Sunday, October 26, 2025
Home Blog Page 20

แชร์ประสบการณ์อยู่ออสเตรเลีย 6 ปีเต็ม

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

อยู่ออสเตรเลียมา 6 ปีเต็ม #ทีมออสเตรเลีย ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ไม่มีวันไหนที่ตื่นมาแล้วไม่มีความสุข ประเทศแห่งเสรีภาพที่ไม่มีการด้อยค่าความเป็นมนุษย์ใคร ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะเคยโดนดูถูก ถากถางมายังไงในชีวิตแต่มาที่นี่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น และด้วยประชากรเพียง 20 กว่าล้านคนทำให้รัฐบาลดูแลทั่วถึงแทบทุกเรื่องและดูแลดีมาก

ดูตัวอย่างจากการรับมือกับโควิดของออสเตรเลียที่อยากจะกราบใจคณะผู้นำของประเทศนี้ทุกวัน สิ่งที่ชอบมากที่สุดของประเทศนี้คือความ equality ในแทบทุกบริบท ค่าแรงทุกอาชีพไม่ต่างกันมากทำให้ความเลื่อมล้ำในสังคมน้อย ด้วยเหตุผลนี้นักศึกษาไม่จำเป็นต้องแห่กันไปสอบเข้าคณะใดคณะหนึ่งเพื่อหวังจะได้เงินเดือนสูง ๆ

ตอนเรียนจบ อยู่ที่นี่ขอให้คุณมีแค่หนึ่งอาชีพก็สามารถใช้ชีวิตได้สะดวกสบาย ไม่ต้องดิ้นรนหาไปหาดาวน์ไลน์ ชวนคนนั้นคนนี้มาทำธุรกิจเครือข่าย ลาพักร้อนแต่รับเงินเดือนเต็มได้ทุกปี

ที่ชอบมากที่สุดสำหรับ #ซิดนีย์ คือสภาพอากาศที่ไม่เลวร้ายจนเกินไป จะมีบางเมืองที่ร้อนทั้งปีและบางเมืองก็หนาวทั้งปี สำหรับซิดนีย์ถือว่าอากาศกำลังดีมีทั้งหนาวมีทั้งร้อนสลับกันไป ถ้าอยากเจอหิมะก็ขับรถออกนอกเมือง 4-5 ชม. ก็ได้เจอ

ที่สำคัญมีไทยทาวน์ใจกลางเมืองจ่ะ อยากได้อะไรก็เดินไปซื้อมีเหมือนที่ไทยแทบทุกอย่าง นี่เคยทำน้ำเงี้ยว(อาหารเหนือ)แล้วเพื่อนที่ไทยไม่เชื่อว่าจะมีดอกงิ้วขายที่นี่ เคยพาเพื่อนที่เป็นแอร์ไปเดินไทยทาวน์แล้วนางอเมซิ่งกับร้านหมูกระทะและแครปใส้ทุเรียน 5555

ตอนนี้ออสเตรเลียยังไม่เปิดพรมแดนเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ถือเป็นโอกาสดีสำหรับหลายคนที่อยากมาที่นี่จะได้เตรียมตัวและหาข้อมูลไว้เยอะ ๆ เปิดประเทศเมื่อไหร่วีซ่าผ่านง่ายแน่น่อนเพราะประเทศต้องการแรงงานจำนวนมาก เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากย้ายประเทศ เข้าใจว่าทุกอย่างอาจจะไม่ง่ายแต่ถ้าไม่ลงมือทำจริงชีวิตก็อยู่ที่เดิมกับผู้นำคนเดิมๆที่แต่งเพลง ”เราจะทำตามสัญญา” มาแล้ว 7 ปี เลือกเอา!

การมาออสเตรเลียถือว่าเป็นหนึ่งในการตัดตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต เราขอบคุณตัวเองที่ทำให้มีวันนี้ ถ้าจะต้องเสียใจก็มีเรื่องเดียวคือมาที่นี่ช้าไป หากย้อนเวลาได้จะมาให้เร็วกว่านี้ แด่เพื่อนๆเราที่กำลังอ่านโพสนี้อยู่อยากจะบอกว่า ถ้าอยากมาก็มาเลยจ่ะแล้วจะทำน้ำเงี้ยวให้กิน “nothing happens untill something moves” #ทีมซิดนีย์ #ทีมออสเตรเลีย


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

ประสบการณ์เรียนโทที่เมลเบิร์น พร้อมกับทำงานไปด้วย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

อยากแชร์ประสบการณ์เก็บเงินเรียนโทที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย แล้วก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยครับ #ทีมออสเตรเลีย

ตอนนี้ทำงานด้าน Cyber security ที่เมลเบิร์น ก่อนอื่นคือบ้านผมมีฐานะไม่ดีมากนักแต่ก็ไม่ลำบากมาก แต่หลังเรียนจบผมมีเงินเก็บก้อนนึงที่เก็บได้จากทุนการศึกษาต่าง ๆ ตอนเรียนป.ตรีที่ไทย (เจอทุนไหนขอหมดครับ ทั้งในทั้งนอก แถมไม่บอกใครด้วย 555) ตอนนั้นเกือบจะใช้เงินก้อนนี้ไปดาวน์รถละ

.

แต่วันนึงก็นึกถึงความฝันตอนเด็กที่อยากไปใช้ชีวิตต่างประเทศสักครั้งเพราะเป็นคนชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่ติด UBC ตอนอายุ 14 ปี เลยตัดสินใจวางแผนจะมาเรียนภาษาไม่ที่แคนาดาก็ออส แต่ดวงดันมาหล่นที่ออสเพราะที่บ้านบอกว่าจะหนีไปหาหมีขั้วโลกเหนือที่แคนาดาเหรอ มันไกลไป สรุปเลยเลือกไปเรียนภาษาที่ออส 6 เดือน

.

บินมาถึงวันแรกก็ดราม่าเลยครับ พี่คนไทยที่ผมจองบ้านเอาไว้ลืมต่อน้ำ ต่อไฟให้ที่พัก เลยต้องมานอนที่ร้านอาหารพี่เค้าเกือบอาทิตย์นึง แต่ก็ยังมีเรื่องดี ๆ คือ ได้งานนวดวันถัดมาเลยกับร้านใกล้ ๆ ที่พัก อ้อ ลืมบอกไปว่าก่อนเดินทางผมไปเรียนนวดไทยกับวัดโพธิ์เผื่อไว้

แพลนแรกก็จะมาเรียนภาษาแค่ 6 เดือน อยู่ไปอยู่มาดันชอบเฉย เลยขอวีซ่าเรียนดิปโพม่า IT อีกปีนึง แบบอยู่ไป ทำงาน เที่ยว เล่นไปวัน ๆ พอวีซ่าใกล้หมดก็คิดว่าอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ละ ต้องวางแผน จริงจังกับชีวิต ไม่งั้นก็กลับไทยยาวว เลยเตรียมตัว ศึกษาหาข้อมูลเรียนโท แต่เห็นราคามอใหญ่ ๆ แล้วแบบ WTF $50-70k ต่อหลักสูตร

มาเจออีกตัวที่ Swinburne University ซึ่งเป็นมหาลัยระดับกลางที่ดังด้านเทคโนโลยีมีหลักสูตร Computer Network and Cyber security ราคาประมาณ $44k พอดีเลย อยากเรียน Cyber security มานานละ เลยคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดและวางแผนทำวีซ่า Work and Holiday เพื่อเก็บเงินหนึ่งปีเต็ม (ข้อมูลที่ลิงค์นี้ https://www.facebook.com/Thaiwahclub)

.

พอได้วีซ่า Work and Holiday มา ตอนแรก ๆ ก็กลับมาทำงานนวดเหมือนเดิม แต่เงินไม่ถึงเป้า ผมเลยไปทำงานโรงงานทำป้ายไฟ และก็รับงานซ่อมคอมกับมือถือที่บ้าน พอวีซ่าใกล้หมดเลยติดต่อเอเจ้นพี่คนไทย (ดูแลดีมากก บอกใบ้ให้ว่าพี่เค้าเป็นคนดูแลเพจ Thaiwahclub)

ซึ่งการเรียนโทจะต้องใช้ผลภาษา IELTS หรือ PTE แต่ผมเลือกที่จะเรียนภาษาเตรียมพร้อมสำหรับเรียนโทเพราะวีซ่าจะได้ไม่ขาดและจะได้ไม่ต้องบินกลับไทย หลังจากนั้นก็จ่ายเงินที่เก็บมาไปกับค่าเทอมแรก ค่าวีซ่า และค่าเรียนภาษาให้กับพี่เอเจ้น ตอนแรกก็คิดว่าจะชิวๆละ เพราะจากที่คำนวณไว้ตอนแรกคือต้องหาเงินเพิ่มอีกแค่เทอมกว่า ๆ แต่กรรมซัดซ้อน ดันป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลที่นี้หมดไปเกือบ $4000 แถมงานก็ต้องหยุด แต่ยังดีที่มีประกันช่วยไว้บ้าง

..

หลังจากเริ่มเรียน ผมก็เริ่มทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ผมพยายามยัดตารางเรียนให้เหลือแค่ 3 วันต่ออาทิตย์ นอกนั้นทำงานหมด ทั้งนวด ทั้งซ่อมคอม ซ่อมมือถือ ทั้งงานขับรถรับส่ง มีงานไหนเอาหมด บางวันก็แอบโดดเรียนเพื่อไปทำงาน (ที่นี้คือโดดได้หมดยกเว้นแลป) แล้วค่อยมาเรียนเองตอนดึกหรือเข้าห้องสมุดตอนเที่ยงคืน ตอนปีแรกนี้ท้อมาก เกรดผมได้แค่ 2 นิดๆ เพราะโฟกัสกับการทำงานมากเกินไปจนเรียนไม่รู้เรื่อง ผมเกือบท้อจนกลับไทย แต่ก็ต้องสู้เพราะตัดสินใจมาแล้ว

โชคดีที่มีเพื่อนดี ๆ คอยติวให้ เกรดเทอมที่สามก็เริ่มเห็นเกรด B มาบ้าง และเทอมสุดท้ายก็แค่ทำงานเพื่อค่าอยู่ค่ากินเลยสามารถโฟกัสกับการเรียนได้เต็มที่เกรดเลย A หมด เอาจริงๆคืออยากให้เพื่อนๆวางแผนการเงินดี ๆแล้วโฟกัสการเรียนมากกว่างานนะครับ แต่เคสผมมันจำเป็นต้องงานมาก่อนจริง ๆ (No money, no uni)

..

หลังจากเรียนจบ ที่ออสจะมีวีซ่าให้ทำงานต่อสองปี ที่นี้การแข่งขันสูงมาก LinkedIn และเน็ตเวิร์คจำเป็นสุดในการหางาน ผมส่งresumeไปเกือบร้อยที่ มีเรียกสัมภาษณ์แค่ 4 ที่ สุดท้ายมีบริษัทด้าน Cyber security โดยตรง ที่บอสเป็นคนชิวมากกก ติดต่อผ่าน LinkedIn มา ละก็ไปสัมภาษณ์แล้วผมก็เลยลงเอยกับที่นี้มาจนถึงทุกวันนี้

หลังจากเริ่มทำงาน ที่นี้ตามกฎหมายจะมีวันหยุดพักร้อนให้ปีละอย่างน้อย 20 วัน และสามารถซื้อวันลาพักร้อนได้ ตอนนี้ก็ขอคืนช่วงชีวิตที่สังเวยไปให้กับป.โท ด้วยการเที่ยวแหลกลานละครับ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

รวมประเภทวีซ่าไปออสเตรเลีย

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

รวมวีซ่าหนีมาออสเตรเลีย ฉบับที่ 1#

#ทีมออสเตรเลีย

อยากแชร์ข้อมูลวีซ่า เผื่อใครอยากย้ายมาออสเตรเลียค่า

.

วีซ่านักเรียน / SUBCLASS 500

วีซ่ายอดนิยมของนักเรียนไทย ทั้งเรียนภาษาระยะสั้น วิชาชีพ ไปจนถึงเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ก็ได้เบิด!

ข้อดี : วีซ่านักเรียนสามารถทำงานได้ถูกกฏหมาย 20 hrs/week

มีหลายคอร์สดังต่อไปนี้

  1. คอร์สเรียนภาษา / เป็นคอร์สระยะสั้น 3 เดือน – 1 ปี เรียนจบไม่สามารถขอวีซ่าทำงาน หรือ ยื่นต่อเป็น citizen
  2. ระดับวิชาชีพ (Certificate) มีทุกคอร์ส เป็นคอร์สยาว 1-4 ปี ก็ว่าไป ระดับนี้ จะมีบางวิชาชีพที่สามารถขอวีซ่าทำงานหลังเรียนจบได้ และต่อยอดไปสู่ประชากรออสเตรเลียได้ ได้แก่ เชฟ ช่างไม้ ช่างไฟ ช่างทาสี เป็นต้น ขอวีซ่าทำงานหลังเรียนจบได้ และมีโอกาสต่อยอดเป็น Aus Citizen
  3. มหาวิทยาลัย : ป.ตรี/ป.โท/ป.เอก จบมาข้อวีซ่าทำงานหลังเรียนจบได้ 2-4 ปี ต่อยอดไปเป็น citizen ได้ (ตามเงื่อนไข)

วีซ่าหลังเรียนจบที่พูดถึง มี 2 ตัวหลัก คือ

Temporary Graduated Visa 485

สำหรับนักเรียนที่จบในระดับมหาลัย และ นักเรียนจบในสาขาวิชาชีพที่ รัฐบาลกำหนด (MLTSSL)
Skilled Work Regional (Provisional) visa Subclass 491 (สำหรับพื้นที่ในเขตภูมิภาค) work | study | stay at least 3 yrs.
สองตัวนี้ required ผลสอบทางภาษา และต้องเรียนจบในประเทศออสเตรเลีย ในสาขาวิชาชีพ หรือระดับทางการศึกษาที่กำหนดเท่านั้นนะคะ

วีซ่าแต่งงาน

หากใครทีแฟนเป็นคนออสเตรเลีย / ถือ PR / นิวซีแลนด์ จดทะเบียนสมรส หลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ ก็เดินหน้าขอวีซ่า partner โลด จ๊าาาาาาาา เบิกทางสู่ Citizen แบบใสใส ไม่ต้องใช้ผลทางภาษาอังกฤษ แต่ควรฝึกไว้เพื่อสอบขอเป็น citizen

Work & Holiday Visa (462)

โครงการนี้มาทุกปี นอกจากต้องมีผลสอบภาษา และหลักฐานทางการเงินนิดหน่อยแล้ว ต้องหาเนตแรงๆ ไว้กดแข่งกับคนอื่นด้วยนะจ๊ะ เพราะปีนึงเนี้ย เค้ารับจำนวนจำกัดจ๊ะ
วีซ่า

เพิ่มเติม*จากคุณ Preecha

“ Work and holiday Visa ต่อยอดเป็น citizenship ได้นะครับ ตอนนี้เป็นคนที่นี่เรียบร้อย สิ่งที่คุณต้องทำก็คือภายในระยะเวลาหนึ่งปี คุณต้องสมัครและหางาน ที่เค้าจะ sponsor working Visa ให้คุณได้ ดังนั้นให้หางาน contract 6 เดือน ตอนถือ work and holiday visa “

วีซ่าติดตาม

สถานะคู่สมรส จะติดตามนักเรียน/วีซ่าทำงาน ก็ติดสอยห้อยตามกันไป เอกสารความสัมพันธ์ก็ต้องแน่นในระดับนึง จะได้ไม่ได้เป็น Citizen ก็ขึ้นอยู่กับวีซ่าตัวหลัก

วีซ่าสปอนเซอร์โดยนายจ้าง 482

มีนายจ้างมาสปอนเซอร์ มีการตรวจสอบอาชีพและได้การรับรอง / มีประสบการณ์ทำงาน / ผลสอบทางภาษา ตัวนายจ้างเองก็ถูกตรวจสอบกิจการ เหมือนกัน วีซ่าตัวนี้ สามารถต่อยอดเป็นประชากรได้


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

ย้ายไปออสเตรเลียด้วย Dating App

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

เมื่อวานมีพี่คนนึงพูดถึง #ทีมออสเตรเลีย ว่ามาวีซ่านักเรียน แล้วได้แต่งงานอยู่ที่นี่ เพื่อนเลยยุให้มาแชร์บ้างค่ะ ตอนเรามาก็วีซ่านักเรียนเช่นกัน (แต่โพสต์นี้เป็นเรื่องเล่าของเราที่โพสต์ไว้ในกรุ้ป หาสามีแล้วย้ายประเทศกันเถอะ topic เกี่ยวกับ dating app ค่ะ )

เอาล่ะค่ะ เริ่ม!

วันนี้จะมาพูดถึง dating app ที่ไม่ใช่ Tinder ค่ะ ขอเกริ่นก่อนว่า เรา #ทีมออสเตรเลีย นะคะ ตอนนี้เป็น PR อยู่ออสเตรเลียจากวีซ่า Partner ค่ะ

2013

เริ่มต้นมาจากว่า เรียนจบป.ตรี ศึกษาศาสตร์ พอใกล้จะจบก็ยังเคว้งคว้างอยู่ค่ะว่าจะทำอะไรดี เป็นช่วงรอสอบบรรจุด้วยระหว่างนั้นก็ได้ไปลงเรียนภาษาอังกฤษที่ British Council ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมค่ะ ซึ่งทางบริทิชก็จะมีคอร์สที่แบบว่าเรียนทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ วันละ 3-4ชั่วโมง พอเรียนบริทิชไปเดือนนึงรู้สึกชอบมาก enjoy มาก (สมัยม.ปลายเวลาไปเรียนติวเตอร์มักจะขี้เกียจ โดดไปเดินเล่น แต่นี่ไม่เลยค่ะ ไปทุกวัน ไม่โดดเลย)

พอได้เรียนได้ฝึกทุกวัน มันต่อเนื่องดีมาก ๆ มั่นใจในสกิลภาษาตัวเองขึ้นมาในระดับที่ว่าอยากจะเดินเข้าไปหาฝรั่งที่กำลังดูแผนที่ แล้วช่วยบอกทางให้ แต่พอมาคิดถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ก็แพงใช้ได้เลยค่ะ ประกอบกับว่าตอนนั้นมีเพื่อนไปเรียนภาษาอยู่อเมริกา 1 คน อยู่ออสเตรเลีย 1 คน เลยพอจะมีข้อมูลค่าที่จะเอามาเปรียบเทียบกัน จำไม่ได้แล้วว่าที่บริทิชราคาเท่าไหร่ แต่รู้ว่าออสเตรเลียค่าเรียนสัปดาห์ละ $250 ในตอนนั้น ดอลละ 30 บาท
พอมาเทียบกับบริทิชแล้วคือที่ออสแพงกว่าประมาณเดือนละ 7-8 พัน แต่พอเลิกเรียนแล้วก็จะต้องแวดล้อมอยู่กับสถานการณ์การใช้ภาษาจริง ได้ใช้ทักษะที่เรียนมาจริง ๆ

เลยเอาข้อนี้ไปบอกพ่อค่ะ ตอนนั้นพ่อก็เห็นว่าภาษาอังกฤษสำคัญ ประกอบกับมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นี่แล้ว1คน ทางบ้านจะได้ไม่ต้องห่วงมาก เพื่อนช่วยหาห้องให้ แล้วก็ย้ายมาแชร์ห้องอยู่ด้วยกัน พ่อก็อนุมัติแบบงง ๆ ค่ะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

จ่ายเงิน ขอวีซ่า บิน

AUG/2013

มาถึงออสเตรเลียด้วยความมั่นใจว่าภาษาอังกฤษชั้นดีในระดับนึงแหละนะ พอมาเจอพี่แท็กซี่ เป็นอินเดีย จอดเลยค่ะ 555555 ยื่นมือถือให้ดู map แล้วบอกไปที่เนี่ย จบ … ตอนนั้นแม่มาส่ง ก็เที่ยวก่อนค่ะ ช่วงแรก ๆ

พอเริ่มเรียน เริ่มหางานทำ ก็ไม่มีอะไรหวือหวามาก ตอนนั้นกะมาแค่ 6 เดือนค่ะ มาถึงเดือนแรก เลิกกับแฟนที่ไทย บายยยย ร้องไห้อยู่แป้บนึงพอเป็นพิธีว่าคบกันมาสามสี่ปี จากนั้นก็ enjoy life เลยค่ะ 555555 มีแฟนคนแรกเป็นฝรั่งเศส รวบรัดตัดความก็คือนางมาเรียนโทแล้วต้องกลับไปทำเรื่องจบกับมหาลัยที่ฝรั่งเศส เลยขอวีซ่าอยู่ต่อไม่ได้ long distance กันอยู่เป็นปี สรุปไม่รอด เค้าไม่มา และไม่คิดจะเอาเราไป ก็เลยต้องจบค่ะ
จากนั้นก็หลั่นล้าอยู่พักนึง

จนวีซ่าจะหมด แต่ยังไม่อยากกลับ

2014

ก็เลยขอวีซ่าลงเรียนต่อ เรียนเกี่ยวกับ early childhood education ค่ะ เพราะจบครูมา จนกระทั่งวีซ่าจะหมดอีกรอบ คราวนี้กะจะกลับไทยละค่ะ เบื่อ ทำงานเป็นแรงงานต่างด้าว จ่ายค่าเช่า ค่าเทอม ค่ากินค่าใช้สารพัด
ไม่มีอะไรจะเสียละ ก็เลยลองโหลดแอพมาเล่นดูค่ะ

ตอนนั้นกะเก็บเงินซักนิดก่อนกลับ เลยทำงานหนักมาก ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ไม่ค่อยเจอผู้คน ส่วนตัวคิดว่าคนเรามันจะไปเจอใครที่ไหนได้ยังไงวะ ถ้าแบบไม่มีเพื่อนแนะนำ เดินสวนกันในห้างแล้วเข้าไปขอเบอร์งี้หรอ 55555
คือมันต้องมีคนแบบเราบ้างแหละ ในแอพอ่ะ สรุปว่ามันมีจริง ๆ ค่ะตอนนั้นวางแผนว่าจะกลับช่วงพฤศจิกายน เจอหลัวตอนสิงหาค่ะ

2015

มาถึงแอพที่ว่านี่ 55555 ชื่อ Happn ค่ะ มันจะใช้โลเคชั่นเราเลือกคนที่ขึ้นมาให้เราปัดค่ะ คือสมมติว่า เรายืนอยู่ที่สถานีรถไฟ แล้วผู้ที่เล่นแอพนี้เหมือนกันอยู่บนรถไฟที่จอดฝั่งตรงข้าม มันก็จะขึ้นมาให้เราปัด
ตอนนั้นรู้สึกว่าดีกว่า Tinder นิดนึง Tinder นี่จะนัดเย~อย่างเดียวเลยค่ะ

edit :

เพิ่มเติมค่ะ แอพ happn เนี่ย พอเริ่มคุยกันมันจะบอกด้วยนะคะว่าเราเคยสวนกันที่ไหน ของเราเจอกันที่ใต้สะพานทางด่วนแถว South Melbourne ค่ะ คือเรากำลังเดินไปห้าง แล้วแฟนกำลังขับรถไปทำงานอยู่บนทางด่วน 555555555

—————————————————————

ตอนนั้นก็อย่างที่บอกว่าทำงานหนักมาก กะจะกลับไทยละ โหลดมาก็สองวันออนที ไม่ค่อยเล่นจนผู้ต้องสะกิดมา 555555 สวยมากกกกก จนได้เริ่มคุยกันค่ะ คุยมาได้ประมาณ 3 เดือน กำลังดีมากกกก

ชิปหายละ!! วีซ่าจะหมด!!

เอาไงดีล่ะ เพิ่งจะคบกันแค่สามเดือนเอง เราก็เลยถามเค้าตรง ๆ ค่ะ ว่าจริงจังกับเรามั้ย เราควรจะต่อวีซ่ามั้ย (กุ high risk แล้วกุจะ high return มั้ย อันนี้คิดในใจ 5555555) นางบอกว่าอะไรจำไม่ได้ แต่สรุปว่า ต่อวีซ่าค่ะ คราวนี้เรียน early childhood education เหมือนเดิม แต่วุฒิสูงขึ้นเป็น Diploma เพราะคิดว่าถ้าอยู่ที่นี่จะได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว เข้างานเช้าเลิกงานเย็นเป็นเวลาเหมือนกัน (ร้านอาหารเข้างานเย็น เลิกดึกค่ะ จ่ายก็ไม่ค่อยดี)

2016

คุยกันได้ 6 เดือนก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ระหว่างทางก็เรื่อย ๆ เลยค่ะ ระหว่างที่คบกัน เราถามเค้าว่าเราเริ่มเก็บเอกสารดีมั้ย ถ้าเลิกกันมันก็เป็นแค่กระดาษ แต่ถ้าถึงเวลาที่จะทำวีซ่าจริง ๆ เราจะได้มีหลักฐานเตรียมไว้บ้าง

2017

แล้วก็มาถึงเรื่องการขอวีซ่า เราเคยแชร์บ้านอยู่กับคนรู้จักคนนึง ตอนนั้นนางกำลังทำวีซ่าเหมือนกัน นางเครียดมาก เหมือนจะเป็นบ้าเลยค่ะ เอกสารเยอะแยะมากมาย ปวดหัว บางอย่างในเว็บ immigration ก็จะบอกกว้าง ๆ ค่ะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เช่น financial บางคนก็บอก bank statement บางคนก็บอก บิลค่าใช้จ่าย

สุดท้ายแล้ว ตอนยื่นวีซ่า เราใช้เอเจ้นค่ะ

เอเจ้นจะส่ง checklist มาให้ ว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง เราก็แค่อัพโหลดไป แล้วเอเจ้นเอาไปเรียบเรียงให้เองค่ะ ค่าวีซ่า $8000 + ค่าเอเจ้น $2,500

2018

พอทำวีซ่าแล้ว มันก็เขยิบมาเรื่อย ๆ ค่ะ 5555555 เราก็ถามเค้าอีกว่า หมั้นมั้ยเราอยู่นี่คนเดียว ตัวคนเดียว เราอยากมั่นใจ เราอยาก feel secure นะ วาเลนไทน์ก็เลยพาไปซื้อแหวนค่ะ (ไม่ต้องเซอร์ไพรส์นะ อยากได้คาร์เทียร์555555555) เป็นคล้าย ๆ promise ring ค่ะ แต่มันก็กลายเป็นการหมั้นไปโดยปริยาย พอหมั้นปุ้บ งานแต่งงานมันก็เริ่มเข้ามาในหัว

2019

วีซ่าออก ผ่านค่ะ รอมา 11 เดือน เราจดทะเบียนที่นี่ในวันครบรอบที่เจอกันวันแรกค่ะ Anniversary จะได้เป็นวันเดียวกัน สิ้นปีก็ไปจัดงานที่ไทย

2020

ซื้อบ้าน ท้อง มีลูก

2021

To be continued ค่ะ


สำหรับใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ จงจำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน แต่ High risk ก็ High return นะคะ 5555555555

edit :

เผื่อใครสนใจมาลงทุนที่นี่ ตอนเรามา ค่าใช้จ่ายประมานสองแสนห้าค่ะ ตอนนั้นดอลละ 30 บาท มีค่าเรียนภาษา 6 เดือน ค่าวีซ่า ค่าตรวจสุขภาพ ค่าประกันสุขภาพ ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าเช่าบ้านเดือนแรก ค่ากินอีกนิดหน่อย (หลังจากนั้นก็ทำงานเก็บเงินต่อวีซ่า จ่ายค่าเรียนเองค่ะ) แต่ตอนนี้ค่าเงินลงมาอยู่ที่ดอลละ ยี่สิบกว่า ๆ 22~25 ก็น่าจะถูกลงไปอีกค่ะ

ประกอบกับมีโรงเรียนใหม่ ๆ เยอะแยะ ราคาก็จะต่างกันไป ตอนมาเราใช้เอเจ้น IDP ค่ะ เค้าไม่ได้คิดตังเพิ่ม เพราะเค้าได้ส่วนแบ่งจากทางโรงเรียนแล้ว ตอนนี้เอเจ้นก็มีมากมายอีกเช่นกันค่ะ แนะนำใช้เอเจ้นที่เชื่อถือได้นะคะ มีออฟฟิศ มีประสบการณ์ มีคนพูดถึงค่ะ

นอกจากหาหลัวแล้ว พอมาถึงที่นี่ มันก็มีวิธีอื่น ๆ ที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกค่ะ ยากหน่อย แต่เชื่อว่าถ้าพยายาม ทุกคนทำได้ เพราะตอนแรกเราก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน เรามีเพื่อนที่เคยเรียนที่เดียวกัน อยู่ที่นี่หลายคนแล้วค่ะ

คร่าว ๆ คือ

  • เรียนเชฟ : หาร้านอาหารสปอนเซอร์
  • เรียน early childhood education แบบเรา : หาที่ทำงานในชนบท (rural area) ให้ที่ทำงานสปอนเซอร์ อยู่กับที่ทำงานนั้นประมาณ2-3ปีก็จะได้ PR ค่ะ
  • เรียนต่อในระดับที่ปริญญาตรี/โท/เอก : สามารถขอวีซ่าถาวรได้ในสาขาที่ขาดแคลน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว กฏของวีซ่ามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาค่ะ ขึ้นอยู่กับดวงด้วยส่วนนึงว่าเรียนจบสาขาที่ว่าแล้ว จะสามารถหาสปอนเซอร์หรือยื่นวีซ่าในสาขานั้น ๆ ได้หรือไม่

ขอให้ทุกคนโชคดี


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

วิธีมาออสด้วยตัวเองโดยใช้เงินน้อยที่สุด และใช้ภาษาอังกฤษแค่ IELTS 4.5 (ประสบการณ์จริง)

0
ย้ายประเทศ ทีมออสเตรเลีย

วิธีมาออสด้วยตัวเองโดยใช้เงินน้อยที่สุด และใช้ภาษาอังกฤษแค่ IELTS 4.5 (ประสบการณ์จริง)

.

#ทีมออสเตรเลีย

.

โพสต์นี้ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ตรง สำหรับน้อง ๆ ที่อายุระหว่าง 18-30 ปี และต้องการมาอยู่ประเทศออสเตรเลียแบบถาวร แต่ไม่ได้มีต้นทุนทางการเงิน

.

การเตรียมตัวและวีซ่า

ณ ตอนโน่นเมื่อปี 2012 หรือ แม้กระทั่งปัจจุบัน มีวีซ่าตัวนึงที่ชื่อว่า Work and Holiday Visa (Subclass 462) ที่ให้คนที่อายุไม่เกิน 18 ถึง 30 ปี มีสิทธิ์ในการยื่นขอวีซ่าตัวนี้ เพราะสามารถมาทำงาน เรียน เที่ยว อะไรก็ได้ 1 ปีเติม โดยมีเงื่อนไขว่าถ้ามาทำงาน จะทำงานกับบริษัทใดๆ ได้ไม่เกิน 6 เดือนเท่านั้น นั่นหมายความว่า คุณจะมีเวลาเติมที่ไม่เกิน 3 เดือนหลังจากที่คุณมาถึงที่นี่ในการหางานที่เป็น Contract 3-6 เดือนให้ได้ และต้องเป็นบริษัทที่พร้อมที่จะ Sponsor คุณเป็น Working Visa (Subclass 186) ในอนาคตด้วย และหลังจากที่คุณได้ Working Visa มาครอบครองและนั่นคือด่านที่ยากที่สุดของชีวิต หลังจากนั้นสองถึงสี่ปีหลังจากนั้น คุณก็จะสามารถสมัคร Permanent Resident (PR) และต่อด้วย Citizenship ได้จนถึงที่สุด
.
Note : แนะนำให้ Google รายละเอียดของวีซ่าสองตัวนี้ให้เข้าใจอย่างละเอียดนะครับ ระหว่าง Subclass 186 และ 462 ไม่ขออธิบายในนี้ เพราะข้อมูลมีเยอะมาก
.

วิธีการเตรียมตัวก่อนสมัครวีซ่าและมาออสเตรเลีย (สำคัญมาก) ผมขอแบ่งออกเป็นสองประเภทนะครับ คือ

.

1) ด้านการทำงานและสายอาชีพ

แนะนำว่าให้ทำงานหาประสบการณ์ก่อนสมัคร Work and Holiday Visa อย่างน้อย 5-7 ปี ไม่จำเป็นว่าต้องทำงานสายไอที ทำงานและหาประสบการณ์สายไหนก็ได้ที่ทางประเทศออสเตรเลียเค้าต้องการคน (Skilled Occupation List) google คำนี้ก็จะเจอ List งานที่ทางออสเค้าต้องการนะครับ และถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ทำงาน กับบริษัทต่างชาติ และดูว่าบริษัทนั้นๆ มีสาขาที่ประเทศออสเตรเลียหรือไม่ นี่เป็นอีกช่องทางในการหางานตอนมาออส เพราะคนที่นี่จะรู้จักบริษัทนั้นๆ เพราะมีที่ตั้งอยู่ออสจริงๆ อันนี้เป็นแต้มต่อของเรา ไม่ใช่ว่าเราทำงานอยู่บริษัทไทยตลาด 5-7 ปี ตอนเรามาอยู่นี่เราพูดชื่อบริษัทไปเค้าก็ไม่รู้จักนะครับ แต่ถ้าประสบการณ์ที่คุณมีมันแน่จริง ชื่อบริษัทมันก็แค่แต้มต่อนะครับ สุดท้ายเค้าก็สนใจที่ประสบการณ์ทำงานคุณอยู่ดี คนที่นี้จะรับคนโดยมองจากประสบการณ์ทำงานเป็นหลัก ๆ เลยนะครับ

จบอะไรมาเกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ เค้าไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะต่อให้คุณจบที่นี่เลยแต่ไม่มีประสบการณ์ทำงาน คุณจะหางานได้ยากมากเช่นกัน นั่นคือสาเหตุว่าทำใมผมแนะนำว่าให้ทำงานที่เมืองไทยเก็บประสบการณ์ก่อนออกเดินทางมาที่นี่ หลังจากที่คุณทำงานจนถึงอายุสักประมาณ 27-28 คุณก็ควรเริ่มต้นสมัคร Work and Holiday Visa ได้แล้วนะครับ เพราะคนแย่งกันเยอะมาก และไม่ใช่ว่าคุณจะทันคนอื่นเค้าในครั้งแรกที่สมัคร สมัยก่อนตอนผมสมัคร จำได้ว่าต้องให้เพื่อนๆ ประมาณ 5-10 คนรุมกันช่วยสมัคร แต่เดี๋ยวนี้คนน่าจะเขียนบอทสมัครกันแล้ว อาจจะยิ่งยากกว่าเดิมไปอีก อันนี้ผมไม่มีข้อมูลความยากของการกรอกใบสมัครของวีซ่าตัวนี้ ณ ปัจจุบัน ลองไปศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับ ค่าสมัครวีซ่าตัวนี้ปัจจุบันอยู่ที่ราคา AUD485 ครับ ซึ่งถือว่าถูกมากๆ ถ้าเทียบกับวีซ่าทำงานตัวอื่น ๆ
.

2) ด้านภาษาอังกฤษ #วิธีฝึกภาษา

วิธีการฝึกภาษาอังกฤษที่ได้ผลที่สุดสำหรับคนที่ไม่เก่งเหมือนคนอื่น สมัยก่อนได้ลองมาหมดทุกอย่าง ไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาดัง ๆ แพง ๆ สองสามหมื่นต่อคอร์ส มันก็ได้นะครับพวกแกรมม่าพื้นฐานอะไรพวกนี้ แต่สำหรับผมไม่ค่อยได้เท่าไหร่เพราะอ่อนภาษามากๆ (คือถ้าคุณอ่อนภาษามาก ๆ คุณไปอยู่ในกลุ่มที่คนส่วนมากได้พื้นฐานกันอยู่แล้ว สุดท้ายคุณไปเรียนก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะมันคือการเรียนเป็นกลุ่ม ถ้าคนส่วนใหญ่ได้ เค้าก็ผ่านเลย) และยิ่ง conversation เนี้ยไม่กระดิกเลย

วิธีที่ผมฝึกและได้ผลที่สุดสำหรับตัวเองเลยก็คือ การใช้ภาษากันคนจริง ๆ มีการตอบโต้จริง ๆ กับการฝึกฟังอย่างหนัก แต่ก่อนใช้ Skype ในการคุยกับเพื่อน Online ที่เป็นคนจีน คุยถูกผิดสำเนียงมั่ว ๆ อะไรก็ว่าไป จัดไปก่อนเพราะมันฟรี อย่างน้อยทำให้เราได้ใช้ภาษาแน่ๆ ทุกวัน จนเกิดความเคยชิน แล้วก็ประกอบกับการ ดูหนังซีรีสครับ แต่คนส่วนมากดูหนังเพื่อฝึกภาษาผิดวิธีนะครับ ดูแล้วติด ดูแล้วเน้นสนุก วิธีผมคือหาหนังที่เราชอบมากๆ ดูหลายๆรอบไม่เบื่อ เปิดวน ep เดียว เปิดวนไป ไม่เปลี่ยน ep จนกว่าจะจำได้ว่าประโยคต่อไปที่ตัวละครจะพูดอะคืออะไร เปิด subtitle ในช่วงแรก ๆ และปิดเมื่อจำได้

จำได้ว่าแต่ก่อนฟังตลอดเวลา เปิดทิ้งเปิดขว้างวนอยู่ ep เดียวพอจำได้หมดก็ไปเปิด ep ถัดไปวนอีก และอันนี้ได้ผลมากๆ ฟังเข้าใจเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าในระยะเวลาอันสั้น หนังที่ผมดูวนมีอยู่สองเรื่องคือ pack to the rafters อันนี้หัดฟังสำเนียงออสซี่ และ Big Bank Theory อันนี้ดูเพราะชอบส่วนตัว แล้วก็แนะนำว่าให้ไปสอบ IELTS เพื่อเป็นเกฑณ์การวัดความรู้ที่เราเรียนมาบ้างสักปีละครั้ง ถ้าคุณเก่งๆ และตั้งใจจริง ผมเชื่อว่าคุณน่าจะได้อย่างน้อย score 6-7 แต่ตอนนั้นผมทำได้เติมที่แค่ overall 5.5 นะครับ หลังจากสอบไปสี่รอบ และนั่นคือข้อดีของวีซ่าตัวนี้เพราะต้องการ IELTS แค่ 4.5 ในแต่ละทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน นะครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามให้สอบได้ 7 กันนะครับ เพราะนั่นคือแต้มต่ออย่างมากสำหรับการมาทำงานที่นี่สำหรับวีซ่าตัวอื่น ซึ่งผมไม่ได้อธิบายในนี้นะครับ
.

สิ่งที่ต้องทำหลังจากมาอยู่ที่นี่แล้ว

มาถึงตอนนี้คุณควรจะต้องมีประสบการณ์ทำงานและใช้ภาษาได้ระดับนึงแล้ว ต่อมาน่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ ตอนที่ผมมามีเงินติดตัวประมาณหกหมื่นบาทหลังหักค่าที่พัก สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ โดยเฉพาะถ้าคุณเงินน้อย คุณจำเป็นจะต้องไปหางานทำตามร้านอาหาร แนะนำให้ทำช่วง 4PM-10PM ทุกวันเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เรามีเงินมาเลี้ยงตัวเองตอนกำลังหางานประจำทำ และเราก็จะมีเวลาตอนกลางวันสำหรับไปสัมภาษณ์งานสาขาที่เรามีประสบการณ์ เว็บที่ผมสมัครและมีการเรียกไปสัมภาณ์ซะส่วนใหญ่จะได้มากจาก Seek.com.au ซึ่งแทบจะเป็นเว็บหางานหลักของคนที่นี่เลยก็ว่าได้

แนะนำให้เขียน CV และ Cover letter ดี ๆ เนียน ๆ ของพวกนี้เราสามารถเตรียมได้ก่อนมาอยู่แล้วนะครับ ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมจำได้ว่าหลังกลับมาจากทำงานร้านอาหาร ก็ส่งใบสมัครทุกวันๆละหลายๆที่ แล้วเค้าก็จะโทรมานัดเราไปสัมภาษณ์งาน ซึ่งเป็นตอนกลางวันอยู่แล้ว และให้เลือกสมัครงานที่เป็น Contract 3 หรือ 6 เดือนนะครับ ถ้าได้ 6 เดือนคือดีมาก อาจจะลองสมัคร Full-time ดูด้วยก็ได้แต่โอกาสที่เค้าจะเรียกสัมภาณ์น้อยครับ เพราะ Full-time ส่วนมากเค้าเน้นคนที่มี Working Visa หรือ เป็นคนที่นี่อยู่แล้ว ทีนี้สิ่งที่ยากที่สุดคือคุณต้องหานายจ้างที่ยินยอมที่จะให้ Working Visa คุณได้ (แนะนำให้หาบริษัทใหญ่นิดนึง) แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าบริษัทส่วนใหญ่เค้ามีกำลังมากพอที่จะให้ Working Visa คุณอยู่แล้วถ้าคุณสามารถทำให้เค้าเห็นว่า คุณมีประโยชน์กับบริษัท และทำงานได้จริงในช่วงที่ทำงานเป็น Contract ให้กับเค้า ในส่วนนี้ผมมีท่าไม้ตายครับ

ส่วนมากที่บริษัทไม่ยอมให้ Working Visa ก็เพราะว่าเค้าไม่อยากจ่ายค่าสมัครและค่าจ้างทนายให้เรา ในส่วนนี้เราบอกไปเลยว่าเราจะจ่ายค่าทนายและค่าวีซ่าเองทั้งหมด และให้เค้าเซ็นต์รับรองให้อย่างเดียวพอ แบบนี้เค้าไม่มีอะไรเสียนะครับ ส่วนมากเค้าจะยอมให้ในที่สุด และยิ่งถ้าเราทำงานให้เค้าได้จริง ก็แทบไม่มีเหตุผลอะไรที่เค้าจะไม่รับรองนะครับ อีกอย่างขั้นตอนการยื่น Working Visa ควรอย่างมากที่จะจ้างทนายนะครับ ต่อให้ในใจเรารู้ก็ตามว่ายื่นเองได้ ถูกกว่ามาก เพราะค่าจ้างทนายอย่างต่ำๆ ก็ห้าพันถึงหมื่นเหรียญ ไม่รวมค่าสมัครวีซ่า แต่ที่ผมแนะนำว่าให้ยอมจ่ายจ้างทนายเพราะว่าวีซ่าที่คุณมีอยู่ Work and Holiday มันให้เราอยู่ได้แค่ปีเดียวนะครับ เราจะไปเสียเวลากับการเตรียมเอกสารผิดไม่ได้ ช้าเพียงนิดเดียวคุณอาจพลาดไปทั้งหมด ให้คนที่เป็นมือาชีพเค้าจัดการดีกว่าครับ หลังจากคุณได้ Working Visa แล้วที่เหลือคือขนมแล้วครับ แสดงความยินดีด้วย แสดงว่าคุณได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดมาแล้ว ต่อจากนี้จนไปถึงเป็นคนสัญชาติออส แค่รอเวลา ไม่ได้มีอะไรยากแล้ว
.

ปล. ช่วงรอยผ่านต่อระหว่างที่บริษัทให้ Working Visa อันนี้เราต้องกลับไทยไปก่อนนะครับ แล้วกลับมาใหม่ตอนที่ได้ Working Visa แล้ว เพราะวีซ่าก่อนหน้าที่ Work and Holiday Visa เค้ามีข้อกำหนดห้ามต่อวีซ่าตัวอื่นต่อที่นี่ จำเป็นต้องกลับไทยไปก่อนแล้วกลับมาใหม่ ตกลงกับนายจ้างดีๆ ก็เหมือนเรากลับไป Holiday สักอาทิตย์แล้วกลับมาทำงานใหม่
.

สำหรับคนที่อายุเกิน 30 และมีประสบการณ์ทำงานนะครับ วีซ่าทำงานสองตัวข้างล่างคือวีซ่าที่คนใช้เยอะคือ Subclass 887 (IELTS 4.5) และ Subclass 189 (IELTS 6) เอาเข้าจริงคนส่วนมากจำเป็นที่จะต้องสอบ IELTS ให้ได้อย่างน้อย 7-8 ของแต่ละทักษะเพื่อให้ได้แต้มตามที่เค้ากำหนด วีซ่าสองตัวนี้ไม่จำเป็นต้องให้ใคร Sponsor เรานะครับ สมัครตรง ๆ ได้เองเลยจากที่ไทยครับ รบกวนศึกษาเพิ่มเติมวีซ่าทั้งสองตัวนี้นะครับ เพราะผมไม่มีประสบการณ์โดยตรง และรายละเอียดน่าจะเปลี่ยนไปเยอะแล้วปัจจุบัน
.

สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคนที่มีต้นทุนน้อย ต้องการมาทำงานและย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย หลังว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาจะช่วยน้อง ๆ ได้ไม่มากก็น้อย สู้ ๆครับ

.

เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

รีวิวการเดินทางไปอเมริกา แต่งงาน Same-Sex Marriage

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

สวัสดีครับ ชื่อสุรัตน์นะครับ จบจากมหาวิทยาลัยศิลปากรตอนปี 2012 ตอนปีสุดท้ายที่ใกล้จะจบอยากหาลู่ทางไปต่างประเทศเลยสมัครโครง Work and Travel กับเอเจนซี่ครับ

..

ไปทำ Housekeeping ค่าชั่วโมงอยู่ที่ $9.25 per hour ในโรงแรมคาสิโนครับ รัฐ Louisiana ได้ทำงาน 4 เดือนครับเพราะเป็นโครงการระยะสั้น นี้คืองานแรกของผมในอเมริกาครับ พอจบโครงการเก็บเงินได้ แสนกว่าบาทครับเลยอยากกลับมาอยู่อีกครั้งเพราะทำแม่บ้านที่นี้ได้ทิปจากลูกค้าด้วยครับ

..

คราวนี้พอหมดโครงการเลยมาตั้งโจทย์ถามตัวเองว่าอยากทำงานที่ไทยหรือจะเลือกเดินทางมาอเมริกาอีกครั้ง เราสร้างตารางเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไหมถึงจะกลับมาอเมริกาอีกครั้งเพราะคิดได้จากการซื้อกาแฟหนึ่งแก้ว จาก Starbuck ครับ เพราะด้วยราคามาตรฐานระดับโลกที่ไม่ว่าจะที่ไหนของโลกราคาจะประมาณนี้ไม่แตกต่างมาก

เลยบอกตัวเองว่าถ้าเราอยู่ในประเทศไทย เราจะทำงานทั้งวันเพื่อดื่มมันแต่กลับไม่มีเงินเหลือให้กินข้าวต่อมื้อถัดไปเพราะได้แค่เงินที่ซื้อกาแฟเท่านั้น แต่ที่อเมริกาเราขัดพื้นปูเตียงล้างห้องน้ำ เราใช้เวลาแค่ไม่เกิน 20 นาทีต่อค่าแรงหนึ่งแก้ว และมีเหลือให้กินข้าวได้อีกถึง 3 มื้อ และนี้คำถามอีกนึ่งข้อว่าเราเป็นนักศึกษาจบใหม่และเป็นแรงงานหน้าใหม่ที่ป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่มีทักษะใดๆจะรับเงินเดือนแค่ 12,000-15,000 งั้นหรือ

..

เราเลยหาโอกาสเพื่อมาอเมริกาอีกครั้งในปี 2013 เลือกมากับเอเจนซี่อีกหนึ่งครั้งครับเป็นวีซ่า J-1 เพราะเราจบจากสถาบันการศึกษาทำให้ชื่อโครงการในการเดินเลยจะเปลี่ยนเป็น Training Program ระยะโครงการเป็นเวลา 1 ปีครับ มาทำงานในครัวโรงแรม Casino ที่รัฐ Connecticut ค่าแรงในตอนนั้นจะตกอยู่ที่ $10.10 per hour ครับ สนุกดีครับประสบการณ์ใหม่ดี ๆ และเริ่มชอบที่นี้ขึ้นเรื่อย ๆ และอยากมีเพื่อน hang out ครับ เลยโหลดแอปหาคู่มาเล่นครับ Grindr แล้วก็มาเจอแฟนครับ

..

ในปี 2014 ผมแต่งงานครับกับคนอเมริกันครับ แบบ Same-Sex Marriage ครับ แต่ด้วยตัววีซ่าหมดลงและผมติดกฏสองปี ของหน้าวีซ่า คือ Two Year Rule Does Apply (สามารถยกเลิกได้ครับถ้าไม่มีพันธะผูกพันกับรัฐบาลไทยเช่น กยศ. หรือ ใช้ทุนคืนครับ)

..

ผมเลยต้องเดินทางกลับมา กลับประเทศไทยมาอยู่เพื่อครบกฏสองปี และในสองปีนี้ผมทำเรื่องวีซ่าเพื่อกลับมาอเมริกาอีกครั้งครับได้ทำงานในประเทศไทยเห็นถึงความชัดเจนในระบบอาวุโสจะทำให้เด็กรุ่นใหม่หมดไฟในการทำงานและอัตราการเข้าออกและออกงานบ่อยครับ และเข้างานก่อนแต่เลิกงานทีหลังซึ่งไม่ตรงเวลาเลิกงานถ้าเราเลิกงาน 5 โมงเย็น จะลุกตอน 5 โมงเย็นไม่ได้จะดูเราเป็นคนขี้เกียจทันที และวีซ่าที่ผมมาเป็นประเภท CR-1 คือวีซ่าสำหรับคนที่แต่งงานกับคนอเมริกันที่จดทะเบียนสมรสมากกว่า 2 ปีขึ้นไป (Green Card)

..

ย้ายถิ่นฐานถาวรและผมกลับมายังอเมริกาในปี 2016 เป็นการย้ายถิ่นฐานถาวรครับตอนนี้ผมอยู่ที่รัฐ Connecticut ติดกับรัฐ New York ใกล้ New York city ครับ และติดกับรัฐ Rhode Island และ รัฐ Massachusetts ที่คนไทยรู้จักกันนาม Boston ครับ

อากาศที่นี้จะหนาวมากครับ คือ 8 เดือน และหน้าร้อน 4 เดือนครับ ในหนึ่งปี ประชากรที่นี้คุณภาพดีครับเพราะที่นี้จะเป็นเมืองแห่งการศึกษาดีดัง ๆ สถาบันการศึกษาเยอะมากครับ ที่เป็น Ivy League เพราะทุกคนทั่วโลกจะรู้จัก Yale University อยู่ใน CT นี้และครับ New England Zone หรือ East Coast รัฐผมยังไม่มีเหตุการณ์ทำร้ายเอเชียนเลยครับและเป็นรัฐแรกของอเมริกาที่คนในรัฐได้รับโควิดวัคซีนครบโดสครบก่อนทุกรัฐของอเมริกาเลยครับ รัฐนี้เอเชียนน้อยครับ ประชากรที่นี้ส่วนมากเป็นผิวขาวครับ และในปี 2018 ผมมีโอกาสได้กลับไปเรียนอีกครับที่ University of Connecticut(UConn)

..

ตอนนี้กำลังจะขึ้นปีสามครับ หรือ Junior สาขา Allied Health Science ครับ ปี 2019 จวบจนถึงวันนี้เป็นพลเมืองที่มีสิทธิ์และเสียงตามระบบรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาครับ ขอให้ทุกคนอย่ายอมแพ้ต่อโอกาสเรามีนะครับ คนเราแค่ไม่มีสิทธิที่จะเลือกสถานที่เกิดแต่เรามีสิทธิเลือกสถานที่เราจะเติบโตได้ครับ จงอย่ายอมแพ้ต่อการตัดสินใจครับ ถึงแม้ว่าการติดสินใจจะเริ่มจากติดลบก็ตาม เพราะเราคือหน้าใหม่ในบ้านเมืองใหม่ เป็นกำลังใจให้ทุกคน ทุกมีสิทธิเลือกชีวิตที่ดีกว่าทั้งนั้นนะครับ


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

แชร์ประสบการณ์ยื่นวีซ่าท่องเที่ยว อเมริกา

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

หลายคนอยากไปอเมริกา แต่สมัย DJT (โดนัล ทรัมป์) โหดมากเพราะแบนคนต่างชาติ กีดกันแรงงานข้ามชาติ ขอวีซ่ายากมาก แค่ไปเที่ยวจริงบางคนยังโดนปฎิเสธเลย หลัง โจ ไบเดน ขึ้นเป็น ปธน. เปลี่ยน กม. เยอะมาก อะไรที่ยุค DJT. ทำเราจะไม่ทำ!!!

แต่ยุคนี้คือมี DV ให้กรีนการ์ดให้กับคนที่เข้าไปตั้งรกรากมากและง่ายขึ้น และเพิ่มโควต้าวีซ่าทำงานเพื่อดึงดูดแรงงานข้ามชาตืหรือคนเข้าประเทศ

อ้างอิง https://www.nytimes.com/live/2021/02/18/us/joe-biden-news

วันนี้เรามาแชร์ประสบการณ์ยื่นวีซ่าท่องเที่ยว USA เมื่อปี 2018 ที่ทำเอง เล่นเอง นักเลงพอ ไม่ง้อนายหน้า… ใครอยากย้ายไป ลองไปเที่ยวหรือดูบรรยากาศก่อนก็ถือว่าดีนะ #ทีมอเมริกา

—————————————–

หลายคนบอกว่าการยื่นเอกสารและติดต่อสัมภาษณ์เพื่อขอวีซ่าท่องเที่ยว (B1/B2) ของอเมริกาโหดมาก เมื่อกลัวไม่ผ่านจึงคิดพึ่งเอเยนต์ที่ราคาโคตรแพง ซึ่งตอนแรกเจนเป็นหนึ่งในนั้น โพสต์นี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ วิธีดำเนินการจนเสร็จสิ้นกระบวนการ … ขอเองแม่งง่ายและถูกกว่าเยอะ!

ตอนแรกรุ่นพี่แนะนำเอเยนต์เจ้าหนึ่งมาให้ ราคา 10,000 บาท (รวมค่าธรรมเนียนวีซ่า) ต่อรองจนเหลือ 8,000 บาท (ถ้ารวมค่าแมสเพิ่มอีก 500 บาท) โอนเงินไปให้เรียบร้อย เหลือแค่ส่งเอกสารไปให้เพื่อกรอก แนะแนวการตอบคำถาม แต่พอไลน์ถามชอบเหวี่ยง คือคนมันไม่รู้ สงสัย เลยถาม กลับพูดจาไม่ดี (แบบว่าเมิงต้องง้อกู) สุดท้ายช่างแม่ง ไม่เอาแล้ว ขอเงินคืนจะไปทำเอง ยังหักค่าคุยไลน์ 500 บาท (โอนคืน 7,500) และเริ่มปรึกษาเพื่อนและหาข้อมูลในเนตไปเรื่อย ๆ

ตั้งกล้องถ่ายรูปเองแบบประหยัด (ไปร้านแพงแถมถ่ายไม่ถูกใจอีก) กรอก DS-160 เสร็จแล้วไปสมัคร user ในเวบ จ่ายค่าธรรมเนียม 5,440 บาทที่แบงค์กรุงศรี พอเงินเข้าระบบเลือกวันสัมภาษณ์ ซึ่งโชคดีมากได้คิวดี คือ เข้าระบบวันที่ 6 ส.ค. ได้คิว 9 ส.ค. (ทริคคือรอคนยกเลิกช่วงเที่ยงคืน-ตี 2)

ความเครียดเริ่มครอบงำเมื่ออ่านรีวิวในเนต ผู้หญิงหลายคนที่ไปเที่ยวคนเดียวไม่ผ่านวีซ่า อ้างว่าอายุน้อยบ้าง ดูน่าจะโดดงานบ้าง statement ไม่ดีบ้าง บางคนทำงานรัฐวิสาหกิจ 7 ปียังไม่ได้เลย ยิ่งยุคของทรัมป์นี่ยิ่งหินมาก แต่ชีวิตไม่มีอะไรจะเสียละ ตอนนี้เหลือแค่เดินหน้า เตรียมคำตอบของคำถามยอดฮิตที่มักจะถูกถาม

“ไปเมืองไหน / ไปทำอะไร / ไปกี่วัน / ไปกับใคร”

วันสัมภาษณ์ 9 ส.ค. ได้คิว 9.30 น. แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย แต่งหน้าเบาๆ รีบออกแต่เช้านั่ง MRT ไปลงสถานีลุมพินี เดินข้ามถนนเอากระเป๋ามาฝากที่ห้องน้ำสวนลุมขาประจำ แค่ 5 บาท!! (ไม่อนุญาตให้เอากระเป๋าเป้เข้า ถ้าไปฝากหน้าสถานทูตมี 100 บาท) แล้วก็เดินสวยๆ ไปถึงตั้งแต่ 8 โมงไม่รู้จะไปไหนละ ไปนั่งรอข้างในละกัน พร้อมยื่น passport และใบนัดสัมภาษณ์ที่ปรินท์ให้ จนท. ฝากมือถือ หูฟัง และนาฬิกาการ์มินด้านหน้า เมื่อเดินเข้าข้างในพบคนรอต่อคิวเพียบ แอบเหล่หัวกระดาษเขียน 7.00!!!!

เฟ้ดเฟ่ ตอนนั้นจะ 8.30 น. แล้ว แต่คิว 7.30 น. ยังไม่ได้เข้าไปเลย มันถามละเอียดขนาดนั้นเลยเหรอฟ่ะ!?! นั่งรอแล้วรออีกจนหลับไปหลายตื่น ในที่สุดพนักงานก็เรียกคิว 9.30 น. แต่เวลาจริงๆปาไป 10.00 น. กว่าแล้ว ตรวจเอกสาร จดทะเบียนเลขพัสดุ พอเข้าไปด่านแรกคือ จนท.ไทย ถามเบื้องต้นและพิมพ์ลายนิ้วมือ แล้วต้องไปพิมพ์อีกนิ้วที่ช่อง 10 เป็น จนท.อเมริกันแต่พูดไทยได้ เสร็จสิ้นกระบวนการก็ยืนต่อแถวหางงูรอโดนเฉือดหน้าตู้กระจก

ด้านหน้าเป็นตู้กระจก 5 ช่อง มี จนท.สถานทูต ยืนอยู่ข้างใน วันนี้เปิดแค่ 3 เมื่อถึงคิวก็เดินไปสัมภาษณ์ตามช่อง ไม่มีการสัมฯเป็นไทยเลย อังกฤษล้วนๆ พูดกันหูดับตับไหม้ พี่คนข้างหลังถึงขั้นหวาดกลัวเพราะอังกฤษไม่คล่อง บางคนเงอะๆงะๆ แต่ก็ผ่านด้วยดี ช่วงนั้นกดดันมากแต่ตามคำแนะนำของพี่ Anna Visa บอกว่าให้มั่นใจ ยิ้ม แล้วก็จ้องตามัน ช่วงที่ยืนในแถวพยายามไม่ทำหน้ากังวลหรือเก็บกด ผ่อนคลาย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สัมภาษณ์แต่ถ้าเกิดเขามองเห็นเราอย่างน้อยมันน่าจะช่วยได้

คิวเริ่มใกล้เข้ามาทุกที แต่สามีภรรยาวัยกลางคนกลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเพราะ จนท. ผู้ชายถามแบบละเอียดมาก และแกก็พูดอังกฤษแทบไม่ได้ ในขณะที่อีกช่องเป็น จนท. ผู้หญิง ดูชิวๆ สัมจบไป 3 คน แล้ว สุดท้ายคู่ผัวเมียนั้นก็ต้องแห้วรับประทานเพราะเขาให้เหตุผลว่าพวกคุณอายุมากเกินไป และเป็นเจ้าของธุรกิจ เราไม่สามารถออกวีซ่าให้ได้

เวงละ!!! จนท.ผู้ชายแม่งเคี้ยว ขอให้คู่ผัวเมียออกก่อนอีกช่อง เพื่อที่ผู้ชายข้างหน้าจะได้โดนเชือดต่อแทน ส่วนเราจะได้ช่อง ผญ

…แต่เขาบอกว่า เกลียดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้น…

สามีภรรยาพยายามต่อสู้ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาทำเอกสารที่เตรียมตกพื้น กว่าจะก้มเก็บช่องข้างที่สัมภาษณ์เสร็จพอดี ผู้ชายข้างหน้าเลยรีบไปต่อ ส่วนเรา..คือเหยื่อรายถัดไปต่อจากผัวเมียคู่นั้น

[บทสทนาต่อไปนี้เป็นอังกฤษทั้งหมด แต่ขอแปลไทยละกัน]

เรา : (เดินตรงเข้าไป มั่นใจ ยิ้มหวาน) อรุณสวัสดิ์ค่ะ

จนท. : อรุณสวัสดิ์ คุณเป็นช่างภาพอะไร?

เรา : (เฮ้ย แม่งไม่ตรงสคริปท์นิหว่า ทำไมไม่ถามคำถามยอดฮิต!!!) ถ่ายหลายอย่างค่ะ มีงานกีฬา งานบวช งานแอด งานวิ่ง อาหาร แพ็คชอต พอร์ตเทรต บลา ๆ

//ห้ามบอกว่าเป็นช่างภาพข่าว ถึงแม้เราจะไปเที่ยวแต่มีสิทธิ์โดน turn down สูงมากเพราะเขาจะมองว่าเราจะไปเจือกอะไรที่นั่น//

จนท. : (มองจอคอม พิมพ์กอกแก่ก ๆ) ทำงานมากี่ปีแล้ว?

เรา : 9 ปีค่ะ

จนท. : เป็นช่างภาพมา 9 ปี หืม!! (ทำหน้าตาไม่น่าเชื่อ) ขอดูพาสปอร์ตหน่อย (หยิบพาสปอร์ตไป 2 เล่ม เปิดผ่าน ๆ โชคดีที่มีประวัติการท่องเที่ยวบ่อย เลยรอดตัว) แล้วจะไปทำอะไร?

เรา : ไปลงวิ่ง Hampton Marathon ที่ East Hampton, New York วันที่ 29 ก.ย. นี้ค่ะ รายการนี้เป็น Boston Qualifier ด้วย (พูดให้ดูว่ารายการมันไม่ได้กะโหลกกะลานะ อะไรแบบนั้น~)

//เสียดายที่ต้องเลื่อนไฟลต์บินกลับเป็นวันที่ 26 เลยไปหางานวิ่งอื่นแถว MA แทน แต่ตอนนั้นแค่กำหนดคร่าวๆ เพราะต้องรอวีซ่าผ่านก่อน T__T//

จนท. : (ทำหน้าสงสัย) วิ่งมาราธอนมากี่ครั้ง เวลาเท่าไร

เรา : 4 มาราธอน 4:56 ชั่วโมงค่ะ

จนท. : เอ…ได้ข่าวว่า บอสตัน มาราธอน มันโหดมากไม่ใช่เหรอ

เรา : ใช่ค่ะ แต่ไม่ได้ไปสมัครวิ่งบอสตันนะ รายการนี้แค่สามารถใช้เวลาไปสมัครบอสตัน มาราธอน ได้เฉยๆนะค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาผ่านจะสมัครผ่านทุกคน

จนท. : แล้วนี่เวลาผ่านแล้วเหรอ? (ทำหน้าสงสัย)

เรา : ยังไม่ผ่านค่ะ (และไม่รู้จะมีวันนั้นมั้ยด้วย ฮ่าๆ) แต่เราไม่ได้ไปสมัครบอสตัน มาราธอนนะ (รู้สึกว่าเขาจะเข้าใจผิด ฟังเป็นว่าเราจะไปสมัครบอสตัน มาราธอน เพราะใน DS-160 กรอกว่าไปเมืองบอสตัน)

ณ ตอนนั้น จนท. หยุดถาม มองจอคอม พิมพ์กอกแก่ก ๆ เกิดเดดแอร์ ไอ้เราก็ไม่กล้าพูดอะไรกลัวว่าไม่ได้ถามอย่าร้อนตัว แต่พี่แอนนาบอกว่าตอนที่เขาพิมพ์หรืออะไรนี่แหล่ะ เราต้องหาวิธีดึงดูดความสนใจให้เขามาสนใจเรา มีอะไรใส่ให้หมด เพราะถ้าหมด 2 นาทีนี้ก็คือจบ ฉะนั้น อะไรทำได้ทำ!!

เรา : นี่ค่ะ รายการวิ่งที่บอก //ตัดสินใจยื่นกระดาษที่ปรินท์หน้าเวบรายการวิ่งที่ว่าจะสมัคร มีวันที่กับเส้นทางวิ่งให้ จนท. ดู สำเร็จ…เขาหันมาสนใจแล้ว!!!

จนท. : อ๋อ….รายการนี้นิเอง เก็ตละ VISA APPROVED.

เฮ้ย…เยสเข้!! อะไรนะ ผ่านกันง่าย ๆ แค่กระดาษใบเดียวเนี่ยนะ โอ้ยสวรรค์เบี่ยงมาก กระโดดโลดเต้นข้างในยิ่งกว่าถูกหวย รู้งี้ยื่นให้ดูตั้งนานแล้วจะได้ไม่ต้องลุ้น ยิ้มหวานขอบคุณ จนท. ยกใหญ่เลย ฮ่า ๆ

จนท. : ผมให้คุณผ่านวีซ่าแล้วนะ แต่นอกเรื่องหน่อย … แล้วเตรียมตัวสำหรับมาราธอนยังไงบ้างตอนนี้?

เรา : (แม่งมามุขไหนว่ะ) ช่วงนี้เริ่มซ้อมเก็บระยะ เพื่อเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ ก็พยายามให้ดีที่สุดค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็จะไปซ้อมที่สวนลุม

//จริงๆก็นัดกับรุ่นน้องวิ่งที่สวนลุมต่อ ปกติถ้าไม่ได้เข้าเมืองก็ไม่วิ่งหรอกเพราะไกลบ้าน แต่ต้องยกตัวอย่างสวนลุมเพราะอยู่ใกล้สถานทูต ไปวิ่งกันเยอะเขาน่าจะเก็ต เพราะถ้าบอก ม.เกษตร กับ สวนคปอ. ตามสไตล์นักวิ่งชายขอบ แม่งคงมองบน ฮ่า//

จนท. : เห็นว่าจะไปบอสตันด้วย?

เรา : ใช่ค่ะ ก็กะเที่ยว NYC แล้วก็ต่อบอสตัน ว่าจะไปดู NBA Preseason ที่บ้าน Boston Celtics

จนท. : ไปดูทำไม เห็นว่าผลงานตอนนี้ห่วยแตก (ดูแววแล้วน่าจะเป็นแฟนทีมอื่น ฮ่าๆ) … โอเค วีซ่าคุณเรียบร้อยละ รอรับละกัน ขอให้โชคดีกับการแข่งขันนะ

เรา : ขอบคุณมากค่ะ Good bye (ได้วีซ่า 10 ปีค่ะ โล่งออกมาก)

เป็นบทสนทนาที่ยาวนานร่วม 10 นาทีเลยทีเดียว บางคนก็แค่ 2 นาที แต่บางคนก็นาน กรณีของเจนอาจเป็นเพราะเขาไม่รู้จริง หรือบางทีอาจรู้แต่เป็นการถามตามหลักจิตวิทยา คือถ้าเราโกหก เราไม่ใช่นักวิ่งจริง ยังไงมันก็ต้องหลุด เพราะนางถามซ้ำวนไปวนมาหลายรอบมาก ส่วนคำถามที่ฮอตฮิต แม่งไม่ถามเราซักอย่าง สเตทเม้นท์และใบรับรองการทำงานไม่หยิบมาดูซักแอะ! 555 มารู้จากพี่แอนนาว่าก่อนที่เขาจะสัมภาษณ์เราจะมีแผนกค้นหาข้อมูลเราไว้หมดแล้ว เขาจะเทียบข้อมูลที่กรอก ข้อมูลในเนต กับข้อมูลตอนสัมภาษณ์ ว่าตรงกันมั้ย บางคนถ้าไม่น่าเชื่อถือเขาก็จะปฏิเสธเร็วเลย

สำหรับใครที่อยากไปเที่ยวอเมริกา และกลัวเรื่องการสัมภาษณ์และขั้นตอนเอกสารต่าง ๆ บอกเลยว่า “ไม่ต้องกังวล” ไม่ต้องไปจ้างเอเยนต์เป็นหมื่น เขาก็ทำแค่กรอกเอกสาร เช็คให้เรา แต่เขาไม่ได้ช่วยให้เราผ่านสัมภาษณ์นะ ดังนั้นทำเองดีกว่าเพราะเราจะได้รู้ทุกอย่างที่เรากรอก เจนมีทริกเล็ก ๆ มาแนะนำค่ะ

  • ควรทำด้วยตัวเองจะดีที่สุด เพราะเราจะรู้ว่าเรากรอกอะไรไป และสิ่งที่ตอบมันจะตรงกัน
  • เอกสารเตรียมให้ครบ แต่สุดท้ายบางทีเขาก็แทบไม่ได้ดู (เหลือดีกว่าขาด)
  • เงินในบัญชีเยอะไม่ช่วยให้คุณผ่านวีซ่า แต่เป็นหลักฐานว่าคุณมีเงินเข้าออกและใช้จ่ายจริง อย่าตบแต่งบัญชีโดยการโอนเงินเข้ามาให้ดูเยอะเพราะมีสิทธิ์ไม่ผ่านสูง (ของเจนไม่ดูสเตทเม้นท์เลย)
  • ประวัติการเดินทางมีผลอย่างมาก ถ้าไม่เคยไปนอกประเทศเลย อาจลองไปประเทศใกล้ ๆ ก่อน (แม้จะเป็นผู้หญิง solo traveller ก็ไม่เป็นไร)
  • แผนการเที่ยวทำไปคร่าว ๆ (ส่วนเดี๊ยนล่อเป็นตารางแบบจริงจัง) ตั๋วเครื่องบินกับที่พักก็ไม่ต้องจอง เพราะไม่ขอดูอะไรเลย
  • ยิ้มแย้ม มั่นใจ มองตา ไม่หลบหน้า เป็นตัวของตัวเอง และอย่ากลัว!!!
  • ช่วงที่เกิดเดดแอร์ พยายามดึงความสนใจมาให้ได้ และแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะกลับมาไทยแน่นอน
  • ถ้าสัมภาษณ์เป็นอังกฤษจะดีมาก เพราะส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยพูดไทย หรือบางทีก็น้อย
  • แค่นี้ คุณก็จะได้วีซ่าอเมริกาแบบง่ายๆ โดยตัวคุณเอง … โคตรภูมิใจ!

เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

โครงการออแพร์ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอเมริกา

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

#ทีมอเมริกา งับ เรามาอยู่อเมริกาได้ 2 ปีกว่า ๆ แล้ว เรามากับโครงการแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า ออแพร์ (Aupair) Aupair เป็นโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม โดยการมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่อเมริกา และต้องอยู่กับ Host family มีค่าตอบแทน $195.75/Week

โครงการนี้สามารถเข้าร่วมได้ตั้งแต่อายุ 18-25ปี (แล้วแต่เอเจนซี่ค่ะ) จริง ๆ แล้วโครงการออแพร์มีหลายประเทศมาก ๆๆ แต่เราชอบอเมริกา จึงเลือกมาอเมริกาค่ะ

วิธีการเตรียมตัว(ของเรา) แบบคร่าว ๆ นะคะ

  1. พฤษภาคม 2018 เราเลือกAgency ที่ชื่อว่า Thai Aupair ค่ะ
  2. พฤษภาคม-ตุลาคม 2018 เราใช้เวลาเตรียมตัว 5-6 เดือน เพราะการจะมาเป็นออแพร์คุณต้องมีประสบการณ์การเลี้ยงเด็กอย่างน้อย 200-300 ชั่วโมง แล้วแต่เอเจนซี่อีกนั่นแหละค่ะ 5555
  3. ตุลาคม 2018 เมื่อเรามีประสบการณ์แล้วก็ลุยเลยย จากนั้นเราก็ออนไลน์เพื่อหาโฮสต์ในระบบ สัมภาษณ์งานกับโฮสต์ ถ้าโฮสต์ชอบเรา เราชอบโฮสต์ ก็ตกลงกันได้เลยว่าจะบินวันไหน
  4. พฤศจิกายน 2018 สัมภาษณ์วีซ่า เข้าอเมริกา (จะได้ไปไม่ได้ไปมันอยู่ตรงนี้แหละค่ะ 555555) สรุป ผ่านจ้า !!!!!
  5. ธันวาคม 2018 บินมาอเมริกาเรียบร้อย ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ !!!

ค่าใช้จ่ายในการมาเป็นออแพร์ของเราเมื่อปี 2018

  1. ค่าสมัครโครงการ (แตกต่างออกไปแต่ละเอเจนซี่) 5,000 บาท
  2. ค่าโครงการ (ณ ตอนนั้น) $1,000 หรือประมาณ 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับค่าเงินในตอนนั้นค่ะ เพราะจ่ายเป็นเงินดอลลาร์
  3. ค่าสัมภาษณ์ Visa 5,760 บาท
  4. ค่าตรวจร่างกาย (คร่าวๆ จำไม่ได้) ประมาณ 2,000 บาทค่ะ
  5. ค่าตรวจประวัติอาชญากรรม 500 บาท

ถ้าใครอายุยังน้อยแล้วอยากมาเข้าร่วมโครงการก็เตรียมตัวให้ไวเลยเด้อ มาๆๆๆ มาอยู่อเมริกาด้วยกัน

สุดท้ายนี้เค้าทำช่อง Youtube ไว้ด้วยเด้อ จะได้มีแรงบันดาลใจ เพราะเค้าเที่ยวแหลกมากกจ้า https://youtu.be/pSjqqIYmbh0


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

รีวิวทำงาน Supply Chain ที่อเมริกา

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

เมื่อเช้าเห็นมีคนโพสต์ถามเรื่อง #ทีมsupplychain ผมในฐานะที่ได้ไปเป็น #ทีมอเมริกา เรียนและทำงานอยู่ที่โน่นรวม 3 ปี (แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ไทยแล้ว) ขอมาแชร์ประสบการณ์นะครับ
.
.

คำเตือน : โพสต์นี้ยาวนะ อย่าลืมกด save ไว้เผื่อหายนะครับ

.
.

Background

ผมเรียนจบ Industrial Engineer ทำงานด้าน Supply chain อยู่บริษัทไทยแห่งนึงประมาณ 5 ปี แล้วก็ขอทุนบริษัทไปเรียน MBA ต่อที่ U of Michigan 2 ปี ระหว่างเรียนก็ตั้งใจหาที่ Summer Intern เก็บประสบกาณ์ไปด้วย จนได้ไปฝึกงานที่ Google ในส่วน Consumer hardware (พวกอุปกรณ์ตระกูล Pixel) ในตำแหน่ง New Product Introduction Operations Program Manager พอ intern เสร็จปรากฏว่าได้ Offer Full-time ก็เลยมาขอต้นสังกัดที่ให้ทุนเก็บประสบการณ์ต่ออีกปีนึงครับ ส่วนตอนนี้กลับไทยมาเริ่มใช้ทุนได้ซักพักละ
.
.

Google มีงานด้าน Operations/ Supply-chain ด้วยเหรอ?

ใช่ครับ มีเยอะด้วย อย่างธุรกิจ Pixel ก็กำลังขยายทั้ง มือถือ, wearables, smarthome หรือธุรกิจแม้แต่ด้าน Search และ Cloud ก็ไม่ได้เสกมาจากอากาศ แต่ต้องมี Data Center ขนาดมหึมาซัพพอร์ตอยู่ข้างหลัง ตรงนี้ก็ต้องใช้ศาสตร์ด้าน Supply-chain ในการวาง Capacity เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจ Non-core business (Google เรียกว่า Other bets) เช่น Waymo (Autonomous Driving) ก็อยากได้คน bg automotive หรือ Verily (Life-science product) ก็ต้องการคนที่รู้เรื่องมาตรฐานด้าน Medical ด้วยครับ

นอกจาก Google แล้ว บริษัท Tech ใหญ่ ๆ อื่น ๆ ก็ต้องการด้าน Supply-Chain เยอะครับ พวก Amazon, Tesla, Walmart, Dell, HP, Microsoft, Boeing และยังมีพวก B2B หรือพวกที่ทำอุปกรณ์เฉพาะทางด้าน Engineering อีกเยอะครับ และแน่นอนว่าบริษัท Tech ไม่ได้มีแต่งาน Tech นะครับ Google ก็เหมือนบริษัทใหญ่ๆทั่วไป ยังต้องใช้ Designer, UX, Accouting, Finance, Tech, HR, Marketing อีกมากมาย เพียงแต่ว่างานสาย Tech/Engineering จะค่อนข้างได้เปรียบเพราะ Supply ขาดแคลนเยอะ
.
.

ตำแหน่ง New Product Introduction Operations Program Manager ทำอะไร?

งงตั้งแต่ชื่อตำแหน่ง ทำไมมันยาวขนาดนี้ 55+ ถ้าจะอธิบายสั้น ๆ คือ งานนี้เราเหมือนเป็น COO ของ Product แต่ละตัวครับ คือเราจะรับ Prototype มาจากฝ่าย Engineering แล้ว Scale-Up มันให้พร้อมสำหรับการ Launch เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนคุมทั้งหมดตั้งแต่ Model การทำงานกับบริษัทที่เราไปจ้างผลิต (Contract Manufacturers), CAPEX, Quality target, Production Yield, Logistics Mode และอื่น ๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำทั้งหมดนี้คนเดียว แต่เราจะเป็นคนที่เห็นภาพรวมทั้งหมด และต้อง Orchestrate ให้ทีม sync กัน และ Product พร้อม Launch ตาม Business Objective ครับ ถ้าใครใจรักด้าน Supply-chain งานนี้คือได้งัดของมาใช้ครบจริง ๆ
.
.

เข้าไปทำงานที่นี่ได้ยังไง?

ช่วงเรียน MBA ก็สมัคร Intern ไปหลายที่ครับ สำหรับ Google คือแค่ยื่น Resume เลย รอไป 3-4 เดือนบริษัทก็โทรมาเรียกสัมภาษณ์ครับ สมัยก่อน Google ขึ้นชื่อเรื่อง Process การ Interview ห่วยแตกทรมาณมาก สัมภาษณ์ 7-8 รอบ บางคนสัมภาษณ์เกือบปี แต่เดี๋ยวนี้ค่อย ๆ ปรับปรุง Process ให้ดีขึ้นละครับ อย่างของผมสมัคร Intern คือแค่สัมภาษณ์กับ Manager 2 คน back-to-back แล้วก็รู้ผลวันรุ่งขึ้นเลย
.
.

สัมภาษณ์อะไรบ้าง?

เอาจริง ๆ ค่อนข้าง Basic ครับ คือถามง่ายอะ แต่ตอบยาก 555+ (แต่ไม่มีแล้วนะครับ พวกคำถามประลองปัญญา ประเภท New York City มีหนูกี่ตัว หรือพาคน 3 คนนั่งเรือข้ามแม่น้ำอะไรแบบนั้น) หลัก ๆ ก็เป็น Behavioral Interview คือ ถามเจาะประสบการณ์ทำงานของเราตาม Resume ก็พยายามพูดให้รู้เรื่อง เล่าให้เค้าเข้าใจในเวลาสั้น ๆ คำถามอีกประเภทคือ Mini-case ก็จะเป็นสถานการณ์สมมติว่าเราทำงานในตำแหน่งที่เราสมัครอะครับ แล้วเกิดสถานการณ์แบบนี้ ๆ เราจะทำยังไง พวกนี้ไม่ต้องคำนวณครับ แต่ Critical thinking ต้องดี ไม่งั้นโดน Interviewer ไล่ต้อนจนมุมง่าย ๆ

หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ (ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที) จะเป็นช่วง Q&A ให้เราถามกลับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนมักมองข้าม กับบริษัทอื่นๆผมไม่รู้ แต่กับ Google นี่เค้าชอบคนที่ถามเยอะๆครับ เพราะเค้ามองว่าการทำงานที่ Google คือมันไม่มีคำตอบพร้อมให้คุณทุกอย่าง แต่เราต้องมีสกิลการตั้งคำถามที่ดี แล้วหาคนมาช่วยเราตอบ รวมไปถึงว่าคำถามที่เราถามมันแสดงได้ถึงความ “อิน” ต่องานที่เราสมัครเข้าไปด้วย
.
.

บรรยากาศการทำงานเป็นยังไง?

ต้องบอกว่าเนื้องานมันสนุกกว่างานที่ไทยเยอะครับ ได้เห็นการพัฒนา Tech Product, Gadget ต่าง ๆ ตั้งแต่การออกแบบ Prototype จนออกมาสู่ตลาด ความรู้สึกเวลาได้เห็น Product มันถึงมือลูกค้าแล้วมารีวิวบน Amazon, Bestbuy มันดีมาก เพื่อนร่วมงานหลากหลายเชื้อชาติเก่ง ๆ ทั้งนั้น ทำงานก็ให้เกียรติกันดี การเมืองน้อย ทุกคนช่วยเหลือกันดี ที่ชอบที่สุดคือการ Communication ในองค์กรที่แม้จะเป็นบริษัทที่มีพนักงานแสนกว่าคน แต่ทำงาน Connect กัน มี Town hall (ที่นี่เรียก TGIF) เกือบทุกสัปดาห์ และ Sundar มาแทบทุกครั้งเพื่อมาตอบคำถามจากพนักงานเอง
.
.

แล้วความเป็นอยู่ล่ะ?

เราอยู่เมืองชื่อ Sunnyvale รัฐ California อยู่ในเขต Bay Area ห่างจาก Google HQ 15 นาที เป็น Residential Area เงียบ ๆ แต่อากาศดีมาก แทบไม่เคยได้ยินปัญหาโจรขโมย ถนนดี ขับรถสะดวก มีสวนสาธารณะเล็ก ๆกระจายทั่วเมือง ที่ประทับใจที่สุดคือ มีบริษัทเทคจะมาสร้าง Office Complex แถว ๆ บ้าน เมือง Sunnyvale ก็ส่งจดหมายมาเชิญไปฟังแผนก่อสร้าง แผนการ Commute คนเข้าออก ว่าเรา OK มั้ย อยู่บ้านแถวปทุมวันมาเป็นสิบปี จะสร้างจะทุบอะไร ไม่เคยถามกุซักคำ ฮืออออ
.
.

อยากเรียนโทเพื่อทำงานต่อที่อเมริกา ต้องเจอกับอะไรบ้าง?

หนทางการไปเรียนเพื่อหางานไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ระหว่างทางมีอุปสรรคมากมาย ใช้เวลานาน และไม่มีอะไรการันตีว่าคุณจะสามารถย้ายไปอยู่ที่โน่นได้จริง ๆ แต่ถ้าทำได้ผลตอบแทนก็คุ้มค่า
ว่าแต่แล้วต้องเจอกับอะไรบ้างล่ะ? หลัก ๆ มี 3 ด้านครับ คือ 1. หาที่รับเราเข้าไปเรียน 2. หาที่รับเราเข้าทำงาน 3. หา Visa ทำงานต่อ

ข้อ 1 หาที่ไปเรียน

รายละเอียดน่าจะพอหาอ่านที่อื่นได้นะครับ Content เยอะแล้ว แต่สำหรับสาย Supply-chain มีคำแนะนำสายที่น่าไปเรียนต่อ คือ

1.1 ต่อสาย Supply Chain ไปเลย เรียนพวก MS in Supply-chain หรือ OR อะไรพวกนี้ Employer ในอเมริกายังต้องการอีกเยอะครับ ทั้งสาย Consumer Hardware (Apple, Google, Dell) สาย Manufacturing (Boeing, Tesla, Ford, GM, และพวก B2B อีกมาก) หรือแม้กระทั่งบริษัทอย่าง Disney ก็จ้างงานสายนี้ค่อนข้างเยอะ

1.2 Pivot ไปสาย Data พวก Analytics, ML ด้วยพื้นด้าน Stats ของเรา จะเรียนต่อด้านนี้ได้ และความต้องการสูงมาก แต่ข้อควรระวังคือ Employer ในอเมริกาเค้าค่อนข้างให้น้ำหนักประสบการณ์ทำงานมากกว่า degree เพราะฉะนั้นถ้าพยายามทำงานสายนี้ เก็บประสบการณ์ซักนิด ก่อนมาเรียนต่อ ก็จะดีครับ

1.3 ต่อ MBA ข้อดีคือได้เห็นภาพกว้าง, มี Network เยอะ, มีโอกาสได้ Summer Intern และมี Potential ด้าน Career path สูง แต่ข้อเสียคือมันแพง เรียนนานกว่า และได้ OPT visa แค่ 1 ปี ไม่เหมือนข้อ 1.1, 1.2 ที่ได้ OPT visa 3 ปีครับ (OPT Visa สำคัญยังไง เดี๋ยวไปอ่านต่อข้อ 3)

ข้อ 2 หาที่รับเราเข้าทำงาน

2.1 ตั้งเป้าให้ Realistics

ตอนผมเรียน MBA Career center (ใช่ครับ โรงเรียนที่นั่นมีศูนย์ช่วยหางาน) แนะนำมาว่า เวลาสมัครงานให้ดู 3 Factor 1) Function 2) Industry 3) Location ถ้าเราเปลี่ยนงาน แค่ 1 ใน 3 Factor มันจะง่าย เปลี่ยน 2 ใน 3 จะยากขึ้น และถ้าเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 3 อย่าง คือ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สำหรับเด็ก International student ถ้าจะหางานในอเมริกา แน่นอนว่าคุณโดน fixed ไป 1 factor ละ คือ Location เพราะฉะนั้นพยายามสมัครงาน ที่ตำแหน่ง หรืออุตสาหกรรมใกล้เคียงกับประสบการณ์ของเราให้มากที่สุด จะมีโอกาสสูงครับ (ถึงแม้จะไปเรียน MBA แต่ Employer ก็ weight น้ำหนัก work experience เราเยอะมากอยู่ดี)

ยกตัวอย่างกรณีของผม ประสบการณ์ Supply-chain construction materials ในไทย แต่งานที่ได้เป็น Operations ใน consumer hardware ที่อเมริกา ก็คือ function คล้ายๆเดิม แต่เปลี่ยน Location กับ Industry ครับ

2.2 รู้เขารู้เรา

พอเลือกตำแหน่งงานที่จะสมัครแล้ว ก็ทำ Research ให้ดีครับ อ่าน Job description ให้ดี อ่านเว็บบริษัท อ่านไปถึง 401k (งบการเงิน) อ่านไปยัง Shareholder’s letter ให้เข้าใจ vision และ business model อ่านแล้วเอามาวิเคราะห์ว่า ประสบการณ์ความรู้ของเรามีอะไรที่เป็น Transferable skills เอาไปใช้ที่นี่ได้ และจะสื่อสารยังไงให้คนที่นั่นเข้าใจว่าเราช่วยเค้าได้

2.3 Network

วัฒนธรรมอเมริกันให้ความสำคัญกับการสร้าง Network มากครับ แต่ไม่ใช่ Network แบบไทย ๆ ที่ต้องไปตีกอล์ฟกัน หรือพ่อแม่รู้จักกันอะไรแบบนั้น เราสามารถสร้าง Network จากการ Connect ศิษย์เก่าโปรแกรมเดียวกับเราที่ทำงานบริษัทนั้น ๆ หรือบางที ก็ Cold connect ทาง LinkedIn ไปเลยครับ (แต่ต้องเตรียม message ดี ๆ นะครับ บอกเค้าว่าเราเป็นใคร connect มาทำไม อย่างถามอะไรจากเค้า) การคุยการสร้าง network ดีจะช่วยให้เราเข้าใจบริษัทจากมุมคนทำงาน รวมไปถึงในหลายบริษัทจะมี Referral Program ในการสมัครงาน ซึ่งจะทำให้โอกาสที่เราจะได้เรียกสัมภาษณ์มากขึ้นด้วยครับ

ข้อ 3 หา Visa ทำงานต่อ

ข้อนี้เป็นข้อที่มักจะมองข้ามกันครับ อธิบายแบบนี้ ตอนที่เรามาเรียน เราจะได้ Visa ที่ชื่อว่า F-1 คือ Visa นักเรียน ซึ่ง F-1 Visa เนี่ย มันจะมาคู่กับ OPT extention พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเราหางานได้ตอนเรียน เราสามารถใช้ OPT เพื่อทำงานต่อได้ครับ ถ้าเป็น degree สาย STEM เจ้า OPT จะมีอายุ 3 ปี แต่ถ้าเป็น degree อื่นๆจะมีอายุแค่ 1 ปีครับ

อ่าวแล้วถ้าจะทำงานต่อต้องทำยังไง? เราต้องหา Visa ทำงานสำหรับชาวต่างชาติให้ได้ ชื่อว่า H1-B ซึ่งจะทำให้เราทำงานต่อได้ประมาณ 6 ปีครับ วิธีการที่จะได้มาซึ่งเจ้า H1-B นี้มีวิธีเดียวคือการจับ Lottery ซึ่ง 1 ปีจะมี 1 ครั้ง และเรายื่นสมัครเองไม่ได้ แต่ต้องให้ Employer ยื่นให้ครับ ข้อมูลช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ โอกาสจับได้ H1-B สำหรับ Master Degree อยู่ที่ประมาณ 50-50 ครับ (เป็น Lottery เลย ไม่เกี่ยวกับ Skill หรือสัญชาติอะไรใดๆ)

ถ้าจับได้ H1-B ก็ทำงานต่อไปได้ยาวๆครับ จะทำ 6 ปีแล้วกลับไทย หรือจะขอ Green card อยู่ต่อยาวๆก็แล้วแต่เลย แต่ถ้าไม่ได้ล่ะ? ตรงนี้จะยากนิดนึง ถ้าเป็นบริษัทที่มี Office ทั่วโลก เค้าจะสามารถ Re-locate เราไปออฟฟิศประเทศอื่นๆ (เช่น ย้ายเรากลับมาไทย, สิงคโปร์ หรือ UK อะไรก็ตามแต่) แล้วทำงานนอกอเมริกาอย่างน้อย 1 ปี หลังจากนั้น Employer จะมีสิทธิ์จะขอ Relocate เรากลับไปที่อเมริกาด้วย Visa L-1 ได้ครับ
พอเอา ข้อ 1,2,3 มารวมกันแล้วจะเห็นว่ามันส่งผลกระทบถึงกันหมด ถ้าเราเลือกเรียนสาย STEM เราจะมีโอกาสจับ Lottery H1-B ถึง 3 ครั้ง โอกาสได้ก็จะสูงขึ้น และตอนหางานเราต้องหางานที่ Employer พร้อมจะ Sponsor H1-B เราด้วย นอกจากนี้ ถ้าเราเกิดจับ H1-B ไม่ผ่าน แต่ถ้าเราทำงานกับ Employer ที่เป็น Global Company มี Office ทั่วโลก เราจะมีโอกาส Relocate เพื่อกลับมาด้วย Visa L-1 ได้อีก ตรงนี้จึงต้องวางกลยุทธ์ให้ดีๆครับ
.
.


จะเห็นได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน ตั้งแต่จะได้มหาวิทยาลัยดีๆมั้ย? เรียนแล้วจะได้งานมั้ย? ได้งานแล้วจะได้ visa มั้ย? ระหว่างทางก็ต้องใช้เงินเยอะพอสมควร น้ำหนักความกดดัน ความเครียด ไม่ใช่น้อยๆ แต่ถ้ามันคือเป้าหมายของคุณ และรับความเสี่ยงได้ ผลลัพธ์มันก็คุ้มครับ แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องลองหา Option อื่นๆดูครับ

ฝากไว้เท่านี้ครับ ใครมีคำถาม comment ทิ้งไว้นะครับ หรือถ้าใครทำงานด้าน Consumer Hardware/Gadget ต่าง ๆ ลอง Add มาคุยกันนะครับ อยากรู้จักเผื่อหา Project สนุก ๆ ทำกัน


เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

รีวิวชีวิตช่างภาพในอเมริกา

0
ย้ายประเทศ ทีมอเมริกา

เพื่อนมันบอกให้รีวิวชีวิตในอเมริกา วีซ่านักเรียน วีซ่าศิลปิน (ช่างภาพ) วีซ่าคนทำงานในฟาร์ม วีซ่าแต่งงาน

สวัสดีค่ะ ชื่อ ญดา ค่ะ มานิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อ 22 ตุลาคม 2015 วีซ่า นักเรียน (F-1) ทีแรกก็กะมาเรียนภาษา และเรียนแฟชั่น เรียนถ่ายรูปเพื่อนเอาใบประกาศนียบัตรแฟชั่นจาก นิวยอร์กสวย ๆ แล้วกลับไทย เฉย ๆ ไม่ได้กะตั้งหลักตั้งฐานขนาดนี้

5 เดือนแรก (พฤศจิกายน 2015 – มีนาคม 2016) ไม่ได้ทำงานค่ะ ยังงง ๆ ชีวิต ทั้งคน ภาษา สถานที่แปลกตาไปหมด เลยต้องปรับตัว (เปล่า ขี้เกียจแหล่ะ) ก็ใช้เงินเก็บที่มาจากไทย แชร์ห้องพักกับเพื่อนไม่แพงเท่าไหร่แต่จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่แต่ไม่เกิน $500 (15,000บาท) แต่อยู่ห่างจากแมนแฮตตัน 30-45นาที อาหารการกินไม่ค่อยเท่าไหร่ กินไม่เยอะ

เริ่มทำงานเป็นแคชเชียร์ พาทไทม์ ร้านขายของของญี่ปุ่น เดือนเมษา 2016 ชั่วโมงล่ะ $13 (390บาท) 30-35 ชั่วโมง/สัปดาห์ เงินเดือน ราว ๆ 50,000 – 55,000

เดือน มิถุนา 2016 เริ่มทำงานเป็นสาวเชียร์ไวน์ คล้าย ๆ สาวเชียร์เบียร์บ้านเรา ค่าตัวชั่วโมงล่ะ 270 บาท วันหนึ่งทำ 5-6 ชั่วโมง (6โมงเย็น – เที่ยงคืน) ค่าเปิดไวน์ ขวดล่ะ $10 หรือ 300บาท คืนไหนพีคสุด ๆ มีปาร์ตี้ไรงี้ได้ถึง 30 ขวดก็มี มีได้ทริปอีกต่างหาก ทริปนี้จะได้เยอะ อย่างเช่นคืนที่ไม่ได้เลยทริปจะได้ 7000 บาทไรงี้ เดือนที่พีคที่สุดจะเป็นช่วงหน้าร้อน 350,000 – 400,000 บาท ต่อเดือน แต่เราทำได้ไม่นานนะ แค่ 7-8 เดือน เพราะร่างกายแย่ นอนดึก กินแอลกอฮอล์ทุกวัน เรียนก็หนักเลยไม่ไหว

เลยซื้อกล้องเบนเข็มกลับเข้าสู่โหมดช่างภาพ เพราะอยู่ไทยเราก็เปิดเวดดิ้ง สตูดิโอ มานี่ก็เลยจะสานต่อ เมืองแฟชั่นเลยนะ นิวยอร์ก เริ่มแรก ก็เป็นอาสาสมัครถ่ายฟรีในแฟชั่นวีค สร้างโปรไฟล์ก่อนและสร้างคอนเนคชั่น งานแรกที่ได้เงินคือถ่ายแฟชั่นโชว์ ได้ $600 (18,000บาท) 6 ชั่วโมง ต่อมาก็รับถ่ายงานที่เราถนัด พรีเวดดิ้ง เด็กแรกเกิด งานปาร์ตี้ คนท้อง ครอบครัว 24,000 บาท/4 ชั่วโมง งานแต่งงาน 70,000บาท/6 ชั่วโมง แพงเพราะมีผู้ช่วยด้วย เป็นช่างภาพนี้รับงานถ่ายรูปเดือนหนึ่ง 7-8 งาน งานแต่งอีก 1 งาน รายได้ราว ๆ 200,000 บาท ขึ้นไปแล้วแต่ความขยันรับงาน แต่เราขี้เกียจทั้งเรียน ทั้งทำงานเหนื่อย ไหนต้องเจียดเวลาออกเดทผู้ชายอีก เหนื่อยมากแม่ รายได้แค่นี้แหล่ะเบา ๆ พอ

ป.ล. รับงานต่างรัฐ ค่าเครื่องค่าที่พักลูกค้าเป็นคนออกนะคะ สนุกมากเพราะได้เที่ยวด้วย

เจอกับสามีจาก Tinder เดทแรก สิงหาคม ปี 2017 คบกันได้ปีหนึ่ง ช่วง สิงหาคม 2018 เขาขอห่างเรา แต่ไม่ได้เลิกนะ แต่เค้าบอกเปิดโอกาสให้เราเดทคนอื่นได้ เราก็อะไรของมึงไม่เลิกแต่ให้เดทคนอื่น เออ…..งั้นกูบวชชีพราหมณ์ล่ะกัน ช่วงนั้นเลยเข้าแต่วัด แล้วแบบคิดว่าถ้ามึงไม่กลับมา กูจะทำงานเก็บเงินแล้วหมดวีซ่าเมื่อไหร่ กูจะกลับบ้านหาพ่อแม่ลูกกูล่ะนะ แต่สรุปเขากลับมาเดือน ตุลาคม 2018 แต่ก็นะ เราก็เบรค ๆ ตัวเองออกมา ไม่คิดหวังจะได้ลงหลักกันก็คิดแค่ว่าคบ ๆ ไปล่ะกัน ถ้าไม่จริงใจจริงจังหมดวีซ่าก็กลับไทย เพราะลูกอยู่ไทย แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะดูท่าทางไทยจะแย่ ลืมตาอ้าปากไม่ได้แน่ ๆ อะไร ๆ ก็ดิ่งลงเหว เลยหาวิธีจะอยู่ต่อด้วยวีซ่าศิลปินสาขาช่างภาพ ก็เก็บสะสมผลงานที่เด่น ๆ ของตัวเองที่ทำกับบริษัทใหญ่ ๆ ติดต่อบริษัทที่เราสนิทเพื่อให้เค้าเป็นสปอนเซอร์ให้ ยื่นพอร์ทงานหลาย ๆ บริษัท แต่เพราะโควิดมั้ง สิงหา 2020 เค้าขอเราแต่งงาน โควิดเป็นเหตุสังเกตุได้

อ่ะทีนี้ แพลนชีวิตเปลี่ยนทันที ดำเนินการขอกรีนการ์ดให้ตัวเองกับลูกก่อน หลังจากเราได้กรีนการ์ดแล้วจะขอให้พ่อกับแม่ แล้วตอนนี้เรากำลังทำฟาร์มกุหลาบ ฟาร์มดอกบัว แล้วจะเป็นสปอนเซอร์ให้น้องชายกับน้องสะใภ้ จะบอกว่าวีซ่าคนทำงานในฟาร์มนี้ ได้ 2 ปี หลังจาก 2 ปีสามารถแอพพลายขอกรีนการ์ดได้ แต่ข้อมูลยังไม่ชัวร์นะ เรากำลังศึกษาหาข้อมูลอยู่ได้เรื่องยังไงจะมาอัพเดท

ส่วนตัวเรา การออกเดทนั้นใช้ Tinder นะ แต่แบบจ่ายเงิน VIP หรือ Gold member หรือเปล่าไม่รู้จำไม่ได้ จำได้แค่ว่าเราเสียเงินอ่ะ คือมันดีตรงที่มันจะคัดคนประมาณหนึ่งไรงี้มั้งเราคิดว่า เพราะที่เราเดทส่วนใหญ่ก็หมอ ทนาย เจ้าของธุรกิจแบบมิเลี่ยนแอร์ไรงี้ แต่ก็อย่างว่าแล้วแต่ดวงด้วยเรื่องพวกนี้ ใครจะคู่ใครมันก็มีเซ้นส์เองแหล่ะว่าใช่หรือไม่ใช่ จริงไหม

ปัจจุบันก็ยังเป็นช่างภาพค่ะ แต่เป็นแม่บ้านซะส่วนใหญ่ อยู่บ้านเลี้ยงหมา อ้อสามีเป็นหมอจัดกระดูก มีคลินิกเป็นของตัวเอง 2 แห่ง ในนิวยอร์ก เปิดคลินิกร่วมกับเพื่อนอีก 2ที่ เค้าไม่อยากให้ทำงานนอกบ้าน เค้าเลยซื้อที่ดินให้เราทำฟาร์มกุหลาบฟาร์มบัวใกล้บ้าน แต่เราก็ยังรับงานถ่ายรูปบ้าง เป็นพาทไทม์  ****อันนี้อวดผัว ไม่มีสาระใด ๆ ***

เนื้อหาจากกลุ่มเฟซบุ๊ค โยกย้ายมาส่วนสะโพกโยกย้าย

ขั้นตอนการสร้าง SSL ใช้งานฟรี

0
ขั้นตอนการสร้าง SSL ใช้งานฟรี
ขั้นตอนการสร้าง SSL ใช้งานฟรี

มาตรฐานของเว็บไซต์ในทุกวันนี้จะเห็นว่าต้องเป็น https ถึงจะมีความน่าเชื่อถือ ในอดีตการที่เว็บไซต์จะติดตั้ง SSL ทีก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายหลักหลายพัน จนถึงหลายหมื่นต่อปีเพื่อซื้อ SSL มาใช้งาน แต่ข่าวดีก็คือหน่วยงานที่เรียกว่า Let’s Encrypt ได้มีการสร้างระบบขึ้นมาเพื่อออก SSL ให้ทุกคนไปใช้งานได้ฟรี ซึ่งความสามารถทุกอย่างเหมือนกับที่เราต้องเสียเงินใช้งานกัน ต่างตรงที่เราต้องต่ออายุทุก 90 วันเท่านั้นเอง จึงไม่แปลกที่เกือบทุกเว็บไซต์ส่วนตัวได้ทำการติดตั้ง Let’s Encrypt กันแทบทั้งนั้น

ขั้นตอนการสร้าง SSL ใช้งานฟรี
ขั้นตอนการสร้าง SSL ใช้งานฟรี

ขั้นตอนการสร้าง Let’s Encrypt SSL ใช้งานฟรี

ขั้นตอนการสร้าง Let’s Encrypt SSL ฟรี นอกจากจะได้ SSL มาใช้งานสำหรับเว็บไซต์ได้ฟรีแล้ว ยังสามารถเอา SSL ที่ได้ไปงานกับระบบอื่น ๆ ที่ต้องการได้อีกด้วย สำหรับขั้นตอนต่าง ๆ บางขั้นตอนอาจจะแตกต่างกันบ้างสำหรับเว็บไซต์บางที่ นั่นเพราะความต่างของผู้ให้บริการแต่ละราย หน้าตาต่าง ๆ จึงไม่เหมือนกัน

1. ไปที่หน้าเว็บไซต์ https://punchsalad.com/ssl-certificate-generator/ เพื่อเริ่มสร้าง SSL กรอกข้อมูลตามภาพด้านล่าง

ขั้นตอนการสร้าง Let's Encrypt SSL ใช้งานฟรี

2. ถัดมาเป็นการยืนยันตัวตนว่าเราเป็นเจ้าของโดเมนเนมที่จะเอา SSL ไปใช้งาน ซึ่งสามารถยืนยันได้สองแบบคือ upload html file ขึ้น server และ เพิ่ม DNS (TXT Record) เพื่อยืนยัน ในตัวอย่างนี้ผมจะใช้เป็นการยืนยันด้วย DNS ที่ได้เลือกมาจากขึ้นตอนก่อนหน้า ให้เราเอาค่า DNS ที่หน้าจอแสดงไปเพิ่งที่ผู้ให้บริการ DNS ที่เราใช้งาน

ขั้นตอนการสร้าง Let's Encrypt SSL ใช้งานฟรี

3. ตัวอย่างการเพิ่ม TXT Record ของเว็บไซต์นี้ จะใช้ของ Cloudflare  เอาค่า TXT Record จากขั้นตอนก่อนหน้ามาเพิ่มในนี้

ขั้นตอนการสร้าง Let's Encrypt SSL ใช้งานฟรี

4. เมื่อเพิ่มเสร็จแล้วให้กลับมาที่เว็บ punchsalad หน้าเดิม เพื่อเช็คก่อนว่า DNS ที่เราเพิ่มไปถูกต้องมั้ย ด้วยการกดปุ่ม CHECK DNS ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะต้องมี pop up แสดงข้อมูลตามภาพข้างล่างนี้

ขั้นตอนการสร้าง Let's Encrypt SSL ใช้งานฟรี

5. เมื่อเช็ค DNS ผ่านแล้ว เราก็กด VERIFY DOMAIN ได้เลย เพื่อให้ระบบสร้าง SSL ให้เราไปใช้

ขั้นตอนการสร้าง Let's Encrypt SSL ใช้งานฟรี

6. รอไม่ถึงนาทีระบบจะสร้าง SSL มาให้ เราสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานในเว็บไซต์ได้ทันที

ขั้นตอนการสร้าง Let's Encrypt SSL ใช้งานฟรี


ของฟรีและดียังมีในโลกนี้เสมอ ขอเพียงค้นหามันให้เจอเท่านั้นเอง ข้อแตกต่างอีกอย่างของ Let’s Encrypt ที่ไม่เหมือนแบบเสียเงินก็คือ เค้าจะไม่รับผิดชอบถ้าเกิดว่าเว็บไซต์เราโดนแฮก แต่ถ้าเป็นแบบเสียเงินเกิดวันดีคืนดี เว็บเราโดนแฮกขึ้นมาแล้วสามารถระบุได้จริง ๆ ว่าเป็นเพราะช่องโหว่ของ SSL เราจะได้รับค่าเสียหายคืนตามจำนวนที่แต่ละผู้ให้บริการรับประกันเอาไว้


ภาพประกอบ freepik.com

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ลดความอ้วนเร่งด่วนใน 3-7 วัน ทำได้จริงหรือไม่

0
ลดความอ้วนเร่งด่วน ทำได้จริงหรือ?
ลดความอ้วนเร่งด่วน ทำได้จริงหรือ?

เชื่อว่าคนเราทุกคนล้วนอยากมีรูปร่างและสัดส่วนที่สวยงาม แต่อาหารการกินของเมืองไทยนั้นไม่ค่อยเป็นใจ เพราะมีของอร่อยวางขายอยู่ทั่วทุกหัวมุมของถนน ทำให้หลายคนทานเพลินจนประสบน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ สุดท้ายต้องมาหาวิธีลดน้ำหนักเพราะอ้วนมากไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพนั่นเอง เมื่อพูดถึงวิธีการลดความอ้วนคิดว่าผู้ที่กำลังหาข้อมูลอยู่ต้องเจอกับแนวทางการลดความอ้วนแบบเร่งด่วนกันมาบ้างอย่างแน่นอน ข้อมูลบางแห่งการันตรีลดเร็วลดไวภายในเวลาไม่กี่วัน แต่นั่นจะเป็นความจริงหรือไม่ มาหาคำตอบกันค่ะ

สูตรลดความอ้วนเร่งด่วน ทำได้จริงหรือไม่

หากใครเคยเห็นแนวทางการลดความอ้วนเร่งด้วย จะเห็นได้ว่ามาในลักษณะอดอาหาร โดยอาจจะทานแค่ไข่ต้ม นม ผักผลไม้ โยเกิร์ต น้ำเปล่า หรืออาหารเบา ๆ อย่างอื่นสลับกันไปตามเวลาที่กำหนด หรือจะมีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักแอบแฝงมาด้วย ซึ่งหาพิจารณาดูแล้วถ้าไม่ใช่อยากขายสินค้า สูตรที่ว่านั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เพราะนั่นคือ “การอดอาหาร” นั่นเอง เพราะอาหารที่ทานเป็นอาหารที่มีพลังงานต่ำ ถึงแม้จะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอยู่บ้าง แต่พลังงานหลักอย่างโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตกลับน้อยมาก หากทำตามจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง หน้ามืด วิงเวียนศีรษะจนหมดสติได้

ลดความอ้วนเร่งด่วน ทำได้จริงหรือ?
ลดความอ้วนเร่งด่วน ทำได้จริงหรือ?

การทำตามสูตรลดความอ้วนเหล่านี้ ถึงแม้จะลองทำได้แต่เชื่อเถอะว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน เพราะหลายคนทดลองมาแล้วพบว่าตัวเองตบะแตกจนกลับมาทานเหมือนเดิมภายในเวลา 3-5 วันเท่านั้น นอกจากระยะเวลาจะสั้นจนน้ำหนักไม่ทันลดแล้ว อาจทานมากกว่าเดิมจนน้ำหนักขึ้นไปอีกก็เป็นได้ ดังนั้นการลดความอ้วนเร่งด่วนนั้นไม่สามารถทำได้จริง ถึงทำได้ก็แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะกลับมาทานมากกว่าเดิม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะโยโย่เอฟเฟคตามมาได้อีกด้วย ใครที่ยังสงสัยในเรื่องนี้ ขอให้ลองคิดว่าดูว่ากว่าจะสะสมไขมันมาจนอ้วนได้ขนาดนี้ ใช้เวลานานกี่เดือนกี่ปี ฉะนั้นการจะลดความอ้วนในเวลาไม่กี่วันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

วิธีการลดความอ้วนที่ถูกต้อง

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าวิธีการลดความอ้วนที่ทำแล้วได้ผลจริงในปัจจุบันนี้มีด้วยกันหลายวิธี เช่น Intermittent Fasting(IF), Ketogenic Diet เป็นต้น แต่ว่าวิธีเหล่านี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน เนื่องจากมักมีเงื่อนไขที่อาจจะซับซ้อนพอสมควร  ซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกวิธีก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายได้ เพราะฉะนั้นหากจะพูดถึงแนวทางการลดความอ้วนสายกลางที่ทำได้ง่าย เห็นผลจริงและปลอดภัยมากที่สุดก็คือ “การควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย” นั่นเอง

ลดความอ้วนเร่งด่วน ทำได้จริงหรือ?
การควบคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย เป็นการลดความอ้วนที่ได้ผลดี

เมื่ออยากลดน้ำหนัก หลายคนอาจจะนึกถึงวิธีการที่ซับซ้อน พยายามค้นหาข้อมูลเพื่อหาวิธีที่จะให้ได้เร็วๆจนลืมไปว่า หลักการลดน้ำหนักที่ง่ายที่สุดก็แค่ “ทานให้น้อยกว่าที่ใช้” ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าต้องได้รับพลังงานในปริมาณที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน เมื่อได้รับพลังงานน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการนำมาใช้ สารอาหารจะถูกเผาผลาญนำมาใช้จนหมดไม่เหลือไปสะสมกลายเป็นไขมันเพิ่มอีก ในส่วนของไขมันเก่าก็จะทยอยถูกเผาผลาญไปเรื่อยๆมากหรือน้อยแล้วแต่กิจกรรมที่ทำ แต่ถ้าเป็นกิจกรรมที่ใช้แรงเยอะ เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา ฯลฯ ก็จะช่วยให้ไขมันถูกกำจัดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

คำแนะนำในการลดน้ำหนัก

จากข้อมูลด้านบนจะเห็นได้ว่าการลดน้ำหนักนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ขอเพียงแค่มีความอดทนและความสม่ำเสมอในการปฏิบัติเท่านั้น โดยแนวทางการลดสามารถทำได้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้

เลือกทานให้มากขึ้น

ห้ามอดอาหาร เพียงแต่ต้องเลือกให้มากขึ้นโดยทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบถ้วน 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง อาหารแปรรูปและอาหารรสจัดด้วย หากมีเวลาแนะนำให้ปรุงอาหารทานเอง เพราะจะสามารถควบคุมได้ทั้งสัดส่วนของอาหารและเครื่องปรุง สำหรับปริมาณอาหารที่ควรทานนั้นแนะนำให้ลองไปคำนวณค่า TDEE ก่อน เพราะร่างกายของแต่ละคนต้องการพลังงานไม่เท่ากัน คำนวณออกมาได้เท่าไรแล้วค่อยไปปรับสัดส่วนการทานอาหารตามความเหมาะสม

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ลดความอ้วนเร่งด่วน ทำได้จริงหรือ?
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหม เป็นการลดความอ้วนที่ค่อยเป็นค่อยไป และปลอดภัย

การควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย แบ่งสัดส่วนความสำคัญอยู่ที่ 70:30 การคุมอาหารหากทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม น้ำหนักจะค่อย ๆ ลดไปเองโดยไม่ต้องออกกำลังกายเลย แต่ว่าถึงแม้จะผอมลงและรูปร่างดีขึ้น ผิวพรรณอาจจะนิ่มย้วยไม่กระชับเท่าไรนัก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องออกกำลังกายไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สัดส่วนจะสมดุลสวยงาม ผิวพรรณจะเฟิร์มกระชับทั่วทั้งร่างกาย ที่สำคัญสุขภาพแข็งแรงมากขึ้นด้วย

อย่าลดเร็วเกินไป

มีคนที่ต้องการลดน้ำหนักมากมายโหมออกกำลังกายและจำกัดปริมาณอาหารมากกว่าปกติ ทำให้น้ำหนักตัวลดลงเร็วเกินไป ผลที่ตามมาคือผิวหนังหดกระชับเข้าไปไม่ทัน ทำให้ผอมลงแต่ผิวย้อยย้วยหนักมากจนแก้ไขไม่ได้ เว้นแต่จะทานเยอะๆให้กลับไปอ้วนใหม่แล้วลดน้ำหนักอีกรอบหรือเข้ารับการผ่าตัดเพื่อตัดเอาผิวหนังส่วนเกินออกไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนคงไม่มีใครอยากทำอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นขอแนะนำน้ำหนักที่เหมาะสมในการลด ได้แก่ ไม่เกิน 0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ หรือไม่เกิน 2 กิโลกรัม/เดือน การที่น้ำหนักค่อยๆลด ร่างกายและผิวพรรณจะค่อยๆปรับตัวอย่างเป็นธรรมชาติ รูปร่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าผิวจะย้วยนั่นเอง


การคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย หากปฏิบัติอย่างมีวินัย ไม่ว่าน้ำหนักจะมากแค่ไหนก็ลดลงได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ถ้าใครไม่ได้อ้วนมากมาตั้งแต่แรกหรือลดความอ้วนจนผอมลงในระดับหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะคุมอาหารและออกกำลังกายเหมือนเดิมแต่น้ำหนักจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก (บางคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมน้ำหนักไม่ลดลงอีก) มาถึงตอนนี้ก็อย่าเป็นกังวลไป จงโฟกัสกับสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลงมากกว่าตัวเลขบนตาชั่ง เพราะเมื่อไขมันถูกกำจัดออกไปเยอะแล้วและเริ่มมีกล้ามเนื้อเข้ามาแทนที่ น้ำหนักจะไม่ค่อยเปลี่ยนไปแต่รูปร่างจะสวยเฟิร์มขึ้นอย่างชัดเจน


เรื่องอื่น ๆ ในหมวดสุขภาพที่น่าสนใจ


ภาพประกอบ : freepik.com

NFT (Non-Fungible Token) คืออะไร

0
NFT (Non-Fungible Token) คืออะไร

NFT (Non-Fungible Token) มีการใช้งานหลากหลายมากในวงการเกมส์ ศิลปะ และ Yield Farming แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ ทำไมไปแทรกซึมหลายวงการขนาดนี้ ต่างกับคริปโตเคอเรนซี่ยังงัย

NFT (Non-Fungible Token) คืออะไร

NFT (Non-Fungible Token) คืออะไร

Non-Fungible Token ถ้าแปลไทยใน Google มันจะแปลว่า “ไม่เป็นเชื้อรา” ไปคนละเรื่องกันเลย แต่ในที่นี้ NFT (Non-Fungible Token) เป็นการนำเทคโนโลยีบล็อคเชนมาประยุกต์ใช้กับการซื้อขายสินค้า โดยแปลงเป็น Token ซึ่งทุกวันนี้ก็กระจายหลายวงการมาก แต่จะเห็นกันบ่อย ๆ จะเป็นวงการดิจิตอลเป็นส่วนมากเพราะสะดวกในการใช้งาน

มันอาจจะฟังไม่แตกต่างกับการออกโทเคนให้สมาชิกของบรรดาแชร์ลูกโซ่เลยใช่มั้ยครับ … แต่เดี๋ยวก่อนนะ มันคนละอันกัน

การใช้งาน NFT (Non-Fungible Token) มีความแพร่หลายไปทุก ๆ วงการ แต่ที่เห็นมากที่สุดจะเป็นวงการดิจิตอลต่าง ๆ เพื่อใช้ NFT เป็นตัวกลางในการซื้อขายงานดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่าย, ลายเซ็นต์, เพลง, วีดีโอเกมส์, ไอเทมต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเกมส์ รวมไปถึงสินค้าอื่น ๆ ที่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์

ลองนึกย้อนกลับไปสมัยก่อนถ้าศิลปินคนไทยจะขายภาพวาดสักภาพให้คนซื้อที่อยู่โซนยุโรป ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งคงมหาศาล ยิ่งเป็นงานศิลปะด้วยแล้วคงจะยิ่งต้องมีขั้นตอนในการจัดส่งที่พิเศษออกไป แต่ถ้าเป็นการวาดภาพดิจิตอลและซื้อขายกันด้วย NFT (Non-Fungible Token) แล้ว จะลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ลงได้เยอะเลยทีเดียว

ลักษณะเฉพาะตัวของ NFT (Non-Fungible Token)

NFT (Non-Fungible Token) คืออะไร
NFT (Non-Fungible Token) คืออะไร

NFT (Non-Fungible Token) จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำกัน สามารถเชื่อมโยงไปถึงตัวเจ้าของทรัพย์สินได้ เหมือนบ้านที่แต่ละหลังถึงแม้จะสร้างออกมาเหมือน ๆ กัน แต่ก็จะมีบ้านเลขที่ที่เป็นลักษณะเฉพาะที่ทำให้เรารู้ว่าเป็นบ้านใคร ต่อให้สร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาเหมือนเดิมเป้ะ สุดท้ายก็ต้องจดทะเบียนเป็นบ้านหลังใหม่อยู่ดี

แม้ว่าการใช้ NFT (Non-Fungible Token)จะแพร่กระจายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่อย่างที่บอกไปเบื้องต้นว่ามักจะใช้งานกับวงการเกมส์ หรือวงการที่เป็นดิจิตอลซะมากกว่า มักจะสร้างโทเคนขึ้นมาบนเครือข่ายบล็อคเชนของ Ethereum ในช่วงแรก ๆ แต่หลัง ๆ ก็จะเห็นว่ามีการกระจายออกไปใช้งานบล็อคเชนอื่น ๆ ขึ้นมากเหมือนกัน เช่น Binance Smart Chain เป็นต้น

NFT (Non-Fungible Token) แตกต่างจากคริปโตเคอเรนซี่มั้ย

เชื่อว่า คริปโตเคอเรนซี่ และ บล็อคเชน เองก็ยังเป็นของใหม่ของหลาย ๆ คน ในขณะที่ยังทำความเข้าใจกับสองเรื่องนี้อยู่ ก็มีเรื่องของ NFT (Non-Fungible Token) เข้ามาให้ปวดหัวอีก คงจะมีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่ามันต่างกันยังงัย

ถ้าว่าด้วยเรื่องของเทคโนโลยีที่ใช้งานนั้นก็ไม่แตกต่างกันมาก ส่วนของคริปโตเคอเรนซี่สามารถที่จะนำออกมาแลกเป็นเงินจริง หรือใช้แทนเงินเพื่อจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันได้ จะเห็นว่าบางร้านในประเทศไทยเราเองก็มีติดป้ายหน้าร้านกันเลยว่า รับชำระด้วยเงินคริปโต บางเว็บไซต์ก็จ่ายค่าสินค้าเป็นเงินคริปโตได้ หรือแม้แต่รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของอีลอน มัสก์ เองก็ประกาศว่ารับชำระค่ารถด้วยเงินบิทคอยน์

แต่ในส่วนของ NFT (Non-Fungible Token) จะเป็นสินทรัพย์ที่เอาไว้ครอบครองกับใครรายใดรายหนึ่ง การจะแลกเปลี่ยนเป็นเงินกันก็คงต้องเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่ายที่ตกลงร่วมกัน ซึ่งอีกไม่นานก็น่าจะมีเว็บไซต์ซื้อขายทั่วไปที่รับซื้อขาย NFT (Non-Fungible Token) เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แหละครับ

NFT มีประโยชน์อย่างไร?

ด้วยความที่มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวว่าใครเป็นเจ้าของ ทำให้ได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย นอกจากจะทำให้การซื้อขายของสะสม หรือผลงานต่าง ๆ ด้วยช่างทางดิจิตอลง่ายขึ้นแล้ว ยังสามารถเป็นทางเลือกให้ธุรกิจต่าง ๆ ออก Token เหล่านี้ไประดมทุนได้อีกต่างหาก

สรุปกันอีกสักหน่อยเกี่ยวกับ Non-Fungible Token (NFT)

NFT เป็นโทเคนที่พัฒนาบนระบบบล็อคเชน นิยมพัฒนาบน Ethereum และ Binance Chain จุดเด่นคือสามารถระบุเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลลงไปได้ ทำให้ปลอมแปลงได้ยาก มีการใช้อย่างแพร่หลายบนธุรกิจที่เป็นดิจิตอลกันเป็นส่วนมาก เช่น เกมส์, ภาพถ่าย, ฟุตเทจ, ศิลปะ เป็นต้น


เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

5 เหรียญคริปโตน่าลงทุนประจำปี 2021 ตอนที่ 1/2

DeFi คืออะไร

การสร้าง Passive Income แบบ Yield Farming ด้วย DeFi

เทคนิคการเก็บเงินซื้อบ้าน ฉบับมนุษย์เงินเดือน


ภาพประกอบ freepik

Crypto Currency Faucet คืออะไร?

0
Crypto Currency Faucet คืออะไร?
Crypto Currency Faucet คืออะไร?

มีหลากหลายวิธีที่จะทำให้เงินคริปโตในมือที่เราถือครองอยู่เพิ่มมูลค่าและจำนวน โดยทั่วไปแนวทางหลัก ๆ ที่นักลงทุนใช้กันก็ไม่ต่างจากตลาดหุ้นและการลงทุนในตลาดหุ้นสักเท่าไหร่นัก เช่น เทรดระยะสั้น ซึ่งซื้อราคาถูก ขายราคาแพง, การถือเอาไว้เฉย ๆ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งเพราะมูลค่าของเหรียญมักจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ , การ Stake เหรียญ, การขุดเหรียญ เป็นต้น

Crypto Currency Faucet คืออะไร?
Crypto Currency Faucet คืออะไร?

ในโลกของเงินคริปโต คุณคิดว่ามีการแจกฟรีกันจริงรึเปล่า?

ข่าวดีก็คือ มันมีจริง ๆ และมักจะใช้งานกับเหรียญคริปโตที่ออกใหม่ ๆ เพื่อเป็นการทำการตลาดให้คนได้รู้จักเหรียญเหล่านั้นมากขึ้น เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ๆ หลังจากเหรียญนั้นเริ่มติดตลาดแล้วก็จะหยุดแจก แล้วก็เปลี่ยนเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน เหมือนเหรียญอื่น ๆ นั่นเอง

อีกหนึ่งวิธีที่มักใช้กันบ่อย ๆ เรียกว่า “FAUCET”

สั้น ๆ แบบไม่อธิบายอะไรมาก Crypto Faucet คือ การแจกเหรียญคริปโตฟรีนั่นเอง … แต่ว่ามีวิธีและขั้นตอนแตกต่างกันออกไปแต่ละเหรียญ

คําเตือน: เตือนก่อนนะครับว่า Faucet เป็นวิธีการแจกเหรียญฟรี ซึ่งเป็นอะไรที่พวกหลวงลวงบนลวงออนไลน์ชอบมาก เพราะคนติดกับได้ง่าย ๆ ก่อนที่จะดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ให้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเหรียญนั้น ๆ ให้ละเอียดถี่ถ้วนมากที่สุด เสียเวลากับมันหน่อยดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลัง

ความหมายของ Crypto Faucet

Crypto Faucet เป็นขั้นตอนง่าย ๆ ในการแจกจ่ายเงินคริปโต มักจะพบเห็นเป็นเว็บไซต์หรือว่าแอพพลิเคชั่น โดยอาจจะให้เราไปทำอะไรสักอย่างในเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นแบบง่าย ๆ ไม่ว่าจะล็อคอิน เล่นเกมส์ ดูโฆษณา ดูวีดีโอ หรือคลิกลิงค์ ฯลฯ .. Faucet นั้นแปลเป็นไทยว่า ก๊อกน้ำ, หยดน้ำ ประมาณนั้น สาเหตุที่การแจกเงินแบบนี้เรียกว่า Faucet เพราะว่าจำนวนที่แจกนั้นมันน้อยเปรียบได้กับหยดน้ำน่ะแหละ

การรับเงินคริปโตแบบ Faucet เป็นวิธีการที่ค่อนข้างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนมากแล้วไม่ใช่ว่าเงินคริปโตที่ได้จากวิธีการนี้จะส่งเข้ากระเป๋าเงินดิจิตอลของเราทันที มักจะเห็นว่าเป็นการสะสมเอาไว้ในเว็บไซต์ของผู้พัฒนาเอาไว้ระยะเวลาหนึ่ง จนถึงจำนวนขั้นต่ำที่เค้ากำหนดเอาไว้ ถึงจะสามารถโอนออกมาเก็บไว้ที่กระเป๋าของเราเองได้ บางทีก็ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรืออาจจะกินเป็นเดือน ๆ เลยก็มี

เป้าหมายของการแจกเงินคริปโตแบบ Faucet

อย่างที่เกริ่นไปช่วงต้นของบทความเรื่องการแจกฟรี .. เราจะเห็นว่ามีเงินคริปโตเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก แต่ละเหรียญก็ไม่รู้ว่ามีความแตกต่างหรือดีกว่าที่เคยออกก่อนหน้านี้อย่างไร และเหรียญส่วนมากก็จะเป็นเพียงกลุ่มนักพัฒนากลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างของบุคคลทั่วไป การสร้างเหรียญขึ้นมาสักเหรียญจึงจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้โลกได้รับรู้ ดังนั้น Faucet ก็ถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์อีกช่องทางหนึ่ง


สำหรับการรับเหรียญฟรีด้วยวิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่เลย เงื่อนไขต่าง ๆ เท่าที่เห็น ก็เป็นเหมือนกับการใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องรู้รายละเอียดเชิงลึกมากหนัก เหมาะอย่างยิ่งเลยที่จะเริ่มในวงการคริปโต ถือเป็นความเสี่ยงที่น้อย


ภาพประกอบ https://www.freepik.com

ไขมันพอกตับ ภัยเงียบอันตรายที่ไม่ใช่แค่ดื่มแอลกอฮอล์

0
ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)

ไขมันพอกตับ เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคตับอักเสบที่พบได้บ่อย ๆ โดยพบมากในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน จัดเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพผู้คนมากมาย เพราะว่าผู้ป่วยไขมันพอกตับมักไม่ค่อยมีอาการบ่งชี้ หากมีก็ไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก บางคนกว่าจะทราบว่าป่วย โรคก็อาจจะดำเนินไปถึงระยะรุนแรงแล้ว เพราะฉะนั้นจะเป็นโอกาสที่ดีหากมาทำความเข้าใจภาวะไขมันพอกตับกันให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ป้องกันและรับมือกันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) คือ ภาวะที่ตับมีการสะสมของไขมันไตรกลีเซอไรด์มากเกิน 5-10% เป็นโรคที่มักไม่มีอาการในช่วงแรก ๆ แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายได้รับไขมันมากเกินไปและไม่สามารถกำจัดออกไปได้หมด ไขมันส่วนเกินจึงไปสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ทั้งใต้ผิวหนังและอวัยวะภายใน โดยตับเป็นจุดที่สะสมไขมันได้ง่ายและรวดเร็ว สำหรับโรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ตับอักเสบได้ รวมถึงเพิ่มโอกาสต่อการเป็นโรคมะเร็งตับอีกด้วย ไขมันพอกตับเป็นโรคที่พบได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในคนอ้วน ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญจะด้อยลงตามวัย

สาเหตุที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับ

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคไขมันพอตับนั้นสามารจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่

  • การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ๆ โดยความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับระยะเวลาและปริมาณการดื่ม
  • สาเหตุอื่น จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและความเจ็บป่วย เช่น การทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ๆ เป็นประจำ ไม่ออกกำลังกาย โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ผลข้างเคียงจากการรักษาโรค อาทิ เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง ยาสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น สำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูง กว่า 90% มีภาวะไขมันพอกตับร่วมด้วย ในจำนวนนี้มีผู้ที่ตับอักเสบถึง 20% และอีก 10% จบลงด้วยโรคตับแข็ง

อาการของคนที่เป็นไขมันพอกตับ

โดยทั่วไปผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ เว้นแต่โรคจะอยู่ในระยะรุนแรงแล้ว ผู้ที่ทราบว่าตัวเองป่วยโดยมากจะทราบจากการตรวจร่างกายประจำปีเสียมากกว่า โดยระยะการพัฒนาของโรคจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
Stages of liver disease
  • ระยะที่ 1 เป็นช่วงที่ไขมันเริ่มเข้ามาสะสมที่ตับ แต่ว่ายังมีปริมาณน้อย ตับยังไม่อักเสบ ไม่มีพังผืดและไม่มีความผิดปกติอื่นใด
  • ระยะที่ 2 ตับเริ่มมีการอักเสบบ้างแล้ว หากไม่ได้รับการรักษานานกว่า 6 เดือนขึ้นไป จะกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
  • ระยะที่ 3 เซลล์ตับเริ่มถูกทำลาย มีพังผืดเข้ามาแทนที่และสะสมแทนเนื้อตับ ในระยะนี้หลายคนอาจมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ ไม่อยากอาหาร ปวดตึงแถวชายโครงขวา บางคนกดที่ชายโครงแล้วรู้สึกเจ็บ
  • ระยะที่ 4 เซลล์ตับถูกทำลายจนไม่สามารถกลับมาทำงานตามปกติได้อีกต่อไป ทำให้ตับแข็งและเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งตับได้ในอนาคต

การป้องกันและดูแลรักษาเมื่อเป็นไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่ป้องกันและรักษาได้ง่ายมากโดยเฉพาะถ้าป่วยในระยะแรก ๆ หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการชีวิตและหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น อาการของโรคจะทุเลาอย่างรวดเร็ว แนวทางการปฏิบัติมีดังต่อไปนี้

  1. รักษาน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์ สำหรับใครที่น้ำหนักเกินแนะนำให้ลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายและควบคุมอาหารควบคู่ไปด้วย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง หากจะทานไขมันควรเลือกทานเฉพาะไขมันดี เช่น ถั่ว ธัญพืช อะโวคาโด้ น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน เพราะจะช่วยลดการสะสมของไตรกลีเซอไรด์ได้ เพิ่มการทานผักและสารอาหารบางชนิดเพื่อเร่งการกำจัดสารพิษและเยียวยาสุขภาพตับให้ดีขึ้น อาทิ บล็อกโคลี่ หอม กระเทียม กะหล่ำปลี แมกนีเซียม วิตามินบี3 เป็นต้น สำหรับผู้ป่วยไขมันพอกตับที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ ตับจะสามารถฟื้นฟูจนกลับมาทำงานเป็นปกติได้หากลดน้ำหนักลงอย่างน้อย 7-10%

การลดน้ำหนักนอกจากจะดีต่อโรคไขมันพอกตับแล้ว ยังส่งผลดีต่อโรคอื่น ๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูงฯลฯ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด สุขภาพร่างกายจะแข็งแรงมากขึ้น รูปร่างก็จะสวยงามสมส่วนขึ้นด้วยเช่นกัน

  1. หากป่วยด้วยโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูงอยู่ ต้องเข้ารับการรักษาจนกว่าจะหายดี ทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่ง งดไปหาซื้อยาหรือวิตามินที่นอกเหนือจากคำสั่งแพทย์มาทานเอง
  2. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท
  3. ไปตรวจร่างกายประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

ถึงแม้ไขมันพอกตับจะมีพัฒนาการของโรคที่ค่อนข้างช้า แต่ว่าหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะรักษาได้ง่ายกว่า เพราะเป้าหมายการรักษาสูงสุดคือป้องกันและหยุดยั้งการอักเสบของตับ เพราะฉะนั้นใครที่ชอบทานอาหารมัน ๆ หวาน ๆ หรือดื่มแอลกอฮอล์บ่อย ๆ ถึงแม้รูปร่างจะยังไม่อ้วนมากนัก แต่ก็ควรไปเจาะเลือดเพื่อตรวจหาค่าตับทุกปี เมื่อตรวจพบจะได้รักษาอย่างทันท่วงที


ภาพประกอบ https://www.freepik.com 

นอนไม่หลับ ปรับแก้อย่างไรดี

0
นอนไม่หลับ ปรับแก้อย่างไรดี

อาการนอนไม่หลับไม่ใช่โรค แต่เป็นความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งอาการจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี การนอนไม่หลับเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าใครเคยประสบกับปัญหานี้มาก่อนจะเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานกันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว  อีกทั้งถ้าเป็นบ่อยครั้งหรือเรื้อรังจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ดังนั้นนี่เป็นปัญหาที่ควรแก้ไข

นอนไม่หลับ

ปัญหานอนไม่หลับนั้นมีลักษณะเหมือนการนอนไม่มีคุณภาพ ทำให้รู้สึกไม่สดชื่นเมื่อตื่นนอน เหมือนนอนไม่พอ อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น โดยการนอนไม่หลับนี้อาจเกิดได้จากหลากหลายรูปแบบ เช่น นอนหลับยาก นอนหลับเร็วแต่ตื่นง่ายแล้วไม่หลับอีกเลย นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ จนเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน เป็นต้น สำหรับความรุนแรงของปัญหานี้แบ่งออกเป็น 3 ระดับโดยประมาณ ได้แก่

  • นอนไม่หลับนาน ๆ ครั้ง มักเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ และหายได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร
  • นอนไม่หลับแบบเป็น ๆ หาย ๆ มีอาการนานขึ้น แต่ยังมีช่วงที่นอนหลับได้บ้างสลับกันไป
  • นอนไม่หลับเรื้อรัง มีอาการติดต่อกันเป็นระยะเวลานานนับเดือนหรือปีโดยไม่รู้สึกว่าดีขึ้น เป็นระดับที่ควรต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน

สาเหตุของนอนไม่หลับ

ปัญหานอนไม่หลับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

นอนไม่หลับ ปรับแก้อย่างไรดี

  1. สภาพจิตใจ – เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย เช่น ความเครียด วิตกกังวล โศกเศร้า สูญเสีย ฯลฯ โดยผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามักจะมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วยมากถึงร้อยละ 70 เลยทีเดียว
  2. การเจ็บป่วย – ความรู้สึกไม่สบายกาย ความเจ็บปวดหลังเข้ารับการรักษา การผ่าตัด ก็ทำให้นอนหลับยากกว่าปกติได้เช่นกัน
  3. อายุ – เมื่ออายุมากขึ้น ฮอร์โมนเมลาโทนินจะหลั่งน้อยลง ซึ่งนี่เป็นฮอร์โมนที่มีต่อคุณภาพการนอนหลับมาก ทำให้ผู้สูงอายุมากมายมีปัญหานอนหลับยาก นอนหลับสั้นและตื่นง่าย
  4. พฤติกรรมการนอน – ทั้งคนทั่วไปที่นอนไม่ตรงเวลาและคนที่มีเงื่อนไขเรื่องเวลาทำงาน ทำงานตอนกลางคืน เข้ากะไม่เป็นเวลา ฯลฯ ทำให้นาฬิกาชีวิตทำงานไม่ปกติ จนมีปัญหาเรื่องการนอนตามมาเช่นกัน
  5. สิ่งแวดล้อม – ห้องนอนมีสภาพแวดล้อมไม่เหมาะกับการนอนเช่น เสียงดัง อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป เสียงดัง แสงสว่าง เตียงนอนนุ่มหรือแข็งเกินไป กลิ่นเหม็น เป็นต้น
  6. สารเคมี – ทั้งสารที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวันและสารเสพติดบางประเภท เช่น ยารักษาโรคบางโรค คาเฟอีน นิโคติน แอลกอฮอล์ รวมไปถึงสารเสพติดประเภทอื่น ส่วนใหญ่มักจะมีผลต่อการนอนหลับทั้งสิ้น

วิธีการแก้ไขอาการนอนไม่หลับ

การแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดจะต้องแก้ที่ต้นเหตุ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องสำรวจดูว่าอาการนอนไม่หลับของตัวเองนั้นเกิดจากสาเหตุใด แล้วเริ่มแก้ที่ตรงนั้นก่อนแล้วค่อยบูรนาการด้วยวิธีอื่นร่วมกันไปด้วย ดังนี้

นอนไม่หลับ ปรับแก้อย่างไรดี

  1. จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการนอน โดยทำห้องนอนให้สะอาดปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ เปิดพัดลมหรือเครื่องรับอากาศให้มีอุณหภูมิพอดี เตียงต้องนอนสบายเหมาะสมกับสรีระ เมื่อปิดไฟแล้วห้องต้องมืดสนิท เวลาจะนอนสวมใส่เสื้อผ้าที่นุ่มสบาย ไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำงานในห้องนอน เป็นต้น
  2. รักษาสภาพจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เพื่อลดความวิตกกังวลก่อนเข้านอน ไม่จดจ่อกับ “การพยายามนอนให้หลับ” มากจนเกินไป เพราะนั่นอาจทำให้นอนหลับได้ยากกว่าเดิม
  3. ไม่ทานอาหารมื้อหนักก่อนเข้านอน หรืออาหารที่ย่อยยาก เพราะจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว อาจปวดท้อง อาหารไม่ย่อยหรือท้องเสียได้ บางคนถึงแม้จะหลับก็อาจฝันร้ายจนตื่นกลางดึก ดังนั้นมื้อเย็นไม่ควรทานหนักและต้องทานก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง ส่วนมื้อว่างก่อนเข้านอน หากใครจะทานควรเป็นมื้อเบาๆ เช่น ชาคาโมมายล์ นมอุ่น น้ำผลไม้ เป็นต้น ส่วน ชาธรรมดาและกาแฟต้องดื่มทั้งมื้อเย็นและก่อนเข้านอน
  4. กิจกรรมก่อนนอน บางครั้งการทำกิจกรรมก่อนเข้านอนนั้นอาจทำให้นอนหลับง่ายขึ้นได้ เช่น สวดมนต์ อ่านหนังสือ ดูโฆษณาขายสินค้าโทรทัศน์ เป็นต้น
  5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจจะช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้นเช่นกัน แต่ไม่แนะนำให้ออกใกล้ๆเวลาเข้านอน เพราะอาจทำให้ร่างกายตื่นตัวจนหลับยากได้
  6. นอนหลับให้ตรงเวลาและไม่งีบตอนกลางวัน ฝึกตื่นและเข้านอนในช่วงเวลาเดิมๆ เพื่อปรับการทำงานของนาฬิกาชีวิต งดงีบตอนกลางวันโดยเฉพาะช่วงบ่ายจนถึงเย็น เพราะจะทำให้ไม่ง่วงเมื่อถึงเวลาเข้านอน
  7. อุปกรณ์เสริม สำหรับใครที่นอนไม่เป็นเวลาหรือจำเป็นต้องนอนกลางวันเนื่องจากติดเรื่องเวลางาน นอกจากจะต้องพยายามจัดห้องให้เหมือนกลางคืนมากที่สุดแล้ว แนะนำให้ใช้อุปกรณ์เสริมอย่างที่ปิดตาและที่อุดหู จะช่วยให้ได้บรรยากาศที่มืดและเงียบใกล้เคียงเวลากลางคืนมากยิ่งขึ้น

เชื่อว่าคนทั่วไปถึงแม้จะมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง แต่ถ้าพยายามปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหมดข้างต้น ปัญหานอนหลับยากจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับผู้สูงอายุอาจได้ผลหรือไม่ก็ได้ เนื่องจากเป็นความเปลี่ยนแปลงตามวัย แต่คาดว่าน่าจะช่วยให้อาการดีขึ้นไม่มากก็น้อย การปรับตัวเพื่อให้นอนหลับเป็นเวลาจะเป็นเรื่องยากในช่วงแรก ๆ อาจจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนในการปรับตัว สำหรับใครที่ทำตามหมดทุกข้อแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและหาวิธีรักษาที่เหมาะสมต่อไป


ภาพประกอบ : https://www.freepik.com