า)
  • ซักผ้า 30 นาที (ไฟฟ้า, น้ำ) แต่ก็ซักมือบ่อยเหมือนกัน
  • อาบน้ำแปรงฟัน 10-15 นาที (ไฟฟ้า, น้ำ, แก๊ส)
  • ตู้เย็นเสียบตลอด ถ้าไม่ได้ไปทริปนานๆ (ไฟฟ้า)

ทำให้ค่าสาธารณูปโภคค่อนข้างต่ำ และด้วยค่าไฟฝั่งนาโกย่าถูกกว่าฝั่งโตเกียว โดยเราจะใช้ไฟฟ้าเยอะสุดในช่วงวันหยุด หรือวันที่เพื่อนมาปาตี้

ค่าเดินทาง

ซื้อจักรยานมือสองมา ในราคา 7,000 เยน ซ่อมไป 2 ครั้ง รวมเป็น 10,000 เยน ปั่นไปได้ทุกที่ ขึ้นเขา ลงเนิน ทางเรียบ ขรุขระ ปั่นได้หมด

  • ปั่นไปมหาลัย 13 นาที
  • ปั่นกลับบ้าน 7 นาที (ทางลงเขายาวๆ)
  • ปั่นไปสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด 5 นาที
  • ปั่นไปกินซูชิโระ 10 นาที
  • ปั่นไปกลางเมือง ย่านช้อปปิ้ง 45 นาที

เสียอย่างเดียว เวลาใส่โค้ทยาวแล้วชอบไปพันตรงล้อ เคยเมาแล้วปั่นกลับ ชายโค้ทไปติดในล้อ กลางสุสานประมาณตี4 แก้เสร็จ 6 โมง อิเวง น่าจะนอนไปตรงนั้นเลย เสียเวลา

ค่ากิน 10,000 – 15,000 เยน

พยายามไปตลาดสด หรือซุปเปอร์มาเก็ตท้องถิ่น จะได้ของราคาถูกมาก ให้ถามคนจีนเอา พวกนี้รู้ดีว่าของตรงไหนถูกและดี โดยเรากินอาหารค่อนข้างง่าย ไม่ต้องปรุงก็ได้ แค่ผ่านความร้อนให้สุกเป็นพอ เอาน้ำจิ้ม ซอสพริกหรือผักเคียงนิดหน่อย ก็อยู่ได้แล้ว

  • อกไก่ 10 กิโลกรัม 5000 เยน
  • ข้าวสาร 10 กิโลกรม 3000 เยน
  • ผัก, ผลไม้ 2000 เยน
  • ไข่ไก่นี่ตามโปรโมชั่นให้ดีเลย มี 1 แถม 1 บ่อยตามร้าน 100 เยน
  • ค่าเหล้า X,000 เยน แล้วแต่เดือนไหนกินมาก ก็จะไปหักลบกับค่าอาหาร

อันนี้อยู่ที่การจัดการเลย เดือนไหนเงินเหลือเยอะก็ซื้ออะไรกินดีๆหน่อย เดือนไหนเงินเหลือมากก็กินเท่าที่พออยู่ได้ ไม่ต้องหรูหรามาก เพราะต้องเก็บเงินไปกินเหล้าอีกหลายแห่ง

ค่าโทรศัพท์ 2,000 เยน

เลือกโปรต่ำสุดไว้ เอาแค่เน็ตกับเบอร์ก็พอ เพราะคนที่โทรหาเราบ่อยสุดคือแมวดำมาส่งของเท่านั้นแหละ คนอื่นเขาก็โทรไลน์กัน เครือข่ายที่ใช้ตอนนั้นใช้ของ Y mobile ถูกอย่างเดียว ไม่มีดีอะไรเลย

รวม ๆ fixed cost แต่ละเดือนก็ประมาณ 45,000 เยน บวกลบนิดหน่อยขึ้นกับค่าเหล้าของเดือนนั้น ๆ แจกแจงดังข้างล่าง

  • ค่าที่พัก 22,000 เยน
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส 10,000 เยน
  • ค่ากิน 10,000 – 15,000 เยน
  • ค่าโทรศัพท์ 2,000 เยน

ปล. 45,000 เยน เป็นเงินไทยคร่าว ๆก็ประมาณ 13,500 บาท ขึ้นกับค่าเงิน แต่นี่จะใช้ให้ครบ 15,000 บาท ส่วนต่างนี้คือค่าเหล้า ค่าเที่ยว ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

ปล.2 ตกหล่นค่าใช้จ่ายประจำเดือนตรงไหน สามารถบอกได้เลยนะครับ เพราะนี้ก็จำรายละเอียดเป๊ะ ๆ ทั้งหมดไม่ได้

ถามว่าทำไมต้องกลับมาอยู่ไทยตอบ ภาระทางบ้าน และ contract กับบริษัทครับ

8 ปีที่ญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น สวัสดีค่ะ วันนี้ปอขอมาแชร์ประสบการณ์อยู่ญี่ปุ่นกำลังจะเข้าปีที่ 8 แล้วค่ะ (เราเขียนยาวนิด คิดว่าอาจจะพอเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีความฝันอยากเรียนและทำงานต่างประเทศนะคะ)

>> จุดเริ่มต้นเป็นคนที่อยากมาเรียนต่างประเทศมากถึงมากที่สุด เราชอบตามล่าหาทุนตั้งแต่เด็ก เริ่มประมาณ ม.2 ค่ะ เราเริ่มหาทุนจากอินเตอร์เน็ต และแผ่นพับตามสถาบันภาษาต่าง ๆ สมัครได้บ้างไม่ได้บ้าง พอไปสอบแข่งก็มีคนที่เก่งเยอะมากจริงๆจนเราแอบท้อใจ

>> พอม.3 ไปดูหมอดูบอกว่าทำยังไงก็ได้ให้หนูได้ไปเรียนต่างประเทศ อีกวันพ่อพาไปเปลี่ยนชื่อที่เขต หลังจากนั้นดวงต่างประเทศน่าจะเริ่มเปิด สายมูต้องมา

>> ตอนม.ปลาย เราเรียนสายศิลป์ภาษาอังกฤษ-ญี่ปุ่น พอตอน ม.5 มีโครงการทุนมาแลกเปลี่ยนที่ฟุคุโอกะ 2 สัปดาห์ของกระทรวงศึกษา ฟรีหมดทุกอย่างตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินยันที่พัก เพื่อนในห้องเราสละให้เรามาแทน (ยังคิดขอบคุณเพื่อนคนนั้นถึงทุกวันนี้) ทำให้เราได้มาอยู่กับ Host family ที่คุณพ่อเป็นยากูซ่า!!! อารมณ์พอบอกว่าอยากขี่จักรยานไปโรงเรียน ตอนเช้าก็มีจักรยานมาวางหน้าบ้าน อยากทำอะไร ครอบครัวก็ให้ทุกอย่างจนแปลกใจ เราเลยมาเอะใจว่าทำไมคุณพ่อไม่ออกจากบ้านเลย อยู่บ้านทั้งวันทั้งคืน เลยมาสังเกตตอนทานข้าว

ปรากฎว่านิ้วเค้าว่าถูกตัด! ตอนนั้นจำได้ว่ากำลังกลืนซูชิ พอมองนิ้วปุ๊บ ซูชิติดคอไปเลยจ่ะ 555 อาการที่ยังตั้งรับไม่ได้ คือขนลุกไปถึงหัว กลัวมาก แต่ด้วยความที่โฮสแม่ และเพื่อนเรา พี่สาวใจดีมาก ๆ เราเลยช่างมัน ตอนนี้ก็ยังไปหาครอบครัวอยู่เป็นประจำ ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่เปิดประเทศเท่าตอนนี้ คนไปเที่ยวยังต้องขอวีซ่า สิ่งที่แปลกใจคือถนนเค้าสะอาดมาก ที่บ้านเลี้ยงน้องหมา เค้าก็เอาถุงไปเก็บอุนจิ ข้ามถนนตอนเกือบเที่ยงคืนก็รอสัญญาณไฟ เราตกใจมาก มันเหมือนเกิดมาไม่เคยเห็นความมีระเบียบวินัยแบบนี้มาก่อน

>> พอตอนจบม.ปลาย เรามีความฝันอยากเป็น ’’นายกหญิงคนแรกของไทย’’ เราตั้งใจเรียนติวและสอบตรงเข้าคณะรัฐศาสตร์ และตั้งใจจะทิ้งภาษาญี่ปุ่น เพราะมันยากมาก มากแบบ ก ล้านตัว (ถ้าใครเรียนลึก ๆ คงจะเข้าใจเรา TT) แต่ไป ๆ มา ๆอาจเป็นเพราะโชคชะตาและแม่เราชอบให้ลูกได้ภาษาที่สาม เราเลยลองสอบทุนของคณะบริหารธุรกิจ(ญี่ปุ่น) สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น (TNI) แล้วติด เลยเรียนและปักธงว่าเราจะต้องได้ทุนไปเรียนญี่ปุ่นให้ได้ ระหว่างที่เรียนมหาลัยเราสอนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย เราไม่ได้เอาค่าขนมจากที่บ้าน เดือนนึงเราหาเงินได้ 30,000-40,000 บาทต่อเดือนเลย อยากบอกว่าภาษาที่สามสร้างเม็ดเงินได้จริงๆนะทุกคน

>> เราลองสอบทุนในมหาลัยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 4 ได้ทุน JASSO มาแลกเปลี่ยนเรียนด้านภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบเจาะลึก 1 ปีที่ Osaka University ค่าเรียนฟรี ค่ากินอยู่ได้เดือนละ 80,000 เยน (ประมาณ 24,000 บาทไทย) แล้วเราก็ทำงานเพิ่มที่ร้านอาหารไทยด้วย อยากบอกว่าตอนมาแลกเปลี่ยนเหมือนความฝันเป็นจริง เราได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ดี ครูดีมาก ได้เพื่อนหลากหลาย ได้อยู่ในประเทศที่หลายคนฝันว่าอยากมา แต่เอาเข้าจริงๆ ตอนนั้นเรากลับไม่ชอบญี่ปุ่นเลย ไม่อยากกลับมาอยู่อีกแล้ว อาจเป็นเพราะว่าเรายังไม่ชินกับบ้านเมืองที่ทุกอย่างเป๊ะไปหมด ผิดกับไทยแลนด์แดนสมายด์ที่อยู่แบบชิว ๆ มาตั้งแต่เด็ก

>> พอกลับไปไทยก็เรียนอีกครึ่งเทอมจนจบ และเราทำงานประจำควบเรียนไปด้วย ตอนนั้นเราได้ทำงานล่ามญี่ปุ่น และงานด้าน Marketing ญี่ปุ่นที่ใฝ่ฝัน เงินเดือนตอน 23 ปี ได้ที่ 45,000 บาท ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับเด็กจบใหม่ (จริงๆยังไม่จบดี) แล้วเราก็สอนญี่ปุ่นควบด้วย ตกเดือนนึงก็ 60,000 กว่าบาท ต้องขอบคุณภาษาญี่ปุ่นจริงๆที่ทำให้เราได้เงินเดือนเยอะตั้งแต่ตอนนั้น

>> แต่ทว่า เรารู้สึกตัวว่าเราไม่เหมาะกับ ’’กรุงเทพ…ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว’’ เราตื่นนอนขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน วนลูบแบบนี้ทุกวัน ที่ทำงานเพื่อนร่วมงานดีมาก นายดีมาก แต่เราเบื่อ เบื่อการอยู่ในสังคมไทย เราอยากมีประสบการณ์ทำงานที่ญี่ปุ่น อยากลองเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมการทำงานที่จริงจัง อยากรู้ว่าคนญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นจริง ๆ เค้าทำงานยังไง แล้วเราก็เริ่มหางานที่จะเอาตัวเองไปทำงานที่ญี่ปุ่น

>> น่าจะเป็นเพราะโชคชะตา ที่มหาลัยจัดงาน Job fair เราเลยปริ้นส์ Resume แล้วฝากให้รุ่นน้องโปรยไปทุกบริษัทที่ได้ไปทำที่ญี่ปุ่น และแล้วเราก็ได้รับการติดต่อจากประธานบริษัท (บริษัททำเกี่ยวกับ Recruitment วิศวกรต่างชาติ) ว่าเค้าสนใจ อยากเรียกเราสัมภาษณ์ จากนั้นก็ผ่านกระบวนการสัมภาษณ์และบินมาทำงานที่ญี่ปุ่น

>> การทำงานที่ญี่ปุ่นถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้เปิดโลกกว้าง เราได้เรียนรู้การทำงานที่จริงจังและความรับผิดชอบที่สูง เราเข้ามาทำตำแหน่งล่ามและSales co เริ่มแรกมีการ Homesick ร้องไห้คิดถึงที่บ้าน คือทำงานที่ญี่ปุ่น งานคืองานจริงๆ ระหว่างทำงานมีคุยเล่นบ้าง แต่บรรยากาศต่างกับที่ไทยแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

>> พอเราทำงานไปเริ่มรู้สึกว่ามีอีกความฝันนึงที่ยังไม่ได้ทำคือการสอบ ‘’ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น’’ ถ้าใครเรียนญี่ปุ่นจะรู้ว่าทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นทุนที่แทบจะดีที่สุดในโลก เป็นทุนให้เปล่า ฟรีทุกอย่าง ตั๋วเครื่องบิน+ค่าเรียน+ค่ากินอยู่เดือนละ 144,000 (ประมาณ 43,000 บาท) เรทที่ได้แล้วแต่พื้นที่ที่มหาลัยตั้งอยู่ เราได้สอบทุนรัฐบาลแบบ Recommendation จากมหาลัยที่ไทย (ไทย-ญี่ปุ่น) โดยการยื่นผลการเรียน ประสบการณ์การทำงาน จดหมายแนะนำจากคณบดี และสัมภาษณ์ พอผ่านได้รับทุนเราเลยบอกออกจากบริษัทและโบยบินไปตามความฝัน

>> เราเรียนต่อ MBA ที่ Shiga University ด้วยการเรียนการสอนแบบภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเราคือข้อสอบเขียนตอนเข้ามหาลัย เราได้ทุนมาก็จริง แต่ต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้ภายใน 1 ปี ซึ่งเป็นข้อเขียน+สอบสัมภาษณ์เกี่ยวกับด้านบริหารธุรกิจ จำได้ว่าอ่านหนังสือหลายเล่มมาก จำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หินสุดๆ การเรียนที่นี่มีวิชาพื้นฐานบังคับและวิชาเลือกที่เรียนได้อย่างอำเภอใจ เลือกเรียนในวิชาที่สนใจจริงๆ ต่างกับที่ไทยที่บังคับให้เรียนเยอะมาก ตรงนี้เป็นจุดที่เรารู้สึกว่ามันดี ตอนจบเราก็ทำวิทยานิพนธ์เป็นภาษาญี่ปุ่น ระหว่างเรียนก็ทำล่าม+ไกด์ควบไปด้วย

>> การทำงานอีกครั้งในญี่ปุ่นที่บริษัทเกี่ยวกับเครื่องบิน เราทำงานเป็นผู้ประสานงาน Recruit และคัดเลือกวิศวกรการบินจากต่างประเทศ เลยใช้ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ การทำงานบริษัทใหญ่ทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผู้คนที่ทำงานเก่งๆมารวมตัว ทุกคนต้องได้ภาษาอังกฤษ ตอนเขียนอีเมล์จะเขียนข้างบนญี่ปุ่นข้างล่างอังกฤษ เราเป็นคนอายุน้อยที่สุดในแผนก เลยกดดัน และแอบคิดเสมอว่าอยากเก่งเหมือนคนอื่นบ้าง ร้องไห้บ้าง แฮปปี้บ้างสลับกันไป

>> พอโควิดการบินทุกอย่างหยุดชะงัก เราเลยต้องเปลี่ยนบริษัททำงาน เราทำงานเป็นเซลล์ในบริษัทเกี่ยวกับชิ้นส่วนยานยนต์ กำลังเรียนรู้และอยากเติบโตในสายงานนี้ เราคิดว่าการทำงานที่ญี่ปุ่นต้องใช้ความอดทน เพราะ ด้วยการทำงานที่เป็นระบบ บวกกับกำแพงด้านวัฒนธรรมค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับสังคมการทำงานที่เจอ คนที่อยากจะย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นนานๆต้องปรับตัวให้เร็ว และพยายามทำความเข้าใจกับระบบความคิดของเค้า

>> สรุปว่าก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่าจะกลับไทยดีรึเปล่า คิดไม่ตกว่าถ้ากลับไทยจะอยู่ได้มั้ย เราชินกับสังคมและความเป็นอยู่ในญี่ปุ่นไปแล้ว ถ้าจะให้กลับไปอยู่ใน ‘’กรุงเทพ…ชีวิตดีๆที่ลงตัว’’ เราอาจจะอึดอัดกับสิ่งที่ทุกคนก็รู้กัน

>> ใครที่อยากย้ายมาอยู่ต่างประเทศ แนะนำให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษและเป็นไปได้ก็เรียนภาษาที่สามเพิ่มเติมเผื่อไว้จะดีกว่า ถ้าอยากจะสอบทุนตั้งใจเรียน ทำเกรดให้ดีเพื่อจะได้ยื่นทุนได้ง่ายขึ้น Run the World!!! ไปเลยค่าาาา

>> ขอทิ้งท้าย เราชอบท่องเที่ยวมากเลยทำ Facebook page และ YouTube ชื่อว่า ‘’NipponPor’’ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ จะพยายามมาอัพเดทเรื่อย ๆ ค่า

Facebook Page : https://b-m.facebook.com/nipponpor/

YouTube Channel : https://www.youtube.com/channel/UCDIJtPf7ESymVQFedD6BbMQ

สิ่งที่ชอบและไม่ชอบที่ญี่ปุ่น

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น สวัสดีค่ะ ทีมญี่ปุ่นค่ะ แต่ได้สามีเป็น #ทีมรัสเซีย เราเรียนจบมหาวิทยาลัยที่ไทยและมาเรียนภาษาต่อที่ญี่ปุ่น จากนั้นพอเรียนจบ ก็หางานและได้ทำงานที่บริษัทญี่ปุ่นในโตเกียว รวม ๆ แล้วเกือบ 10 ปี

ระหว่างนั้น ไม่ได้มีความคิดจะกลับไทยเลย คิดว่าตัวเองคงจะได้แฟนญี่ปุ่นแหง ๆ แต่จับพลัดจับพลูมาได้สามีฝรั่งซะงั้น

สามีทำงานป็น IT engineer ที่ญี่ปุ่น เจอกันและแต่งงานที่ญี่ปุ่น หลังแต่งงาน ย้ายมาอยู่ไทย คลอดลูกที่ไทยซักพัก แต่ตอนนี้ย้ายกลับมาที่ญี่ปุ่นแล้วค่ะ

  • สามีพูดภาษาอังกฤษ รัสเซีย ญี่ปุ่นได้
  • ลูกชายพูดภาษาไทยกับแม่ ภาษารัสเซียกับพ่อ ไป ร.ร.พูดญี่ปุ่น

ตั้งแต่มาอยู่ญี่ปุ่นเราได้เรียนรู้ประสบการ์ณหลายอย่างมากทั้งด้านดีและไม่ดี ปัจจุบันทำเพจเกี่ยวกับญี่ปุ่น I Love Japan TH และทำช่องยูทูปสอนภาษาญี่ปุ่น ที่ www.youtube.com/ilovejapanth กับสอนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ที่ www.ilovejapanschool.com (เผื่อใครสนใจเขาไปทดลองเรียน ฟรีได้นะคะ)

อยากจะมารีวิวสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ค่อยชอบของการอยู่ญี่ปุ่น จากมุมมองของตัวเอง (อาจแตกต่างจากบางท่านที่มาอยู่ญี่ปุ่นบ้าง เพราะพูดจากความเห็นส่วนตัวและการใช้ชีวิตในโตเกียวเท่านั้น เมืองอื่นอาจจะไม่เหมือนกัน)

สิ่งที่ชอบ

  • ถนนหนทางดี สะอาด มีทางให้คนเดิน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีลูกเล็กและตัองใช้รถเข็นเด็ก คือดีมาก)
  • อากาศดี (กว่ากรุงเทพฯ) มาก ถึงแม้จะเป็นเมืองหลวง
  • กฎระเบียบที่เคร่งขัด และบทลงโทษที่จริงจัง สมมุติว่าถ้าทำผิดกฎจราจร จะมาจ่ายเงินใต้โต๊ะนี่เป็นไปไม่ได้เลย เผลอคุณจะโดนลงโทษมากขึ้น ฐานใต้โต๊ะจนท.พนง.
  • เวลาข้ามถนนตรงทางม้าลาย รถหยุดให้คนเดินทันที ไม่ต้องรีบข้าม ค่อย ๆ เดินอ่อยอิ่งยังได้ ตอนมาญี่ปุ่นแรก ๆ ไม่ชิน ชอบวิ่งข้ามถนนเพราะเกรงใจรถที่จอดให้เราข้าม แต่เพื่อนญี่ปุ่นบอกว่า ทำไมต้องวิ่ง
  • อุบัติเหตุบนท้องถนนน้อยมาก ๆ คนส่วนใหญ่เคารพกฎมาก ๆ ไม่มีมาแซง ลัดคิว ปาดซ้าย ปาดขวา
  • ความปลอดภัยค่อนข้างสูง (แน่นอนว่าทุกประเทศมีคนไม่ดี ถ้าเราไม่ระวัง แต่เทียบแล้วที่ญี่ปุ่นค่อนข้างปลอดภัย ถึงขนาดที่เด็กประถมเดินกลับบ้านเองได้
  • มี 4 ฤดู ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับสภาพภูมิอากาศต่าง ๆ
  • ในฐานะลูกค้า ชอบมาก เพราะคนญี่ปุ่นบริการดีมากจริง ๆ เขาตั้งใจทำงานมาก ต่อให้เป็นงานที่น่าเบื่อแค่ไหน ก็ไม่เคยเห็นพนง.เล่นมือถือเวลางาน และถ้าเราสั่งงานเขา เราค่อนข้างมั่นใจในคุณภาพและการตรงต่อเวลามาก
  • สวัสดิการสังคมดี (แน่นอนว่าแลกมากับภาษีที่สูงตามรายได้)
  • ถ้ามีลูกเล็ก คิดว่าคุณภาพชีวิตค่อนข้างดี เพราะมีที่ ๆ ให้เด็กเล่นเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น พิพิธภัณฑ์ ธรรมชาติ ฯลฯ รู้สึกว่า ถ้าเป็นที่ไทย สภาพชีวิตแบบเดียวกัน ที่ไทยแพงกว่า เพราะที่นี่ แทบทุกอย่างฟรีสำหรับเด็ก เช่น วัคซีนฟรี เวลาไม่สบายหาหมอฟรี ทำฟันฟรี เรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงม.ต้น (แล้วแต่เมือง มีเสียค่าชุดน.ร. กับค่าทำกิจกรรม อุปกรณ์การเรียน ถือว่าไม่มากถ้าเทียบกับต้องจ่ายค่าเทอมที่ไทย)
  • เวลาไปติดต่อราชการ รู้สึกว่าเขามีระบบที่ดี รวดเร็ว และบริการดีถึงแม้เราจะเป็นคนต่างชาติ แต่เราก็ได้สิทธิ์ต่าง ๆ เทียบเท่าคนญี่ปุ่น (ถ้าเรามาด้วยวีซ่าที่ถูกต้องและเสียภาษีถูกต้อง) เช่น ตอนเราคลอดลูก เราก็ได้เงินค่าคลอดลูกเท่าคนญี่ปุ่น ได้ค่าเลี้ยงดูบุตร ช่วงโควิดก็ได้เงินสนับสนุนของรัฐเหมือนคนญี่ปุ่น
  • การคมนาคมสะดวก มีรถไฟไปถึงแทบทุกที่ ไม่ต้องขับรถ
  • เงินค่าทำงานพิเศษต่อช.ม.สูงกว่าไทย ทำให้ถึงเป็นน.ร.ก็มีเงินเก็บได้เยอะระดับนึง ตอนเป็นน.ร.มีโอกาสได้ทำงานพิเศษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพนง.ร้านอาหาร ล่าม นักพากย์ race queen เมดคาเฟ่ ครูสอนภาษาไทย ฯลฯ
    ถ้าเป็นที่ไทย เป็นน.ร. ทำงานตามร้านสะดวกซื้อแทบตายก็เก็บเงินก้อนใหญ่ ๆ ไม่ได้
  • มีที่เที่ยวเยอะ (อย่างที่ทุก ๆ คนทราบ)
  • รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นภูมิใจในอาชีพต่าง ๆ ของเขา ยิ่งอาชีพตำรวจ นักดับเพลิง ข้าราชการ ครูนี่คนมักชื่นชม
  • ให้ความสำคัญคนพิการ สวัสดิการต่างดีมากไม่ว่าจะไปที่ไหน จะมีห้องน้ำคนพิการ ทางเดินสำหรับคนพิการ มีการดูแลที่ดี และได้เงินซัพพอร์ตจากรัฐ

สิ่งที่ไม่ค่อยชอบ

  • ความเครียดในการทำงาน (ส่วนใหญ่เห็นงานสำคัญกว่าครอบครัว ถ้าในทำงานในบริษัทญี่ปุ่นจ๋า ยกเว้นจะทำงานในบริษัทต่างชาติในญี่ปุ่น) ปัจจุบัน หลายบริษัทดีขึ้น แต่ยังมีบริษัทหลายบริษัทอีกมากที่ยังเป็นแบบเก่า เช่น ต้องทำโอทีถึงดึก ต้องไปดื่มเหล้ากับเจ้านายถึงดึก ๆ ฯลฯ
  • สำหรับผู้หญิง โอกาสที่จะโต หรือขึ้นไปอยู่ระดับผู้บริหารนั้นยากกว่าผู้ชาย (เทียบกับเมืองไทยแล้ว ผู้หญิงมีโอกาสที่จะก้าวไปอยู่ตำแหน่งสูง ๆ เยอะ)
  • สำหรับผู้หญิง พอแต่งงานมีลูกแล้ว ส่วนใหญ่มักจะลาออกจากงานไปเลี้ยงลูก ด้วยค่านิยม และไม่สามารถจ้างแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงได้แบบประเทศไทย
  • ค่าเช่าบ้านแพงมาก (ยิ่งในโตเกียว) ดังนั้นบ้านส่วนใหญ่จึงแคบ
  • เจ้านายเหมือนพระเจ้า ถ้าบริษัทสั่งให้ย้ายไปทำงานจังหวัดอื่นหรือต่างประเทศที่กันดาร เราก็ต้องไป ขัดไม่ได้ นอกจากจะลาออก และถ้าเปลียนงานด้วยเหตุผลนี้ ก็จะถูกมองไม่ดี
  • การบูลลี่ในที่ทำงาน (เราไม่เคยเจอ แต่เคยได้ยินจากเพื่อนมาเยอะ)
  • ร.พ.ไม่เปิด24ช.ม.แบบไทย แถมวันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดราชการก็หยุด ถ้าไม่ฉุกเฉินจริง ๆ ก็ไปไม่ได้ หมอเฉพาะทางไม่อยู่
  • รถไฟที่อัดกันเป็นปลากระป๋องทุกเช้า
  • ความไม่พูดตรง ๆ ของคนญี่ปุ่น ต้องคอยเดา คอยแปลความหมายแฝงในคำพูดเขา

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจนะคะ

3 เหตุผลที่ยังไม่ควรย้ายไปญี่ปุ่น

0
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น
ย้ายประเทศไปญี่ปุ่น

#ทีมญี่ปุ่น

สามเหตุผลที่ไม่ควรมาญี่ปุ่น จากมุมมองของที่ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ

1. ภาษา

ในกลุ่มภาษาฝั่งเอเชียตะวันออก เคยมีคนบอกว่า ภาษาเกาหลียากที่แกรมม่า แต่ศัพท์ง่าย ส่วนภาษาจีนยากที่ศัพท์ แต่แกรมม่าง่าย สำหรับภาษาญี่ปุ่นนั้นเป็นการเอาความยากของทั้งสองภาษามารวมกัน คือยากทั้งศัพท์ ยากทั้งแกรมม่า ยากทุกอย่างยกเว้นการออกเสียงที่ง่ายมากเพราะมีเสียงให้ออกน้อย แต่ด้วยความที่ภาษามันมีเสียงน้อยนี่แหละ เลยทำให้อย่างอื่นยากไปหมด
ประเทศอื่นที่ใช้ภาษาอังกฤษมีเยอะแยะครับ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนภาษาใหม่

2. ทำงานหนัก

ถึงแม้ว่าองค์กรสมัยใหม่จะเริ่มปรับระบบการทำงานให้มี Work-Life balance มากขึ้น แต่จะให้มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในชั่วพริบตาก็ยังทำไม่ได้หรอก เพราะในองค์กรก็ยังมีคนรุ่นเก่าที่บ้างาน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีการบังคับกัน แต่สุดท้ายถ้าเราพาตัวเองไปอยู่ในสังคมแบบนั้น เราก็อาจจะกลายเป็นแบบนั้นซะเองก็ได้
ประเทศอื่นที่ชั่วโมงการทำงานน้อยกว่า แล้วให้วันหยุดกับสวัสดิการที่ไฉไลกว่าก็มีครับ

3. เศรษฐกิจแย่ลงทุกปี

มันฝืดมานานแล้วครับ พูดถึงจีดีพีปัจจุบันโดนจีนแซงไปเรียบร้อยแล้ว ในอนาคตอันใกล้ก็อาจจะโดนประเทศกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ทยอยแซงหน้าไปเรื่อยๆ ธุรกิจหลายแขนงก็โดนจีนหรือเกาหลีโฉบไปทำหมดแล้ว ที่เห็นยังเหลือเด่นเป็นสง่าก็น่าจะมีโตโยต้ากับสายเกมส์ที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาได้บ้าง รวมถึงปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมคนแก่ คนอายุยืนมาก แต่อัตราการเกิดน้อย ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดรับแรงงานต่างชาติทั้งที่มีฝีมือและไม่มีฝีมือเข้าประเทศอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อเอามาจ่ายภาษีดูแลผู้สูงอายุนี่แหละ
ประเทศอื่นที่เศรษฐกิจขาขึ้นยังมีอีกเยอะครับ

แล้วคุณจะเอาชีวิตมาเสี่ยง

เรียนภาษาที่ยากมาก ๆ

เพื่อทำงานหนัก ๆ

ในประเทศที่เศรษฐกิจแย่ลงทุกปีทำไมล่ะ

ส่วนข้อดีมีมากกว่านั้นครับ ถ้าให้เขียนอาจจะยืดยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพที่ไม่แพง ผู้คนเป็นมิตร การคมนาคมสะดวก ราชการบริการฉับไว สวัสดิการและการดูแลจากรัฐ เทคโนโลยีล้ำๆ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน อากาศสะอาด คนพิการอยู่ง่าย อาหารอร่อย ป๊อปคัลเจอร์ตั่งต่าง ฟุตบาทเรียบกิ๊บ ปลอดหมาจรจัด รถหยุดให้ตอนข้ามถนน ฝนตกแล้วน้ำไม่ท่วม ฯลฯ

ดีขนาดนี้เราลืมไอ้สามข้อข้างบนเลยก็ได้นะ

ขอให้มีความสุขกับการหาบ้านใหม่ครับ 

5 สิ่งที่เราทำตอนอยู่เมืองไทยแล้วดูดี แต่พอไปทำที่เมืองนอกแล้วทำแล้วดูเสร่อ

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

วันก่อนเห็นโพสนึงบอกว่าอยากรู้ว่าอยู่เมืองนอกทำอะไรแล้วดูเสร่อจากที่เมืองไทยทำเป็นปกติเลยลองรวบรวมมาฝากครับ

จากประสบการณ์เคยไปอยู่เมืองนอก (เมลเบิร์น : ออสเตรเลีย) มา 2 ปี ขอรวบรวมเฉพาะอันที่สำคัญ ๆ มาเล่าให้ทุกท่านฟัง ไปอยู่เมืองนอกจะได้วางตัวถูกกันครับ สาเหตุน่าจะเกิดจากประเทศเค้ามีรัฐสวัสดิการที่ดีกว่าบ้านเรามาก วัฒนธรรมจึงแตกต่างออกไป

1. ช่วยคนพิการ ตาบอด ในที่สาธารณะ

ที่นั่นรัฐให้ความสำคัญกับคนพิการมาก ๆ มีการเข้าไปช่วยเหลือและจัดเครื่องไม้เครื่องมือให้ดูแลตัวเองได้เป็นเรื่องเป็นราว เช่น ที่ประตูรถเมล์มีแผ่นเหล็กยื่นออกมาเพื่อให้คนพิการขึ้นรถเมล์ได้ด้วยตัวเอง พื้นสถานีรถไฟจะเป็นพื้นปุ่ม ๆ คอยนำทางให้คนตาบอดเดินขึ้นรถไฟได้ ผมเคยเห็นคนตาบอดกำลังคลำๆ หาประตูรถไฟแล้วเข้าไปจับจับแขนเพื่อจะเข้าไปช่วย ปรากฎว่าเค้าสลัดมือออกแล้วบอกว่า “ไม่ต้อง” ครับ เหมือนเราไปรบกวนเค้า เพราะคนพิการที่นี่ถูกปลูกฝัก Mindset ให้ดูแลตัวเองให้ได้ เพราะรัฐจัดสวัสดิการให้เพียงพอแล้ว

2. การยอมให้ผู้หญิง เด็ก และคนชราแซงคิวไปก่อน

ในเมืองศิวิไลซ์ เค้าจะให้ความสำคัญเรื่องความเท่าเทียมทางสิทธิมนุษยชนมากมาก โดยเฉพาะเรื่องเพศ การยอมให้ผู้หญิง อาจจะรวมถึงเด็ก และคนชราแซงคิวไปก่อน จะต้องเกิดขึ้นเฉพาะเหตุการณ์ที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น อย่าทำเป็นปกติ เพราะคนที่นั่นเค้าเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน เลยไม่ให้ค่ากับฮีโร่เสร่อๆครับ

3. การลุกให้ผู้หญิงนั่งบนรถไฟ รถเมล์ Tram

ถ้าคุณเจอผู้หญิงปกติมายืนข้างคุณไม่ต้องลุกเลยนะขอร้อง ที่นั่นสิทธิทางเพศเท่าเทียมกันและผู้หญิงเค้าไม่เคยถูกปลูกฝังว่าตัวเองเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า(แบบบ้านเรา) แต่สำหรับคนชรา คนพิการ รวมถึงเด็ก คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ Priotity Seat ที่ต้องลุก และผู้หญิงก็ต้องลุกเช่นกัน บนรถสาธารณะทุกชนิดจะมีเก้าอี้ Priotity Seat ให้อย่างเพียงพอ ดังนั้นถ้าคุณได้ที่นั่งบนระบบขนส่งสาธารณะ คุณนั่งอย่างสบายใจไปได้เลย เพราะที่นั่งนั้นมันเป็นสิทธิของคุณแล้ว ไม่ต้องพะวงว่าใครจะมองเราไม่มีน้ำใจ ไม่ต้องนั่งเหลียวซ้ายแลขวาแบบบ้านเรา ที่นั่นไม่มีดราม่าเรื่องผู้ชายไม่เสียสละให้ผู้หญิงแบบบ้านเราครับ

4. จอดรถเข้าซองแล้วเปิดไฟฉุกเฉิน

เวลาอยู่บ้านเราแล้วทำสิ่งนี้มันดูดีเพราะว่าเป็นการบอกคนอื่นว่าเราถอยรถอยู่นะ แต่สำหรับต่างประเทศไม่จำเป็น การเปิดไฟฉุกเฉินมีไว้สำหรับเรามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นกับเราจริงๆ ถ้าเราเปิดไฟฉุกเฉินรถตำรวจจะมาหาเราภายใน 1 นาทีครับ เพราะถือว่ามีเหตุด่วนเหตุร้าย ตอนนั้นผมแก้โดยการเปิดไฟเลี้ยวแทน ส่วนฝรั่งบางคนไม่เปิดไฟอะไรเลยก็ไม่ผิดครับ (จอดรถเข้าซองด้วยการถอยหลังเข้าก็เสร่อครับ เพราะคนที่นั่นเค้าจอดรถเอาหน้าเข้ากัน แต่อันนี้ผมไม่เห็นว่าเอาหลังเข้ามันผิดตรงไหนและไม่มีกฎห้าม ก็เลยมองว่าไม่เป็นประเด็น)

5. เรียกแท็กซี่ถามว่าไปไหม

อันนี้คือความเจ็บปวดอย่างแท้จริงของคนไทย คงมีไม่กี่ที่ในโลกที่คนเรียกรถต้องมาถามว่าจะไปไหม แท็กซี่ที่นู่นกระโดดขึ้นไปนั่งเลย แล้วค่อยบอกว่าไปไหน เพราะแท็กซี่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธผู้โดยสารแบบบ้านเรา ไม่ต้องเสียเวลาเสร่อถามครับ อันนี้สาเหตุน่าจะมาจากความใส่ใจของกฎระเบียบทางการ สามัญสำนึกของผู้ขับขี่รถสาธารณะ และสภาพการจราจรทีไม่ล้มเหลวแบบบ้านเรา

เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกาด้วยโครงการ Aupair

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

#ทีมอเมริกา #AuPairs

สวัสดีคะเราชื่ออุ้มหมีคะ สิงอยู่ในกลุ่มนี้มาสักพักละแหละ และเราก็คิดอยากย้ายไปเริ่มต้นใหม่ที่เมืองนอกเช่นกัน เราคิดมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าเราอยากมีสามีฝรั่งและมีชีวิตที่ต่างประเทศ (แม้จะไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ ฉันก็จะไป) อ่านมาหลาย ๆ คนไม่รู้จะไปเริ่มจากตรงไหนสำหรับคนที่อยากไปเมกา แล้วไม่มั่นใจว่าตัวเองจะใช้ชีวิตที่เมกา (หรือต่างประเทศ) รอดไหม มันต้องใช้เงินมากแน่ๆเลยในการบินไปใช้ชีวิตที่นู้น เราขอแนะนำสำหรับคนอยากลองเปิดโลกให้ตัวเองก่อน ที่ใช้เงินไม่มาก และได้ connection ด้วยนะคะ

โครงการ Au Pair in America

Au Pair เป็นภาษาฝรั่งเศสคะ และเริ่มต้นมาจากทางยุโรป แปลว่า “ผู้ให้” (จากที่เราเรียน Au Pair class มานะคะ) เราคือ Nanny-live in ที่มีฐานะเป็นสมาชิในครอบครัว ดูแลลูกให้โฮสแฟมมิลี่ ทำหน้าที่เกี่ยวกับเด็กเท่านั้น ไม่รวมงานบ้านหรือใช้แรงงานหนัก ชั่วโมงการทำงานอยู่ที่ 45 ชม./สัปดาห์ ค่าแรงรายสัปดาห์ $195.75 ก่อนหักภาษี (เราต้องหักเก็บเองไปจ่ายปลายปี 15% ปลายปี ไม่มีส่วนลดใด ๆ ร้องไห้)

ต้องได้หยุดติดกันสองวันต่อสัปดาห์ ทำงานไม่เกิน 10 ชม./วัน และเราจะมี area director ของเอเจนซี่ดูแลให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือ (ซึ่งบางทีเค้าก็ไม่ได้ช่วย) จัดกิจกรรมมิตติ้งให้เจอกับออแพร์คนอื่น ๆ ที่มาจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ได้มารู้จักกัน แลกเปลี่ยนภาษา วัฒนธรรมกัน บางคนได้เพื่อนสนิทมาก ๆ มาด้วยทั้ง ๆ ที่พูดต่างภาษากันเลย (เราก็มีเพื่อนสนิทเป็นโคลอมเบีย)

คุณสมบัติ(Au Pair in America)

  • จะเป็นเพศไหนก็ได้
  • อายุ 19-27 ปี (วันก่อนบิน)
  • การศึกษาขั้นต่ำมอปลาย
  • ไม่เป็นผู้มีคดีใด ๆ ติดตัว ความประพฤติดี
  • สื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันพื้นฐานได้ ไม่ต้องเก่งมากแต่ฟังรู้เรื่องและสื่อสารในชีวิตประจำวันได้

ไปยังไง?

โครงการนี้มีทั้งในแถบยุโรป NZ AU ค่าแรง, ชั่วโมงการทำงานในแต่ละทวีปก็จะต่างกันไป สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AuPairWorld คะ แต่เราจะพูดถึงของเมกาอย่างเดียวนะคะ ข้อกำหนดมีดังนี้

  • เราจะได้ Visa J1 ไป อยู่ได้สูงสุด 2 ปี
  • ต้องเรียนให้ได้ 60 ชม./ปี และโฮสจะเป็นคน support ค่าใช้จ่ายให้เรา $500 ต่อปี จะลงเรียนอะไรก็ได้ ถ้าค่าเรียนมากกว่านั้นจ่ายเอง และต้องไม่กระทบกับตารางงานหรือความเป็นอยู่กับคนในบ้านด้วย เพราะเราไปทำงานให้เค้านะจ๊ะ ซึ่งที่เรียนอาจจะเป็น community collage, university หรือ Au Pair class สำหรับบ้านที่ตารางงานโฮสยุ่งมากแล้วเราออกไปเรียนไม่ได้ หรือบ้านอยู่นอกเมืองแถวบ้านไม่มีที่ให้เรียน ก็ลงเรียนอันนี้ไปแล้วได้หน่วยกิจครบเลยและใช้เวลา 4-6 วันเท่านั้น จบคะนอกนั้นก็ไปเที่ยว
  • ต้องมากับ Agency เท่านั้น เราไม่สามารถไปหาโฮสเองได้นะคะ

ขั้นตอน

  • หา Agency ที่ทางเมการับรองก่อน เช่นกันหาข้อมูลเพิ่มได้ที่ AuPairWorld ลองหาดูว่าที่ไหนมีสาขาในประเทศไทยบ้าง และค่าสมัครเท่าไหร่ อะไรที่เราต้องจ่ายเองและเอเจนจ่ายให้ เราไปกับ AuPairCare (นี่ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ และไม่ได้บอกว่าเป็นเอเจนที่ดีที่สุดนะคะ)
  • เราต้องไปเก็บชั่วโมงการเลี้ยงเด็กให้ได้หลากหลายช่วงอายุคะไม่ว่าจะเป็นหลานๆเด็กๆในบ้าน สถานรับเลี้ยงเด็ก Daycare โรงเรียน เราจำขั้นต่ำไม่ได้ว่ากี่ชั่วโมงนะคะ แต่หลักร้อยอยู่แต่ไม่ถึง 300 เพราะเราไปเลี้ยงเด็กคะ เค้าจะไม่มาสอนว่าเลี้ยงลูกเค้ายังไง เค้าจะแค่บอกตารางเราว่าเริ่มงานกี่โมง/เลิกงาน ลูกเค้าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน และสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังคืออะไร และเค้าโอเคกับการเลี้ยงลูกแบบไหน ลูกเค้าจัดการในรูปแบบไหนได้บ้างถ้าน้องดื้อหรือไม่ฟัง(แต่ห้ามตี หยิกนะคะ ผิดกฎหมาย) น้องกินอะไรได้บ้าง แพ้อะไร และปฐมพยาบาลเบื้องต้น
  • เก็บชั่วโมงเสร็จแล้วก็มาลองหัดสัมภาษณ์เป็นภาษอังกฤษคะ และทำ profile เหมือนสมัครงานเลยคะ ต้องมีรูป วิดีโอแนะนำตัวสั้น ๆ ไม่เกิน 3-5 นาที อันนี้ละคะสำคัญเพราะเค้าไม่เคยเห็นเรามาก่อนเลย เราจะต้องแสดงความเป็นตัวตน จุดเด่นของเราออกมาให้มากที่สุดคะ อันนี้พี่ๆที่เอเจนก็จะช่วยด้วย แต่ทั้งหมดหน่ะคือเราต้องทำเอง
  • ตรวจสอบประวัติอาชญากรรม
  • ส่งข้อมูลเราทั้งหมดให้ทางเอเจนฝั่งเมกาตรวจสอบและบอกว่าโอเคเราเป็นคนดีนะ คุณสมบัติเราครบ ทำงานได้ ทีนี้ละคะมันคือการสมัครงานและนั่งลุ้นว่าจะมี Host family มารีวิวมั้ย
  • Online เอกสารคะ และสัมภาษณ์กับ Host family เราไม่สามารถเลือกรัฐได้นะคะอันนี้ต้องทำใจ บางทีบ้านดีๆก็ไม่ได้อยู่ในเมือง แต่บ้านที่อยู่ในเมืองก็จะทำให้เราลำบากใจ พอเราตกลงกับโฮสแล้วว่าโอเคเรารับเธอมาอยู่กับเรานะ จากนี้ก็ไปสัมภษณ์วีซ่าที่ American Embassy คะ จุดนี้ละคะ ทำบุญเยอะ ๆ ภาษาต้องฟังให้ออกว่าเค้าถามอะไร อันนี้ตอนสัมภาษณ์วีซ่านั้นตื่นเต้น หูดับ ฟังอะไรไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่า “เธอต้องไปปรับปรุงภาษานะ” โอเคเราก็ได้วีซ่ามา เย้! พร้อมกำหนดวันบินคะ อันนี้เราต้องคุยกับโฮสด้วยนะว่าเราสะดวกช่วงไหนแล้วโฮสต้องการคนช่วงไหน เพราะบางทีเราต้องมาต่อกับคนที่อยู่มาก่อนเราด้วยเพื่อส่งต่องานกันและปรับตัวในบ้าน
  • ได้วีซ่ามาแล้ว เก็บกระเป๋าพร้อมสำหรับ 1 ปี และของฝากให้โฮส ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ไม่ต้องห่วงคะ เอเจนออกให้ได้ชั้น Economy นะคะ ตอนนั้นเราบินไปกับ JAL ประทับใจไม่รู้ลืม สัญญาว่าจะไปกับ JAL อีก
    สงสัยเรื่องค่าใช้จ่ายสินะได้คะ ขอบอกคร่าว ๆ แบบไม่ละเอียดนะคะ เพราะจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ไม่เจ็บเท่าไหร่
  • ค่าโครงการประมาณ 35,000 บาท ไม่รวมค่าทำเรื่องขอวีซ่าที่ปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลาและค่าเงิน USD ตอนนั้น และมีเงินในบัญชีเกือบๆแตะแสนบาท แต่เราเตรียมไปแสนนึง หลังจากนั้นก็คืนพ่อคืนบัตรเครดิตไป และเหลือติดตัวมา $500 ให้พอได้ซื้อเสื้อกันหนาวหรือฉุกเฉินตอนเดินทาง ที่จ่ายเองก็เกือบแสนเหมือนกัน ถือว่าไม่แพงสำหรับเวลา 2 ปีที่ไปโบยบิน ไปใช้ชีวิต มี connection with host families ได้ภาษา ถึงไม่มีลูกเอง ไม่ได้มีครอบครัวเองแต่เข้าใจถึงความเป็นไปของครอบครัว ได้เห็นการเติบโตของเด็กในระยะเวลา 1-2 ปีที่ได้อยู่กับเค้าและเชื่อมั้ยว่าเด็กก็ทำให้เราโตไปกับเค้าด้วย(แต่โครงการกำหนดให้เราต้องอยู่ครบ 1 ปี นะคะถึงจะได้ใบประกาศ)

ข้อดีของการเป็น Au Pair

  • แน่นอนว่าเราจะได้อยู่ในระแวกบ้านที่ปลอดภัย และคนที่เอเจนหรือด้านความปลอดภัยตรวจสอบ background check มาแล้วว่าเป็นคนไม่มีคดีหรือทำอะไรผิดกฎหมายหน่ะ (แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะไม่เอาเปรียบ และนิสัยดีนะ)
  • บ้านไม่ต้องเช่าคะ เพราะอยู่กับโฮส และเอเจนกำหนดมาแล้วว่าเราต้องมีห้องส่วนตัวที่ปลอดภัยและเป็นสัดส่วนคะ ข้าวไม่ต้องซื้อ แต่อันนี้คุยกันดี ๆ นะคะ มีบางบ้านให้ซื้อเองจากเงินอันน้อยนิดของเรา
  • มีรถขับคะ และมันจะทำให้เราต้องสอบใบขับขี่ที่นู้นคะ มันคือความภูมิใจของเราอันนี้ เพราะมันไม่ง่ายเหมือนไทย มีเรื่องมาโม้ตอนกลับบ้านด้วย เราจะได้นิสัยดี ๆ ในการขับรถมา (อันนี้ขึ้นอยู่กับบ้านนะคะว่าเค้า provide ให้เรามั้ยเรื่องนี้ ถ้าไม่ก็ Uber/Lyft ไปนะคะ บางบ้านก็จ่ายให้เลยเป็นสัปดาห์ไป)
  • อิสระดีคะ เราต้องตัดสินใจและกล้าที่จะพูดจะบอกกับโฮสว่าเราเจอปัญหาแบบนี้ เราคิดแบบนี้นะกับเรื่องเลี้ยงลูกเค้า เค้าสามารถช่วยอะไรเราได้บ้างและเราต้องกล้าที่จะแสดงความเห็นและวางแผนคะ
  • ได้เรียนในวิชาที่ไม่เคยเรียนใน continuing school เธอ มีวิชาหัดพูดต่อหน้าคนหมู่มาก วิชาใช้มีดในครัว หางานที่ใช่กับชีวิตที่ชอบ (อันนี้ออกแนว mindfulness นิดนึง) เต้น Zumba (ใครจะไปเชื่อว่าเต้น Zumba ก็เก็บหน่วยกิจได้) อะไรแบบนี้ หรือวิชา Amish Country อ่ะเธอเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐ Philadelphia ที่แบบบ้านไม่ใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ และยังเดินทางด้วยรถม้าอ่ะ ใครจะไปเชื่อว่าในเมกายังมี อันนี้เปิดโลก
  • USA ไม่ได้มีแค่ NYC, LA, SF นะจ๊ะ 5555 ข้างนอกเค้ามีป่าให้ไป Hiking มี National park ให้ไปดูสัตว์ หรือต้นไม้ หรือแค่ทะเลทรายอันเวิ้งว้างและมีป้ายบอกว่า “Do not die today” stay hydrate อะไรแบบนี้ เราค้นพบกิจกรรมยามว่างของเราใหม่ๆนอกจากการไปเดินห้าง ซื้อของ shopping
  • จากที่ไม่เคยทำกับข้าวให้ใครทานได้ นี่คะหัดทำให้น้องตัวเล็กและเก่งมากขึ้นจนทำให้โฮสหรือญาติโฮสที่มาเยี่ยมบ้านได้ทาน ทุกคนชมและยังคิดถึงอาหารของดิฉัน และยังติดตัวกลับมาจนถึงไทยเราสามารถแบ่งเวลาทำอาหารกินที่บ้านเองได้ ไม่ต้องซื้อกินทุกมื้อ เพราะคนที่นู้นกินข้าวนอกบ้านทุกวันแพงคะอย่างน้อย $15-$30 แยกทิป 15% ไปอีก ไม่จ่ายมีโดนตามทวงนะคะ

ข้อเสีย

  • เหงาคะ วัน ๆ คุยกับแต่เด็ก
  • เดินวนในครัว ห้องซักผ้า ห้องนอนเด็กคะ
  • ใครเคยทำงานแล้วเลี้ยงตัวเองมาตลอด และเวลาของของเราไม่ต้องไปขึ้นกับใคร คราวนี้ละคะตารางงานเราจะขึ้นอยู่กับตารางชีวิตของโฮสด้วยคะ ถ้าบ้านไหนมีพักร้อนเยอะก็ดีไปได้หยุดเยอะ แต่บ้านไหนขยันทำงานมาก ๆ เราก็จะเหนื่อยไปด้วยเพราะลูกเค้าส่วนใหญ่จะอยู่กับเราคะ

เมืองนอกมันไม่ได้สวยหรูแบบในหนัง ถ้าเราไปอยู่แล้ว และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเราแล้วเราพยายามแก้แล้วมันก็ยังไม่ใช่ หรืออยู่แล้วไม่มีความสุข ก็แค่ “กลับบ้าน” คะถ้าพร้อมแล้ว แข็งแรงพอแล้วก็ออกไปใหม่ได้คะ ถ้าถามเราว่าทำไมไม่อยู่ต่อละดูมีความสุข ชีวิตก็ไม่ได้แย่เลยนะ ตอนนั้นตอบได้แค่ว่า “ฉันทำตามที่ฉันอยากทำหมดแล้ว และพ่อแม่เราเค้าคิดถึงเรามากแล้ว และเค้าต้องการให้เราอยู่ข้าง ๆ ในวันที่เค้ายังไม่รู้เลยว่าเค้าจะผ่านการผ่าตัดที่เค้าไม่เคยผ่านมาเลยตลอดชีวิตได้มั้ย”

แล้วถ้าถามต่อว่าจะกลับออกไปโบยบินมีชีวิตเป็นของตัวเองอีกมั้ย “ไปคะ ถ้าได้ไปอีกครั้งจะไม่กลับมาอีกแล้ว และต้องไปในฐานะที่ดีกว่าเดิม และสามารถพาคนที่บ้านเราไปได้ด้วยถ้าเค้ายอม” ถ้าได้ออกไปให้ไปพบเจอผู้คนเยอะ ๆ คะ คุยกับเค้าเยอะ ๆ (พัฒนาทักษะการเข้าสังคม) ไปเที่ยวเยอะ ๆ ไปอ่านหนังสือเยอะ ๆ (ที่เมกาห้องสมุดคือดีมาก เราสามารถอยู่ในนั้นได้ทั้งวัน)

ตอนจะลาออกจากงานที่ไทย (เราเป็นพยาบาลคะ) ที่เงินเดือนมั่นคง เลี้ยงดูตัวเองและพ่อแม่ได้ ก็คิดหนักนะคะ แต่รู้แค่ว่าถ้าไม่ทำตอนนี้ (ตอนอายุ 25) อายุมากกว่านี้พ่อแม่เราก็ต้องการเรามากขึ้นเพราะเค้าก็อายุมากขึ้น เค้าอยากให้เราอยู่ใกล้ ๆ เราจะมาลองผิดลองถูกไม่ได้แล้วนะ ยื่นใบลาออกคะ โอกาสดี ๆ เวลาดี ๆ ไม่ได้มีมาบ่อย กลับมาตอน 27 ก็ยังไม่แก่มากก็ยังกลับมาหางานทำต่อที่ไทยได้อีกนิดก่อนออกไปอีกครั้งแบบถาวร
ขอบคุณที่อ่านจนจบคะ ยาวมากเลย

ปล.เราไป Washington, California, New York คะ เที่ยวไป 5 รัฐ ใช้เวลาสองปีในการไร้สาระนี้ 55555 ตอนนี้กลับมาทำงานที่ไทยแล้วคะ เป็นพยาบาลอยู่ที่สมุย อย่างน้อยก็ยังได้ใช้ภาษาอังกฤาในการทำงานต่อ จะได้ไม่ลืมกัน

คำแนะนำสำหรับคนที่อยากย้ายไปออสเตรเลีย part 2/2

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย #ทีมเมลเบิร์น Part 2/2

*** #คำแนะนำสำหรับน้อง ๆ ที่สนใจจะมาเรียนและทำงานที่ออสเตรเลีย >> คำแนะนำสำหรับคนที่อยากย้ายไปออสเตรเลีย part 1/2

1. มีเงินค่าเรียนภาษา 6 เดือน + ค่าวีซ่า + ค่าประกันสุขภาพ ซักประมาณ 135,000 – 150,000 บาท ก็มาเรียนภาษา 6 เดือนได้แล้วค่ะ อาจจะเผื่อค่ากินค่าอยู่ซัก 2 เดือนอีกประมาณ 1 แสนบาท หลังจากนั้นก็มาทำงาน และสามารถต่อวีซ่าได้ยาวขึ้น หลังจากเรียนจบแล้ว

2. การทำงานในวีซ่านักเรียนสามารถทำได้อย่างถูกกฏหมาย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในช่วงที่เรียน (ปิดเทอมสามารถทำได้เต็มที่ถึง 40ชม. ต่อสัปดาห์) ในช่วงแรกเริ่มน้องๆ หลายๆ คนอาจจะมาทำงานที่ร้านอาหาร, ร้านนวดไทย, งานคลีน ก่อน ซึ่งรายได้ขั้นต่ำตามกฏหมายจะอยู่ที่ 19.84 AUD ต่อชั่วโมง (ก่อนหักภาษี) งานแรกเริ่มของหลาย ๆ คนจะมีเรทประมาณนี้ค่ะ

  • งานเสิร์ฟร้านอาหาร ชั่วโมงละ $20 – $25
  • งานในครัว ชั่วโมงละ $20 – $25
  • งานคลีนชั่วโมงละ $20 – $25
  • งานนวดไทยชั่วโมงละ $30 – $35

3. ประเทศไทยอยู่ในเลเวล 2 แล้ว ตามกฏไม่ต้องโชว์ Bank statement / Bank guarantee แล้ว สำหรับนักเรียนที่อยู่ออสเตรเลียอยู่แล้ว คนที่ไม่โชว์ก็สามารถได้วีซ่าได้ง่าย ๆ แต่คนที่อยู่ไทย อิมมิเกรชั่นที่ไทยค่อนข้างเข้มงวด บางคนถูกเรียกหลักฐานทางการเงินเพิ่มเติมก็มี ทางที่ดีควรมี Bank guarantee (โชว์แค่ยอดเงินสะสม) ประมาณ 3.5 – 4 แสนถ้ามาเรียน 6 เดือน

4. ตอนต่อวีซ่านักเรียน ถ้าเรามุ่งไปสู่เส้นทางการได้ PR ก็ลองดู สาขาที่เราคิดว่าน่าสนใจจากอาชีพที่ออสเตรเลียกำลังต้องการได้เลยค่ะ โดยดู Skilled Occupation List ตามใน link นี้ได้เลยค่ะ https://immi.homeaffairs.gov.au/…/skill-occupation-list

5. ในการมาเรียนสามารถใช้เอเจ้นได้นะคะ เอเจ้นที่ดี ก็จะคิดราคาทุกอย่างตามจริงค่ะ เหมือนเดินเข้าไปสมัครเองเลย เพราะเค้าจะได้คอมมิชชั่นจากโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว แถมเรายังได้การบริการฟรีตลอดการศึกษาด้วยค่ะ

6. บางคนไม่ได้ภาษาเลย มาเรียนเอาที่ออสฯ ตั้งแต่ขั้น Elementary ก็มีนะคะ แต่อาจจะใช้เวลาเรียนภาษาอย่างน้อย 1 ปี ถึงจะขึ้นไปเรียน Cert หรือ Diploma ได้ค่ะ บางคนเรียนภาษา 2-3 ปีก็มีค่ะ

7. มีแฟนเป็นคนไทย ก็ทำวีซ่าติดตามกันมาได้นะคะ คนหนึ่งเรียน อีกคนหนึ่งวีซ่าติดตาม ก็ทำงานอย่างเดียวไม่ต้องเรียนค่ะ

8. เมื่อเรียนจบแล้ว น้องๆสามารถสมัครวีซ่า 485 (Temporary Graduate Visa) เพื่อทำงานหาประสบการณ์ได้ นับแต้มไว้ขอPR หรือโชคดีอาจมีบริษัทสปอนเซอร์ วีซ่า 485 ขอได้ทั้งน้องที่เรียนระดับปริญญา และสาขาวิชาชีพที่เป็นที่ต้องการ

9. บางคนเรียน ๆ ไปแล้วขี้เกียจ อยากทำงานอย่างเดียว ก็ไปทำวีซ่าลี้ภัย หรือ Protection visa บอกเลยอย่าหาทำเด้อ เป็นวีซ่าที่ยังไงก็ไม่ผ่านค่ะ (ถ้าอยู่พม่า มีสถานการณ์ทางการเมืองรุนแรง อาจจะผ่าน, ถ้าถูกตามฆ่า ตามทำร้าย เมื่ออยู่เมืองไทย อาจจะผ่าน แต่ก็ต้องมีหลักฐาน) คนที่ไม่ผ่านก็อาจจะเสียประวัติได้นะคะ แล้วจะทำวีซ่ามาออสเตรเลียอีกครั้งก็จะยากแล้วค่ะ

บางคนจะถูกเอเจ้นป้ายยา หลอกว่ามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว แล้วเปลี่ยนเป็นวีซ่าทำงาน แบบนี้ไม่มีนะจ๊ะ ถ้าเห็นว่าทุกอย่างดูง่ายๆ ไม่ต้องใช้วุฒิอะไร ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า อาจจะถูกหลอกละนะ  บางคนถูกหลอกให้ทำวีซ่าท่องเที่ยว แล้วมาเปลี่ยนเป็นวีซ่าลี้ภัย แล้วก็ถูกเชิดเงินไปเลยก็มีนะคะ

10. ถ้าไม่เลือกงาน รับรองว่างานหาได้ไม่ยากค่ะ น้อยมากที่จะบอกว่าหางานไม่ได้ ส่วนใหญ่คนที่ถอดใจกลับคือเลือกงาน และไม่ชอบงานใช้แรงงานค่ะ น้อง ๆ ที่สนใจมาเรียนที่นี่ แนะนำให้เรียนคอร์สสั้น ๆ เป็นสกิลติดตัวมาด้วย เช่น นวด ทำกาแฟ ทำเล็บ ทำผม ฯลฯ ก็อาจจะช่วยในการหางานได้มากขึ้นค่ะ

นอกจากที่พูดมาแล้ว ออสเตรเลียมีวีซ่าหลายประเภทมาก ๆ เช่น วีซ่านักลงทุน สำหรับผู้สนใจลงทุนในออสเตรเลีย หรือ Global talent Visa Program สำหรับคนมีสกิลขั้นสูง ใครอยากมาจริง ๆ ให้ลองศึกษาในเว็บ https://immi.homeaffairs.gov.au หาดูวีซ่าที่เหมาะสมกับเรา และดูว่าคุณสมบัติของเราสามารถสมัครได้หรือไม่

@====================================@

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ ทุกอย่างไม่ได้สวยงามไร้อุปสรรค ระหว่างทางก็ต้องมีอุปสรรคบ้าง เช่นการปรับตัว วัฒนธรรมที่ต่างกัน หรืออาจจะหางานยากในช่วงแรก ๆ ขอให้ทุกคนอดทนและพยายาม

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้นะคะ ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ

คำแนะนำสำหรับคนที่อยากย้ายไปออสเตรเลีย part 1/2

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

#ทีมออสเตรเลีย #ทีมเมลเบิร์น Part 1/2

ขอแบ่งเป็น 2 Parts นะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวยาวไป >> คำแนะนำสำหรับคนที่อยากย้ายไปออสเตรเลีย part 2/2

Part 2 จะเป็น #คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการมาออสเตรเลียค่ะ

สวัสดีค่าา ชื่อฝ้ายฝันนะคะ อยากมาแชร์ประสบการณ์การมาอยู่ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย และได้มีโอกาสช่วยน้องๆ หลายๆ คนให้มาที่นี่ด้วยวีซ่านักเรียน / วีซ่าท่องเที่ยว + นักเรียน และปัจจุบันน้องๆหลายคนได้ PRแล้ว จากเส้นทางการศึกษาที่เราแนะนำไป

หลาย ๆ คนก็ประสบความสำเร็จ หลาย ๆ คนก็ไม่ไหวกลับไทยไป บางคนหนีวีซ่า หรือ บางคนก็มีที่เปลี่ยนไปเป็นวีซ่าอย่างอื่นที่ไม่เหมาะสมเช่นวีซ่าลี้ภัยเป็นต้น

หนทางไม่ได้ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไปค่ะ สำหรับคนที่ตั้งใจจริง และปฏิบัติตามกฏของประเทศออสเตรเลียได้ค่ะ ขอให้ศึกษาเรื่องต่าง ๆ เช่น วีซ่าประเภทต่าง, อาชีพที่คลาดแคลน, คุณสมบัติที่ควรมี มาอย่างดีทุกคนก็จะมีโอกาสได้ PR

ก่อนจะมาโพสอันนี้ก็ตั้งใจอยากมาให้ความความรู้ แชร์ประสบการณ์ แต่ก็ไม่สามารถอ่านที่ท่านอื่นๆโพสมาแล้วได้หมดนะคะ ถ้าให้ความรู้ที่ซ้ำ ๆ ไปบ้าง ก็ขออภัยด้วยนะคะ

@=================================@

#แนะนำเส้นทางการเป็นพลเมืองออสเตรเลียของตัวเองก่อนค่า

From >> 2012 Work & Holiday VISA >> 2013 Sponsor VISA (ติดตาม) >> 2016 Skilled VISA 189 (ติดตาม)- PR >> 2017 เปิดบริษัท Education Agent ของตัวเอง >> 2018 ยื่นขอ และสอบ Citizen >> Jan 2019 ได้ Australian Citizen

เปิดบริษัทโดยที่ตัวเองไม่ได้เรียนที่ออสฯเลยเนี่ยแหละค่ะ เนื่องจากไ่ด้มีโอกาสทำงานในบริษัทแนะแนวการศึกษา จึงได้นำประสบการณ์ตรงนั้นมาทำธุรกิจด้วยตัวเอง และหาความรู้อัพเดทข่าวสารอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงไปเยี่ยมเยียน และประชุมกับโรงเรียนต่าง ๆ บ่อย ๆ

ปัจจุนบันบริษัทเล็ก ๆ ของเราก็สามารถเติบโตฝ่าวิกฤตโควิดมาได้ และก็อยากจะช่วยน้อง ๆ คนไทยให้ประสบความสำเร็จกันเยอะ ๆ ค่ะ

ที่เขียนว่า “ติดตาม” ในที่นี้ก็คือ ติดตามแฟนนี่แหละค่ะ แฟนเป็นคนอิตาลี มาเจอกันที่ออสฯ ด้วย Work & Holiday Visa เหมือนกัน คบกัน 1 ปี แล้วก็ได้แต่งงานกัน

เส้นทางแฟนก็ตามนี้เลยค่ะ

From Italy >> 2012 Work & Holiday VISA >> 2013 Sponsor VISA >> 2016 Skilled VISA 189 – PR >> 2018 ยื่นขอ และสอบ Citizen >> Jan 2019 Australian Citizen

เมื่อได้ PR แล้วก็ทำลูกค่าา เพราะลูกที่เกิดจากพ่อแม่เป็น PR จะเป็น Citizen เลย และครอบครัวที่เป็น PR ก็จะได้ประโยชน์จากรัฐมากมาย

ลูก >> Born Dec 2016 as an Australian Citizen

ช่วงปี 2017 – 2018 ที่เดินทางไปต่างประเทศ ตม.ก็ชอบแซว พ่อ แม่ ลูก ใช้ Passport คนละประเทศกันเลยค่าา 55+

@=================================@

#สิ่งที่ชอบในประเทศออสเตรเลีย

1. คนส่วนใหญ่ เข้าใจในความเป็น Multi-Culture ของประเทศนี้ และสามารถอยู่ร่วมกันด้วยความรู้สึกที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะทำงานอาชีพอะไร เพราะทุกอาชีพค่าแรงสูง ๆ กันทั้งนั้นจ้ะ พวกช่างก่อสร้าง ทาสี ช่างประปา คนขับรถไฟ คนขับรถแทรม เงินเดือนสูงกว่าพนักงานออฟฟิศอีก

ทุกคนมีความ respect กันในระดับที่ดีทีเดียวเลย ต่อให้คุณจะแปลกแหวกแค่ไหน จะไม่มีใครมาตัดสินว่าคุณไม่ดีนะคะ สอบถามน้อง ๆ หลายคนว่าทำไมชอบที่นี่ หลาย ๆ คนบอกว่า หนูได้เป็นตัวเองเต็มที่ดีค่ะพี่ อยากทำอะไรก็ทำไม่อึดอัด ไม่ต้องแคร์สายตาผู้อื่น

2. รัฐบาลประเทศนี้ร่ำรวยค่ะ (เค้าก็เก็บภาษีเยอะด้วยอ่ะเนาะ) ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ใช้เงินไปกับการช่วยเหลือคนในประเทศอย่างจริงจังเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในหลาย ๆ เรื่อง Jobkeeper ได้สูงสุดเดือนละ 3,000 AUD, Jobseeker ได้สูงสุดเดือนละ 1,240 AUD นักศึกษาต่างชาติได้รับเงินช่วยเหลือค่าเล่าเรียนสูงสุดถึง 1,100 AUD, เงินช่วยเหลือค่าเช่าบ้านได้สูงสุดถึง 3,000 AUD นอกจากนี้ก็จะมีการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เงินช่วยเหลือครอบครัวที่มีบุตร, ค่าเล่าเรียนฟรี ฯลฯ

3. การจัดการกับปัญหาโควิดในช่วงที่ผ่านมารวดเร็ว ทันการมาก และสนับสนุนให้ตรวจโควิดกันทุกคน สำหรับคนที่มีความเสี่ยง รัฐบาลจะอัพเดทข้อมูลสำหรับผู้ที่อยู่ในจุดเสี่ยงตลอดทุกวัน และยังมีจุดที่สามารถตรวจโควิดได้เยอะมาก ๆ รวมถึงให้เงินสนับสนุนผู้ที่ต้องหยุดงานเนื่องจากต้องกักตัวรอผลตรวจโควิดด้วย ถึงแม้จะมีความประมาททำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงในช่วงแรก และต้อง Lockdown ถึง 2-3 ครั้ง ก็มีมาตรการออกมาให้ประชาชนได้ปฏิบัติตามอย่างชัดเจน

เราจะเห็นผู้นำรัฐออกมาแถลงแม้ในวันหยุดราชการบ่อย ๆ จนนำไปสู่ภาวะที่ควบคุมได้ ทุกคนใช้ชีวิตปกติถึงแม้ยังมีคนที่ฉีดวัคซีนกันน้อยมาก (ถึงตอนนี้ก็แค่ 10% ของคนทั้งประเทศ) Ranking การจัดการกับโควิดก็เป็นอันดับ 3 ของโลกนาจารองจากสิงคโปร์ และนิวซีแลนด์

4. ค่าใช้จ่ายในการออกกำลังกาย โยคะ พีลาทีส เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯ ถูกกว่าไทยอีกค่ะ บางที

5. รัฐวิคตอเรียที่อยู่ ก็จะมีการกระจายความเจริญไปสู่เมืองต่าง ๆ ในเมืองต่าง ๆ นอกจากเมลเบิร์นแล้ว ก็จะมีแทรม มีรถไฟ มีรถบัสเข้าถึง พร้อมทั้งมีห้างสรรพสินค้า ร้านค้า สถานพยาบาล แหล่งออกำลังกาย โรงเรียนดี ๆ ต่าง ๆ อยู่ในแทบทุกเมืองใหญ่ ๆ

6. สถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ทะเล ภูเขา หิมะ ศิลปะ พิพิธภัณฑ์ มีหมด โดยที่ไม่ต้องขับรถไปไกลๆ สถานที่สำหรับเด็กต่าง ๆ ก็เยอะ สวนสาธารณะมีทุกเมืองเมืองละหลาย ๆ แห่ง ไปไหนมาไหนรถก็ไม่ติด หรือสามารถไปได้ด้วยรถไฟ รถบัส รถแทรมได้ง่าย ๆ เลย และ Event พิเศษในช่วงวันสำคัญต่าง ๆ ก็เยอะ ส่วนใหญ่ก็ฟรี เที่ยวเพลินมากค่ะ

7. ในด้านของครอบครัว ถ้ามีลูกที่นี่ ก็คือสบายในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเงินช่วยเหลือในการเข้าใช้บริการ Childcare center โรงเรียนประถามที่นี่ ก็มาตรฐานเหมือนโรงเรียนนานาชาติที่ไทย ที่อาจจะต้องเสียเงินเป็นล้านต่อปี แต่ที่นี่เสียแค่ค่าอุปกรณ์การเรียนจ้า ไม่ต้องเสียค่าเรียนด้วย

8. ชาวต่างชาติที่เป็น PR / Citizen ของที่นี่แล้ว แต่ยังหางานไม่ได้ด้วยเรื่องการจำกัดด้านศึกษา ที่นี่ก็จะมีให้เรียนวิชาชีพที่ราคาถูกมาก เหมือนฟรีนั่นแหละ FREE TAFE Course มีเยอะมาก ยิ่งช่วงโควิด ถ้าไม่มีงาน ส่งให้เรียนแบบ on the job training free เลยจ้ะ ได้งานได้ความรู้ ได้เงินด้วย

9. กฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ผิดก็คือผิด ว่ากันไปตามนั้น ไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น และบทลงโทษที่ค่อนข้างหนัก ดังนั้นจะเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีความปลอดภัยอยู่พอสมควรเลย แล้วคนก็มีความซื่อสัตย์ มีความเคารพกฏหมายกันด้วย

ทำงานด้านไอทีที่ออสเตรเลียและอเมริกา จนได้เป็นประชากรทั้งสองประเทศ

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

#ทีมอเมริกา #ทีมออสเตรเลีย #ทีมUX

สวัสดีค่ะ ชื่อตาลนะคะ ปัจจุบันทำงานสาย UX ที่ Amazon.com ที่ Seattle อเมริกามา 8 ปีจนตอนนี้ได้กรีนการ์ด ก่อนหน้านี้เคยไปอยู่ที่ซิดนีย์ ออสเตรเลียมา 8 ปีจนได้เป็น Australian citizen ด้วยค่ะ
อยากจะมาแชร์ประสบการณ์จากแง่มุมคนบ้านฐานะปานกลาง ไม่ได้เก่งมากพอที่จะขอทุนได้ ไม่ได้เรียนที่อเมริกา ว่าผ่านอะไรมาบ้างจนมาถึงตรงนี้ได้ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ไม่ได้มีต้นทุนมากแต่เป้าหมายหลักคือมาอยู่ที่อเมริกานะคะ

สั้น ๆ ตรงนี้นะคะ แบบเต็ม ๆ สนใจอ่านต่อได้ด้านล่างค่ะ หลังจากจบมหาลัยที่ไทย (สาขาวิศวะเคมี) ก็

1. เรียนภาษา + certificate ที่ออสเตรเลีย, ทำงานทุกอย่างที่ทำได้ตั้งแต่ล้างจาน เป็นเด็กเสิร์ฟ จนทำงานนับสต็อกในโรงงานเพื่อเก็บเงินค่าเรียนต่อ
2. เข้าเรียนโท Computer science ที่ UNSW พร้อมทำงานไปด้วย
3. เรียนจบได้ทำงานเป็น Web developer จนได้ Australia citizenship
4. ได้มาทำงานเป็น Front end engineer ที่ Amazon.com แล้วก็เบนเข็มมาสาย UX
5. ได้กรีนการ์ดที่อเมริกา
6. สรุปเปรียบเทียบการทำงานสาย IT ระหว่างอเมริกาและออสเตรเลีย

———

อ่านต่อกันยาว ๆ ด้านล่างนี้เลยค่ะ

1. เรียนภาษา + certificate ที่ออสเตรเลีย

พอจบที่ไทยแล้วก็อยากจะมาต่างประเทศ แต่เนื่องจากที่บ้านไม่ได้มีต้นทุนมากก็ดูหลายๆ ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจนมาจบที่ออสเตรเลียเพราะค่าเรียนไม่แพงมาก บินแค่ 9 ชม. และวีซ่านักเรียนสามารถทำงานได้ 20 ชม. ต่อสัปดาห์ ที่เลือกเรียน certificate ก่อนเพราะทางบ้านยังไม่อนุมัติให้เรียนโท

ตอนมาใหม่ ๆ ยอมรับเลยว่าไม่ได้ตั้งใจจะเรียนแต่ตั้งใจทำงานเก็บเงินมากกว่าเพื่อที่จะได้เรียนต่อโท ตอนนี้ทำงานทุกอย่างตั้งแต่ล้างจาน เป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารไทย จนถึงทำงานนับสต็อกในโรงงาน

2. เรียนโท + ทำงาน

พอหลังจากจบ certificate หาเงินได้ประมาณนึงก็คุยกับที่บ้าน ขอยืมเงินส่วนต่างเพื่อที่จะเรียนโทต่อที่นี่ หลังจากที่ได้ offer จากมหาลัย UNSW แล้ว ก็ยื่นต่อวีซ่านักเรียนเพื่อเรียนต่อ ระหว่างนี้ก็ยังทำงานอยู่เพื่อหาค่ากินอยู่และผ่อนคืนเงินที่บ้าน แต่จะเริ่มหางานที่ตรงสายแล้ว เนื่องจากเราไม่เคยทำงานด้าน computer science มาก่อน การหางานแรกจะยากมาก ๆ เราก็เริ่มจากการทำงานฟรีคือเขียนเวปไซต์ ออกแบบโลโก้ ออกแบบโบว์ชัวร์ให้ร้านอาหารไทย ให้บริษัทเล็กๆ เพื่อเก็บ portfolio จนในที่สุดก็ได้งาน part timeให้กับ agency เล็กๆ แบบมีคนทำงาน 4 คน

ช่วงนี้ชีวิตลำบากมากค่ะ แทบไม่ได้นอน ไม่ได้เที่ยว ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ได้ไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อนที่มหาลัย คิดแล้วก็เสียดายชีวิตวัยรุ่น 5555 แต่มานึกดูก็คุ้มค่ะ

3. ทำงานเป็น Web developer ที่ออสเตรเลีย, ขอ permanent resident ต่อด้วย Australian citizenship

หลังจากเรียนจบก็พยายามหางาน full time จนมาได้ทำงานเป็น Web developer ใน Agency ขนาดกลางๆ มีพนักงานประมาณ 50 คน ระหว่างก็ขอ permanent resident (PR) ที่ออสนี่สามารถขอเองได้โดยที่ไม่ต้องมีสปอนเซอร์หรือบริษัทขอให้ การขอ PR ที่นี่ถ้า point ถึงก็สามารถขอได้ point นี้จะเป็นการนับคะแนนจากอะไรหลายๆ อย่างเช่นคะแนนสอบ Ielts, อายุ, สาขาที่เรียนจบ, ระดับการศึกษา, และสาขางานที่ทำ ยื่นเรื่องทั้งหมดโดยตัวเองโดยไม่ใช้ทนาย พอได้ PR แล้วก็รออีกสองปีก็ขอ citizenship ได้

4. ได้งานที่ Amazon แล้วย้ายมาที่อเมริกา

ระหว่างทำงานที่ออสก็มีการอัพเดต portfolio และ linkedin อยู่เรื่อยๆ จนในที่สุดมี recruiter จาก Amazon ติดต่อมา (อันนี้บอกตรงๆ ว่าไม่ได้คาดคิด) ว่าจะมี recruiting event ที่ออสแล้วชวนให้เราไปเข้าร่วม ในอีเว้นท์นี้ก็จะมีสองวันค่ะ วันแรกเป็น social event ให้เราไปพบปะพูดคุยกับคนที่ทำงานในอเมซอน และคนที่เป็นคู่แข่งค่ะ วันที่สองสัมภาษณ์งานกันยาวๆ เลย กับคนสัมภาษณ์ 6 คน สัมภาษณ์จบที่นี่รวดเร็วมาก ไม่กี่วัน recruiter ก็ติดต่อกลับมาว่าได้งานแล้ว

งานแรกที่ทำในอเมซอนเป็น frontend engineer ค่ะ หลังจากนั้นเปลี่ยนสายมาเป็น UX เพราะเหมาะกับตัวเองมากกว่า

5. วีซ่าทำงานอเมริกา และกรีนการ์ด

หลังจากได้งานก็ดำเนินงานย้ายประเทศค่ะ ที่อเมซอนเค้ามีทีมทนายที่คอยจัดการขอวีซ่า ทำเรื่องให้ทุกอย่าง สามีเราก็ได้วีซ่าติดตามที่เค้าสามารถทำงานได้ด้วยค่ะ วีซ่าที่เราได้คือ E-3 คือสำหรับคนออสเตรเลียที่มาทำงานในอเมริกา ส่วนขั้นตอนการย้าย เค้าให้เลือกว่าจะใช้บริษัทเค้าทำการขนย้ายให้แล้วรวมกับการได้ที่พักฟรีหนึ่งเดือนแรก หรือจะเลือกรับเงินก้อนแล้วย้ายเอง เราเลือกรับเงินก้อนค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นบริษัทก็มีคนจัดหาที่พักเกือนแรกให้ทุกอย่าง เราแค่จ่ายตังจากเงินก้อนแรกที่เค้าให้ค่ะ

พอเราทำงานไปสักพักที่บริษัทจะพยายามทำเรื่องขอกรีนการ์ดให้ค่ะ สาเหตุที่เค้าอยากให้กรีนการ์ดเพราะเค้าจะได้ไม่ต้องทำเรื่องต่อวีซ่าให้บ่อยๆ และวีซ่าทำงานมันมีลิมิตของมันอยู่

 6. สรุปเปรียบเทียบการทำงานสาย IT ระหว่างอเมริกาและออสเตรเลีย

ส่วนตัวคิดว่าคนออสค่อนข้างชิล การแข่งขันไม่ค่อยสูง สมัยทำงานทำจริง ๆ แค่อาทิตย์ละสี่วันครึ่งเพราะวันศุกร์ไปกินข้าวกลางวันกันที่ผับ มีดริ๊ง บ่ายๆ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ต่างกับคนเมกันที่เค้าจะมีเป้าหมายในการทำงานมาก ๆ การแข่งขันสูงมาก เค้าจะมีเป้าหมายและจะคิดตลอดเวลาว่าใน 2-3 ปี เค้าจะต้องจะได้โปรโมต ได้เติบโตในสายงานหรือว่าเค้าจะเปลี่ยนสายไปเป็นอะไร มีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรามาอยู่นี่ก็ต้องตามเค้าให้ทันค่ะ

ในสายงาน IT คิดว่าทางออสเตรเลียจะเติบโตได้ไม่มากนักถ้าเทียบกับฝั่งอเมริกา ทั้งนี้เพราะที่ออสจะไม่ค่อยมี IT innovation เท่าไหร่ เพราะงั้นถ้าอยากทำบริษัทใหญ่ก็จะได้ไปอยู่ใน IT department ของบริษัท finance อะไรแบบนี้ ซึ่งต่างกับฝั่งอเมริกาที่การแข่งขันทางด้าน innovation พวกนี้จะสูงมาก จะมีบริษัทใหญ่ๆ จนถึง start up ที่ต้องการคนทำงานสาย tech สูงมากคนทำสายนี้ก็จะมีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานสูงมาก และมีบริษัทให้เลือกทำเยอะมากด้วยค่ะ

หนึ่งในสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ชอบทำงานที่นี่และอยู่ได้งานคือ perk นึงของเค้าคือให้เอาน้องหมามาทำงานด้วยได้ ก็จะหิ้วน้องมาทำงานด้วยตลอด แล้วก็จะเห็นน้องหมาเต็มออฟฟิศเลยค่ะ ปล. ใครถูกใจนุ้งคอร์กี้ ไปติดตามไอจีนุ้งได้นะคะ https://instagram.com/ringo_thecorgipup

ฝากไว้เท่านี้ก่อนละกันนะ ใครมีคำถามเจาะลึกเรื่องไหนสามารถถามเข้ามาเพิ่มกันได้ค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากจะย้ายประเทศนะคะ

—-

เพิ่มเติม ไม่นานมานี้ได้มีการไปคุยแชร์ประสบการณ์การทำงาน UX ใน Amazon กับเพจ Deersigner ใครสนใจงานสายนี้ไปฟังกันได้นะคะ https://fb.watch/5m0olmJehw/

ประสบการณ์ขึ้นศาลแรงงานที่นิวซีแลนด์

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ หลาย ๆ คนคงได้เห็นโพสต์ของการรีวิวนิวซีแลนด์เยอะแยะแล้ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าไปมากๆ วันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกะเราตอนอยู่ที่นิวซีแลนด์ว่า ประเทศนี้มันดีขนาดไหน แล้วทำไมเราถึงตั้งใจอยากไปเป็นพลเมืองของประเทศนี้

ชื่อเรื่อง : ฟ้องกระทรวงแรงงานนิวซีแลนด์เนื่องจากได้ค่าจ้างไม่ครบตามกฎหมาย ตอนอายุ 18 (ยาวหน่อยนะครับ)

ความจริงนั้น การที่เราย้ายไปอยู่ในประเทศโลกที่ 1 มันก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป สำหรับบางประเทศ เราชาวเอเชียอาจจะถูกจัดอยู่ในพลเมืองชั้น 2-3 หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่พลเมืองชั้น 2-3 ความเป็นอยู่ สวัสดิการ ความมั่นคงในชีวิต ดีกว่ากะลาแลนด์แน่นอน สำหรับประเทศนิวซีแลนด์ เรากล้าพูดเต็มปากว่า เป็นดินแดนแห่งความเท่าเทียม ประชาชนค่อนข้าง enlightened สูงมาก เป็นประเทศที่มี multicultural สูง แต่อยู่ด้วยกันได้ เอาล่ะเข้าเรื่องดีกว่า ว่าประเทศนี้เท่าเทียมยังไง

เรื่องมีอยู่ว่า ตอนอายุ 18 เราไปนิวซีแลนด์เพื่อไปเรียน ภาษา 6 เดือน เพื่อรอเปิดเทอม ปี 1 มหาลัยที่ไทย (ตอนนั้นจบ ม.6 ว่างประมาณ 6 เดือน) เราเรียนที่ Auckland ละอยู่กะ Host ซึ่งเราได้ Student Visa ที่แบบมันทำงานได้ week นึง ไม่เกิน 20 ชม

เราก็อยากหางาน part time ทำเพราะเลิกเรียนตั้งแต่บ่าย ว่างจัด ๆ เลยไปสมัครร้านอาหารไทย ที่ไม่ใช่อาหารไทยจริงแบบ มันมีหลายเชื้อชาติ แต่เชฟเป็นคนไทย ไปทำงานขอเป็นเด็กล้างจาน และ เสริฟ ซึ่ง ทางร้านก็ให้เราทำ ด้วยค่าแรง 10$NZD (~230฿) ต่อชั่วโมง แต่…ค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายตอนนั้นมันต้อง 16$NZD (~378฿): ชั่วโมง โดยการรับค่าแรงเพียงแค่ 10$ ชม ก็คือรับเป็นเงินสด ไม่ต้องให้ร้านโอนผ่านธนาคารและเสียภาษี ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้เรื่องไรสักอย่าง ร้านบอก ให้เงินสดสะดวกนะ ได้ 10$ เอาไหม? เราก็เอาดิ โห ชม ละ เกือบ 250฿ เยอะชิบหาย

ทำงานวันแรก : เจ้าของร้านให้ทำล้างจาน ล้างคนเดียว จานประมาณ 3-4 ร้อยใบได้ จานใหญ่มาก หนักมาก จานระดับร้านหรูอะ ล้างตั้งแต่ 17.00-23.00 ไม่ได้ค่าจ้าง เจ้าของร้านบอก วันนี้ทดลองงานไม่ให้ค่าจ้างนะ ให้ข้าวมากินกล่องนึง ก็ไม่ได้อะไรเฉย ๆ

ทำมาได้สัก 6 อาทิตย์มั้ง อยู่ดี ๆ เจ้าของร้านก็ไม่ให้ทำละ ไล่ออก โทรมาไล่ออกด้วยนะ บอกว่าไม่ต้องทำงานละ งงดิ ก็เออ ไม่เป็นไร เสียใจหน่อย ๆ โทรไปหาโฮส ว่าเขาไล่ออก (เรากะโฮสสนิทกันมากก โฮสรักเรามากเหมือนลูกคนนึงเลย) โฮสก็ตกใจ ละถามว่า “ได้เงินค่าชดเชยไหม? จากการถูกไล่ออกกระทันหัน”

เราแม่ง งง เลย เงินชดเชยไรวะ โฮสบอกว่า “ตามกฎหมาย ถ้าถูกให้ออกจากงานกระทันหัน ต้องได้เงินชดเชย เพื่อให้เราไปหางานใหม่ มีรายได้ระหว่างหางาน”

สรุปคือเราไม่ได้ เพราะไม่รู้ และ กะลาแลนด์ก็ไม่มีอะไรแบบนี้ หรือ อาจมีแต่ไม่รู้มาก่อน ละ โฮสเราก็เริ่มหงุดหงิดละ โฮสถามว่า เอ้อ ละได้เงิน ชม ละเท่าไหร่ เราตอบไปว่า ได้ ชม ละ 10$ เท่านั้นแหละ แม่เจ้า โฮสกูกรี๊ดเลย บอกให้กลับบ้านทันที

ทันทีที่กลับบ้าน โฮสก็ซักไซร้ไล่ถามทุกอย่าง โฮสไม่ยอม บอกร้านนี้ทำผิดกฎหมาย กดขี่เรา ให้เงินไม่ครบ บลา ๆ ที่สำคัญที่ทำงานวันแรกละไม่ได้เงิน โฮสขึ้นมากแทบขับรถไปที่ร้านอาหาร คือฝึกงานต้องได้เงินจำนวนเต็ม!! แต่เราอะไม่ค่อยติดใจอะไรเท่าไหร่ เลยบอกช่างมันเถอะ แต่โฮสนี่ไม่ยอมเลย บอกเดี๋ยวจัดการให้

อีก 2-3 วันต่อมา โฮสบอกให้กูไปกระทรวงแรงงานนิวซีแลนด์ อยู่ในเมือง ให้ไปเองเลย เพราะวันนั้นโฮสต้องไปทำงาน บอกรายงานไปที่กระทรวงแล้ว เขาขอเรียกตัวสอบสวน อีเหี้ย เร็วมาก (หมายถึงโฮสน่ะ เร็วไปไหม ที่ตกใจกว่า กระทรวงทำงานเร็วจัง 555)

กูที่ไปถึงกระทรวงแรงงานละก็เอ๋อแดก พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งด้วยตอนนั้น. แม่งมีแต่ศัพท์กฎหมาย จนท ก็น่าจะสังเวชเรา เลยบอกว่า เออกลับไปก่อน เดี๋ยวค่อยโทรหาทางมือถือถ้าต้องการข้อมูลไรเพิ่ม เราก็โอเคกลับบ้าน

อีก สัก 3-4 วัน มีสายจากกระทรวงแรงงานโทรมาหาโฮส พร้อมกับ นักล่ามไทย -อังกฤษ ขอคุยกับ กู โอ้โห สรุปคือ เขาไปหาล่ามไทยมาให้ ไม่แน่ใจว่าเป็น จนท สถานทูตไทยไหม? (ปล. สถานทูตไทยในนิวซีแลนด์จะอยู่ที่เมืองหลวงคือ wellington ไม่ใช่ Auckland) คือ มีล่ามให้เลย เขาสัมภาษณ์ทุกอย่าง ล่ามก็แปลไป

1-2 อาทิตย์ต่อมา จนท ได้ไปที่ร้านอาหารนั้นเรียบร้อย ไปสอบถามเจ้าของร้าน เก็บหลักฐานต่าง ๆ โฮสก็ช่วยรวบรวมหลักฐานให้ ตอนแรกร้านให้การปฏิเสธทุกอย่าง แต่ตำรวจ จนท ประเทศโลกที่หนึ่งอะเนอะ เขาตั้งใจทำงานสมภาษีและเงินเดือน สุดท้ายคือ ได้หลักฐานเอาผิดร้าน

บังเอิ๊นนนนน ตอนนั้นนี่ต้องรีบกลับไทย เพราะว่าตารางกิจกรรมออกมาว่า ต้องมารับน้องที่คณะ กลัวไม่มีเพื่อนเลย กลับก็ได้ว่ะ เดี๋ยวโดนพี่ว้ากจ้อง กลัว เลยกลับมาไทยทั้ง ๆ ที่คดียังไม่จบ เงินก็ยังไม่ได้ เลยแบบ เออช่างมัน

ทุกอย่างเหมือนจะจบแต่ไม่จบ หลังกลับมา ทางนิวซีแลนด์ลงทุนโทรมาเมืองไทย ติดต่อกับทางกระทรวงผ่านเมล์ ซึ่งแบบตอบเมล์กันกับ จนท โบ๊ะบ๊ะ ไม่ต้องรอเกิน 2 วัน กูงงมาก จนท ประเทศนี้ทำงานเร็วจังวะ อยากพาข้าราชการไทยไปดูงานชิบหาย หลังจากที่กลับไทยมาประมาณเกือบเดือน

โฮสบอกว่า ศาลตัดสินแล้ว ร้านผิด สั่งปรับเรียบร้อย เราได้เงินคืนทั้งหมดที่เราเสียไป แต่โดนหักภาษีเยอะอยู่ และ ทางนิวซีแลนด์ก็โอนเงินมาให้ในบัญชีไทยที่เราให้ข้อมูลไป น้ำตาจะไหล

ที่เล่ามาทั้งหมดอยากจะสื่อให้เห็นว่าประเทศนี้ให้ความสำคัญกับทุกคนขนาดเราเป็นแค่นักเรียนระยะสั้นที่ไปทำงานพาร์ทไทม์เหมือนจะไม่ได้สำคัญอะไรเลยแต่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี. เข้าถึงระบบยุติธรรมได้อย่างรวดเร็วระยะเวลาที่ใช้ทั้งหมด. ยังไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำที่ทุกอย่างจบและเราได้เงินคืน

ลองมองเล่นเล่นหันกลับมาที่ประเทศของเราถ้าแรงงานพม่าฟ้องนายจ้างล่ะเหอะอย่าหวังว่าจะชนะ เผลอๆโดนนายจ้างเล่นงานก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนยุติธรรมอีก

ที่เล่ามาทั้งหมดก็อยากให้เห็นความดีความงามของประเทศนี้ฝากนิวซีแลนด์ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับมีอีกหลายเรื่องเดี๋ยววันหลังมาเล่าให้ฟังอีกรู้สึกประทับใจประเทศนี้มาก ขอบคุณครับ

คนไทยในนิวซีแลนด์รีวิวประเทศ

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ #คนไทยในนิวซีแลนด์ NZ กลุ่มสำหรับคนไทยในนิวซีแลนด์ https://www.facebook.com/groups/319411138776576/?ref=share

รีวิว ข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้น

  • รายได้ขั้นต่ำ 50,000 -60,000 บาท /เดือน (ถ้าเทียบขั้นต่ำไทยก็ ประมาณ 9,000บาท ต่อเดือน)
  • ที่พัก 12,000 -17,000 /เดือน
  • ค่าโดยสาร 1000- 2000 / เดือน
  • ค่า อาหาร จานละ 350-500 บาท (ถ้าทำกับข้าวกินเอง จะถูกมาก )
  • ทำงานแค่วันละ 5 -7 ช.ม หยุด 1-2 วัน/อาทิตย์ สามารถมีเงินเก็บได้เดือน 20,000+ บาท

Review ความแตกต่าง ไทย & นิว

  • ถ้าคุณรักการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่นี่คือคำตอบของคุณ ธรรมชาติที่ประเทศนี้สวยมาก ๆ สามารถถ่ายรูปออกมาโดยไม่ต้องแต่งรูปเลย
  • ประเทศที่ทุจริต (คอร์รัปชัน) น้อยที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก (ไทย อันดับ 104 ของโลก)
  • กาแฟ starbuck ราคา 6-8 เหรียญ (ทำงาน ช.มเดียว กินได้ 2-3 แก้ว )
  • วินัยจราจรสูงมาก ข้ามทางม้าลาย รถจะหยุดให้สนิท ไม่สนิทเอาตีนมาเยียบหน้าได้ (แต่อย่าแรง)
  • คนขับมอเตอร์ไซค์ ใส่หมวกกันน๊อกเแทบ100% ไม่ว่าจะขับไปใกล้-ไกล
  • รถยนต์มือสองที่นี่ถูกมาก 1500 -2500 เหรียญ ก็สามารถมีรถเป็นของตัวเองแล้ว อารมณ์ ประมาณว่า ทำงานหนึ่งเดือนก็สามารถซื้อรถได้แล้ว แต่ที่ตรงกันข้ามก็คือ ค่าซ่อมทีนี่แพงมากกกก
  • มีระบบขนส่งสาธารณะที่ดี แค่การ์ดใบเดียว โดยสามารถใช้ได้ทั้ง รถไฟ รถเมล์ และเรือ เพียงแค่แปะบัตรก่อนขึ้น และทาบบัตรตอนลง (ไม่ต้องแลกเหรียญไว้สำหรับขึ้นรถเมล์ เพราะกลัวโดนมองแรงเมื่อให้แบงค์ใหญ่ และไม่ต้องเก็บตั๋วไว้ เพื่อรอให้กระเป๋ารถเมล์มาฉีก)
  • รายได้ขั้นต่ำ $20/ชม. (440 บาท) จ่ายเป็นรายอาทิตย์ (ของไทย รายได้ขั้นต่ำ 336 บาท /ต่อวัน จ่ายเป็นเดือน)
  • เวลาติดต่อเกี่ยวกับงานราชการ ไม่ต้อง ถ่ายเอกสารบัตร ปชช เก็บไว้ พร้อมเขียนคำว่า (สำเนาถูกต้อง)
  • นิวซีแลนด์ใช้วัคซีน Pfizer/BioNTech ประสิทธิภาพของวัคซีน 95% ฉีดคนแรก 19 ก.พ และตรวจหาเชื้อฟรีทุกคน ถ้ารู้สึกป่วย (ของไทยใช้ sinovac ประสิทธิภาพ 50%)
  • มีระบบการศึกษาดีที่สุดอันดับ 9 ของโลก ไทยอันดับ 8 (แต่ไม่ได้ของโลกนะ ของอาเซียน แพ้ กัมพูชา ที่อยู่อันดับ 6 และเวียดนาม อันดับ 7 )
  • นอกเรื่องสุดท้าย เจนนี่ วง blackpink เคยมาเรียน นิวซีแลนด์ (ACG Parnell College)
  • อยู่นี่แล้วเวลาเดินในที่เปลี่ยวแล้วรู้สึกไม่ค่อยกลัวผี เพราะรู้สึกว่าผีไทยบินมาไม่ถึงนิวซีแลนด์

ทั้งหมดนี้เป็นแค่การรีวิวคราว ๆ ของ ประเทศนิวซีแลนด์นะครับ เพราะทุกประเทศนั้นล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และประเทศนิวซีแลนด์ก็มีข้อเสียหรือมุมมืดเหมือนกัน แต่แค่ตอนนี้ของไทยมันมืดกว่าก็เท่านั้นเอง ยังไงเดี๋ยวมาเล่ามุมมืดของนิวซีแลนด์ให้ฟังในคราวหน้านะครับ กลัวจะยาวเกิน

ส่วนเรื่องการมาต่างประเทศ ไม่ใช่แค่เฉพาะที่นิวซีแลนด์ ทุก ๆ ประเทศ ล้วนมีกฎและข้อบังคับต่าง ๆ ในการเข้าประเทศอยู่นะครับ ยังไงขอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลในการไปประเทศนั้น ๆ ด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องการที่จะเข้ามายังนิวซีแลนด์ตอนนี้ ผมขอตอบแบบตามตรง ว่าค่อนข้างยากถึงยากมากนะครับ เหตุผลก็เพราะว่า ตอนนี้นิวซีแลนด์ยังไม่ได้ทำการเปิดประเทศ จนกว่าโรคระบาด C-19 ของประเทศอื่นจะดีขึ้น รัฐบาลนิวซีแลนด์ในตอนนี้จึงไม่ได้มีแผนที่จะรับคนภายนอกเข้ามา แต่ได้ข่าวมาคราว ๆ ว่าจะเปิดประเทศสิ้นปีนี้อ่าครับ

และสุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนระวังคนไทยด้วยกันเอง หลอกว่าสามารถทำเรื่องให้ไปเรียนต่อประเทศ หรือ ทำงานประเทศนั้น ๆ ได้นะครับ เพราะตอนนี้มีคนถูกหลอกให้โอนเงิน เพื่ออ้างว่าเป็นค่าเอกสารนู่นั้นนี่ และสุดท้ายไม่ไปต่างประเทศกันเยอะ จึงอยากมาขอเตือนให้ระวังกันไว้ด้วยนะครับ

รีวิว นิวซีแลนด์ ตอน 3/3

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

ตอนที่ 3 สุดท้ายแล้ว ยาวหน่อยนะคะ ส่วนใครที่ถามคำถามเข้ามา จะทยอยตอบให้นะคะ อาจจะตอบช้าบ้าง แต่ตอบชัวร์จ้า

#ทีมนิวซีแลนด์ #ทีมอินเวอร์คากิลนิวซีแลนด์

มาเข้าเรื่องสถาบันการศึกษากันบ้างนะคะ หลังจากที่เกริ่นไปบ้างแล้ว ก็มีหลาย ๆ คนถามถึงเรื่องทุนเรียนภาษาฟรี 6 เดือนที่เมือง Invercargill ค่ะ

สถาบันที่ว่านี้ ชื่อ Southern Institute of Technology เป็น College ของรัฐบาลประจำเมือง Invercargill มีทั้งนักเรียน Local และต่างชาติ สอนตั้งแต่ระดับ Certificate ไปจนถึง Master Degree ค่ะ มี 3 campus คือ Auckland, Queenstown , Invercargill

สถาบันนี้ ให้ทุนเรียนภาษาฟรี 6 เดือน ให้นักเรียนต่างชาติ ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ เคยมีคุณยายชาวเกาหลี อายุ 60 กว่า ๆ มาเรียนด้วยนะ (บางคนเรียนภาษาไม่ผ่าน 6 เดือน ขอต่อฟรีได้อีก 3 เดือนค่ะ แต่เรียนฟรีที่ Invercargill campus นะคะ ) แต่ด้วยเงื่อนไขคือ การลงเรียน Main Stream Course ต่อเนื่องด้วย โดยหลังจากการสมัคร นักเรียนต้องชำระ Deposit $9000 เหมือนการวางเงินประกัน ให้ รร เพื่อยื่นขอวีซ่ามาเรียนภาษาค่ะ และพอเรียนภาษาจบ จึงจ่ายเงินเพิ่มในส่วนที่ค้างของคอร์สหลัก เช่น ค่าเรียน Diploma $15000, จ่ายมัดจำ $9000 (ได้วีซ่ามาเรียน 6 เดือน), เรียนภาษาจบ เข้าเรียนต่อ จ่าย $6000 ที่เหลือ เข้าเรียนต่อโลดดด

แต่ข้อด้อย ของสถาบันนี้ คือ นักเรียนจะไม่สามารถทำงานพิเศษได้ ตอนเรียนภาษานะค่ะ (บางรร เอกชนใน NZ สามารถทำงานพิเศษได้ วีซ่าออกมาสามารถทำงานได้เลยค่ะ) แต่ถ้าอยากเรียน ที่นี่ อยากทำงานพิเศษได้ ก็ต้องมีผล ไอเอล 5.0 ไปยื่นตอนสมัครวีซ่าค่ะ เค้าก็จะออก work permit ควบคู่ให้ด้วย

ส่วนคนที่ถามเข้ามา ว่าเรียนไป ทำงานไป เก็บเงินส่งตัวเองเรียน ได้มั้ย .. ก็ต้องตอบตรง ๆ เลยว่า ว่าค่อนข้างยาก สำหรับนิวซีแลนด์ (หรืออาจจะเป็นแค่เมืองนี้ก็ได้ค่ะ) จะต่างจากออสเตรเลีย ออสเตรเลียการเรียน ยืดหยุ่น มีเวลาไปทำงานได้เยอะพอสมควร อาจจะทำเกิน 20 ขม กันได้บ้าง มั้งนะคะ..

แต่สำหรับที่นี่ คือ เรียน 4-5 วัน ถึงเเม้จะเรียนคอร์สหลักแล้ว ค่าเทอมต้องจ่ายรายปี ไม่มีรายเดือน วีซ่าปีต่อปี ไม่มีวีซ่ายาว… พูดง่าย ๆ คือ เน้นเรียน เรียนจบค่อยได้ work visa เพื่อหางาน ทำงานให้เต็มที่ค่ะ .. เลยอยากแนะนำ ให้มีเงินสักก้อน อย่างน้อยเป็นค่าเรียนทั้งคอร์สค่ะ แล้วมาหางานพิเศษทำเป็นค่ากินค่าที่พัก อย่างนี้ก็พอจะไหวอยู่ค่ะ

อ่อแต่ตอนนี้ที่ Invercargill กำลังสร้างห้างใหญ่มา กๆ น่าจะเสร็จ ในเวลาอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งเค้าก็หวังจะดึงดูดคนมาอยู่ มาทำงานที่นี่ค่ะ

ข้อด้อยอีกข้อ ของเมืองนี้นะคะ คือ เป็นเมืองเล็ก ประชากร ประมาณ 7x,xxx คน ไม่ใช่เป็นเมืองท่องเที่ยว เศรษฐกิจพึ่งพาตัวเอง ซึ่งขอดีคือ ช่วง COVID-19 ธุรกิจส่วนใหญ่ ไม่ได้รับผลกระทบเลย. แต่เมืองจะเงียบเหงากว่าบ้านเราแน่นอน คนไม่เยอะ แต่พอมีงาน มีอีเว้นท์ คนไม่รู้ออกมาจากไหน เยอะเต็มไปหมด

และเเน่นอนว่าเมืองเล็ก งานก็จะน้อยตาม ไม่เหมือนเมืองใหญ่ค่ะ เด็ก นร เลยจะหางานยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีมีงานทำเลยนะคะ แต่ก็ต้องใช้ความพยายามในการหา มากกว่าอยู่เมืองใหญ่สักหน่อย ส่วนชาวต่างชาติที่มาเรียน ก็จะมี จีน เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนามยุโรปประปราย (Marketing ของ รร นี้เน้นไปทาง Southeast Asia) ส่วนใหญ่ เด็ก ๆ ที่มาเรียน พอจบคอร์สแล้วก็จะย้ายไปหางานตามเมืองใหญ่ ๆ กันหมด แต่ที่ร้านอาหารไทยเราเน้นจ้าง เด็ก นร นะคะ แต่ไม่มีเด็กไทยเลย มีแต่อินโด มาเลเซีย ที่จะพูดภาษาไทยกันได้อยู่แล้ว

หลังจากเรียนจบ ก็จะสามารถยื่นสมัคร Post Study Work Visa ส่วนระยะเวลา ที่จะได้ ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาที่จบ และเมืองที่เรียน (ที่ไม่ใช่ Auckland จะได้ระยะเวลาวีซ่ามากกว่า ถ้าจำไม่ผิด) เช่น จบ ปริญญาตรี (level 7) ได้ วีซ่า 3 ปี, จบ post graduate diploma/graduate diploma ได้ 2 ปี เป็นต้น

Website ของ College นะคะ ลองเข้าไปดูข้อมูล คอร์สเรียน ดูนะคะ www.sit.ac.nz

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเรียนเป็นจุดเริ่มต้นของการมาอยู่ ที่นิวซีแลนด์นะคะ เพราะ หลังจากเรียนจบ ยังต้องมีขั้นตอนหลายอย่าง ทั้งหางาน หานายจ้าง sponsor และยังมีกฏต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงบ่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ รวมถึงค่าจ้างที่ต้องสูงถึงเกณฑ์กำหนด ถึงจะมีสิทธ์สมัคร resident visa ได้ (ตอนนี้คือ ต้องได้ ชั่วโมงละ $25.5 ถึงจะสามารถยื่นขอได้ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงพอสมควรที่จะมีคนมาจ้าง แต่ถ้าสายสุขภาพ สายเกษตร ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ค่าจ้างน่าจะถึงกันหมด)

ข้อมูลของimmigration ต้องอัพเดทอยู่ตลอดนะคะ เพราะเปลี่ยนบ่อย อย่างที่บอกไป เราอยากให้ทุกคนศึกษาหาข้อมูลให้ดีๆ รอบๆด้าน คิดและวางแผนให้ครอบคลุม ถ้าได้ตัดสินใจมาแล้ว ก็อยากให้อดทน พยายาม มุ่งมั่น ไม่อยากให้เสียเงิน เสียเวลา เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด อย่างเรา เราเลือกเรียนคอร์สที่สั้น จบเร็ว ใช้งานได้จริง เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆ เปลี่ยน ให้ยากขึ้นอยู่ตลอด เลยจ้องรีบเรียน รีบจบ รีบยื่นวีซ่า .. ขอให้ทุกคนโชคดี สมหวังตามตั้งใจนะคะ ไว้ถ้าคิดเรื่องอะไรที่พอมีประโยชน์ออกอีก จะมาเเชร์อีกนะ

รีวิว นิวซีแลนด์ ตอน 2/3

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์ #ทีมอินเวอร์คาร์กิลนิวซีแลนด์

ตอน 2

ก่อนอื่นต้องท้าวความก่อน ว่าก่อนที่จะมาอยู่นิวซีแลนด์ ไปอยู่ออสเตรเลียมา 4 ปี ตอนนั้น ยังไม่อินกับการที่จะตั้งรกรากต่างประเทศ คิดว่าเมืองไทย น่าอยู่กว่า ทั้งมีครอบครัว มีเพื่อน มีงานทำ อาหารการกิน ที่พร้อม 24 ชม อากาศไม่หนาว เพราะไม่ชอบอากาศหนาว …

แต่พอกลับมาอยู่เมืองไทย ได้ 1 ปี และลูกคนแรก ก็จะต้องเข้า รร … เลยได้คิด ถ้าอยากให้ลูก influence in English เราคงไม่สามารถจะส่งเสียลูกเรียนนานาชาติ ได้ … เลยคิดว่า เราจะออกนอกประเทศอีกครั้ง

ทำไมต้องนิวซีแลนด์ ?

ด้วยความที่ตัวเอง เปิด บริษัท แนะแนวศึกษาต่อต่างประเทศของตัวเองที่เมืองไทย และ ส่งนักเรียน ไปทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา อังกฤษ… เลยได้หาข้อมูลเชิงลึก มีการหาข้อมูลการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ไว้เยอะ เพื่อให้คำแนะนำลูกค้า .. แต่ก็มาจบที่เกาะใต้ เมือง Invercargill, New Zealand เพราะ เรียนภาษาฟรี 6 เดือน ฟรีที่พักอีก 2 สัปดาห์ (แต่ตอนนี้เพลา ๆ การทำแล้วนะคะ ต้องออกตัวก่อน เพราะทั้งงานที่ร้าน ทั้งเลี้ยงลูกน้อย กลัวจะไม่สามารถบริการทุกคนได้เต็มที่ แต่พอจะแนะนำได้บ้าง ถ้าเวลาสะดวกนะจ๊ะ แต่ยังมีเพื่อนสนิท ทำแนะแนวศึกษาต่ออยู่นะค่ะ แนะนำเก่ง ข้อมูลแน่น น่าเชื่อถือ สนใจถามได้ค่ะ)

จริง ๆ ดูหลายประเทศมาก ๆ ค่ะ เกือบได้ไปแคนาดา แต่ตังค์ไม่พอใน statement พ่อแม่ก็ไม่สนับสนุนให้ไป ก่อนที่จะอพยพครอบครัว 3 คนพ่อแม่ลูก ณ ตอนนั้น (ปี 2015 ตอนนั้น อายุ 31 แล้วนะ ) เราทำการวางแผงล่วงหน้า ปีกว่า ๆ คะ ทั้งแผนการเงิน การงาน การเรียน การจัดการเวลา การเลี้ยงลูก .. เราตัดสินใจมาพร้อมกันทั้งครอบครัว ตอนนั้นลูกชายคนโต อายุ 3 ขวบ ค่ะ ตัดสินใจไม่ทิ้งลูกไว้ไทยกับตายาย เพราะ ที่เรามา ก็มาเพื่อลูกจริง ๆ และลูกนี่แหละเป็นกำลังใจ และแรงผลักดันที่เยี่ยมยอดมาก ๆ

เราแนะนำให้พี่ ๆ น้อง ๆ ในนี้วางแผนของตัวเองก่อนนะค่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เสียเงินเสียทอง

ขั้นตอนการวางแผงการอพยพของเรา คือ

1. ตั้งเป้าหมายค่ะ เป้าหมายเราคือ อยากเปิดร้านอาหารไทยที่นั่นค่ะ เพราะresearch มาแล้ว เมืองนั้นมีร้านไทย 2 ร้าน (และเป็นเจ้าของคนเดียวกัน) และที่สำคัญ พ่อบ้าน (สามี) มีประสบการณ์+ skill จากร้านอาหารไทย ที่ออส มากว่า 10 ปี, เรียน chef มาก่อน ตอนอยู่ไทยเราเลยให้เค้าไปลงเรียน และสอบเพิ่มเพื่อเอาใบ เป็น certified Thai Chef จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (ที่นิวซีแลนด์ มีวีซ่าที่เรียกว่า Thai Chef Visa นะจ๊ะ ไว้จะมาเล่าค่ะ เราก็จ้างเชฟจากไทย ตอนนี้มี 4 คนค่ะ เราทำวีซ่าเองทั้งหมด) ตอนแรก ก็กะว่าจะให้สามี สมัครงาน chef ละเราติดตาม แต่จำไม่ได้ว่า ทำไมกลายเป็นเราเรียน

2. หาข้อมูลอาชีพที่ขาดเเคลน ของนิวซีแลนด์ ว่ามีอะไรที่เราเข้าข่ายบ้าง qualifications ของเราเพียงพอมั้ย : หนึ่งใน list คือ restaurant manager เอาละ เข้าทาง ต้องเรียน business แน่ ๆ ละ ขั้นต่อไปเลยต้อง research course

3. เรียน business แต่จะเรียน ระดับไหน : นิวซีแลนด์ แบ่งการเรียน เป็น level นะค่ะ เราเลือกเรียน level 8 Graduate Diploma in Business Entreprise เรียนเพียง 18 เดือน ( course work 1 ปี ทำ dissertation 6 เดือน และ ตอนนั้น (ปี 2015) การเรียนระดับนั้นของสาย business ผู้ติดตาม ยังสมัคร full time work visa ได้ และลูก ก็เป็น student visa ติดตามพ่อได้… แต่ตอนนี้กฏเปลี่ยนแปลงเยอะมากค่ะ จะทำติดตามได้ คือ level 9 /10 master degree , doctoral degree หรือต้องเรียน ในshorten skill list เช่น engineer ในระดับปริญญาตรี 3 ปี

4. แพลนค่าใช้จ่ายค่ะ : การเรียน ที่ NZ ไม่เหมือน Australia นะค่ะ นิวซีแลนด์ ไม่มีผ่อนจ่ายค่าเทอม วีซ่าสมัครได้ปีต่อปี ต่างจากออส ที่ลงคอร์สยาว วีซ่ายาว และแบ่งข่ายค่าเทอมได้ นี่ก็จะเป็นอุปสรรค อย่างนึงค่ะ … และด้วยความที่พ่อแม่ ไม่สนับสนุนให้มาค่ะ เราเลยต้องวางแผนค่าใช้จ่าย ที่ใช้เวลาเป็นปี เตรียมตัว ก็เพราะเก็บเงินนี่แหละ ตอนนั้นทำบริษัทแนะแนวศึกษาต่อ โชคดีที่ถือว่าประสบผลสำเร็จ ลูกค้าเยอะพอควร เก็บเงินเก็บทองได้ ช่วยสามีขายที่นอนให้คอนโดต่างๆ ที่แถมที่นอน ก่อนมาก็ขายรถสามี เรียกว่าทำหลายอย่างมากๆ ส่วนสิ่งที่เราเตรียม คือ 1.ค่าเรียนทั้งคอร์ส (ตอนนั้น $21,xxx ) 2. ค่าเช่าบ้าน เกือบทั้งปี ถ้าหางานทำไม่ได้ 3. ค่ากินอยู่ ของ 3 คนพ่อแม่ลูก 4. ค่าตั๋วค่าวีซ่าค่าตรวจร่างกาย 5. เงินซื้อรถรวม ๆ แล้วก็เกือบล้าน พอมาถึง เราก็ยังทำเอเจ้นอยู่นะตอนนั้น เลยยังมีรายได้อีกทาง

5. สอบไอเอล : ถึงแม้ว่า รร จะมีฟรีเรียนภาษา 6 เดือน แต่เราก็ไปสอบเพื่อวัดตัวเอง ภาษาเราถือว่าอยู่ในระดับสื่อสารได้ เอาไว้เรียนได้ ตอนนั้นสอบได้ 6.0 แต่ไม่พอ เค้าต้องการ 6.5 เลยยังต้อง มาลงเรียนภาษาอยู่ดี แล้วสอบภายใน สอบผ่าน ก็ได้เข้าเรียนตามที่ตั้งใจ

แป๊ะlink skill shortages list และ Post Study Work visa ให้นะคะ แต่ตอนนี้ immigration New Zealand

https://www.immigration.govt.nz/…/post-study-work-visa
https://skillshortages.immigration.govt.nz

เราใช้เวลาเรียน ทั้งหมด 2 ปี ( ภาษา 6 เดือน + main course 18 เดือน ) ปีที่สองที่เราอยู่ 2016 เราได้เปิดร้านอาหาร ทำร่วมกับญาติของสามี ซึ่งเค้าเป็นคนที่นี่อยู่แล้ว พอเรียนจบ ตามแพลน เราก็สมัคร 1 Year Open Work Visa วีซ่าตัวนี้ ใช้สำหรับ ผู้ที่เรียนจบจากนิวซีแลนด์ ให้เวลาการหางาน (ตอนนี้วีซ่ามีตั้งแต่ 1-3 ปี ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาที่เรียนนะคะ) หมดวีซ่านั้นก็ทำ Work Visa – Emploment assisted มี Job offer : restaurant manger แล้วทำเรื่องยื่นของ Resident Visa แบบ Skill Migrant Category โดยใช้เวลารอวีซ่า 2 ปี 2 เดือน … รวมทั้งหมด ก็ 5 ปี 7 เดือน จนได้ resident visa

เลยอยากจะแนะนำ เผื่อเป็นประโยชน์นะคะ ว่าลองหาข้อมูล วางแผน ดู ability ของเราเองงด้วย ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแพลน มันก็จะง่ายขึ้นค่ะ

เดี๋ยวจะมาต่อตอน 3 ให้นะคะ ทั้งเรื่อง รร ที่ให้ทุนเรียนภาษา และเรื่องการทำงานพิเศษ ในเมืองนี้ เพราะทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ที่นิวซีแลนด์ อาจจะไม่เหมือน ในประเทศอื่นๆ ทั้งเรื่องรายได้ และเรื่องเวลาเรียน
เสริมนิดนึงนะคะ

ตอนนี้ immigration NZ ยังปิดไม่รับพิจารณาวีซ่า ทั้งนักเรียน นักท่องเที่ยว จากนอกประเทศนะคะ คงต้องติดตมาต่อไป ว่าจะเริ่มเปิดประเทศเมื่อไหร่

ขอไปเลี้ยงลูกแป๊บจ้าา

รีวิว นิวซีแลนด์ ตอน 1/3

0
ธงชาตินิวซีแลนด์ ย้ายประเทศไปนิวซีแลนด์

#ทีมนิวซีแลนด์

คิดอยู่หลายวัน ว่าจะรีวิวดีรึเปล่า แต่พอได้ยินเพื่อนบอก ว่าเขียนเถอะ ถือว่าทำเพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติ เลยตัดสินใจ ช่วยงานระดับชาติ

เราอยู่ Invercargill เกาะใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ พอพูดถึงเมืองนี้ เชื่อว่า 95% ไม่มีคนรู้จัก เป็นเมืองที่อยู่ใต้สุด ของนิวซีแลนด์ และใต้สุดของโลก คือใกล้ขั้วโลกใต้ อากาศคือหนาว เกือบทั้งปี อากาศหน้าร้อน คือหน้าหนาวของไทยดี ๆ นี่เอง

เราอยู่มาปีนี้เข้าปีที่ 6 มีร้านอาหารไทยของตัวเองอยู่ที่นี่ ตอนนี้ ได้ resident visa ทั้งครอบครัวแล้ว ( เราได้จากการขอ Skill Migrants Category : Restaurant Manager , จบ Post graduate diploma in business level8 จาก Southern Institute of Technology ซึ่งมีทุนการศึกษาของการเรียน ภาษาอังกฤษ เป็นเวลา 6 เดือน ให้นักเรียนต่างชาติ ทุกคน “ย้ำว่า” ทุกคน และยังให้ที่พัก ฟรี 2 สัปดาห์ ว้าววมั้ยหละ เดี๋ยวเรื่องนี่ จะมาเล่า ตอน 2 นะคะ ถ้ามีคนสนใจ จะมาเป็น #ทีมอินเวอร์คาร์กิลนิวซีแลนด์)

ต้องบอกก่อนว่า ทุกคนที่นิวซีแลนด์ที่มีงานทำ ต้องเสียภาษีทุกคน ซึ่งถือว่าเสียภาษีกันในอัตราที่สูงเลยทีเดียว แรก ๆ คือเสียดายเงินนะ แต่สวัสดิการทุกอย่างเราเข้าถึงหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ เราถือ work visa แต่ลูกเรียนฟรี เสียค่าบริจาคให้ รร ปีละ $125 หาหมอฟรี ทำฟันฟรี ทุกอย่างฟรีหมด ..

ยิ่งมาลูกคนที่ 2 ท้องคือ ฟรีตั้งแต่ท้องยันตอนนี้ และจะฟรีต่อเนื่องไปจนโต, เจาะเลือดฟรี ตรวจฟรี นั่งเครื้องบินฟรี ไปหาหมอเฉพาะทาง ที่พีคที่สุดคือ ลูกชายเราคลอดออกมาด้วยภาวะ มีรู 2 รูใหญ่ ๆ ที่หัวใจ อาการน้องค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะ น้ำหนักน้องไม่ขึ้นเลย …

คุณหมอน่ารักมาก ประสานงาน ให้กับทาง รพ เด็กที่ Auckland … รพ ส่ง เครื่องบิน Ambulance ส่วนตัว มารับเด็กอายุ 2 สัปดาห์ ไปผ่าตัดค่ะ … ผ่าตัดใหญ่ ปิดรู หัวใจ หมอดูแลดี พยาบาลดี ไม่ได้แคร์เลยว่าทุกคนรักษาฟรี .. ทุกอย่างคือ ฟรี หมดจริง ๆ และไม่ใช่แค่น้องนะ แต่รวมถึงแม่ อาหารฟรี 3 มื้อ ที่พักฟรี ซักผ้าฟรี เครื่องบินขากลับฟรี อยู่ที่ รพ ฟรีทั้งเดือน ไม่เสียค่าใช่จ้ายอะไรเลย … ซึ่งไม่อยากคิด ว่าถ้าอยู่ ที่ไทย เราจะต้องขายอะไร เพื่อรักษาลูกบ้าง คือยังไม่ได้ทำประกันให้ลูกเลย คลอดปุ๊บก็ต้องผ่าตัดแล้ว ….

มาถึงตรงนี้ ไม่เสียดาย เงินที่เสียภาษีเลย เต็มใจเสียภาษีมาก ๆ เพราะทุกอย่าง เรามั่นใจว่าเราจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ และเรายังตั้งใจบริจาค เงินให้ รพ เด็ก starship ทุกปี เพื่อช่วยคนอื่นต่อ… เราไม่ได้ไม่ชอบประเทศไทยนะ เรารักบ้านเกิด เรายังส่งเงินกลับบ้าน อย่างน้อยเอาเงินเข้าประเทศบ้าง เรายังซื้อของ online ส่งให้ที่บ้าน เรายัง import ของมาจากไทย

พ่อแม่พี่น้อง พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย เรายังอยู่ที่นั่น .. จริง ๆ ก่อนหน้านี้วางแพลนกับคนข้าง ๆ ว่าถ้าลูก ๆ เรียนจบกันแล้ว ก็อยากกลับไทย ไปอยู่กับพ่อแม่ … แต่ตอนนี้ อาจจะต้องเปลี่ยนแผน ขอวีซ่าให้พ่อแม่ มาอยู่กับเราแล้วหละ